Saturday, 14 June 2025
NewsFeed

'ผู้ว่าฯ ปู' โพสต์ข้อความ โควิด-19 ยังอยู่อีกนาน และปัญหาฝุ่น PM 2.5 เริ่มมากขึ้น ลั่น! พร้อมแก้ไขทั้งสองปัญหา

แม้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูกันต่อไป 

อย่างไรก็ตามทางด้านนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า... 

เจอสถานการณ์โควิดอย่างทุกวันนี้ ลำบากกันถ้วนหน้า ขยับอย่างไร ยากจะหาความพอใจได้ทุกคน ณ เวลานี้ ต้องขอแต่เพียงประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

คิดแต่เรื่องโควิด จนเกือบลืมไปว่า ที่สมุทรสาครเป็นดงโรงงาน ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 กำลังคืบคลานมา และเป็นปัญหาหนักตอนปลายปีเสมอ

เราเตรียมรับมือเชิงรุกกับ PM 2.5 ไว้ 2 เรื่อง... 

1.) ปรับภูมิทัศน์ถนนเอกชัยเป็นถนนนำร่อง ความยาวประมาณ 13 ก.ม. ครอบคลุม 5 ตำบล ปลูกต้นไม้ให้เป็นแบบเดียวกัน

ใช้ต้นไม้เป็นตัวกรองมลพิษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

2.) ติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศในทุกตำบล อย่างน้อยตำบลละ 1 จุด เพื่อบอกถึงคุณภาพอากาศในแต่ละจุดย่อย

ที่มีอยู่แล้ว เป็นเครื่องขนาดใหญ่ บอกให้เราทราบได้ถึงปัญหาของจังหวัด

แต่ถ้าจุดตรวจสอบเล็กลง เราจะสามารถเกาได้ถูกที่คันมากขึ้น

ทั้งสองเรื่อง สมุทรสาครพัฒนาเมือง (วิสาหกิจไม่แสวงหากำไร) เป็นโต้โผใหญ่

ทั้งหมดผ่านการประชุมทางไกลเรียบร้อยแล้ว
คาดว่าท้องถิ่นแต่ละแห่ง จะสามารถดำเนินการได้ในเร็ววันนี้

ใครจะไปคิดมาก่อนว่า วันนี้ เราต้องมาอยู่ในโลกออนไลน์เต็มตัว ประชุมออนไลน์ แลกเปลี่ยนความเห็นออนไลน์ ให้สัมภาษณ์ออนไลน์ เป็นวิทยากรออนไลน์

โควิดยังอยู่กับเราอีกนาน


ที่มา: https://www.facebook.com/2321609178162644/posts/3108695139454040/

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถาม จะเลือก 'ระบอบปรสิต' หรือ 'ชีวิตประชาชน' ย้ำ 6 เดือนที่ผ่านมามีราคาที่ต้องจ่าย

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล วันที่ 2 ก.ย.64  นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า 6 เดือนที่แล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจและตั้งคำถามต่อสมาชิกในสภาว่า พวกท่านจะเลือก ‘ประเทศ’ หรือจะเลือก ‘ประยุทธ์’ 

ถ้าเลือกประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ คือ สลักแรกที่ต้องถอด แต่วันนั้นสภาเลือกประยุทธ์ หมายความว่าสภาแห่งนี้รับได้กับความไม่ชอบธรรม การทุจริตเชิงนโยบาย การเอื้อพวกพ้อง การแทรกแซงการทำงานของตำรวจและตั๋วช้าง

นอกจากนี้ยังเตือนรัฐบาลว่าประเทศที่มีความพร้อม แต่ปล่อยให้คนตายเป็นใบไม้ร่วง บีบคั้นมากเกินไป น้ำตาเวลาออกจากตามันเป็นน้ำ แต่ถ้าตกถึงพื้นเมื่อไหร่ก็ลุกเป็นไฟ วันนั้นมีผู้ติดเชื้อ 230,000 คน เสียชีวิต มากกว่า 2,000 คน ถึงวันนี้ เดือนกันยายน มีผู้ติดเชื้อ 1.2 ล้านคน ผู้เสียชีวิตจำนวน 12,103 คน ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 4,800% เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 14,000% นี่คือราคาที่สภาแห่งนี้และประเทศต้องจ่าย จากเวลาที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจห่างกันแค่ 6 เดือน 

>> ถึงเวลาเลือกใหม่ ‘ประชาชน’ หรือ ‘ปรสิต’

“ด้วยเหตุที่เป็น จึงเข้าใจคนที่ออกมาชุมนุม ความเครียดแค้นมันพิเศษ มันไม่ใช่ความเศร้าหรือโมโห แต่มันอยู่ในใจ เรียนจบมาก็ไม่มีงานทำ พอมาเรียกร้องวัคซีน เรียกร้องเยียวยา ก็โดนกระสุน พอบอกให้สู้อย่างตรงไปตรงมาอย่าเอาสถาบันมาแอบอ้างเป็นเกราะกำบังก็กลับทำตรงกันข้าม เห็นเขาเป็นศัตรู แทนที่จะขอโทษไปแก้ปัญหา เพื่อจะไม่กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตและซ้อนวิกฤต ไม่เป็นระบอบปรสิต เป็นพยาธิที่คอยกินอาหารในท้องพวกเขาไป"

“แล้วจะไปกันอย่างไร คราวที่แล้วถามผิด และถามแค่ในสภาว่าจะเลือกประยุทธ์หรือประเทศ ซึ่งแต่ถามแคบไป ครั้งนี้ต้องถามใหม่ว่าระหว่างประชาชนกับปรสิตที่กินประเทศ เราจะเลือกอะไร และจะถามดัง ๆ ไปมากกว่าแค่สมาชิกในห้องนี้ คือถามกับพี่น้องประชาชนที่ได้โหวตเลือกพวกเรามาด้วย ว่าจะไว้ใจกับระบอบที่กัดกินประเทศไทยอยู่แบบนี้หรือ"

“ถ้าท่านเป็นนายทุนเป็นเจ้าสัว ได้สัมปทานการท่องเที่ยว มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีคนมาเที่ยวประเทศไทยของท่าน?"

“ถ้าท่านเป็นเจ้าสัวเจ้าของรถไฟฟ้า แต่ไม่มีคนนั่งอยู่ในรถไฟฟ้ามันจะมีประโยชน์อะไร?"

“ถ้าท่านเป็นเจ้าสัวธนาคาร เพียงเพื่อมีพนักงานเฝ้าอยู่หน้าเคาเตอร์ที่ว่างเปล่า มันจะมีประโยชน์อะไร?"

“ถ้าท่านเป็นชนชั้นกลางที่คิดว่าไม่เดือดร้อน ไม่ได้ติดโควิด ยังมีงานประจำอยู่ เป็นข้าราชการมีเงินเดือนประจำ ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าในอนาคต ลูกหลานของท่านที่จะโตมา จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่ากับท่าน?"

“มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าท่านเห็นแต่เพียงประโยชน์เฉพาะหน้าของตัวเอง แล้วเลือกความสบาย เลือกรับประโยชน์จากระบอบปรสิต หรือวางเฉยต่อมัน?"

“สิ่งที่ผมได้พูดมาทั้งหมด คนที่ถูกกดขี่ละเลยมาเป็นเวลานานในประเทศไทย เขามีคำตอบในเรื่องนี้มานานมากแล้ว ว่าเขาต้องการอะไร ผมเชื่อว่าอนาคตของประเทศไทยดีกว่านี้ได้ มีรัฐบาลที่ดีกว่านี้ได้ นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องเลือก เพราะท่านเห็นแล้วว่าการที่พวกท่านผลักเวลาออกไปถึง 6 เดือน ไม่ยอมเลือกตั้งแต่ตอนนั้น เลือกอะไรที่มันเป็นเรื่องเฉพาะหน้า เลือกสัมปทานเฉพาะหน้า คุณภาพชีวิตเฉพาะหน้า หน้าที่การงานเฉพาะหน้า มันมีราคาที่ต้องจ่ายในภายหลังอีกเยอะแยะมากมาย"

“มาถึงตอนนี้ ผมถึงเรียกร้องให้สภาแห่งนี้ สังคมแห่งนี้ ประเทศนี้ ต้องเลือกว่าจะเอาชีวิตของประชาชนหรือเอาระบอบปรสิต ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ต่อไป" หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้าย

แบงก์ชาติ ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม ทั้งการเพิ่มสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้เอสเอ็มอี และลูกหนี้รายย่อย รวมถึงมาตรการสนับสนุนการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน เน้นให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างระยะยาว ตรงจุดและเหมาะสม แทนการพักชำระหนี้ระยะสั้น ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 64

สำหรับมาตรการต่าง ๆที่ออกมา ทั้ง มาตรการแก้ไขหนี้เดิมให้ยั่งยืน เช่น ให้ลูกหนี้จ่ายชำระแบบต่ำก่อน และค่อย ๆ ทยอยปรับเพิ่มขึ้น หากลูกหนี้มีรายได้กลับมา และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้ลูกหนี้ได้เข้ามาตรการได้มากและรวดเร็วผ่านโมบายแบงก์กิ้ง หรือเครื่องมือออนไลน์ ซึ่ง ธปท. ได้มีแรงจูงใจเอื้อให้สถาบันการเงินช่วยเหลือ ทั้งเรื่องการคงจัดชั้นสำรองได้จนถึงวันที่ 31 มี.ค.65 และใช้เกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองอย่างยืดหยุ่นจนถึงสิ้นปี 66 แต่ถ้าความช่วยเหลือลูกหนี้ยาวกว่าปี 66 ธปท.จะนำมาพิจารณาเรื่องเกณฑ์นี้อีกครั้ง

ส่วนมาตรการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูซึ่งปัจจุบันเหลืออีก 150,000 ล้านบาทให้เอสเอ็มอีได้มีสภาพคล่องเพิ่ม ทั้งขยายวงเงินสินเชื่อลูกค้าใหม่จากไม่เกิน 20 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนลูกค้าเก่าเดิมจะได้รับไม่เกิน 30% ของวงเงินเดิม เป็นได้รับสินเชื่อไม่เกิน 30% ของวงเงินเดิมที่ไม่ถึง 50 ล้านบาท หรือรับสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยสถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอสินเชื่อฟื้นฟูมายัง ธปท.ได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. 64 ขณะที่ความคืบหน้าสินเชื่อฟื้นฟูอนุมัติแล้ว 98,316 ล้านบาท จำนวน 32,025 ราย ส่วนโครงการพักทรัพย์พักหนี้เข้ามา 82 ราย วงเงิน 11,696.79 ล้านบาท

นอกจากนี้การเติมเงินให้ลูกหนี้รายย่อย ในส่วนของบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ได้ขยายเพดานวงเงินไม่เกิน 2 เท่า จากเดิม 1.5 เท่า และไม่จำกัดสถาบันการเงินให้กับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน รวมทั้งคงผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตเหลือ 5% ไปจนถึงสิ้นปี 65 ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล ขยายเพดานวงเงินเป็นรายละไม่เกิน 40,000 บาทจากเดิมไม่เกิน 20,000 บาท พร้อมขยายเวลาชำระคืนจาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 64 จนถึงสิ้นปี 65

โควิดตัวกลายพันธุ์ 'มิว' ย่องระบาดในสหรัฐฯ ตรวจพบผู้ติดเชื้อเกือบทุกรัฐในประเทศ

นิวส์วีค นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันพุธ (1 ก.ย.) ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวกลายพันธุ์ ‘มิว’ ซึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์บางส่วนกังวลว่าอาจหลบหลีกภูมิคุ้มกันของวัคซีน ถูกตรวจพบในรัฐต่าง ๆ เกือบทั่วสหรัฐฯ แต่ยังมีสัดส่วนเล็กน้อยมากไม่ถึง 1% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดในอเมริกา

เมื่อวันจันทร์ (30 ส.ค.) องค์การอนามัยโลก (WHO) เพิ่งประกาศให้ตัวกลายพันธุ์ ‘มิว’ เป็น ‘สายพันธุ์ที่ต้องได้รับความสนใจ (variant of interest)’ ทำให้มันกลายเป็นตัวกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวที่ 5 ที่อยู่ในบัญชีดังกล่าว

พวกเจ้าหน้าที่มีความกังวล ด้วยที่สายพันธุ์นี้มีบ่อเกิดจากการกลายพันธุ์ บ่งชี้ว่ามันอาจสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีน และแม้ยังพบเคสผู้ติดเชื้อค่อนข้างน้อย แต่องค์การอนามยโลกระบุในรายงานฉบับหนึ่งว่าเคสผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์มิว กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในโคลอมเบีย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมัน และในเอกวาดอร์

เกือบทุกรัฐของสหรัฐฯ ยกเว้นเนบราสกา เวอร์มอนต์และเซาท์ดาโคตา ต่างรายงานพบเคสผู้ติดเชื้อตัวหลายพันธุ์มิวแล้ว ตามข้อมูลของ Outbreak.info ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแบบ open source จากสถาบันสถาบันวิจัยสคริปปส์ โดยมันมีอัตราความชุกสูงสุดในอะแลสกา คิดเป็นราว 4% ของเกือบ ๆ 4,000 ตัวอย่าง

มีอยู่ 15 รัฐ ประกอบด้วย นิวแฮมป์เชียร์ เวสต์เวอร์จิเนีย เซาท์แคโรไลนา เทนเนสซี เคนทักกี แอละแบมา มิสซิสซิปปี ลุยเซียนา อาร์คันซอ มิสซูรี ไอโอวา นอร์ทดาโคตา มอนแทนาและโอคลาโฮมา พบผู้ติดเชื้อราว ๆ 10 เคสหรือต่ำกว่านั้น

24 รัฐ พบผู้ติดเชื้อระหว่าง 11 เคสถึง 50 เคส ส่วน 4 รัฐ ประกอบด้วย นิวยอร์ก นิวเจอร์ซี เท็กซัสและวอชิงตัน พบผู้ติดเชื้อสูงสุดไม่เกิน 100 เคส ขณะที่ฟลอริดาเป็นรัฐเดียวที่พบผู้ติดเชื้อราว ๆ 100 ถึง 200 เคส และแคลิฟอร์เนีย เป็นรัฐที่พบผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์มิวมากที่สุด 289 เคส

นับตั้งแต่ตรวจพบตัวกลายพันธุ์มิวในเดือนมกราคม องค์การอนามัยโลกเน้นว่ามีรายงานเคสผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์นี้ประปรายเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าด้วยคุณสมบัติการกลายพันธุ์ของมัน ก่อข้อสันนิษฐานว่ามันอาจสามารถแพร่เชื้อสู่คนที่มีภูมิคุ้มกันโควิด-19 โดยธรรมชาติหรือคนที่ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้ว ซึ่งในกรณีจำเป็นต้องมีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันข้อสันนิษฐานดังกล่าว

นอกจากนี้แล้วยังมีความเป็นไปได้ว่าวิธีรักษาด้วย Monoclonal Antibodies (แอนติบอดีที่สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาว) ซึ่งได้ผลดีในบรรดาคนไข้ก่อนหน้านี้ อาจไม่ได้ผลกับตัวกลายพันธุ์มิวเช่นกัน

คาดหมายกันไว้อยู่แล้วว่าตัวกลายพันธุ์ต่าง ๆ นานาของ SARS-CoV-2 จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิวัฒนาการโดยธรรมชาติของไวรัสตัวหนึ่ง ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกกำลังจับตามองตัวกลายพันธุ์อื่น ๆ อีก 4 ตัว ในฐานะ ‘สายพันธุ์ที่น่ากังวล’ ประกอบด้วยอัลฟา เบตา แกมมาและเดลตา ซึ่งทั้งหมดมีทั้งแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย ก่อการติดเชื้ออาการรุนแรงกว่าเดิม หรือลดประสิทธิภาาพของมาตรการด้านสาธารณสุขต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงวัคซีนและการรักษา

เดลตา ซึ่งถูกจัดให้เป็นตัวกลายพันธุ์ที่น่ากังวลในเดือนพฤษภาคม กลายมาเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ และกำลังโหมกระพือการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ในกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

นอกเหนือจากตัวกลายพันธุ์ที่น่ากังวลทั้ง 4 ตัวแล้ว องค์การอนามยโลกกำลังจับตาตัวกลายพันธุ์อื่น ๆ อีก 5 ตัว ในฐานะ ‘สายพันธุ์ที่ต้องได้รับความสนใจ’ ประกอบไปด้วย อีตา ไอโอตา แคปปา แลมบ์ดาและ มิว สืบเนื่องจากทั้งหมดมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่อาจทำให้พวกมันแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าหรือเป็นอันตรายกับมนุษย์ และพบว่าพวกมันก่อให้เกิดคลัสเตอร์การแพร่ระบาดต่าง ๆ นานาในหลายประเทศ

แม้ว่าวัคซีนไม่ได้มีประสิทธิภาพ 100% แต่วัคซีนที่ได้รับการอนุมัติใช้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นอาวุธสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 และกันไม่ให้ผู้คนล้มป่วยอาการหนักหากมีผลตรวจเป็นบวก อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีความกังวลว่าหากไวรัสยังคงแพร่ระบาดอย่างไม่ลดละ อาจถือกำเนิดตัวกลายพันธุ์ใหม่ตัวหนึ่ง ๆ ที่สามารถต้านทานภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้


(ที่มา:นิวส์วีค)
https://mgronline.com/around/detail/9640000087122

'ภูเก็ต' ยอดติดเชื้อพุ่งวันละกว่า 200 คน เร่งสกัดเชื้อก่อนกระทบแซนด์บ็อกซ์

ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในภูเก็ตยังน่าเป็นห่วง จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ล่าสุด วันเดียว 235 ราย จากคลัสเตอร์ใหญ่ในกลุ่มชาวไทยใหม่ เร่งสกัดเชื้อ ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง ก่อนกระทบแซนด์บ็อกซ์

สำหรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ภูเก็ต ยังอยู่ในขาขึ้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทุกวันวันละ 200 กว่าคน ตลอด 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 64 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต รายงานสถานการณ์การติดเชื้อเพิ่มอีก 235 ราย ทั้งหมดเป็นการติดเชื้อในพื้นที่ภูเก็ต

แม้ว่าขณะนี้สำนักงานสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งสกัดการแพร่เชื้อ ลงพื้นที่ตรวจคัดกรองเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยง กลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง พื้นที่เสี่ยง ชุมชนแออัด และตามรอยผู้ที่ติดเชื้อ แต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น การติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ ละ 200 กว่าคน ทั้งนี้เนื่องจากการติดเชื้อที่เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ที่เริ่มจากกลุ่มแรงงานต่างด้าวได้แพร่กระจายสู่ชุมชน โดยเฉพาะชุมชนชาวไทยใหม่ ทั้งแหลมตุ๊กแก เกาะสิเหร่ หาดราไวย์ บ้านสะปำ และไม้ขาว ตรวจพบเชื้อเป็นจำนวนมากในแต่ละชุมชน และขณะนี้เชื้อได้กระจายไปทุกพื้นที่ของภูเก็ตแล้ว

รวมไปถึงจังหวัดภูเก็ตได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อสกัดเชื้อ ทั้งมาตรการทางสาธารณสุขและมาตรการทางสังคม แต่ยังไม่สามารถหยุดเชื้อโควิด-19 ลงได้ในขณะนี้ จำเป็นที่จะต้องเร่งสกัดเชื้อต่อไปเพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มอยู่แบบนี้ อาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวตามโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ หรืออาจจะต้องมีการปรับลดกิจกรรมในภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้

สตม. มอบอาหารกล่องพร้อมน้ำดื่ม 500 ชุด ให้แก่ชุมชนย่าน ถ.เอกชัย ตามโครงการ "ตำรวจห่วงใย ใส่ใจประชาชน"

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19  ให้หน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และยึดมั่นในหน้าที่ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้งประชาชน และปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้ประชาชนรู้สึกว่าตำรวจสามารถพึ่งพาได้

วันนี้ (3 ก.ย.64) เวลา 11.30 น. พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ท.พรชัย ขันตี ผู้ทรงคุณวุฒิ ตร. ปฏิบัติราชการ สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 ร่วมกับ พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง ผบก.น.9 ร่วมกับ สน.บางขุนเทียน โดย พ.ต.อ.วิศิษฐ์ สังขนันท์ ผกก.สน.บางขุนเทียน และ คุณประสิทธิ์ เจริญจิตมั่น ประธาน กต.ตร.สน.บางขุนเทียน มอบอาหารกล่อง,น้ำดื่ม จำนวน 500 ชุด

โดยทั้งหมดได้ร่วมกันมอบสิ่งของดังกล่าวให้แก่ ชุมชนวัดมะเกลือ, ชุมชนหนทางใหม่ปิ่นทอง 35 หมู่ 3, ชุมชนกำนันแม้น13, ชุมชนสวนผัก ที่ตั้งอยู่บริเวณ ถ.เอกชัย เขตจอมทอง กทม. โดยมีคุณสมาน อารีย์ศีลพิทักษ์ ตัวแทนชุมชนมาเป็นผู้รับมอบ ซึ่งจะนำไปแจกจ่ายให้แก่สมาชิกในชุมชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อไป

พล.ต.ท.พรชัยฯ กล่าวว่า โครงการ "ตำรวจห่วงใย ใส่ใจประชาชน" ครั้งนี้ เป็นการสนองนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในครั้งนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจนครบาล9 และ สน.บางขุนเทียน ร่วมกันให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และได้เน้นย้ำให้ประชาชนตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้และปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้กำลังใจเพื่อให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน

'เรืองไกร' จี้ 'เสี่ยโจ้' แจง เที่ยวบินนาริตะ เอี่ยว ประมูลกรมอุตุฯ หรือไม่ 

ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. แถลงว่า ได้รับข้อมูลจากผู้หวังดีส่งมาให้ ตรวจสอบเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเรียกร้องให้ออกมาชี้แจงว่า หลังจากที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้วเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 พบว่ามีการเดินทางโดยหลักฐานเป็นเอกสารตั๋วโดยสารเครื่องบินเฟิร์สคลาส TG677 ที่เดินทางจากนาริตะ มายังกรุงเทพมหานคร ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้น เป็นการเดินทางพร้อมทั้งครอบครัว และเกี่ยวข้องกับผู้ประมูลในกรมอุตุนิยมวิทยาหรือไม่ เพราะการเป็น ส.ส. ต้องชี้แจง รายได้ ค่าใช้จ่าย ในการเดินทางใครเป็นผู้ออกให้ ได้มีการนำไปชี้แจงตามกฎหมายหรือไม่ และการเดินทางน่าจะเป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบ พร้อมค่าที่พักว่าใครเป็นผู้ใช้จ่าย รวมทั้งมีการนำคนในครอบครัวเดินทางไปด้วยอีก 2 คน พร้อมตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลพบว่า จากการประมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ชนะการประมูลได้บริจาคให้พรรคจำนวน 10 ล้านบาท จึงขอให้นายยุทธพงศ์ ชี้แจงว่าเดินทางไปเมื่อไหร่ เพราะเอกสารที่ได้รับแต่รายละเอียดการเดินทางขากลับ 

อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางและ “น้องเทนนิส” ส่งกำลังใจผ่านโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19”

“โครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” โดยโลตัส (lotus’s) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรกว่า 100 องค์กร อาทิ สำนักข่าวบางกอกทูเดย์ นำอาหารกล่องมอบให้กับข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เขตจตุจักร เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานช่วงโควิด ตลอดจนชุมชนต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ประกอบด้วย ชุมชนร่มเย็น คลองสามวา, ชุมชนเลิศอุบล พระยาสุเรนทร์ 44, ชุมชนศาลเจ้ากวนอูหลอแหล ,  ชุมชนเสรีไทย 73 (สน.บึงกุ่ม),  ชุมชนเฟื่องฟ้าวิลเลจ,  ชุมชนเคซีสุขาภิบาล 5 และแคมป์คนงานเคซี และ  ชุมชนพรรณี วิภาวดีรังสิต ซอย 17 โดยมี ดร.ปัณฑิพาณ์  ธาราภิบาล และทีมงาน เป็นผู้แทนเดินทางไปส่งมอบอาหารกล่อง 

ในโอกาสนี้ นางอโนชา ชีวิตโสภณ  อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้กล่าวขอบคุณโครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19 ที่เป็นพลังสำคัญต่อการมีส่วนร่วมช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ผู้คนในสังคมผ่านพ้นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นน้ำใจของคนไทยไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหรือรุนแรงครั้งใด น้ำใจของคนไทยช่วยเหลือคนไทยด้วยกันไม่เคยเหือดแห้งและขอส่งกำลังใจให้กับทุก ๆ คน ทุก ๆ ฝ่ายในการฝ่าฟันวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ 

“ในฐานะที่ทำงานด้านดูแลเด็กและเยาวชน ขอแสดงความห่วงใยกับอนาคตของชาติทุกคน ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น การรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากผู้อื่น แม้ว่าผู้นั้นจะไม่ได้ป่วยก็ตาม การสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือเว้นระยะห่างไม่ได้ หลีกเลี่ยงพื้นที่ปิด ใช้สบู่ และน้ำหรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมหลักเป็นแอลกอฮอล์ เมื่อรู้สึกไม่สบายรีบแจ้งผู้ใหญ่และปรึกษาแพทย์ก่อนอาการรุนแรง อย่างไรก็ตามขอให้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ  เพื่อสร้างภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 ค่ะ”

น้องเทนนิส-เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดเหรียญทองโอลิมปิก 2020 และ Brand Endorser ของโลตัส กล่าวว่า ในขณะนี้นี้สถานการณ์โควิด-19 ยังคงรุนแรงอยู่ มีผู้ติดเชื้อ และผู้ที่ต้องทำการกักตัวอยู่ที่บ้านเพิ่มขึ้นทุกวัน อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพตัวเองและคนรอบข้าง นอกจากสุขภาพกายที่ต้องดูแลแล้ว สุขภาพของจิตใจ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่ต้องดูแล ในฐานะที่ตนเองเป็นนักกีฬาเข้าใจว่าสุขภาพใจนั้นสำคัญไม่ต่างจากสุขภาพกาย เทนนิสคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ การให้กำลังใจกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ หมอและพยาบาล มูลนิธิและจิตอาสา หรือผู้ป่วยและคนที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน เทนนิสคิดว่าทุกคนต้องการกำลังใจในช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทายนี้ จึงอยากขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้กับคนไทยทุกคน เพื่อที่เราจะผ่านวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ไปด้วยกันค่ะ

สำหรับ “โครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” เป็นความร่วมมือระหว่าง โลตัส (lotus’s) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรกว่า 100 องค์กร โดยมีเป้าหมายมอบอาหารกล่อง 2,000,000 กล่องให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้าน โดยอาหาร 1,000,000 กล่องมาจากการสนับสนุนร้านอาหารรายย่อยในการผลิตและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ ส่วนอาหารอีก 1,000,000 กล่องได้รับการสนับสนุนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์

'ผศ. ดร. ปริญญา' หนุนส.ส.โหวตคว่ำนายกฯ เพื่อปิดสวิตช์คสช. ชี้! อยู่มา 7 ปี ไม่ถูกตรวจสอบทรัพย์สิน

ศึกอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 3 ก่อนลงมติในวันที่ 4 ก.ย. 64 โดยหนึ่งในรายชื่อที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยู่ด้วยนั้น

ล่าสุด ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul ระบุข้อความว่า... #เรื่องร้ายแรงที่สุด ของพลเอกประยุทธ์ 7 ปีผ่านไป ประเทศไทยได้ระบบที่ #นายกรัฐมนตรีไม่ถูกตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดนข้อกล่าวหามากมายอย่างที่แทบไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนเคยเจอมาก่อน แต่เรื่องที่ผมเห็นว่าน่าจะร้ายแรงที่สุด แล้วอาจจะยังไม่ได้มีการพูดถึงมากนักในการอภิปรายครั้งนี้ คือเรื่อง #การทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุล และ #ความโปร่งใสของระบบการเมืองของประเทศ ครับที่ชัดเจนที่สุดคือ การที่ ปปช.ไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประยุทธ์ตอนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่สองหลังการเลือกตั้งในปี 2562 โดยประธาน ปปช. ชี้แจงว่า เพราะกฎหมาย ปปช. ฉบับใหม่ไม่ได้ให้อำนาจ ปปช.ไปตรวจสอบ

ทีแรกผมสงสัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ปปช. พ.ศ. 2561 ที่ร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และให้ความเห็นชอบโดย สนช. ที่เลือกมาโดยพลเอกประยุทธ์ จะเขียนชัดเขียนไว้ชัดเจนอย่างนั้นเชียวหรือ เพราะดูจะน่าเกลียดเกินไป ผมจึงไปเปิดดูแล้วก็พบว่า เขียนไว้ให้ ปปช.ไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประยุทธ์ไม่ได้จริงๆ ครับ

โดยมาตรา 105 วรรคสี่ กำหนดว่า ถ้าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนใดพ้นตำแหน่ง แต่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรง “ตำแหน่งเดิม” หรือ “ตำแหน่งใหม่” ภายในหนี่งเดือน ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยมีประโยคปิดท้ายว่า “แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน” คือไม่บังคับให้ยื่น แต่ถ้าอยากยื่นก็ยื่นได้ ว่าง่าย ๆ คือขึ้นอยู่กับอำเภอใจของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้นั้นว่าอยากจะยื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นการเขียนกฎหมายที่ดูจะเอาใจผู้มีอำนาจจนน่าเกลียด

นี่เองทำให้ ปปช.ไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินพลเอกประยุทธ์ตอนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง รวมถึงรัฐมนตรีอีกบางคน และ ส.ว.จำนวนมากที่เป็น สนช. ไม่ได้ครับ

โดยหลักความโปร่งใส และหลักการที่ผู้บริหารบ้านเมืองจะต้องถูกตรวจสอบได้นั้น ใครยิ่งอยู่นาน ยิ่งเป็นหลายสมัย ยิ่งต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน แต่ภายใต้กฎหมาย ปปช. ฉบับใหม่กลับตรงกันข้าม เพราะยิ่งเป็นต่อ ยิ่งเป็นหลายสมัยยิ่งตรวจสอบไม่ได้ นี่จึงทำให้ผมใช้คำว่าน่าประหลาด เพราะนอกจากจะตรงข้ามกับหลักการ แล้วยังเขียนไว้ตรง ๆ แบบไม่ค่อยเกรงใจประชาชนเลย

แต่แม้ว่าจะไม่ได้บังคับให้ยื่นบัญชีทรัพย์ แต่ถ้าจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐานก็ยื่นได้ ซึ่งเท่าที่เราทราบกันคือพลเอกประยุทธ์ก็ได้ยื่นให้ ปปช.แล้ว และก็มีคนไปขอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารให้สั่ง ปปช.ให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินพลเอกประยุทธ์ ซึ่งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเห็นว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ เมื่อสมัครใจยื่นมาแล้ว มีคนขอดูก็ควรเปิดให้ดูได้ แต่ ปปช. ก็ไม่ยอมเปิดเผยโดยประธาน ปปช.อ้างว่าไม่มีอำนาจ

ซึ่งอันนี้ก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะองค์กรอิสระทั้งหลายที่รัฐธรรมนูญ 2540 สถาปนาขึ้นมาให้มาตรวจสอบรัฐบาล ตอนนี้ก็กลายเป็นองค์กรที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าเป็นอิสระ เพราะล้วนแต่มีที่มาที่ยึดโยงกับพลเอกประยุทธ์ คือมาจาก สนช. และ ส.ว.ที่พลเอกประยุทธ์เลือกไว้ทั้งสิ้น

ไม่ต้องพูดถึงกระบวนการยุติธรรมที่ต้นทางคือตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ปราบปราม จับกุม และตั้งข้อหา ที่อยู่ใต้อำนาจนายกรัฐมนตรีตาม พรบ.ตำรวจแห่งชาติ โดย 7 ปีที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีไม่ยอมแก้ไขหรือปฏิรูปอะไรเลย

ที่เมื่อ 7 ปีที่แล้วพูดกันว่าจะต้อง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” จนทำให้พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจได้ และมีอำนาจมาจนทุกวันนี้ น่าจะสรุปกันได้เสียทีแล้วว่าเหลว แล้วยิ่งจะอยู่นานไปทั้งการเมืองและบ้านเมืองดูท่าจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่

7 ปีที่แล้วมีการพูดว่า ชัตดาวน์กรุงเทพเพื่อจะรีสตาร์ทประเทศไทย ผมว่าตอนนี้ถ้าจะรีสตาร์ทประเทศไทยที่เสียหายมา 7 ปีแล้ว จะยืมคำ 7 ปีที่แล้วมาใช้ว่า ต้องชัตดาวน์พลเอกประยุทธ์ ก็ดูก็จะแรงเกินไป จึงขอใช้คำว่า ชัตดาวน์ คสช. คือปิดสวิตช์ คสช.ให้จบไป ทั้งนี้ในวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนะครับ ประเทศไทยและประชาธิปไตยจะได้ฟื้นตัวเสียที

ในการลงมติหลังการอภิปรายครั้งนี้ ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหนก็สามารถช่วยกันปิดสวิตช์ คสช.ได้ หรือจะเรียกว่าเป็นการก้าวข้ามพลเอกประยุทธ์ก็ได้ เพื่อประเทศไทยจะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ครับ

#อภิปรายไม่ไว้วางใจ


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/277221

"บิ๊กป้อม" ลั่น "นายกฯไป ผมก็ไป” ยัน พปชร.เอกภาพปึ้ก  ไร้ปัญหาโหวต ด้าน “ธรรมนัส” เสียงหนัก “ยังไม่คุยนายกฯ”

ที่ชั้น6 รัฐสภา ก่อนประชุมส.ส.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางมาถึงอาคารรัฐสภา โดย มีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพปชร. นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ในฐานะเหรัญญิกพรรคพปชร.รอรับ โดยพล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์อย่างมีอารมณ์ดุเดือด ก่อนการประชุมร่วมส.ส.ของพรรคว่า "ปัญหาในพรรคไม่มีอะไร นายกฯ ไปผมก็ไป" 

ผู้สื่อถามว่าถ้านายกฯ ไปก็พร้อมไปด้วยกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "เออ" 

เมื่อถามว่าพรรคพปชร.ยังมีเอกภาพหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังมีเอกภาพ ต่อข้อถามว่าผลคะแนนลงมติจะมีปัญหาหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีปัญหา 

ด้านร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและ
สหกกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพปชร.กล่าวก่อนการประชุมส.ส.พรรคพปชร.ถึงการพูดคุยทำความเข้าใจกับพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า “ยังไม่ได้พูดคุย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top