Friday, 13 June 2025
NewsFeed

‘ธรรมนัส’ เก็บทรงไม่อยู่ เดือดจัด ด่าไอ้ห้อยไอ้โหน ปล่อยข่าวเสี้ยมล้มนายกฯ ขู่สมัยหน้าไม่ส่งลง ส.ส.แน่ ติง รมต.ในพรรค ไร้ผลงานบอกชาวบ้าน ลั่น อย่ากดดันมาก เพราะมาจากปชช. เมินคุย ‘บิ๊กตู่’ ถกแต่กับหัวหน้าพรรค พปชร. เท่านั้น

เมื่อเวลา 14.45 น. ที่รัฐสภา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ก่อนจะพูดเรื่องอื่นขอบอกกับสื่อมวลชนว่า ชื่นชมเกือบทุกสำนักที่นำเสนอเรื่องราวด้วยความเป็นกลาง แต่ฝากไปถึงสื่อสำนักหนึ่งให้รู้จักจิตสำนึกและจริยธรรมของความเป็นสื่อในการนำเสนอ เพราะมีสำนักหนึ่งที่แยกตัวมาใหม่ และตนฟ้องอยู่ที่ จ.พะเยา พยายามนำตนไปพูดในทางเสียหาย ไปเขียนเอาเอง โดยไม่ฟังเสียงประชาชนที่เดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ไปเขียนชื่นชมใครบางคน 

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ส่วนที่ถามถึงข้อเท็จจริงของกระแสข่าวนั้น ขอยืนยันว่าไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเรื่องตำแหน่งหน้าที่ และพูดมาเสมอว่าจากลูกชาวนา เด็กบ้านนอก คนจน มาถึงทุกวันนี้ และได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองถือว่าชีวิตสูงสุดแล้ว ส่วนที่เหลือถ้ามีโอกาสทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง รับใช้แผ่นดิน รับใช้ประชาชนก็จะทำให้ดีที่สุด ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาคงไม่ต้องพูดอะไรมากว่าทำอะไรเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้น การจะมาแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นในรัฐบาล ในคณะรัฐมนตรีเดียวกัน ไม่ใช่พฤติกรรมของตน หากจำได้การประชุมใหญ่พรรค พปชร.ที่ จ.ขอนแก่น ได้ยืนยันว่าจะนำพรรค พปชร.ให้เป็นสถาบันการเมืองที่มีความเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของประชาชน และจะทำต่อไป

“ข่าวลือที่ออกมาว่าผมจะทำอันนู้นอันนี้ ไม่เป็นความจริง และมีข่าวที่ได้ยินมาจาก ส.ส.ที่โทรศัพท์มาหาว่ามีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคเล็กคนหนึ่งเสนอรับเงิน 10 ล้านบาท เพื่อต่างตอบแทน และร้ายไปกว่านั้นมีรัฐมนตรีในพรรค พปชร.รับงานมาล็อบบี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรค พปชร.ในการโหวตสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง ต้องถามว่าคนเป็นรัฐมนตรีสมควรทำอย่างนั้นหรือไม่ เพราะควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ไม่ต้องใคร 4 ช.ที่ว่ากัน ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง อย่าเห็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือ คำตอบของผม” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการโยงชื่อ ร.อ.ธรรมนัส เป็นหนึ่งในขบวนการล้มนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุชัดเจนว่า 1 เสียงของ ส.ส.คือ เสียงจากประชาชน ส.ส.รู้จักคิด รู้จักทำว่าควรจะทำอะไร ไม่สามารถไปครอบงำอะไรได้ มติพรรคจะให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะผิดรัฐธรรมนูญ พรรค พปชร.ไม่มีอย่างนั้น ใครมาถามก็บอกไปว่าดูแล้วกัน และให้ตัดสินใจเอง ตนไม่ได้ถูกใช้ให้มาล็อบบี้ใคร ไม่ว่าจะให้ช่วยรัฐบาลหรือไปรับรองพรรคอื่นให้มาช่วย หรือโหวตคว่ำใครคนใดคนหนึ่ง ตนไม่ทำ และตนเข้ามาสภาก็มีทุกพรรคเข้ามาสวัสดี ถ่ายรูปด้วย นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ดึงแขนมาก็เพื่อจะคุยเรื่อง ส.ป.ก. เป็นเรื่องปกติ ไม่เคยคิดว่าคนต่างพรรคจะต้องเป็นศัตรูกัน แม้แต่ถูกกระทำก็ไม่เคยโทษใคร เขาจะด่าเราอย่างไรก็ควรนำมาปรับปรุงตัวเอง ถามว่าในคณะรัฐมนตรีใครโดนหนักเท่าตนบ้าง มีม็อบบุกไปที่บ้านของตน ใครโดนแบบนี้บ้าง เคยได้ยินบ่นหรือแหกปากสักคำหรือไม่ เพราะไม่ใช่สัตว์ประเภทที่เหยียบหางหน่อยแล้วมาแหกปาก 

เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องดังกล่าวมีขบวนหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ขบวนการมีหรือไม่มีต้องไปถามคนเต้าข่าวว่าต้องการอะไรแน่ คนเต้าข่าวไม่ใช่ฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายรัฐบาล ไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลาย ชอบเลียแข้งเลียขา สำเหนียกซะบ้าง ผมรู้หมดแล้ว บางคนบันทึกเทปไว้หมดแล้ว ระวัง เดี๋ยวเจอกัน”

เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์อยู่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ขอถามกลับไปหาไอ้ห้อยไอ้โหนว่าเคยทำเหมือนตนหรือไม่ที่นำนโยบายของนายกฯ นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและชาติบ้านเมือง มัวแต่ห้อยโหนอย่างนี้ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ตนพูดเสมอว่าไม่โกรธใคร ไม่แค้นใคร แต่จำนาน และพี่น้องร่วมอุดมการณ์เยอะ 

เมื่อถามย้ำว่า ต้องทำความเข้าใจกับนายกฯ หรือไม่ เพราะอาจจะไม่พอใจกับกระแสข่าวที่ออกมา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ผมไม่ได้คุยกับนายกฯ ผมคุยกับหัวหน้าพรรคผม และนายกฯ ก็พูดตลอดเวลาว่าจะคุยเฉพาะหัวหน้าพรรค เราเป็นลูกพรรคและเป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค กินข้าวคุยด้วยกันทุกวัน และในการประชุมพรรค พปชร.เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ถามพี่น้องทุกคนเลยว่าผมพูดอะไรเกี่ยวกับการเลื่อยขา มท.1 ได้ยินจากปากผมหรอครับ ผมพูดกับ ส.ส. 50-60 คน บอกว่า ส.ส.ในพรรคอึดอัดหลายเรื่อง และรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ตรงนี้มีผลงานไปบอก ส.ส.ให้บอกชาวบ้าน นี่คือ ผลงานของพรรค พปชร. ส.ส.ตอบได้เลยว่าไม่มี มีหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว คนที่เป็นตัวแทนของประชาชน ถ้าเป็นที่พึ่งไม่ได้ อย่าเป็น ส.ส.เลยดีกว่า แล้วถ้าไม่เคลียร์ตัวผมพร้อมที่จะกลับไปเป็น ส.ส.เหมือนเดิม ไม่ได้สนใจด้วย”

เมื่อถามว่า มีแนวคิดอยากเป็นนายกฯ หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า บอกแล้วว่าไม่เคยใส่ใจตำแหน่งหน้าที่ จะอยู่ในสถานะใด แม้แต่ตอนเป็นนายธรรมนัส เป็นประธานมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ทำอะไรเพื่อคนพะเยา คนภาคเหนือบ้าง ดังนั้น ทุกอย่างไม่จำเป็น ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจสั่งสมองให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าทุกอย่างเป็นข่าวลือ และต้องการสกัดดาวรุ่ง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “อย่ากดดันกันมาก ผมมาจากประชาชน” 

เมื่อถามว่า ที่บอกว่าเป็นคนจำนาน จะมีการแก้แค้นเกิดขึ้นหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นคนแบบนี้ จำนาน และจำดี แต่ไม่ใช่การแก้แค้น ถ้าคนเหล่านั้นไม่แก้ไขก็ถูกประชาชนลงโทษเอง และบอกได้เลยว่าถ้ายังเป็นแกนนำพรรค พปชร. ส.ส.ที่เป็นไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลายสมัยหน้าไม่ได้ลงหรอก


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/599102


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพัทลุง เปิดกิจกรรม “สื่อสร้างสรรค์เล่าเรื่องดี ๆ ที่บ้านฉัน” Street Art Phatthalung ภายใต้โครงการสร้างความเข้าใจทั้งในและนอกจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2564

ที่บริเวณหลังสถานีรถไฟพัทลุง  นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นประธานเปิดกิจกรรม “สื่อสร้างสรรค์เล่าเรื่องดี ๆ ที่บ้านฉัน” Street Art

สำหรับกิจกรรม “สื่อสร้างสรรค์เล่าเรื่องดีๆ  ที่บ้านฉัน” Street Art Phatthalung ภายใต้โครงการสร้างความเข้าใจทั้งในและนอกจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2564 เพื่อสร้างการรับรู้ ในเชิงบวกต่อสังคมไทย และผู้เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในทุกระดับ  เพิ่มช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรม การรับสื่อในปัจจุบัน และเพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลสัมฤทธิ์บรรลุวัตถุประสงค์ ตามเป้าหมายภารกิจในงานด้านการสร้างความเข้าใจ

ซึ่งสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพัทลุง ได้จัดขึ้นในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง โดยได้เปิดโอกาสให้ประชาชนและเยาวชนได้มีส่วนร่วมในการสร้างงานศิลปะในสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 7 จุด ประกอบด้วยบริเวณสถานีรถไฟพัทลุง 3 จุด ร้านสหกรณ์พัทลุง ร้านเพื่อนเกษตร ฟาร์ม ร้านแสนสวย และร้านคุณจินตนา โพธิ์ดารา (ตรงข้ามร้านเพื่อนเกษตร)  ออกแบบและวาดภาพโดยนายลิขิต นิสีทนาการ กลุ่มศิลปิน "แลศิลป์ถิ่นเมืองลุง" ได้ใช้แนวคิดที่เกี่ยวกับวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดพัทลุง

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนและประชาชน เกิดจิตสำนึกรักบ้านเกิด และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาตนเองในด้านการประกอบอาชีพ และเพื่อสร้างจุดเช็คอินแห่งใหม่ในจังหวัดพัทลุง ให้สังคมน่าอยู่อย่างยั่งยืน จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชม และถ่ายภาพ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

สหรัฐฯ ทุ่มงบสร้างอาคารหลังใหม่บนพื้นที่สถานทูตฯ สหรัฐฯ ในไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนภารกิจอาเซียน

ในเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกาได้เริ่มก่อสร้างอาคารแห่งใหม่บนพื้นที่เดิมของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย โดยอาคารดังกล่าวจะส่งเสริมการเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และไทย ทั้งทางการทูต ความมั่นคง และการพาณิชย์ ตลอดจนสานสัมพันธไมตรีระหว่างชาวสหรัฐฯ และชาวไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตามคำแถลงของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย

อาคารหลังนี้คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 โดยจะพัฒนาพื้นที่สำหรับบริการด้านกงสุลและภารกิจทางการทูตให้ทันสมัย รวมถึงสะท้อนความสำคัญของพันธมิตรอันยาวนานระหว่างสหรัฐอเมริกากับราชอาณาจักรไทย ด้วยมิตรภาพกว่า 2 ศตวรรษ สหรัฐฯ และไทยได้กระชับความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ตั้งแต่การค้าระดับทวิภาคี ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ และการสาธารณสุข 

โดยอาคารหลังใหม่จะเป็นที่ทำการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในหลากหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ และรวมการปฏิบัติงานของสหรัฐฯ เข้ามาที่ศูนย์กลาง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระดับทวิภาคีต่อไป

เนื่องจากประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านการเงิน, สื่อ, โลจิสติกส์ และการคมนาคม อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังเป็นที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง สหรัฐฯ จึงได้ใช้สถานเอกอัครราชทูตที่นี่เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานระดับภูมิภาคมาเป็นเวลานาน 

มากกว่าครึ่งของพนักงานสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยมีหน้าที่รับผิดชอบงานระดับภูมิภาค ซึ่งรวมไปถึงการบริหารจัดการความช่วยเหลือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ

การสนับสนุนการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประสานงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ตลอดจนการระดมเงินทุนภาคเอกชนเพื่อช่วยแก้ไขความท้าทายด้านการพัฒนาที่สำคัญ ๆ

อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูต ไมเคิล ฮีธ กล่าวว่า “อาคารใหม่ของสถานทูตที่ออกแบบอย่างทันสมัยแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ร่วมมือกับประเทศไทยและอาเซียนเพื่อยกระดับประเด็นสำคัญของภูมิภาค รวมทั้งการปรับปรุงด้านสาธารณสุข การจัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ”

“อาคารนี้ออกแบบให้สะท้อนถึงสถาปัตยกรรมแบบไทยเดิม และผมหวังว่าอาคารหลังใหม่นี้จะเป็นสัญลักษณ์และศูนย์กลางของมิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างยืนยาวในอนาคต”

การก่อสร้างอาคารหลังนี้ สหรัฐฯ จะใช้งบประมาณ 625 ล้านเหรียญ (20,000 ล้านบาท) ในโครงการดังกล่าว และว่าจ้างคนงานไทยประมาณ 2,000 คนตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง

การออกแบบร่วมสมัยของอาคารได้รับแรงบันดาลใจมาจากมรดกทางสถาปัตยกรรมไทย โดยคำนึงถึงสภาพอากาศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นการผสมผสานขนบไทยเข้ากับสถาปัตยกรรม การออกแบบ วิศวกรรม เทคโนโลยี และการก่อสร้างชั้นเลิศของอเมริกา 

โครงการนี้มีเป้าหมายที่จะก่อสร้างอาคารให้ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมระดับ Silver ภายใต้มาตรฐาน Leadership in Energy and Environmental Design (LEED) และมีองค์ประกอบมากมายที่ออกแบบมาเพื่อให้อาคารมีความยั่งยืนยิ่งขึ้น


ที่มา: https://th.usembassy.gov/th/u-s-embassy-begins-construction-of-new-annex-th/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ปคบ.ผนึกกำลัง อย. จับกุม FLASH SLIM ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ไซบูทรามีน)

วันที่ 1 กันยายน 2564 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) โดย พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง พ.ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา พ.ต.อ.ศรีศักดิ์ คัมภีรญาณ พ.ต.อ ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ. และ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ. พร้อมสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา) ร่วมกันแถลงข่าวผลการปฏิบัติการ กรณีจับกุมผู้กระทำความผิดลักลอบผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ผสมไซบูทรามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตรวจยึดได้ของกลางเป็นจำนวนมาก

ปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการขยายผลจับกุมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลักลอบใส่วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสามและยาแผนปัจจุบัน โดยเข้าตรวจยึดจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 15/102-3 หมู่บ้านศิริทรัพย์ ต.บางพูน อ.เมือง จ.ปทุมธานี

พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก. ปคบ.) ได้ตรวจสอบพบการโฆษณาจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM บรรยายสรรพคุณใช้ลดน้ำหนัก อ้างสูตรหมอเกาหลี เมื่อตรวจสอบฉลากของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพบว่า ฉลากแสดงเป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมด ไม่ระบุเลขสารบบอาหาร สถานที่ผลิตหรือนำเข้า ส่วนประกอบ วัน เดือน ปี ที่ผลิตหรือควรบริโภคก่อน เป็นต้น ซึ่งไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และอาจเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่นำเข้าโดยผิดกฎหมาย โดยในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าตรวจค้นสถานที่จัดเก็บและจำหน่ายสินค้า ตั้งอยู่ที่ ม.13 ต.ทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี และได้ตรวจยึดแคปซูลเปล่าน้ำหนักรวม 110 กก. ผงสำหรับใส่ในแคปซูลน้ำหนักรวม 45 กก. นำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ.เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ภายหลังการตรวจยึดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ ยังตรวจพบการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่ได้หยุดการกระทำผิดกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับผลการตรวจพิสูจน์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ที่ยึดไปในครั้งก่อน ระบุพบไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1ลอร์คาเซริน (Lorcaserin) ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ฟลูออกซิทิน (Fluoxetine) ซึ่งเป็นยาจำพวกสงบประสาท จัดเป็นยาแผนปัจจุบันประเภทยาอันตราย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ อย. ได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี และ จ.นนทบุรี รวม 2 จุด ได้ตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ น.ส. สุภามณี (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี นางโสภา (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี และนายอัศรินทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี โดยพบเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 และ พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ในข้อหา“ร่วมกันผลิตเพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1(ไซบูทรามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1(ไซบูทามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2(ลอร์คาเซรีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา”

โดยจากการสอบสวนขยายผล พบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ที่ผู้ต้องหาร่วมกันนำมาจำหน่ายมีการว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.ลาดหลุมแก้ว จ. ปทุมธานี ให้เป็นผู้บรรจุลงแคปซูล ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ อย. ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้าตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 3 จุด พบว่า ที่บริษัทดังกล่าว และบ้านอีกหลังซึ่งดัดแปลงเป็นโรงงาน มีการลักลอบผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยผิดกฎหมาย และบางผลิตภัณฑ์เมื่อมีการทดสอบด้วยชุดตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า มีส่วนผสมของไซบูทรามีน เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎมายต่อไป

พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. ยังกล่าวอีกว่า ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชน อย่าซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาสรรพคุณว่าลดความอ้วนมารับประทานเอง เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ หากมีความจำเป็นต้องรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบกระทำความผิดผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นโรงงานรับจ้างผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ ให้หยุดพฤติการณ์ดังกล่าวทันที หากตรวจพบจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด และหากพี่น้องประชาชนพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน บก.ปคบ. 1135 หรือเพจ ปคบ. เตือนภัยผู้บริโภค

ด้าน ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา) กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า อย. ได้เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มที่อวดอ้างสรรพคุณลดน้ำหนักเป็นกรณีพิเศษ โดยร่วมกับตำรวจ บก. ปคบ. สืบสวนสอบสวน หาตัวผู้กระทำผิด จนมีการจับกุมดำเนินคดีผู้ผลิต ผู้จำหน่ายที่กระทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และแจ้งข่าวเตือนประชาชนให้ทราบข้อมูลอยู่เสมอเพื่อมิให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ทานแล้วลดน้ำหนักเห็นผลไว เห็นผลจริง ปลอดภัย การันตี ไม่มีผลข้างเคียง เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างใช้ลดน้ำหนักเหล่านี้มักพบว่า มีส่วนผสมของไซบูทรามีนหรือยาแผนปัจจุบัน ผลที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย เพราะนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเสียสุขภาพจากผลข้างเคียงของยา และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ใด ขอให้ตรวจสอบข้อมูลการได้รับอนุญาตผลิตภัณฑ์โดยละเอียดที่หน้าเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ หรือ Oryor Smart Application และหากพบผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าจะผิดกฎหมาย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรืออีเมล [email protected]


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม / รายงาน

‘พิพิธภัณฑ์หัวโขน สวนนงนุชพัทยา’ แห่งแรกของโลก! ที่รวบรวมหัวโขนไว้มากที่สุด 506 เศียร

ตามปณิธานของ คุณนงนุช ตันสัจจา ที่ได้ตั้งใจไว้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการสืบทอดงานศิลปกรรมไทย เพื่อเป็นมรดกของแผ่นดินไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษา ต่อมาคุณกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา จึงได้ทำการรวบรวมงานศิลปกรรมไทยไว้ที่สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี อีกหนึ่งแขนงคือหัวโขน โดยจัดสร้างพิพิธภัณฑ์หัวโขนขึ้น ซึ่งภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วย ห้องโถงจัดแสดง เป็นที่ตั้งของตู้หัวโขน จำนวน 121 ตู้ ห้องสาธิตงานผลิตหัวโขน, ห้องเขียนลาย และตกแต่งหัวโขน, โดยเริ่มดำเนินการสร้างมาตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 จนถึงปัจจุบัน

สวนนงนุชพัทยา สร้างพิพิธภัณฑ์หัวโขนขึ้น เพื่อแสดงงานศิลปกรรมไทยชั้นสูง ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของโลก ที่มีการรวบรวมหัวโขนไว้มากที่สุด จำนวน 506 เศียร โดยได้แบ่ง ออกเป็น 3 ชุด ดังนี้

1.หัวโขนชุดอนุรักษ์แบบโบราณ   จำนวน 24  เศียร 

2.หัวโขนบรมครู ฤษี  จำนวน 108 พระองค์

3. หัวโขนรามเกียรติ์   จำนวน 374  เศียร

ซึ่งหัวโขนทั้งหมด จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เพื่อรอให้นักเรียน,นักศึกษา,นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจ ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและได้รับอนุญาตให้เปิดบริการตามปกติ 

ทั้งนี้ เมื่อโครงการจัดทำหัวโขนแล้วเสร็จ โครงการต่อไปทางสวนนงนุชพัทยา จะทำหุ่นกระบอกไทย ตามเรื่องในพระราชนิพนธ์,วรรณคดีไทย และนิทานพื้นบ้าน สำหรับในงานหุ่นกระบอกนี้ จะใช้ทักษะของงานหัวโขน แต่มีขนาดเล็กและส่วนประกอบที่สำคัญคือ งานปักสะดึงกลึงไหม ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายของหุ่น มาเป็นจุดขาย


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

‘ตม.สุราษฎร์ธานี’ บุกรวบ! รัสเซียค้ายาเสพติดคาเกาะสมุย พบยาเสพติดหลายรายการ

2 กันยายน 2564  เวลา 10.00 น. พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศลผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี  ได้แถลงผลจับกุมยาเสพติด พร้อมของกลางหลายรายการ โดย ตม.จว. สุราษฎร์ธานี  นำโดย ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี  พร้อมด้วย พ.ต.ท.พิงคะรัตน์ ซ้ายขวัญ รอง ผกก.ตม.จว.สุราษฏร์ธานี  ร.ต.อ.อรุณ มูสิกิ้ม รอง สว.ตม.จว.สุราษฏร์ธานี  ร.ต.ต.กรีฑา ชูสังข์ รอง สว.ตม.จว.สุราษฏร์ธานี และชุดสืบสวน ได้สนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อผุด ภ.จว.สุราษฏร์ธานี ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 ก.ย.64 ที่ผ่านมา สามารถร่วมกันจับกุม Mr.konstantin  savosin อายุ 47 ปี สัญชาติ รัสเซีย  ที่อยู่ บ้านเลขที่ 42/121 หมู่บ้านท็อปปิคอน วินล่าอีเกิลเน็ต ม.6 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยของกลางหลายรายการ  ดังนี้

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซี) น้ำหนัก 3.29 กรัม

2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนัก 12.37 กรัม

3. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) น้ำหนัก 21.77 กรัม

4. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) น้ำหนัก 119.68 กรัม

5. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน น้ำหนัก 52 กรัม

6. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (เคตามีน) น้ำหนัก 11.31 กรัม

7. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2  (เคตามีน) น้ำหนัก 8.60 กรัม

8. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2(เคตามีน) น้ำหนัก 4.80 กรัม

9. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(แมตแอมเฟตามีน) น้ำหนัก 4.24 กรัม

10. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(แมตแอมเฟตามีน) น้ำหนัก 10.68 กรัม

11. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(MD) น้ำหนัก 48.73 กรัม

12. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(MD) น้ำหนัก 18.89 กรัม

13. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(MD) ลักษณะเม็ดสีเทา จำนวน 4 เม็ด

14. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(MD) ลักษณะเม็ดสีเขียว จำนวน 5 เม็ด

15. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(MD) ลักษณะเม็ดสีฟ้า จำนวน 7 เม็ด

16. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาอี,เอ็กตาซี) ลักษณะเม็ดสีแดง จำนวน 5 เม็ด

17. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาอี,เอ็กตาซี) ลักษณะเม็ดสีเทารูปหัวกระโหลก จำนวน 45 เม็ด

18. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2(โคเคน) ลักษณะเม็ดสีขาว จำนวน 10 เม็ด

19. เครื่องชั่งดิจิตอล  จำนวน 1 เครื่อง

20. ถุงพลาสติกแบบซิปใส (ถุงแบ่ง) สำหรับบรรจุยาเสพติด จำนวน 50 ถุง

21.แผ่นซีดี วิดีโอ ประกอบการจับกุม

โดยจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 42/121 หมู่บ้านท็อปปิคอน วินล่าอีเกิลเน็ต ม.6 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และกล่าวหาว่า  “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1,2 (เมทแอมเฟตามีน,โคเคน,เคตามีน,เอ็กตาซี,MD) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” และนำตัวผู้ต้องหานำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าการจับกุมดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายและมาตรการในการป้องกันปราบปรามของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.และ พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม และเข้มงวดกวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามากระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง  ซึ่ง สตม. มีหน้าที่ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร  หากประชาชนพบเห็น หรือต้องการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดในพื้นที่ จว.สุราษฎร์ธานีให้แจ้งได้ที่ สายด่วน สตม. 1178 หรือที่ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ทุกจุดทันที

ทภ.2 จับพิรุธ 7 ข้อ พร้อมแจ้งความ 'ส.ส.ณัฐชา' ใช้เอกสารปลอมแปลงซักฟอกรัฐบาล แจงภาพทหารรับเบี้ยเลี้ยงของเก่า ก่อนโควิดระบาด เพราะไม่ใส่แมสก์

1 ก.ย. 64 พล.ต.สวราชย์ แสงผล โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณี ผู้อภิปราย นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยนำเสนอข้อมูลเรื่องปฏิบัติการไอโอ โดยกล่าวอ้างว่าใช้เอกสารของกองทัพภาคที่ 2 เป็นหลักฐานประกอบการอภิปราย กองทัพภาคที่ 2 ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องดังนี้

1.) กรณีนำเอกสารมาประกอบการอภิปรายจากการตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นพบว่าไม่ใช่เอกสารจริงโดยพบจุดพิรุธดังนี้

(1) หนังสือที่นำมาแสดงเป็นหนังสือที่ทำขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2564 ลายมือชื่อของแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านปัจจุบันในหนังสือทั้ง 2 ฉบับไม่ตรงกับลายมือจริง

(2) นามสกุลของแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านปัจจุบันในหนังสือฉบับหนึ่งพิมพ์ไม่ถูกต้อง

(3) ลายมือชื่อของรองแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ตรงกับลายมือชื่อจริง

(4) มีรายมือชื่อของผู้อำนวยการกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ที่ลงนามในหนังสือฉบับนั้นซึ่งปัจจุบันท่านดังกล่าวได้ปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่แล้วเป็นเวลากว่า 2 ปีเศษตั้งแต่ตุลาคม 2561 และนามสกุลสะกดไม่ถูกต้อง

(5) กำลังพลที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าไม่เคยมีการจัดทำหนังสือดังกล่าวโดยเมื่อตรวจสอบการออกเลขที่หนังสือแล้วเป็นของกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเลขหนังสือที่ออกจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 มีเลขหนังสือถึงแค่ลำดับที่ 851 ยังไม่ถึงลำดับที่ 1121 ตามเอกสารที่ผู้อภิปรายนำมาแสดงแต่อย่างใด

(6) ตามเลขที่คำสั่งที่ปรากฏ (เลขที่ 1107/2564) หน่วยมิได้เคยออกคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์แต่อย่างใดอีกทั้งรายชื่อคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการสารสนเทศกองทัพภาคที่ 2 (ศปสท.ทภ.2) ชั้นยศไม่ตรงกับความเป็นจริงเช่นระดับผู้อำนวยการกอง ซึ่งต้องมีชั้นยศพันเอกแต่ในเอกสารมีชั้นยศเป็นพันโทในส่วนของแม่ทัพน้อยที่ 2 ต้องมีชั้นยศพลโทไม่ใช่พลตรี

(7) การพิมพ์หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณปกติจะมีการตรวจสอบความถูกต้องความเป็นระเบียบรวมถึงการสะกดคําให้ถูกต้องตามหลักแต่หนังสือฉบับดังกล่าวมีคำผิดแม้กระทั่งชื่อนามสกุลของผู้ที่ต้องลงนาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

กองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวข้างต้นถือเป็นเอกสารอันเป็นเท็จที่ได้มีการปลอมแปลงทางรูปแบบให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ รวมทั้งการลงลายมือชื่อไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง หน่วยจึงได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมาเป็นหลักฐานแล้ว

และ 2.) กรณีมีการอภิปรายว่ามีการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงกำลังพลพร้อมทั้งมีคลิปเสียงและรูปภาพประกอบกองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่าหน่วยไม่เคยได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดรวมทั้งไม่ทราบที่มาของคลิปเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปภาพการยืนต่อแถวรับเบี้ยเลี้ยงตามที่กล่าวอ้างนั้นเป็นภาพเก่าของการจ่ายเบี้ยเลี้ยงตามปกติของหน่วยก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 สังเกตได้จากกำลังพลไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยตามมาตรการที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนด

จึงเรียนมาเพื่อทราบในข้อเท็จจริงเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อการดำเนินการของหน่วย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

“ประวิตร” ประชุม คกก. เห็นชอบ แนวทางขับเคลื่อนฯ  มุ่งสู่เป้าหมาย "อยู่รอด พอเพียง ยั่งยืน"  เน้นสร้างการรับรู้/มีส่วนร่วม ปชช.น้อมนำ "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"  เร่งแก้ปัญหาความยากจนทุกกลุ่ม 

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์  ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตร เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการขจัดความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (คจพ.) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference  โดยมี  รมว.มท.,รมว.พม. เข้าร่วมการประชุม 

ที่ประชุมได้รับทราบ การจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในระดับจังหวัด และระดับต่างๆ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบ จาก คจพ. เมื่อ 19 มี.ค.64 และดำเนินการจัดตั้งแล้ว ได้แก่ ศูนย์ฯจังหวัด 76 ศูนย์ ,ศูนย์ฯ กทม.1 ศูนย์ และทีมปฏิบัติการระดับตำบล 7,097ทีม ,ทีมระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 166 ทีม เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ต่อไป  หลังจากนั้น คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาเห็นชอบ แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิบัติการขจัดความยากจน และการพัฒนาคนทุกช่วงวัย บนพื้นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ในระดับพื้นที่ ให้ครอบคลุมกลุ่มคนเป้าหมาย ของระบบ TPMAP และกลุ่มคนเปราะบางทุกกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือคนยากจนอย่างทั่วถึง จริงจัง บนหลักการวงจรการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ Plan :แนวทางการขับเคลื่อนการแก้ไขความยากจนฯ, Do :ลงมือดำเนินการ ,Check :ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และ Act :ปรับปรุงการดำเนินการ วิเคราะห์และประมวลข้อมูลจากการติดตาม ตรวจสอบ 

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กระทรวงมหาดไทย , กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้น้อมนำ"หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อใช้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน โดยเร่งรัดสำรวจเพิ่มเติม และปรับปรุงข้อมูลบุคคล/ครัวเรือน ปี64 ในระบบ TPMAP และระบบแฟ้มบ้านพัฒนาคนไทย (Logbook) ให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.64 เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ เชิงประจักษ์ และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนา คือ"อยู่รอด พอเพียง และยั่งยืน" พร้อมทั้งเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์ และสร้างการมีส่วนร่วม ของประชาชน อย่างทั่วถึงด้วย

DSI จับผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับในคดีพิเศษเกี่ยวกับการบุกรุกป่าเขาดวงนก เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี

กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้ดำเนินการแกะรอย ติดตาม และจับกุมตัวนายสุเทพ วังส์ด่าน ผู้ต้องหาในคดีพิเศษ ที่ 2/2564 ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1093/2564 ในความผิดฐาน “ยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น” ได้ที่ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี นำส่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดี

กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2548 ต่อเนื่องถึง ปี พ.ศ. 2550 นายสุเทพ ผู้ต้องหากับพวก ได้เข้าทำการยึดถือครอบครองพื้นที่เกิดเหตุ บริเวณเขาดวงนก หมู่ที่ 4 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่เขาและมีสภาพเป็นป่าสมบูรณ์มาโดยตลอด เนื้อที่ประมาณ 96 ไร่ และแผ้วถางและทำลายสภาพป่าในพื้นที่ มีการนำรถแบคโฮและคนงานเข้าไปปรับสภาพพื้นที่ ทำถนนรอบแปลงที่ดิน และมีการใช้หลักฐานการแจ้งการครอบครอง (สค.1) ของที่ดินแปลงอื่น จำนวน 4 ฉบับ เนื้อที่รวม 26–3–20 ไร่ มาแสดงเป็นหลักฐานของที่ดินที่กระทำความผิด และยังได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ใช้ ส.ค.1 ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวเป็นหลักฐานในการออกโฉนดที่ดิน เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 26493 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 96–3–84 ไร่ โดยมิชอบ และยังได้ร่วมกับพวก จดทะเบียนตั้งบริษัทฯ เพื่อมาถือครองที่ดินดังกล่าวในนามนิติบุคคล ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนความผิดของเจ้าหน้าที่ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ในการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ และได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการฟ้องเจ้าหน้าที่


ที่กระทำความผิดแล้ว ส่วนความผิดที่เกี่ยวกับการยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น ได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ โดยรับเป็นคดีพิเศษที่ 2/2564 และศาลอาญาได้ออกหมายจับนายสุเทพฯ ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1093/2564 ในความผิดฐาน “ยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น” และจับกุมตัวได้ ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวไปฝากขังต่อศาลอาญาแล้ว โดยในส่วนของเอกสารสิทธิที่ดินที่ออกโดยมิชอบนั้น กรมที่ดินได้ดำเนินการตรวจสอบและได้มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 26493 ตำบลบ่อผุดฯ ดังกล่าวแล้ว ตามคำสั่งกรมที่ดินที่ 1264/2550 ลงวันที่ 5 เมษายน 2550

การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เป็นไปตามภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และนโยบายของผู้บริหาร
ที่เน้นการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของรัฐ โดยมุ่งมั่นในการทุ่มเทสรรพกำลัง
เพื่อรักษาความมั่นคงของทรัพยากรธรรมชาติ และให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ เพื่อทวงคืนผืนป่าซึ่งเป็นของแผ่นดิน ที่มีการนำไปยึดถือครอบครองเป็นของส่วนตัว กลับมาเป็นสมบัติของประเทศชาติ ตลอดจนเพื่อปกป้องดูแลทรัพยากรป่าไม้และที่ดินอันเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติ เพื่อคนรุ่นหลังต่อไป

ก.แรงงาน ดึง ก.ล.ต. ฝึกแรงงานเพิ่มทักษะบริหารเงิน ต่อยอดการลงทุน

กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ลงนามออนไลน์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  เสริมความรู้การเงินการลงทุนให้แก่แรงงานทั่วประเทศ  

ศาสตราจารย์ นฤมล  ภิญโญสินวัฒน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยการส่งเสริมความรู้เรื่องการเงินการลงทุนสำหรับแรงงาน ระหว่าง นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กับ นางสาวรื่นวดี  สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมี นางสาวจิราภรณ์  ปุญญฤทธิ์  รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนางสิริวิภา  สุพรรณธเนศ  รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นพยานในการลงนาม ผ่านระบบประชุมทางไกลเพื่อการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีความรู้ ทักษะการบริหารจัดการด้านการเงินและต่อยอดสู่การลงทุนได้อย่างเหมาะสม

ศาสตราจารย์ นฤมล  ภิญโญสินวัฒน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอกประวิตร์ วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญ และเน้นย้ำการทำงานในรูปแบบประชารัฐ บูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่มในการบริหารจัดการการเงินซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะชีวิตที่จำเป็น และต่อยอดสู่การลงทุนได้อย่างเหมาะสมมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงเป็นการดำเนินงานตามแนวนโยบายของนายกฯ ที่มุ่งเน้นพัฒนาแรงงานด้านการจัดการลงทุนอย่างตรงจุด 

นายธวัช เบญจาทิกุล  อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กล่าวว่า ปี 2564 กพร.ร่วมกับ ก.ล.ต. จัด CSR สร้างโอกาสคนพิการในรูปแบบการเสวนา เพื่อขับเคลื่อนให้คนพิการมีทักษะ ประสบการณ์ สามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ และร่วมจัดสัมมนา “ให้กลไกตลาดทุนเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ” เพื่อสนับสนุนให้เพิ่มการจ้างงานคนพิการ เพิ่มการจัดสัมปทาน และเพิ่มกิจกรรมทางสังคม โดยในปี 2564 – 2569 กพร.จะร่วมพัฒนาหลักสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเงินการลงทุนเพื่อเพิ่มทักษะและองค์ความรู้เสริมสร้างศักยภาพด้านการบริหารจัดการการเงินและการลงทุนอย่างถูกวิธี และจัดเตรียมกลุ่มผู้รับการฝึกอบรม อาทิ คุณสมบัติการส่งเสริมทักษะการเงินการลงทุนให้แก่ผู้รับการฝึกฯ โดยออกแบบชุดความรู้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน จัดฝึกอบรม และติดตามประเมินผลผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ มอบหมายหน่วยงานในสังกัด กพร. ได้แก่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) จัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานอย่างครอบคลุมทั่วประเทศในปี 2565 ต่อไป

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสในความร่วมมือครั้งนี้ เนื่องจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับกลุ่มแรงงานทั่วประเทศ สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะเริ่มให้ความรู้เกี่ยวกับการเงินการลงทุนเป็นกลุ่มแรก ๆ คือ แรงงานที่เข้ารับการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยเน้นไปที่แรงงานกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้พิการ เพื่อให้มีความรู้ด้านนี้ด้วย โดย ก.ล.ต. จะสนับสนุนเนื้อหาและสื่อความรู้ที่ใช้ในการฝึกอบรม รวมถึงวิทยากรที่จะให้ความรู้ ทั้งความรู้เชิงทฤษฎีและการอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อสร้างทักษะผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ก.ล.ต. จะนำรูปแบบการให้ความรู้ผ่าน trainer หรือ train the trainer ซึ่งประสบผลสำเร็จด้วยดีจากหลายโครงการที่ผ่านมา มาประยุกต์ใช้ โดย trainer เป็นผู้ที่ใกล้ชิดและมีความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี จึงสามารถสื่อสารและส่งต่อความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะช่วยขยายผลการส่งต่อความรู้ไปในวงกว้างและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ดียิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top