Thursday, 12 June 2025
NewsFeed

คลังเร่งจ่ายเงินยังชีพผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการ ตกเบิก 

นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลาง ได้เริ่มจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิ ตามอัตราการจ่ายเดิม (ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับความช่วยเหลือ 100 บาทต่อเดือน และผู้สูงอายุที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จะได้รับความช่วยเหลือ 50 บาทต่อเดือน) ให้เป็นไปตามมติของ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 เห็นชอบการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจากกองทุนผู้สูงอายุ

 

ทั้งนี้ได้กำหนดจะจ่ายย้อนหลัง คือ ปีงบบประมาณ พ.ศ. 2563 จ่าย 4 เดือน (มิถุนายน - กันยายน 2563) และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ่าย 6 เดือน แบบเดือนเว้นเดือน (ตุลาคม และธันวาคม 2563 กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายนและสิงหาคม 2564) 

 

สำหรับเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ จะต้องเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป ก่อนเดือนที่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์ฯ โดยกรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิในวันที่ 3 ก.ย.64 ซึ่งวงเงินนี้ สามารถใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านเครื่อง รับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือแอปพลิเคชั่น ถุงเงินประชารัฐ ที่ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รวมทั้งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ที่ตู้ ATM ของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย หรือสาขาของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย

ราเมศ ยัน รบ. ทำตามนโยบายที่แถลงต่อสภา สวน เพื่อไทย ประกันรายได้ ปชป. ไม่มีทุจริต เหมือนจำนำข้าว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า

ข้อมูลของ ส.ส.เพื่อไทย ที่อภิปราย เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง ไม่มีความรู้จริงในเรื่องที่อภิปราย รัฐบาลโดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาอย่างครบถ้วนคือความรับผิดชอบสำคัญในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและรายได้ให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อยและข้าวโพด 

การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่เหมาะสมการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิต เล็งเห็นความสำคัญของเมล็ดพันธุ์พืชพื้นที่เพาะปลูกปุ๋ยและอุปกรณ์ทางการเกษตรรวมถึงแหล่งน้ำ การพัฒนาองค์กรเกษตรและเกษตรกรรุ่นใหม่ก็ดำเนินการอย่างครบถ้วน ดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน มีแผนแม่บทชัดเจนในเรื่องการทำเกษตรปลอดภัย เกษตรชีวภาพ เกษตรแปรรูป

เกษตรอัจฉริยะ ระบบนิเวศการเกษตร คือการสนับสนุนให้เกษตรกรบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่

การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำและฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพดินการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำและการควบคุมป้องกันปัญหาโรคระบาด ทุกอย่างเป็นนโยบายที่ประสบผลสำเร็จแทบทั้งสิ้น

และกรณีประกันรายได้ชัดเจนว่าเป็นนโยบายที่มุ่งแก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรให้มีหลักประกันในเรื่องราคาพืชผลสินค้าทางการเกษตร เพื่อให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีที่สุดโดยกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่พี่น้องเกษตรกรจะได้รับเป็นเพดาน ช่วยให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ 2 ทาง ถ้าราคาต่ำกว่ารายได้ที่ประกันจะมีเงินส่วนต่างโอนเข้าบัญชีพี่น้องเกษตรกรโดยตรงช่วยให้พี่น้องมีหลักประกัน ยามที่พืชเกษตรราคาตกให้พอยังชีพได้โดยมีเงินส่วนต่างเข้ามาเป็นตัวช่วย ไม่มีเงินรั่วไหล ไม่มีเรื่องทุจริต เช่นโครงการรับจำนำข้าว 

พรรคประชาธิปัตย์ได้หาเสียงไว้เรื่องประกันรายได้แล้วเราทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ผลักดันจนสำเร็จ มีพี่น้องเกษตรกรได้รับประโยชน์แล้วกว่า 7.67 ล้านครัวเรือนได้รับประโยชน์ ฝ่ายค้านควรใช้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา แต่เข้าใจได้ว่าเมื่อมีผลงานที่มีผลสำเร็จ ก็ต้องโจมตีและทำลายเป็นเรื่องธรรมดา

อิสราเอลเจอเดลตาแผลงฤทธิ์ ยอดติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งสูง ทั้งที่ฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่แล้ว 80%

อิสราเอลเมื่อวันอังคาร (31 ส.ค.) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่รายวันเกือบ 11,000 คน สูงสุดนับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางระลอกการแพร่ระบาดที่มีต้นตอจากตัวกลายพันธุ์เดลตา หนึ่งวันหลังจากยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วประเทศทะลุ 7,000 ราย

สถิติพบผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม คราวนั้นพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 10,118 คน

แม้เคสผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันในวันอังคาร (31 ส.ค.) จะสูงถึง 10,947 ราย แต่อิสราเอลยังคงเดินหน้าแผนกลับมาเปิดระบบการศึกษาเต็มรูปแบบในวันพุธ (1 ก.ย.) ขณะเดียวกัน ก็พยายามยกระดับอัตราการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน

นายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเนตต์ ยืนกรานว่าสามารถควบคุมระลอกการแพร่ระบาดได้ผ่านการฉีดวัคซีนและมาตรการป้องกันต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงสวมหน้ากาก หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลของเขาสนับสนุนให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทค เข็มที่ 3

จากประชากรทั้งหมด 9.3 ล้านคนของอิสราเอล จนถึงตอนนี้มีผู้เข้ารับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว คิดเป็นราว ๆ 60% แต่หากนับเฉพาะประชากรวัยผู้ใหญ่ จะมีอัตราส่วนผู้ฉีดวัคซีนสูงถึง 80%

ในเดือนธันวาคมปีก่อน อิสราเอลเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ของโลกที่เริ่มโครงการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ช่วยฉุดให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลงอย่างมาก และเปิดทางให้พวกเขายกเลิกข้อจำกัดสกัดโรคระบาดใหญ่เกือบทั้งหมดในเดือนมิถุนายน

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้น อิสราเอลได้กลับมาบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ หลายมาตรการอีกรอบ ในนั้นรวมถึงบังคับสวมหน้ากากยามอยู่ในร่ม จำกัดการรวมตัวทางสังคม และจำเป็นต้องแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนหากต้องการเข้าไปในสถานที่สาธารณะบางแห่ง

เบนเนตต์ ระบุว่า โครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นกำลังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการสกัดไม่ให้มีผู้ติดเชื้ออาการหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น

กระนั้นก็ตามหนึ่งวันก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขเผยแพร่รายงานระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิด-19 ในอิสราเอล พุ่งเกิน 7,000 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลักหมายอันน่าเศร้าท่ามกลางการแพร่ระบาดระลอกแล้วระลอกเล่าของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

จากข้อมูลจนถึงวันจันทร์ (30 ส.ค.) ระบุว่ามีชาวอิสราเอลเสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 7,043 รายนับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น โดยอิสราเอลพบผู้เสียชีวิตรายแรกของประเทศในเดือนมีนาคม 2020 และจากนั้นหนึ่งปีต่อมา ยอดผู้เสียชีวิตสะสมแตะระดับ 6,000 คน

อิสราเอลเคยมีหลายสัปดาห์ที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เลยในช่วงเดือนพฤษภาคม หลังวัคซีนช่วยยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อ แต่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้เสียชีวิตกลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้ง มีคนเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 550 รายในเดือนสิงหาคม ในนั้น 100 คนเกิดขึ้นในช่วง 5 วันหลังสุด

รวมแล้วค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ราว ๆ 18 คนต่อวัน สวนทางกับตลอดทั้งเดือนมิถุนายน ซึ่งพบผู้เสียชีวิตแค่เพียง 7 รายเท่านั้น


(ที่มา : เอเอฟพี/ไทม์สออฟอิสราเอล)
https://mgronline.com/around/detail/9640000086336


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงศึกษาธิการ โอนเงินเยียวยานักเรียน 2,000 บาท เริ่ม 1-7 ก.ย. เช็กช่องทางตรวจสอบสิทธิ ผ่านระบบออนไลน์ ได้ที่ https://student.edudev.in.th

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีมาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนักเรียนและนักศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ดำเนินการ โดยมีความคืบหน้าดังนี้

กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้เริ่มการเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการ “อว.ลดค่าเทอม” แล้วตั้งแต่ 26 ส.ค. 64 สำหรับมหาวิทยาลัยและสถาบันที่ได้จัดส่งข้อมูลผ่านการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง ขณะนี้มีจำนวน 29 แห่ง รวมเป็นเงิน 2,250 ล้านบาท ซึ่งมหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาจะนำไปใช้ลดค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาภาคเรียนที่ 1/2564 ในสัดส่วนเงินสนับสนุนจากรัฐบาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ซึ่งทางกระทรวงฯ ได้เร่งติดตามและตรวจสอบระบบการเบิกจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด เงินทุกบาทที่รัฐบาลสนับสนุน ต้องถึงมือนิสิตนักศึกษา คืนให้กับคนที่ได้ชำระค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาไปแล้ว หรือใช้ลดค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาสำหรับผู้ที่กำลังจะชำระเงิน โดยมหาวิทยาลัยไม่เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด 

ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งให้เร่งตรวจสอบและยืนยันข้อมูลนักศึกษาส่งมาที่กระทรวงโดยเร็ว เพื่อดำเนินการอนุมัติเบิกจ่ายแก่สถาบันที่เหลือ อีกประมาณ 100 กว่าแห่ง ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาต่อไป

ส่วนการจ่ายเงินเยียวยาผู้ปกครองและนักเรียน จำนวน 2,000 บาท กระทรวงศึกษาธิการ ได้รับงบประมาณ จำนวน 1.95 หมื่นล้านบาท สำหรับเด็กนักเรียน 9.79 ล้านคน เมื่อ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา และทำการจัดสรรไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแลแล้ว ได้แก่

 - สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รับเงินเยียวยานักเรียน คนละ 2,000 บาท ทั้งการรับเงินโอนเข้าบัญชี หรือรับเงินสดที่โรงเรียน

- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) รับเงินเยียวยานักเรียน คนละ 2,000 บาท ทั้งการรับเงินโอนเข้าบัญชี หรือรับเงินสดที่โรงเรียน

- สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รับเงินเยียวยานักเรียน คนละ 2,000 บาท ทั้งการรับเงินโอนเข้าบัญชี หรือรับเงินสดที่สถานศึกษา

- สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) รับเงินเยียวยานักเรียน คนละ 2,000 บาท โดยรับเงินสดที่สถานศึกษา 

ทั้งนี้ ผู้ปกครองที่ไม่ได้รับเงินภายในเวลาดังกล่าว ขอให้ติดต่อโรงเรียนที่บุตรหลานศึกษาอยู่ หรือโทร หมายเลข 1579 / 1693

“นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทั้งสองกระทรวง ติดตามตรวจสอบระบบการจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด ทุกขั้นตอน ไม่ให้มีการทุจริต ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และต้องถึงมือผู้ปกครองนักเรียน และนักศึกษาอย่างครบถ้วน ” น.ส.รัชดา กล่าว

สำหรับ ช่องทางเช็กสิทธิรับเงินเยียวยา 2,000 บาท สามารถเข้าตรวจสอบสิทธิ ได้ที่ https://student.edudev.in.th โดยระบบจะให้กรอกเลขประจำตัวประชาชนของนักเรียน เลขประจำตัวนักเรียน เพื่อทำการตรวจสอบข้อมูล
 

'นพ.มนูญ' โพสต์ข้อความ ชี้ ผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19 มีโอกาสผมร่วงวันละ 300 เส้น นาน 6 เดือน

วันนี้ (1 ก.ย. 64)  นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับผู้ป่วยโควิด ทำให้ผมร่วงได้ โดยระบุว่า 

ผู้ป่วยโรคโควิด-19 หลาย ๆ คนมีปัญหาผมร่วงหลังจากที่หายป่วยไปแล้ว 2-3 เดือน ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากไวรัสโดยตรง แต่เป็นผลพวงจากการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกายจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้สูง ความเครียด ความวิดกกังวล ที่เป็นอาการที่พบได้จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19

โดยปกติแล้วเส้นผมคนเราจะร่วงวันละประมาณ 100 เส้น หลังจากหายป่วยจากโรคโควิด 2-3 เดือน ผมอาจร่วงได้ถึงวันละ 300 เส้น ตลอดระยะเวลา 6 เดือนเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ผมที่ร่วงไปก็จะค่อย ๆ งอกกลับมาใหม่อีกครั้ง และกลับมามีผมเหมือนก่อนป่วยในเวลา 6-9 เดือน

ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 65 ปี ป่วยเป็นโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 มีไข้สูง ไอ เหนื่อย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขณะนี้หายดีเป็นปกติ ไม่ไอ ไม่เหนื่อย ผมเริ่มร่วงหลังจากหายป่วย 2 เดือนครึ่ง เวลาหวีผม ผมหลุดออกมาเป็นกระจุกหลายร้อยเส้นต่อวัน ผมร่วงต่อเนื่อง 2 เดือนผมบางลงมากทั้งศีรษะ ลูกสาวที่ป่วยพร้อมกัน ผมก็ร่วงเหมือนกันแต่น้อยกว่า

แนะนำผู้ป่วยไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องวิตกกังวล อีกประมาณ 4 เดือนผมก็จะหยุดร่วงและจะงอกขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

องค์การอนามัยโลกกำลังจับตา Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า 'มิว' ซึ่งเสี่ยงที่จะดื้อวัคซีน

จดหมายข่าวรายสัปดาห์เกี่ยวกับการระบาดของ Covid-19 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลกกำลังเฝ้าจับตาเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า ‘มิว (Mu)’ หรือสายพันธุ์ B.1.621 ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบียเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

องค์การอนามัยโลกระบุว่า สายพันธุ์มิวซึ่งถูกจัดให้อยู่ในสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง (variant of interest) มีการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงที่จะดื้อต่อวัคซีน และย้ำว่ายังต้องศึกษาสายพันธุ์นี้เพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจ

‘สายพันธุ์มิวมีกลุ่มของการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มที่จะมีคุณสมบัติในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน’ จดหมายข่าวระบุ

ขณะนี้มีความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ ๆ เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยมีสายพันธุ์เดลตาซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายเป็นสายพันธุ์หลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน และในภูมิภาคที่มีการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด

ไวรัสทุกชนิด รวมทั้งเชื้อโคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรค Covid-19 กลายพันธุ์ตลอดเวลา และการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่มีผลกระทบเล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับคุณสมบัติของไวรัส

ทว่า การกลายพันธุ์บางอย่างส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติของไวรัสและมีอิทธิพลกับความยากง่ายของการแพร่กระจาย ความรุนแรงของโรค และการดื้อต่อวัคซีน ยา หรือมาตรการรับมืออื่น

ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกระบุให้ 4 สายพันธุ์ รวมทั้งอัลฟาซึ่งพบใน 193 ประเทศ และเดลตาซึ่งพบใน 170 ประเทศเป็นสายพันธุ์ที่น่ากัวล (variant of concern) และอีก 5 สายพันธุ์ รวมทั้งมิวเป็นสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง

ทั้งนี้ หลังจากพบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบีย มีการพบสายพันธุ์มิวแพร่ระบาดในอเมริกาใต้และยุโรป โดยมีอัตราความชุกของโรคทั่วโลกลดลงต่ำกว่า 0.1% ในจำนวนเคสที่ทำการตรวจสอบพันธุกรรม อย่างไรก็ดีในโคลอมเบียมีความชุกอยู่ที่ 39%


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ททท.มุมไบ-นิวเดลี ชี้ นักท่องเที่ยวอินเดียยังต้องการเที่ยวไทย หากมาตรการผ่อนคลาย ปลายปี 64 เตรียมดึงกลุ่มศักยภาพ สร้างรายได้ท่องเที่ยวเฉียดแสนล้านบาท

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานมุมไบ และนิวเดลี ประเทศอินเดีย ฉายภาพรวมโควิด-19 ในอินเดียดีขึ้น ผู้ติดเชื้อลดลง กระจายวัคซีนแล้วกว่า 600 ล้านโดส จากสถิติปี 62 ตลาดอินเดียน่าสนใจ มีอัตราเติบโตรวดเร็ว ย้ำจากผลสำรวจพบนักท่องเที่ยวอินเดียยังคงสนใจเดินทางท่องเที่ยวไทย หากเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว ไตรมาส 4 เตรียมเจาะกลุ่มศักยภาพ Golf, Wedding และ Millennials ประสานเที่ยวบินพาณิชย์ หรือจัด Charter Flight จากเมืองหลักเข้าไทยไม่น้อยกว่า 4,200 คน สร้างรายได้กว่าแสนล้านบาท

นางสาวชลดา สิทธิวรรณ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานมุมไบ และนายวชิรชัย สิริสัมพันธ์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนิวเดลี ร่วมกันเปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในอินเดียมีแนวโน้มดีขึ้น เริ่มผ่อนคลายมาตรการจากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและมีอัตราผู้รักษาหายสูงขึ้น โดยเฉพาะเมืองนิวเดลีและมุมไบ เนื่องจากมีความพร้อมกระจายผลิตวัคซีน เวชภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอินเดียใช้วัคซีนหลัก 2 ชนิด ได้แก่ Covishield และ Covaxin เริ่มต้นฉีดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม 2564 ในประชาชนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เฉลี่ยฉีดได้วันละ 5 ล้านโดส ปัจจุบันมีอัตรากระจายวัคซีนแล้วกว่า 600 ล้านโดส และประชากรได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ร้อยละ 10.3 ของจำนวนประชากร ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียคาดว่าจะสามารถกระจายวัคซีนครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุในเมืองใหญ่อย่างเมืองนิวเดลลีและมุมไบ ครบ 100% ภายในเดือนตุลาคม 2564

ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวอินเดีย เนื่องจากเป็นจุดหมายระยะใกล้และได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) จากสถิติปี 2562 พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางท่องเที่ยวไทย 1,961,069 คน เติบโตร้อยละ 25.48 ใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 44,688 บาทต่อคน พักค้างเฉลี่ยประมาณ 7 วัน สร้างรายได้ 80,039.88 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 19.96 ส่งผลให้อินเดียขึ้นมาเป็นตลาดอันดับ 3 จากอันดับ 6 ในปี 2561 รวมถึงมีจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศไทยจากอินเดียกว่า 300 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ด้วย สะท้อนว่าอินเดียเป็นตลาดศักยภาพที่น่าจับมอง มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว 

ททท.จึงพยายามผลักดันโดยพิจารณา 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.) นักท่องเที่ยวอินเดียยังคงต้องการเดินทางท่องเที่ยวไทย เนื่องจากมีการสอบถามเกี่ยวกับมาตรการเข้าประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอ 2.) มาตรการการเดินทางเข้า-ออกอินเดีย มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน สามารถเดินทางออกนอกประเทศและกลับเข้ามาในประเทศได้ตามมาตรการควบคุมโรค ซึ่งกำหนดให้รายงานตัวผ่านระบบออนไลน์ แสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ภายใน 72 ชั่วโมง และขอความร่วมมือสังเกตอาการตนเอง (Self Monitoring) เป็นเวลา 14 วัน 

3.) ช่วงโควิด-19 แม้ว่าต้นทุนการเดินทางจะสูงขึ้น แต่ยังพบการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียโดยเที่ยวบินพาณิชย์ (Commercial Flight) ระหว่าง 28 ประเทศภายใต้ข้อตกลง Air Bubble Agreement อาทิ มัลดีฟ รัสเซีย ศรีลังกา เยอรมัน แคนาดา สะท้อนว่านักท่องเที่ยวอินเดียไม่ค่อยอ่อนไหวกับสถานการณ์ มีกำลังซื้อสูง และจากการสำรวจความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของคนอินเดีย โดย Thomas Cook เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 กลุ่มตัวอย่างกว่า 4,000 ราย พบว่า ร้อยละ 46 ต้องการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเมืองหรือประเทศที่ต้องการเดินทางไปมากที่สุดได้แก่ ดูไบ อะบูดาบี มัลดีฟส์ และไทย

สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวอินเดียเข้าประเทศไทย ปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศกลับมาเปิดรับคำขอใบรับรองในการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry: COE) ของผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทยจากอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2564 เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้มีเอกสารอนุญาตทำงาน (work permit) และครอบครัว โดยต้องเดินทางด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) และเข้าสู่มาตรการ State Quarantine ในกรุงเทพฯ เป็นเวลา 14 วัน หลังจากนี้จึงจะประเมินและพิจารณากลุ่มอื่นๆ ต่อไป 

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ ททท. ทั้ง 2 สำนักงาน จะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอินเดียอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทั้งการให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์สถานการณ์ภายในประเทศ มาตรการด้านสุขอนามัย SHA ตลอดจนสำรวจความเห็นของ Travel Agency (TA) กว่า 300 รายทั่วประเทศอินเดีย ได้รับยืนยันกว่า 94% ว่านักท่องเที่ยวอินเดียมีความต้องการเดินทางท่องเที่ยวไทยอย่างแน่นอน โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสุขอนามัย กิจกรรมท่องเที่ยว และราคาที่น่าดึงดูดเป็นหลัก ส่วนใหญ่มีระยะเวลาพักค้างต่ำกว่า 7 วัน ซึ่ง TA เตรียมนำร่องทำการตลาดในกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียระดับกลางไปจนถึงกลุ่มระดับบน

ในปี 2565 ททท. ให้ความสำคัญกับกลุ่มตลาดอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม First Mover ได้แก่ กลุ่มศักยภาพ Golf, Wedding, Millennials ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วจากเมืองหลัก ซึ่งประมาณการว่า หากไตรมาส 4 ในช่วง 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2564 ศบค. มีมติผ่อนคลายเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัวและเที่ยวบินพาณิชย์กลับมาบินใน 6 เมืองหลัก ได้แก่ นิวเดลี มุมไบ กัลกัตตา เชนไน ไฮเดอราบัด และบังกะลอร์ สัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 250 ที่นั่ง รวม 14 สัปดาห์ พิจารณาจากจำนวน Seat Capacity จะทำให้มีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทย ประมาณ 21,000 ที่นั่ง สร้างรายได้ประมาณ 938,448,000 บาท หากไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ จะจัด Charter flight สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใน 2 เมืองหลัก ได้แก่ นิวเดลีและมุมไบ เที่ยวบินละ 150 ที่นั่ง รวม 14 สัปดาห์ ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทย 4,200 คน สร้างรายได้ประมาณ 187,689,600 บาท


ที่มา : https://mgronline.com/travel/detail/9640000086454


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

กกร. มองเศรษฐกิจจะดีขึ้น ลุ้น GDP ปีนี้แตะ 1% แนะรัฐตั้งเป้าดันเศรษฐกิจโต 6-8% กู้เพิ่มแก้โควิด

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.วันนี้ได้เห็นชอบในการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 64 เป็น -0.5 ถึง 1.0% ดีขึ้นจากเดิมที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะติดลบราว -1.5 ถึงไม่เติบโต หรือ ขยายตัวเป็น 0% เนื่องจากมองว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเริ่มดีขึ้น และรัฐบาลคาดว่าจะจัดหาวัคซีนได้เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ 

"สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น จนนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคบางส่วนในเดือน ก.ย. 64 ทั้งนี้ หากสามารถเร่งจัดสรรและฉีดวัคซีนที่มีมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้" นายผยง กล่าว

พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12-14% จากเดิม 10-12% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด แม้บางประเทศกลับมาบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่สามารถอยู่กับโควิด-19 ได้ กิจกรรมการผลิตฟื้นตัว สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ที่อยู่ในเกณฑ์ขยายตัวในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อภาคการส่งออกของไทย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกไทยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1.) ค่าระวางเรือที่ยังสูงต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ 2.) การขาดแคลนชิปที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของหลายสินค้าอุตสาหกรรม และ 3.) เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มการปรับทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และการเมืองระหว่างประเทศ

นายผยง กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.) Supply chain ของภาคการผลิตใน Bubble & Seal ต้องไม่หยุดชะงักจากการระบาดในกลุ่มแรงงาน และ 2.) หากควบคุมการแพร่ระบาดดีขึ้นมาก ภาครัฐจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ทัน High Season ปลายปี ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศการใช้จ่ายในประเทศให้คึกคักขึ้น อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดกลับมาแย่ลง เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Recession

ทั้งนี้ แผนการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการฉีดที่มีประสิทธิภาพและไม่สับสน สามารถผลักดันให้ประเทศไทยตั้งเป้าหมายการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปี 65 ที่ท้าทายขึ้น หน่วยงานภาครัฐประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะสามารถเติบโตได้ในช่วง 3-5% ซึ่งมองว่าเป็นการตั้งเป้าหมายในอัตราต่ำเกินไป และทำให้ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 62 ส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากยังบอบช้ำ

ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจฟื้นตัวกลับมายืนได้ด้วยตัวเองโดยเร็ว ภาครัฐควรกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท้าทายขึ้นเป็น 6-8% ซึ่งเป็นไปได้ในภาวะที่คนไทยกว่า 50% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว โดยรัฐบาลจำเป็นต้องใช้กระสุนทางการคลังด้วยการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น 70-80% ซึ่งจะทำให้มีเงินเข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 7 แสน-1.5 ล้านล้านบาท โดยเน้นสนับสนุนการจ้างงาน และใช้ในมาตรการที่มี Multiplier กับเศรษฐกิจสูง อย่างมาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (co-payment) หรือมาตรการค้ำประกันสินเชื่อที่สูงขึ้นและเทียบเคียงกับประเทศอื่น เป็นต้น

"ที่ประชุม กกร. ยังเห็นควรแสนอแนะให้รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในแบบที่ท้าทาย โดยตั้งเป้าผลักดันให้ GDP ปี 65 ขยายตัวให้ได้ถึง 6-8% เพราะการตั้งเป้าหมายการเติบโตได้เพียง 3-5% มองว่าอาจอยู่ในระดับต่ำเกินไป และต่ำกว่าศักยภาพของไทยที่เคยมีมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด พร้อมกับสนับสนุนให้รัฐบาลปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ต่อจีดีพีในปัจจุบัน เป็น 70-80% ต่อจีดีพี ซึ่งจะช่วยทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 7 แสนล้านบาท-1.5 ล้านล้านบาท" นายผยงกล่าว

สำหรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ให้ฟื้นตัวสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตินั้น ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟู โดยนำข้อเสนอแนะของภาคเอกชนมาใช้ปรับเกณฑ์ในรอบนี้ด้วย เพื่อให้เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อระยะถัดวงเงิน 150,000 ล้านบาทมากที่สุด โดยจะขยายวงเงินสินเชื่อลูกหนี้รายใหม่จากไม่เกิน 20 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนลูกหนี้เดิมที่มีวงเงินเดิม 30% ไม่ถึง 50 ล้านบาท สามารถขอได้สูงสุด 50 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เพียงพอมากขึ้นต่อสถานการณ์ โควิด-19 ที่ยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ ได้ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงการปรับลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันรวมสำหรับลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง โดยลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ 1-2 เพื่อลดภาระในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่าจะเริ่มได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.นี้

ทั้งนี้ กกร.ได้มีข้อเสนอแนะถึงภาครัฐในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1.) ปัจจุบันรัฐบาลได้จัดหาและนำเข้ามาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญคือ ต้องดำเนินการให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสื่อสารให้ชัดเจน ไม่ให้สับสน และโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เห็นด้วยกับการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล และไม่ควรมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกต่อไป เพราะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แต่ควรใช้มาตรการ Bubble & Seal ร่วมกับการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit เชิงรุก โดยใช้ศักยภาพของภาค เอกชนอย่างเต็มที่ในทางที่เสริมและไม่แย่งกัน เพื่อให้การป้องกันโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2.) รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่ง 3,000-6,000 บาท เพราะเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ ช้อปดีมีคืน (ลดหย่อนภาษี) และกระตุ้นการท่องเที่ยว ส่วนมาตรการระยะยาว มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและรักษาฐานการผลิต รับมือสงครามทางการค้า (Trade war) ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ๆ (New s-Curve) โดยการลงทุนภาครัฐควรทำต่อเนื่องทั้งการลงทุนโดยรัฐเอง และการลงทุนแบบ PPP พร้อมสร้างบรรยากาศการลงทุน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปอย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ รัฐควรเพิ่มงบประมาณสำหรับการช่วยผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งในต่างประเทศมีสัดส่วนการค้ำประกันที่ทางการสนับสนุนสูงถึง 80-100% ของยอดสินเชื่อ ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการค้ำประกันเพียง 40%

3.) ขอให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายชุดตรวจ antigen test kit ในการตรวจหาเชื้อในภาคอุตสาหกรรม โดยให้ความช่วยเหลือในเรื่องของชุดตรวจ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงช่วยเหลือในเรื่องของมาตรการการจ่ายภาษีเพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ

4.) กกร.ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือในส่วนปัญหาค่าระวางเรือที่มีราคาสูง โดยภาคเอกชนต้องการให้มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายส่วนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการช่วยแก้ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ชิป (Semiconductor chips)

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการผ่อนคลายมาตรการของรัฐบาลในรอบนี้ที่เริ่มต้น 1 ก.ย. ให้กิจการ หรือกิจกรรมบางประเภทสามารถเปิดดำเนินการได้นั้น อยากขอให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจและประชาชนที่มาใช้บริการ ปฏิบัติตัวให้ได้ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโอกาสในการแพร่กระจายของโรค ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน จะทำให้ภาครัฐจะสามารถผ่อนคลายมาตรการในระดับที่เพิ่มมากขึ้นได้ในระยะต่อไป และส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะขับเคลื่อนไปได้ แรงงานที่ตกงานก็มีโอกาสกลับมาทำงานได้มากขึ้น และมีผลต่อการเปิดเมือง เปิดประเทศในลำดับถัดไป

พร้อมมองว่า รูปแบบการเปิดประเทศให้มีความปลอดภัยและช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นนั้น อาจต้องใช้ตัวอย่างจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แล้วค่อย ๆ ขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่แล้วไม่ต่ำกว่า 70% นอกจากนี้ การเปิดบางกอก แซนด์บอกซ์ก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการค้า ธุรกิจ และการท่องเที่ยว ซึ่งหากสามารถเปิดกิจกรรม กิจการต่าง ๆ ได้มากขึ้นและทำได้อย่างปลอดภัย ก็จะนับว่าประสบความสำเร็จและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าไทยจะสามารถเปิดประเทศได้อย่างสง่างาม

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยังเชื่อว่า รัฐบาลจะสามารถเปิดประเทศได้ตามเป้าหมาย 120 วันที่วางไว้ในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งหลังจากการคลายล็อกมาตรการในเดือนก.ย.รอบนี้ เชื่อว่าประชาชนเองจะเห็นความสำคัญของการป้องกันตัวเองและปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ดังนั้น หากเป็นเช่นนี้ การเปิดประเทศของรัฐบาลก็จะทำได้ตามเป้าหมาย

พร้อมประเมินว่า รัฐบาลคงไม่ประกาศล็อกดาวน์อีกรอบแล้ว เนื่องจากสถานการณ์ระบาดภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มลดลง อีกทั้งในเร็ว ๆ นี้ ก็จะมีการทยอยนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิดจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น และเป็นไปตามเป้าหมายที่ครอบคลุมอย่างน้อย 70% ภายในปีนี้

"เราคาดว่ารัฐบาลคงไม่ล็อกดาวน์อีกรอบ เพราะวัคซีนก็จะมีเข้ามาอีกเรื่อย ๆ คนฉีดวัคซีนในประเทศก็จะมากขึ้น โอกาสติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรง ก็จะน้อยลง ถ้าติดก็เป็นผู้ป่วยระดับสีเขียว...โอกาสที่จะต้องล็อกดาวน์ประเทศ ก็น่าจะน้อยลงแล้ว" นายสุพันธุ์ระบุ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

‘หลักสูตรเสริมสร้างสันติสุข สถาบันพระปกเกล้า’ ห่วงใยคนเมืองกรุง...จับมือพันธมิตรจิตอาสา ปันน้ำใจสร้างรอยยิ้มสู่ “ชุมชนประเสริฐเปรมประชา” ก้าวผ่านวิกฤติโควิดไปด้วย

พันธมิตรจิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือต่อเนื่อง วันที่ 1 กันยายน ที่ชุมชนประเสริฐเปรมประชา เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร นายนัธที พีรวัส ประธานชุมชน พร้อมกรรมการ และชาวบ้าน ร่วมรับมอบข้าวกล่องพร้อมทานจาก "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" พร้อมเครื่องตรวจออกซิเจนจากปลายนิ้ว และน้ำดื่ม เพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19

โดยมี นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายสุมิตร หิรัญวงศ์ ประธานสภาเทศบาลตำบลบางตะบูน และนางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณากิจ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนนักศึกษาหลักสูตร เสริมสร้างสันติสุข (สสสส.) รุ่น 11-12 และหลักสูตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปสม.)รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับพันธมิตรจิตอาสาจากองค์กรต่าง ๆ ประกอบด้วย มูลนิธิสหชาติ สำนักข่าว News Online Thailand เว็ปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ นำอาหาร และสิ่งของบรรเทาทุกข์ ส่งมอบถึงมือได้ปันอิ่มสร้างรอยยิ้มในยามวิกฤติการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา

นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด ที่ส่งผลให้หลายครัวเรือนไม่สามารถออกไปทำงานหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว และยังรอคอย ความช่วยเหลืออย่างมีความหวัง จากทุกภาคส่วนในสังคมไทย พันธมิตรจิตอาสาเป็นกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่อาสาตัวเข้ามาเป็นสะพานบุญ รับมอบเพื่อส่งต่อข้าวกล่องพร้อมทานโครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" ของบริษัทในเครือซีพี  และ น้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ร่วมส่งกำลังใจถึงพี่น้องประชาชนผ่าน “ข้าวกล่องปันอิ่ม” และจากพันธมิตรจิตอาสา รวบรวมนไปำส่งมอบตามชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดเชื้อโควิด เพื่อช่วยเหลือให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน

ด้านนายนัธที พีรวัส กล่าวว่า สภาพโดยทั่วไปชุมชนของเราอาศัยอยู่ตามแนวชายคลองเปรมประชากร กึ่งในน้ำและกึ่งบนบก ส่วนมากชาวชุมชนแห่งนี้จะมีอาชีพรับจ้าง และยากจนยากไร้เป็นส่วนมาก และเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่แออัด ในสถานการณ์การแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา มีผู้ติดเชื้อไปแล้ว 5 หลังคาเรือน ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว 10 คน และกลับมากักตัวอยู่ที่ชุมชนเพื่อทำการกักตัว 12 คนและไม่ติดโควิดแต่ยังอยู่กับผู้ป่วยอีก 10 คนรวมแล้วอยู่ในชุมชนประมาณ 30 คนที่เราดูแลกันอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดต่อไป และขอขอบคุณพันธมิตรจิตอาสาที่รวมกันหลายองค์กร โดยเฉพาะเครือซีพี ที่สนับสนุนข้าวพร้อมทานมามอบให้ได้ปันอิ่ม

ทร. แจง อาวุธปืนขนาด 40 มม. ที่สหรัฐมอบให้ปี 14 สูญหาย มีอายุกว่า 50 ปี ระบุ เป็นอาวุธปืนสำรองคลังพร้อมตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง

พล.ร.อ.เชษฐา  ใจเปี่ยม  โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยถึงกรณรที่มีการนำเสนอข่าว เหตุอาวุธปืนกลขนาด 40 มิลลิเมตร ที่สหรัฐอเมริกามอบให้กองทัพเรือสูญหายไปจากคลังปืนใหญ่ กรมสรรพาวุธทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 กระบอก มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท นั้น  จากการตรวจสอบ พบว่าอาวุธปืนที่สูญหายดังกล่าวเป็น อาวุธปืนประเภท ปืนยิงลูกระเบิดกล ขนาด 40  มิลลิเมตร รุ่น มาร์ค 20 ม็อด 0 ซึ่งเป็นอาวุธประจำเรือที่ติดตั้งกับเรือตรวจการณ์ลำน้ำของกองทัพเรือ โดยกองทัพเรือได้รับการช่วยเหลือทางทหารจากประเทศสหรัฐอเมริกา ตามโครงการความช่วยเหลือทางทหารเมื่อปี พ.ศ.2514 ซึ่งอาวุธปืนดังกล่าวได้ใช้ราชการมานานถึง 50 ปี   

ทั้งนี้ อาวุธปืนดังกล่าวข้างต้นทั้ง 2 กระบอก ได้ถูกถอดถอนมาเก็บรักษาไว้ที่คลังของ กรมสรรพาวุธทหารเรือ ตั้งแต่ปี 2530 และ 2552 ตามลำดับ  เนื่องจากเรือตรวจการณ์ลำน้ำที่ติดตั้งอาวุธปืนดังกล่าวปลดระวางประจำการ  โดยอาวุธปืนดังกล่าวมีราคากระบอกละ 1,600 บาท (ราคาในปีที่กองทัพเรือได้รับมอบจากสหรัฐฯ)
      
โฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่อไปว่า กองทัพเรือไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยขณะนี้ได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน แม้ว่าอาวุธปืนที่สูญหายจะไม่ได้ใช้ในราชการแล้ว  แต่หากพบว่ามีข้าราชการนายใดที่เกี่ยวข้องกับการสูญหายของอาวุธปืน กองทัพเรือจะดำเนินการลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top