Saturday, 7 June 2025
NewsFeed

“ครม.” เทงบ 9 พันล้านบาท ซื้อวัคซีน เพิ่มเติม 20 ล้านโดส คาดส่งมอบภายในปี 64 พร้อมรับทราบให้คร.ลงนามซื้อไฟเซอร์เพิ่มอีก 10 ล้านโดส รวมยอด30 ล้านโดส  

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ สำหรับประชาชนคนไทยเพิ่มเติมอีก 20,001,150 โดส เป็นส่วนที่เคยลงนามไปแล้ว โดยวงเงินอนุมัติจะต้องนำไปชำระ จำนวน 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาวัคซีนประมาณ 8,439 ล้านบาท และเป็นค่าบริการจัดการประมาณ 933 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ช่วงประมาณปลายเดือนก.ย.-ต้นเดือนต.ค.นี้ 

นายอนุชา กล่าวว่า นโยบายรัฐบาล จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จึงให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วยการเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรค COVID-19 รวมทั้งลดผลกระทบพื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

นอกจากนี้นายอนุชา ได้แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม. ได้รับทราบการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส โดยมอบหมายให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ที่ลงนามกับตัวแทนบริษัทไฟเซอร์ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้อไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 โดยการทำข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ จะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งmRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตราเซนเนก้า

นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่สนับสนุนให้สามารถจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส รวมถึงวัคซีนเทคโนโลยีต่างๆมาฉีดให้แก่ประชาชน และขอให้มีการบริหารจัดการกระจายวัคซีนให้ดีด้วยแผนที่ชัดเจน รวมถึงการให้ข้อมูลการจัดสรรแก่ประชาชนต่อไป

ครม. ให้ กำหนดมาตรฐาน ถุงมือยางตรวจโรค แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หลังพบ มีมิจฉาชีพ รีไซเคิลขาย 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไป 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด -19)  ทำให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือยางจำนวนมาก จึงทำให้กลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตถุงมือยางแบรนด์ต่างๆ โดยหลอกให้ผู้ซื้อโอนเงินค่าสินค้า หรือหลอกขายถุงมือยางเก่าที่ใช้งานแล้ว ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว หรือที่เรียกว่า ถุงมือยางตรวจโรค ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.1056 เล่ม 1-2556 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ผู้ทำและผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 20 หรือมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และผู้จำหน่ายต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เป็นของผู้ได้รับอนุญาต และมีการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่ถูกต้องครบถ้วน 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประโยชน์ที่ประชาชนและสังคมได้รับจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไปได้ใช้ถุงมือยางตรวจโรคที่มีคุณภาพ ป้องกันการนำเข้าถุงมือยางตรวจโรคที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือยางตรวจโรค มีการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อีกด้วย

จีนพร้อมที่จะกระชับความสัมพันธ์ "ฉันมิตรและความร่วมมือ" กับอัฟกานิสถาน หลังจากกลุ่มตอลิบานเข้ายึดอำนาจควบคุมประเทศ

จีนพร้อมที่จะกระชับความสัมพันธ์ "ฉันมิตรและความร่วมมือ" กับอัฟกานิสถาน โฆษกรัฐบาลกล่าวเมื่อวันจันทร์ หลังจากกลุ่มตอลิบานเข้ายึดอำนาจควบคุมประเทศ

รัฐบาลปักกิ่งพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการกับกลุ่มตอลิบานตั้งแต่ระหว่างที่สหรัฐฯ กำลังถอนตัวออกจากอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ รัฐบาลจีนกังวลมานานแล้วว่าอัฟกานิสถานจะกลายเป็นจุดระดมพลของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง

แต่คณะผู้แทนระดับสูงของกลุ่มตอลิบานได้พบกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวางอี้ ที่เมืองเทียนจินเมื่อเดือนที่แล้ว โดยสัญญาว่าอัฟกานิสถานจะไม่ถูกใช้เป็นฐานทัพของกลุ่มติดอาวุธ

ในการแลกเปลี่ยน จีนได้เสนอการสนับสนุนทางเศรษฐกิจและการลงทุนเพื่อการฟื้นฟูอัฟกานิสถาน

ในวันจันทร์นี้ รัฐบาลจีนจึงกล่าวว่า "ยินดี" กับโอกาสที่จะได้กระชับความสัมพันธ์กับอัฟกานิสถาน

“กลุ่มตอลิบานแสดงความหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับจีน และพวกเขาตั้งตารอที่จีนจะมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและพัฒนาอัฟกานิสถาน” ฮั่วชุนอิ๋ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวกับผู้สื่อข่าว

“เรายินดีกับเรื่องนี้ จีนเคารพสิทธิของชาวอัฟกันในการกำหนดชะตากรรมของตนเองโดยอิสระ และยินดีที่จะพัฒนาต่อไปซึ่ง...ความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือกับอัฟกานิสถาน”

ฮั่วชุนอิ๋งเรียกร้องให้กลุ่มตอลิบาน "รับประกันการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างราบรื่น" และรักษาคำมั่นสัญญาที่จะเจรจาจัดตั้ง "รัฐบาลอิสลามที่เปิดกว้างและครอบคลุม" และรับรองความปลอดภัยของชาวอัฟกันและพลเมืองต่างชาติ

ฮั่วชุนอิ๋งเผยว่าสถานทูตจีนในกรุงคาบูลยังคงเปิดดำเนินการอยู่ แม้ว่าทางการจีนจะเริ่มอพยพพลเมืองจีนออกจากประเทศเมื่อหลายเดือนก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ สถานเอกอัครราชทูตจีนบอกพลเมืองจีนที่เหลืออยู่ในอัฟกานิสถานให้ “ใส่ใจกับสถานการณ์ด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด” และอยู่ในบ้าน

ด้านซามีร์ คาบูลอฟ ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประจำอัฟกานิสถาน บอกกับสถานีวิทยุ Ekho Moskvy ในวันจันทร์ที่ รัสเซียจะอพยพพนักงานประมาณ 100 คนของสถานทูตในอัฟกานิสถาน

เจ้าหน้าที่ยังระบุด้วยว่า เอกอัครราชทูตรัสเซียในอัฟกานิสถานจะพบกับตัวแทนกลุ่มตอลิบานในวันอังคารนี้ และหารือเรื่องความปลอดภัยสำหรับภารกิจทางการทูตที่นั่น สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ รายงาน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/660718


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.รับทราบ การพัฒนากฎหมาย เพื่อเร่งรัดให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบการพัฒนากฎหมายเพื่อเร่งรัดให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการพัฒนากฎหมายไปแล้ว อาทิ 1.จัดทำพ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยื่นคำขอหรือการติดต่อใดๆ ระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐหรือระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกัน สามารถทำโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร 2.จัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2564 (ระเบียบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์) โดยหน่วยงานของรัฐต้องใช้อีเมลในการสื่อสารเป็นหลักมีผลตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สามารถพัฒนาต่อยอดไปใช้ในการจัดทำระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ 3.ปรับปรุงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินงานทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทำร่างพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น)  ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงให้บริษัทมหาชนจำกัดและคณะกรรมการบริษัทมหาชนจำกัด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร

น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า 4.ปรับปรุงวิธีการเขียนกฎกระทรวงและกฎหมายลำดับรองอื่นให้หน่วยงานของรัฐให้บริการแก่ประชาชนด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 8 และมาตรา 9 แห่งพ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมายลำดับรองระดับกฎกระทรวงที่ผ่านการพิจารณาทั้งหมด 75 ฉบับ และพร้อมรองรับการดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว และ 5.จัดทำระบบกลางทางกฎหมาย เพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มกลางเกี่ยวกับกฎหมาย ที่ให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชน ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 แล้ว สำหรับการดำเนินการระยะถัดไปจะเป็นการขยายการให้บริการข้อมูลกฎหมายทั้งหมดของประเทศ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกรกฎาคม 2565

รัฐบาล แจงเหตุสั่งซื้อซิโนแวคเพิ่ม ยกงานวิจัยชี้ฉีดไขว้ภูมิสูงถึง4 เท่า-ป้องเดลต้าได้ ระหว่างรอวัคซีน​mRNA ช่วงปลายก.ย.-ต้น ต.ค.นี้ ยืนยันเป้าเดิมได้ครบ 100 ล้านโดสภายในปีนี้ สั่งคาดโทษคนสวมรอยจนท.ฉีดไฟเซอร์ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรีถึงเหตุผลของรัฐบาลในการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ว่า มีเหตุผลด้านการวิจัยและการเก็บข้อมูลมารองรับ เนื่องจากตั้งแต่องค์การอนามัยโลกได้มีการอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบบไขว้ชนิด ทางประเทศไทยจึงเริ่มมีการฉีดวัคซีนแบบไขว้และเก็บข้อมูลมาซึ่งข้อมูลที่ได้พบว่า ถ้าเป็นผู้ที่ฉีดซิโนแวคเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จะมีภูมิ ต่ำกว่าการฉีดแอสตราตราเซเนกา 2 เข็ม และจากการเก็บข้อมูลพบว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคเข็มที่1 ไขว้ด้วยแอสตราเซเนกา เข็มที่ 2 จะทำให้ภูมิขึ้นมาสูงกว่า การฉีดวัคซีน​ซิโนแวค 2 เข็ม ถึง 4 เท่า และสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้ด้วย จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยจะเริ่มฉีดวัคซีนในลักษณะนี้ ในผู้ที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน ระหว่างรอวัคซีน​mRNA ที่จะมาในช่วงปลายเดือน ก.ย. หรือ ต้น ต.ค.นี้
 
เมื่อถามถึงกรณีรพ.เฉลิมพระเกียรติ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์บูสเตอร์โดสเข็ม 3 ให้ภรรยาผอ.รพ.และกรณีแพทย์จ.นครศรีธรรมราช นำญาติที่ไม่ใช่บุคลากรด่านหน้ามาฉีดวัคซีนไฟเซอร์ กรณีแบบนี้จะจัดการอย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการให้ทางจังหวัดสอบสวนตั้งคณะกรรมการขึ้นมา รวมถึงให้สาธารณสุขจังหวัดเข้ามาตรวจสอบ และต้องพิจารณาว่าหากตรวจสอบแล้วมีความผิดจริงก็ต้องดำเนินการลงโทษตามระเบียบวินัยต่อไป ย้ำว่ารัฐบาลไม่มีการให้นโยบายฉีดให้กับ VIP แต่อย่างใด

นายอนุชา ยังกล่าวถึงแผนการจัดหาวัคซีนว่าไทยจะได้ฉีดให้ประชากรในไทยคลอบคลุมทุกกลุ่มภายในสิ้นปีนี้แน่นอนหรือไม่ ว่า ปัจจุบันการฉีดวัคซีน มีข้อมูลว่าฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 24 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ประมาณ 18.3 ล้านโดส เข็มที่ 2 ประมาณ 5.2 ร้านโดส และเข็ม Booster เข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และด่านหน้าประมาณ 500,000 โดส โดยคาดการณ์ว่าภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จะสามารถฉีดได้ถึง 30 ล้านโดส โดยภายในเดือนนี้มีการฉีดระหว่างช่วงวันที่ 6 ส.ค.ได้สูงถึง 600,000 โดสต่อวัน เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับวัคซีนที่จะเข้ามา ซึ่งสามารถเพิ่มศักยภาพในการฉีดได้ 

นายอนุชา กล่าวว่า ทั้งนี้ย้ำว่าในปี 2564 มีการยืนยันแล้วว่าจะมีวัคซีนเข้ามาครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ เพราะฉะนั้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายตั้งแต่เดือนต.ค.-ธ.ค. จะมีศักยภาพในการฉีดมากกว่า 15 ล้านโดสอย่างแน่นอน ยืนยันว่าภายในสิ้นปีจำนวน 100 ล้านโดสก็จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย

ครม. ให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุน ทันตแพทย์จบใหม่ เข้ารับราชการ  ต้อง มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ-ได้รับคัดเลือกตามแผนความต้องการของหน่วยงาน

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบให้ทบทวนมติครม.เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2525 เกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาการกระจายทันตแพทย์ที่มีเงื่อนไขเรื่องการเข้ารับราชการ โดยได้ปรับปรุงสาระสำคัญของโครงการ เกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขการเข้ารับราชการใหม่ดังนี้ เดิมนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านการกระจายทันตแพทย์ ได้กำหนดให้ นักศึกษาทันตแพทย์ทุกคนทำสัญญาเข้ารับราชการ  ขอปรับปรุงเป็น ให้นักศึกษาทันตแพทย์คู่สัญญาผู้ที่สำเร็จการศึกษาทันตแพทยศาสตรบัณฑิตจากสถาบันการศึกษาภาครัฐ ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรมและได้รับคัดเลือกตามแผนความต้องการทันตแพทย์ของส่วนราชการ หรือหน่วยงานในองค์กรของรัฐทุกคนเข้าปฏิบัติงานชดใช้ทุนตามสัญญา

น.ส.ไตรศุลี  กล่าวว่า สำหรับสาเหตุที่ต้องปรับปรุงสาระสำคัญโดยระบุเงื่อนไขที่ชัดเจนมากขึ้นข้างต้น  เนื่องจากในระยะแรกของโครงการฯมีเพียงสถาบันการผลิตทันตแพทย์ภาครัฐ แต่ในปัจจุบันมีสถาบันผลิตทันตแพทย์ภาคเอกชนด้วย และเพื่อลดภาระของกระทรวงสาธารณสุขในการจัดหาตำแหน่งงานอื่นมารองรับผู้สำเร็จการศึกษาทันตแพทยศาสตรบัณฑิตที่ไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพประมาณปีละ 100 คน ไปปฏิบัติชดใช้ทุน เนื่องจากที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขจะต้องรับผู้สำเร็จการศึกษาภายหลังกระบวนการคัดเลือกของส่วนราชการ หรือหน่วยงานในองค์การของรัฐอื่นๆ ซึ่งเป็นการรับผู้สำเร็จการศึกษาที่ไม่ได้รับใบอนุญาตไว้ทั้งหมด

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังทบทวนสาระสำคัญที่เดิมระบุว่า จำนวนทันตแพทย์ในแต่ละปีนั้นให้รับราชการในส่วนภูมิภาค โดยรับราชการในกระทรวงสาธารณสุขไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และรับราชการในหน่วยงานอื่นไม่เกินร้อยละ 30 ปรับเป็น จำนวนทันตแพทย์ผู้ทำสัญญาในแต่ละปีนั้นให้เข้าปฏิบัติงานในส่วนราชการ หน่วยงานในองค์การของรัฐ ตามแผนความต้องการของส่วนราชการหรือหน่วยงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการทันตแพทย์คู่สัญญาของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีแนวโน้มจะต่ำกว่าร้อยละ 70  และความต้องการที่ลดลงของส่วนราชการหรือหน่วยงานในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งหลังจากที่ครม.มีมติตามที่เสนอครั้งนี้แล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะประสานส่วนราชการจัดทำแผนความต้องการทันตแพทย์ราย 5 ปี และในแต่ละปีจะทบทวนความต้องการที่เกิดขึ้นจริงเพื่อประเมินสถานะความต้องการด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า อัตราส่วนทันตแพทย์ต่อประชากรในปี 2525 ในส่วนภูมิภาคอยู่ที่ 1:177,781 คน  ทั้งประเทศสัดส่วนอยู่ที่ 1:26,678 คน  ขณะที่ในปี 2563 อัตราส่วนทันตแพทย์ต่อประชากรในภูมิภาคอยู่ที่ 1:10,673 คน ทั้งประเทศอยู่ที่ 1:3,989 คน ซึ่งเป้าหมายอัตราส่วนของทันตแพทย์ต่อประชากร ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ 1:5,000 คน  เป้าหมายของไทยในปี 2563  ในภูมิภาคอยู่ที่ 1:8,000 คน และทั้งประเทศอยู่ที่ 1:3,000 คน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแผนความต้องการรับทันตแพทย์คู่สัญญาเข้าปฏิบัติงานชดใช้ทุนประมาณปีละ 400 คนต่อปี คิดเป็นร้อยละ 59.44 ของผู้สำเร็จการศึกษาทันตแพทยศาสตร์จากสถาบันการศึกษาภาครัฐทั้งหมด ซึ่งมีประมาณ 700 คนต่อปี ประกอบกับส่วนราชการหรือหน่วยงานนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีตำแหน่งรองรับและคัดเลือกทันตแพทย์คู่สัญญาไปปฏิบัติงานชดใช้ทุนลดลง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขต้องรับทันตแพทย์คู่สัญญาส่วนที่เหลือทั้งหมดเข้าปฏิบัติชดใช้ทุนในส่วนภูมิภาคประมาณ 612 คนต่อปี ซึ่งรวมถึงผู้สำเร็จการศึกษาทันตแพทยศาสตรบัณฑิตที่ไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรมประมาณ 100 คนต่อปี  ส่งผลให้กระทรวงสาธารณสุขต้องรับทันตแพทย์คู่สัญญาเกินความต้องการภายใต้เงื่อนไขสัญญาแบบเดิม

โฆษกรัฐบาลเผยผลสอบประมูลก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเหนือ-อีสาน ยังไม่แล้วเสร็จ ขอรออีกนิด

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนแทนนายกรัฐมนตรีถึงกรณีที่นายกฯมีคำสั่ง ลงวันที่ 17 มิ.ย.64 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการประมูลการก่อสร้าง รถไฟทางคู่ทั้งสายเหนือและสายอีสาน ขณะนี้เวลาล่วงเลยไป 2 เดือนแล้ว ผลตรวจสอบได้ข้อสรุปผลอย่างไรบ้าง มีการทุจริตหรือไม่ และนายกฯได้สั่งการกระทรวงคมนาคมดำเนินการอย่างไรต่อไปว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ และทราบว่าในเรื่องที่ได้มีการยื่นไปไปกลับด้านองค์กรอิสระต่างๆในการที่จะตรวจสอบทั้งในเรื่องของความโปร่งใส ทั้งในเรื่องที่ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ตรงนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบก็ขอให้รอเวลาอีกนิดที่จะมีข้อสรุปออกมา

ครม. กำหนด วันที่ 5 ธ.ค. ของทุกปี เป็น"วันอาสาสมัครสากล"

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า ครม. เห็นชอบกำหนดให้มีการจัดงานวันอาสาสมัครสากล (International Volunteer Day: IVD) ตามมติสหประชาชาติ ในวันที่ 5 ธันวาคมเป็นประจำทุกปี เพื่อให้การขับเคลื่อนกิจกรรมด้านอาสาสมัครของไทยเผยแพร่สู่ระดับสากลและเป็นการยกระดับสู่การบรรลุเป้าหมายที่ยั่งยืน (SDGs) โดยกำหนดช่วงระยะเวลาการจัดกิจกรรมระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม (วันอาสาสมัครไทย) ถึงวันที่ 5 ธันวาคม (วันอาสาสมัครสากล) ของทุกปี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับผิดชอบในส่วนของการสนับสนุนและประสานงานในการจัดกิจกรรมต่างๆ เนื่องในโอกาสวันอาสาสมัครสากล

ทั้งนี้ ความเป็นมาของ “วันอาสาสมัครสากล” ถูกกำหนดขึ้นจากมติขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2528 ได้ประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสากล และเชิญชวนประเทศต่างๆ จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับงานอาสาสมัคร โดยคณะรัฐมนตรีเคยมีมติ เมื่อ 19 ธันวาคม 2543 กำหนดให้ “วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครไทย” เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับอาสาสมัคร สำหรับการจัดกิจกรรมวันอาสาสมัครสากลในไทย ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และโครงการอาสาสมัครแห่งสหประชาชาติ (United Nations Volunteer: UNV) ได้จัดงานวันอาสาสมัครสากลของประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติกรุงเทพมหานคร และจัดกิจกรรมตามหัวข้อที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ในแต่ละปี 

ครม.เห็นชอบ ลงนามรับบริจาคยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ จากเยอรมัน -เห็นชอบ รับสนับสนุนวัคซีน แอสตราฯจากภูฏาน พร้อมส่งคืนให้ในอนาคต

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม. เห็นชอบให้อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นผู้มีอำนาจลงนาม สัญญาการลงนามในร่าง In-kind Donation Agreement ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมัน กับ กระทรวงสาธารณสุขของไทย เพื่อรับบริจาคยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (ยาคาซิริวิแมบและอิมเดวิมาเมบ) จากเยอรมันของบริษัทรีเจนเนอรอน (Regeneron) จำนวน 1,000-2,000ชุด โดยเป็นการบริจาคแบบไม่มีเงื่อนไข เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม โดยประเทศไทยในฐานะผู้รับบริจาค ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนสำหรับยา แต่มีภาระในการรับมอบจาก Bundeswehrapotheke (ร้านขายยาทหาร) Epe และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าจัดเก็บ  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนั้น ครม.เห็นชอบการลงนามในร่าง FORM OF AGREEMENT Tripartite Agreement ระหว่างรัฐบาลภูฏาน รัฐบาลไทย และบริษัท แอสตราเซเนกาจำกัด  ซึ่งเป็นการรับมอบวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ของบริษัท 
แอสตราเซเนกา จำกัด โดยให้อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้มีอำนาจลงนามในสัญญา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลภูฏานมีความประสงค์จะมอบวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของบริษัท แอสตราเซเนกา จำนวน 130,000-150,000 โดส แก่ประเทศไทย ผลิตโดย Statens Serum Institute ประเทศสวีเดน บนพื้นฐานของการส่งมอบคืนในอนาคต ตามข้อตกลงไตรภาคี ระหว่างรัฐบาลภูฏาน  รัฐบาลไทย และบริษัทแอสตราเซเนกาจำกัด   

ราเมศ ย้ำ เฉลิมชัย ตอบได้ทุกประเด็น ยึดซื่อสัตย์สุจริต จึงไม่คิดกลัวฝ่ายค้าน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นที่มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า หลักการต้องถือว่าเป็นสิทธิของฝ่ายค้านในระบบประชาธิปไตยที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร เคารพในการทำหน้าที่ตามครรลอง ส่วนข้อมูลของฝ่ายค้านจะมีน้ำหนักมากน้อยขนาดไหนก็ต้องรอดูตอนอภิปราย  นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยก็ไม่ได้กังวลใจใดๆเลย สามารถตอบคำถามชี้แจงได้ทุกประเด็น ความจริง ความซื่อสัตย์ สุจริต สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ทุกคำตอบสิ้นข้อสงสัย 

นายเฉลิมชัย เป็นรัฐมนตรีที่มาจากลูกชาวบ้าน ได้ทำหน้าที่ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ย่อมเข้าใจถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนดี จะให้ใช้ตำแหน่งไปแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือพวกพ้องไม่มีแน่นอนในส่วนของพรรคไม่ได้ตั้งวอร์รูมแต่อย่างใด แต่โดยส่วนตัวที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย ก็จะสนับสนุนข้อมูลนายเฉลิมชัยอย่างเต็มที่ และในฐานะโฆษกพรรคหากมีการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายค้าน ก็พร้อมที่จะชี้แจงทันที เราเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของนายเฉลิมชัยอย่างเต็มที่ ไม่มีทุจริตจึงไม่คิดกลัวฝ่ายค้านแต่อย่างใด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top