Friday, 6 June 2025
NewsFeed

ผบช.สตม. มอบอาหารกล่องพร้อมน้ำดื่ม 500 ชุด และอุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ชุมชน 4 ชุมชน ย่าน ถ.เจริญราษฎร์  ตามโครงการ "ตำรวจห่วงใย ใส่ใจประชาชน"

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19  ให้หน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และยึดมั่นในหน้าที่ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้งประชาชน และปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้ประชาชนรู้สึกว่าตำรวจสามารถพึ่งพาได้ 

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 ร่วมกับ สน.วัดพระยาไกร โดย พ.ต.อ.ธงชัย บัวรังษี ผกก.สน.วัดพระยาไกร มอบอาหารกล่อง,น้ำดื่ม,น้ำจิ้มสุกี้ จำนวน 500 ชุด 

และยังมีภาคเอกชนมาร่วมบริจาคสิ่งของในครั้งนี้ ประกอบด้วยคุณ คุณโกมล ลาภพรหมรัตนะ ประธาน กต.ตร.สน.วัดพระยาไกร  บริจาคหน้ากากอนามัยจำนวน 5,000 ชิ้น คุณวัฒนา ดำรงทรัพย์ไพศาล ประธานกรรมการ บริษัท อาซากิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริจาคหน้ากากเฟสชิลด์ จำนวน 500 ชุด 

โดยทั้งหมดได้ร่วมกันมอบสิ่งของดังกล่าวให้แก่ทั้ง 4 ชุมชน (ชุมชนเมืองอยู่ดี, ชุมชนกิ่งจันทร์, ชุมชนปู่เหลี่ยม, ชุมชนหมู่บ้านเจริญสุขใจ) ที่ตั้งอยู่บริเวณ ถ.เจริญราษฎร์ แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ โดยมีตัวแทนชุมชนมาเป็นผู้รับมอบ ซึ่งจะนำไปแจกจ่ายให้แก่สมาชิกในชุมชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อไป

พล.ต.ท.สมพงษ์ฯ กล่าวว่า โครงการ "ตำรวจห่วงใย ใส่ใจประชาชน" ครั้งนี้ เป็นการสนองนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในครั้งนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 และ สน.วัดพระยาไกร ร่วมกันให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และได้เน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้กำลังใจเพื่อให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน

“รองโฆษกรัฐบาล” เผย พณ.เอาผิดผู้ประกอบการ โก่งราคาขายฟ้าทะลายโจร ทาง “ลาซาด้า-ช็อปปี้” ชี้ แพงแตะ 400เท่า  โทษถึงจำคุก 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล”กล่าวถึงการเอาผิดผู้โก่งราคาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าไปดำเนินการเอาผิดตามพ.ร.บ.สินค้าและบริการ กับผู้จำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ 2แพลตฟอร์ม คือลาซาด้าและช็อปปี้ จำนวน10 ราย 3ยี่ห้อ ที่ปล่อยให้มีการขายเกินราคาในราคาสูงมาก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นทางกรมการค้าภายใน ได้ให้ผู้ประกอบการมาแจ้งราคาจำหน่าย แต่พอขายจริงกลับมีราคาสูง ยกตัวอย่าง ยี่ห้อแรกแจ้งขายในราคา 80 บาท แต่ไปขายออนไลน์ขาย 249- 345 บาท สูงเกือบ400เปอร์เซ็นต์ ยี่ห้อแจ้งขาย 25 บาท แต่ขายในออนไลน์ 120 บาท สูงกว่า376 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องเข้าไปดำเนินการ โดยมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน7ปีปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทีมโฆษก ย้ำ ศบค.ไฟเขียว ททท. ใช้สูตร ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 7+7

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีขยายพื้นที่ภูเก็ตแซด์บ็อกซ์ไป จังหวัดอื่นๆ ที่ตอนนี้เรียกว่า7+7 ว่า ศบค.เห็นชอบตามที่ททท.เสนอแล้ว นั่นหมายความว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดภูเก็ต ต้องฉีดวัคซีนมาแล้ว2เข็ม อยู่ในจังหวัดภูเก็ต7วัน และเมื่อตรวจร่างกายแล้วปลอดโควิด-19 ช่วงเวลาวันที่8-14ของการพำนัก สามารถไปพื้นที่อื่นที่กำหนดได้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี(เกาะสมุย เกาะเต่า เกาะพะงัน) กระบี่(เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล)พังงา (เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ เขาหลัก) โดยสามารถดำเนินการได้ทันทีและเป็นการ ดำเนินโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนไทยทุกคนจะได้ช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างในอดีต ในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการไปในหลายส่วนให้ดูแลเป็นอย่างดีโดยให้เพิ่มประสิทธิภาพต่างๆเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่อเนื่องเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเพิ่มเติม

โฆษกรัฐบาล แจง ปม ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี เป็นไปตามพรบ. คุ้มครองเงินฝาก  วอน ประชาชน อย่าตื่นตระหนก

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่เหลือ 1 ล้านบาทต่อราย สถาบันการเงิน ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝาก ที่มีการปรับลดมาเป็นระยะ ตั้งแต่พ.ศ. 2551 เต็มจำนวน กระทั่งพ.ศ. 2562 ลดลงเหลือ 5 ล้านบาท และ 2564 ลดลงเหลือ 1 ล้านบาท

จากทั้งระบบที่มีผู้ฝากเงิน 83,950,000 ราย ซึ่งเป็นบัญชีที่เป็นเกินหนึ่งล้านบาทเพียง 1,600,000 รายเท่านั้น ปรากฏว่ามีผู้ฝากเงินไม่เกินหนึ่งล้านบาท มี 81.3 ล้านราย คิดเป็น 98% ของผู้ฝากเงินทั้งหมดของระบบสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงเป็นการลดภาระในเรื่องของงบประมาณของรัฐ ที่จะต้องไปดูแลสถาบันการเงินต่างๆ และตอนนี้สถาบันการเงินก็สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ด้วยความเข้มแข็ง ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมายืนยันแล้วว่ามีกฎระเบียบมาตั้งแต่ปี40 มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดกฏเกณฑ์นั้น

ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปดูแลเงินฝากในเรื่องของการคุ้มครองเต็มจำนวนทั้งหมด ดังนั้นตอนนี้ 1 ล้านบาท ก็ให้ความสบายใจได้ว่าสามารถที่จะดูแลต่อหนึ่งสถาบันการเงินที่ฝากได้ เช่น หากใครมีบัญชีอยู่ 4 ธนาคาร ก็ดูแลในบัญชีแต่ละสถาบันการเงินสถาบันละ 1 ล้านอยู่แล้ว ดังนั้นจึงขอชี้แจงว่าประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก กับประเด็นที่ออกมาเป็นข่าวในช่วง1-2 วันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากชาร์ท ที่นำเสนอระบุว่า การปรับลดวงเงินดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 64 โดยปัจจุบันสถาบันการเงินมีฐานะเข้มแข็ง ภายใต้การกำกับดูแลของแบงค์ชาติ จากเงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และยังสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค สถาบันการเงินยังมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการ ทางการเงินและรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจจาก โควิด-19

“บิ๊กตู่”ถก ครม.จากทำเนียบฯ การรักษาความปลอดภัยปกติ จนท.ถอนกำลังออกจากทำเนียบแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ผ่านระบบ Video Conference  โดยวันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางเข้าปฎิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 08.00 น.หลังจากที่วานนี้กลุ่มมวลชนทะลุฟ้า เดินสายมาขับไล่ในช่วงเย็น โดยมาตรการการรักษาความปลอดภัยทั้งในส่วนของนายกรัฐมนตรีและและทำเนียบรัฐบาลเช้าวันเดียวกันนี้ยังคงเป็นปกติ ในส่วนกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน และ ตชด.ที่เข้ามาดูแลภายในทำเนียบรัฐบาลวานนี้ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ได้มีการแจ้งยกเลิกการนัดหมายหารือกลุ่มเล็กในเรื่องของวัคซีน หลังการประชุม ครม.ระหว่าง นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายปกรณ์ นิลประพันธ์เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่นัดหมายล่วงหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ

"แรมโบ้" ซัด "ฝ่ายค้าน" ประเทศเกิดวิกฤต  อยู่ระหว่างการแก้ปัญหา แต่ยังยื่นสภาฯขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ควรมีสมองคิดให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม คิดแต่จะหาประโยชน์ทางการเมืองให้ตัวเอง หวังล้มรัฐบาลกลับมามีอำนาจรัฐ จนไม่สนใจความเดือดร้อนของประขาชน

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรี 5 คน โดยระบุว่าฝ่ายค้านน่าจะเข้าใจสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิดในประเทศเป็นอย่างดี และการแก้ไขปัญหาของนายกฯและรัฐบาลว่ามีความยากลำบากมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งในขณะที่นายกฯและรัฐมนตรี  หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังให้ความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน ฝ่ายค้านก็ไม่ควรที่จะนึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองจนคิดไม่ได้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ 

นายเสกสกลระบุว่าแม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะสามารถทำได้ แต่ตนเองมองว่าไม่ควรที่จะมาอภิปรายในช่วงที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤต ซึ่งหากอยากอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านก็ควรที่จะรอเวลาที่เหมาะสมก่อน อีกทั้งส่วนตัวมองว่าหากจะต้องมีการประชุมสภาฯ ก็ขอให้เป็นเรื่องที่สำคัญก่อน เพราะการประชุมสภาฯถือเป็นการรวมคนหมู่มาก  อาจจะมีการแพร่เชื้อโควิดระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มในสภาได้

แต่เมื่อฝ่ายค้านได้ยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว นายกฯ หรือรัฐมนตรีที่มีชื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้กลัวการอภิปรายในครั้งนี้ เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร และนายกฯจะถือโอกาสใช้เวทีสภานี้ชี้แจงทำความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ โควิด-19 ทุกประเด็น ของรัฐบาลให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง 

และการอภิปรายฯครั้งนี้ฝ่ายค้านคงจะนำแต่ประเด็นเก่าๆ เอามาโจมตีนายกฯ และรัฐบาล ไม่มีเรื่องใหม่ ประชาชนได้ฟังคงเบื่อหน่ายฝ่ายค้าน เหมือนการอภิปรายทุกครั้งที่ผ่านมา 
พ่นน้ำลายจนท่วมสภาหาสาระอะไรไม่ได้เลย 

การอภิปรายฯไม่ไว้วางใจแต่ละครั้งก็ไม่ได้มีการเตรียมข้อมูลมาอภิปราย หรือการกล่าว หานายกฯและรัฐมนตรี ไม่มีน้ำหนักที่น่าเชื่อถืออะไรได้เลย ที่จะเป็นข้อมูลที่ได้ประโยชน์ต่อประชาชน เป็นการอภิปรายเพื่อหวังโจมตีทำลายความชอบธรรมของนายกฯและรัฐบาลหวังจะให้คะแนนนิยมในสายตาประชาชนตกต่ำลงมากกว่า  แต่ผลงานของรัฐบาลประชาชนรู้ดีว่า ในยามวิกฤตเช่นนี้ นายกฯและรัฐบาลได้ทุ่มเทตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุดแล้ว จะมีผิดบ้างถูกบ้างไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขไม่ได้ ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่คอยจ้องแต่จะล้มรัฐบาลหวังกลับมามีอำนาจเอง แสวงหากิเลสความใคร่อยากมีอำนาจบนความเดือดของพี่น้องประชาชน พรรคร่วมฝ่ายค้านเอาสมองส่วนไหนมาคิด 

“ก็คงจะมีแต่ฝ่ายค้านการเมืองไทยนี่แหละ ที่จ้องแต่จะตีกินทางการเมืองได้ทุกสถานการณ์โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ของประชาชนและปัญหาวิกฤตของประเทศที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่นายกฯหรือใครในรัฐบาลอยากให้เกิดเชื้อโควิดขึ้นมาจนทำให้เกิดการสูญเสีย ต่อให้มีผู้นำฝ่ายค้านนับร้อยคนมาแก้ปัญหาก็อาจจะยิ่งแย่กว่านี้ก็เป็นได้ เพราะเก่งแต่เล่นใช้วาทะตีกิน  แต่ไม่เก่งในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติประชาชนเลย"

จับตาสัญญาณว่างงานสิ้นปีพุ่งหลังเจอผลกระทบโควิด

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ต่อการจ้างงานว่า ขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกิจการในภาคบริการและกิจการที่มีสายป่านสั้น เห็นได้จากข้อมูลการจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 พบว่า มีผู้ว่างงานหรือเสมือนว่างงาน (ผู้มีงานทำไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) อยู่ที่ 3 ล้านคน และคาดว่า ในช่วงสิ้นปีนี้คนกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 3.4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดกว่า 1 ล้านคน เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาว เกิน 1 ปี มี 1.7 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึงกว่า 3 เท่าตัว 

ส่วนตัวเลขผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนอยู่ที่ 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดถึง 8.5 หมื่นคน และแรงงานย้ายถิ่นกลับภูมิลำเนาที่เพิ่มขึ้นจากภาคบริการ/อุตสาหกรรมในเมือง กลับไปยังภาคเกษตรที่มีผลิตภาพต่ำกว่า ล่าสุดอยู่ที่ 1.6 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อปีในช่วงก่อนโควิดที่ 5 แสนคนมาก

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การล็อกดาวน์รอบนี้ยิ่งซ้ำเติมธุรกิจและครัวเรือน ส่งผลให้ฐานะการเงินมีความเปราะบางสูงขึ้น เพราะเงินออมลดลงทุกครั้งที่การระบาดกลับมา สายป่านของครัวเรือนสั้นลงเรื่อย ๆ สะท้อนจากตัวเลขเงินฝากในบัญชีที่มียอดต่ำกว่า 50,000 บาท ล่าสุดในเดือนพ.ค. 2564 ปรับลดลงเทียบกับปีก่อนเป็นครั้งแรก โดยหดตัวที่ 1.6% ขณะที่เงินฝากในบัญชียอดสูงกว่า 1 ล้านบาทยังขยายตัวได้ที่ 6.0% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ขณะที่หนี้สินก็มีสัญญาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

‘บิ๊กตู่’ ตั้ง ‘เสรี วงษ์มณฑา - เกษมสันต์ วีรกุล’ เป็นบรรณาธิการบริหาร ศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต วางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. ช่วยตอบโต้เฟกนิวส์อย่างทันท่วงที

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลและศบค. กำลังเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ไทยที่ยังถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤตมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้ได้โดยเร็ว โดยได้เร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรค ทั้งในการเร่งรัดการจัดหาวัคซีน ปูพรมฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด การค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อเชิงรุกและนำผู้ป่วยทุกคนเข้าระบบการรักษาให้เร็วที่สุด รวมถึงให้ผู้ป่วยติดเชื้อเข้าถึงยาให้ไวที่สุด การสร้างสถานที่กักตัวให้เพียงพอทั้งในประเภท Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้งดูแลแรงงานและโรงงานในรูปแบบ Bubble and Seal ใช้ระบบการแพทย์ทางไกล (Tele-Medicine) ในระบบ HI และ CI จัดระบบการส่งยา รวมทั้งติดตามการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจร และสูตรยาอื่น ทั้งของยาจากต่างประเทศ เช่น Remdesivir หรือ Oseltamivir หรือ Hydroxychloroquine เพื่อให้ผู้ป่วยสีเหลืองและสีเขียวเข้าถึงยาได้กว้างขวางที่สุด รวมทั้งให้มีการจัดซื้อชุดตรวจ ATK อย่างโปร่งใส ชัดเจน ขณะเดียวกันต้องมีการจัดการขยะติดเชื้อแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง คือ การทิ้งขยะติดเชื้อที่ถูกต้อง การจัดเก็บ และปลายทาง คือ กระบวนการทำลายขยะติดเชื้อ

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤต ด้วยการตั้งศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ มีนายเสรี วงษ์มณฑา และนายเกษมสันต์ วีรกุล เป็นบรรณาธิการบริหาร เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งในรูปแบบคู่มือประชาชน คู่มือชุมชน ช่องทางติดต่อทั้งโทรศัพท์ สายด่วน ไลน์ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนทราบการปฏิบัติตัวตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ สิ่งที่สังคมต้องการ คือข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง มีความเป็นเอกภาพ โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ทั้งเรื่องวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ยาสมุนไพร สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ทุกหน่วยต้องแก้ข่าวบิดเบือน (Fake News) ให้ทันท่วงที  


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

17 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสถาปนาศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย 

ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับแสดงความจำนงบริจาคดวงตา จัดเก็บดวงตาผู้บริจาคเมื่อเสียชีวิต และจัดสรรดวงตาบริจาคให้จักษุแพทย์นำไปปลูกถ่ายกระจกตาให้แก่ผู้ป่วยกระจกตาพิการ โดยวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2512  ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ได้รับดวงตาบริจาคจากผู้ถึงแก่กรรมเป็นคู่แรก นำไปปลูกถ่ายกระจกตาให้แก่ผู้ป่วยกระตาพิการ 2 ราย  ดังนั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดีของผู้บริจาคดวงตา คณะกรรมการจัดหาและบริการดวงตาแห่งสภากาชาดไทย จึงมีมติให้วันที่ 17 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้ดำเนินงานมาครบ 56 ปี ในปี พ.ศ. 2564 นี้

​ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 ในปัจจุบัน ทำให้ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยและหน่วยงานเครือข่าย ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลทำให้สามารถจัดหาดวงตาบริจาคได้น้อยลง ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้มีการกำหนดมาตรการคัดกรอง

ผู้บริจาคที่เสียชีวิตก่อนดำเนินการจัดเก็บดวงตาอย่างเข้มข้น ​เพื่อความปลอดภัยของผู้รับดวงตาบริจาคและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าดวงตาบริจาคที่ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้รับนั้นมีความปลอดภัย ก่อนส่งมอบดวงตาบริจาคให้จักษุแพทย์นำไปปลูกถ่ายกระจกตาให้แก่ผู้ป่วยกระจกตาพิการ อย่างไรก็ตาม ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยและหน่วยงานเครือข่าย ยังมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยกระจกตาพิการให้ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดในท่ามกลางวิกฤติครั้งนี้

​ในปี 2564 ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยและหน่วยงานเครือข่าย ยังร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ป่วยกระจกตาพิการให้ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ตลอดจนการพัฒนาองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์และความร่วมมือด้านการแพทย์ เพื่อให้บุคลากรหน่วยงานเครือข่ายสามารถปฏิบัติงานด้านการจัดหาและบริการดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ ข้อมูลศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย (ตั้งแต่ 2508 - สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564) มีผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา 
จำนวน 15,506 ราย และมีผู้แสดงความจำนงบริจาคดวงตา (ตั้งแต่ 2508 - สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564) จำนวน1,452,327 ราย

​สำหรับการบริจาคดวงตาในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการแสดงความจำนงบริจาคดวงตาให้แก่ ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย สามารถใช้ช่องทางการแสดงความจำนงบริจาคได้ดังต่อไปนี้ บริจาคดวงตาผ่านเว็บไซต์ www.eyebankthai.com แจ้งความจำนงผ่านโทรศัพท์ หมายเลข 0 2256 4039-40 (ในวันและเวลาราชการเท่านั้น) หรือสอบถามข้อมูลได้ที่เหล่ากาชาดจังหวัด โรงพยาบาลเครือข่ายศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย และที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ

​เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย จำเป็นต้อง เลื่อนการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้อุทิศดวงตาให้แก่สภากาชาดไทยที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องในวันศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ประจำปี 2564 ออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

‘คณะนักศึกษาปริญญาเอก รุ่นที่ 21,23’ วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ ‘มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา’ ร่วมกันบริจาคเงิน อุปกรณ์ สิ่งของและอาหาร ให้กับผู้พิการและด้อยโอกาส

เมื่อวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564 ณ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ อาคาร 60 ปี ถ.ราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ "นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ" อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้เกียรติรับมอบเงิน / อาหาร / สิ่งของ / อุปกรณ์ต่าง ๆ จาก "คณะนักศึกษาปริญญาเอก รุ่นที่ 21,23" วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา" รวมพลังสายบุญ พลังจิตศรัทธา ของการทำคุณงามความดี ตอบแทนแผ่นดิน เพื่อช่วยเหลือคนพิการ / คนยากไร้ /  คนด้อยโอกาส 

โดยกิจกรรมในวันนี้เล็งเห็นความสำคัญของการร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และจิตอาสาทุกท่านเพื่อแก้ไขวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอยู่หลาย ๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยกันอย่างเต็มที่ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนคนไทย ที่จะคอยเป็นขวัญและกำลังใจ ในการปฏิบัติภารกิจ หน้าที่ของบุคลากรทุกท่าน เพื่อให้การช่วยเหลือมนุษยชาติ และประชาชนคนไทยอยู่รอดปลอดภัย และผ่านพ้นวิกฤตการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้ด้วยดี พร้อมกัน

ในการนี้ "นายชัยพร ภูผารัตน์" ผอ.สำนักงานสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย และ "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย ได้เป็นเกียรติเข้าร่วมกิจกรรมที่ดีงาม นี้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top