Thursday, 5 June 2025
NewsFeed

“สงคราม”อัด“บิ๊กตู่”บริหารแบบโง่ๆไม่มีทางแก้วิกฤตได้ ชี้ ไร้ปัญญาแก้โควิดทำประชาชนติดเชื้อใกล้แตะหลักล้านเสียชีวิตหลักหมื่น

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้อำนาจทุกอย่าง ใช้กฎหมายทุกมาตราอย่างเข้มข้น โดยหวังจะการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19  แต่สุดท้ายไร้ผล เพราะยิ่งแก้ยิ่งเพิ่มจนล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยใกล้แตะ 1 ล้านคนแล้วในขณะที่ผู้เสียชีวิตเกิน 7 พันคน 

ชัดเจนว่ารัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์ที่แบบโง่ๆ เพราะแม้ประชาชนอยู่บ้าน ก็ไม่สามารถหยุดเชื้อได้ ในทางกลับกัน บ้านหรือชุมชนหลายแห่งกลับเป็นแหล่งระบาดที่สำคัญที่สุด เพราะหลายชุมชนพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการรักษา ประชาชนยังคงติดเชื้อจนเสียชีวิตคาที่พักอีกหลาย 10 คนต่อวัน   ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะหามาตรการในการรักษาเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่าการขังเชื้อในชุมชน

นายสงครามกล่าวด้วยว่า รัฐบาลควรเร่งมาตรการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บางอย่างได้บ้าง ก่อนที่เศรษฐกิจจะเสียหายมากไปกว่านี้ เพราะจากมาตรการล็อคดาวน์ที่ออกมาส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีกทั่วประเทศ  ได้รับผลกระทบทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2.7 แสนล้านบาท กว่า 100,000 ร้านค้า เตรียมปิดกิจการ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานกว่าล้านคน

“แทนที่รัฐบาลจะเร่งฉีดวัคซีน กลับทำงานช้ารวมทั้งมีขั้นตอนมากมายกว่าที่ประชาชนจะได้รับวัคซีน จนถึงวันนี้พบว่า มีจำนวนประชาชนได้รับวัคซีนเพียง 23,476,869 ราย จากประชากรทั้งประเทศ ทั้งๆที่รัฐบาลบอกว่าประเทศไทยมีวัคซีนพร้อมฉีดให้ประชาชน แต่กลับไร้ความสามารถที่จะเร่งกระจายวัคซีน วิธีเดียวที่จะลดจำนวนผู้ป่วยหนักเข้านอนในรพ.และลดจำนวนคนเสียชีวิต คือการฉีดวัคซีน และต้องเร่งฉีดให้เร็วที่สุด ไม่ใช่รอถึงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ถึงเวลานั้นจำนวนผู้ติดเชื้อคงเกินล้านคนและเสียชีวิตเกิน 10,000 คนแน่ ยิ่งพลเอกประยุทธ์ยังคงใช้วิธีการบริหารแบบโง่ๆไม่มีทางแก้โควิดได้อย่างแน่นอน”นายสงครามกล่าว

ศรีสุวรรณ ยื่น ป.ป.ช. สอบ เจ้ากรมการแพทย์ทหารอากาศ-ผอ.รพ.ภูมิพล-จนท. พิรุธ วัคซีนเข็ม 3

ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องป.ป.ช.ขอให้ไต่สวนและวินิจฉัย กรณีมีพยาบาลด่านหน้ารายหนึ่งของ รพ.ภูมิพล ได้โพสต์ระบายว่าชื่อตกหล่น ไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 3 ได้ พร้อมกับปรากฎบัญชีรายชื่อบุคคลต่างๆที่มีรายชื่อซ้ำซ้อนกันเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าโฆษก ทอ.ออกมาแถลงว่าเจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ ยืนยันว่าไม่มีการสวมสิทธิ์หรือ แย่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 ของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช แต่อย่างใด เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนั้น

จากการตรวจสอบพบว่า รายชื่อดังกล่าวมีความผิดปกติ คือ มีรายชื่อซ้ำ เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ และใช้สัญลักษณ์ตัวเลขเป็นชื่อบุคคลมากถึง 172 รายชื่อ แทนที่จะเรียงลำดับความสำคัญ ไปเรียงลำดับตามตัวอักษรทำให้บุคลากรด้านหน้าไม่ได้รับการพิจารณาให้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 เป็นการเร่งด่วนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัยที่หน่วยงานที่มีทหารเป็นผู้บริหาร มักจะมีความเคร่งครัดในระเบียบในการจัดทำเอกสารต่างๆอย่างเคร่งครัด แต่ในกรณีนี้กลับปรากฏความผิดพลาดอย่างมาก อันชี้ให้เห็นเป็นข้อพิรุธ สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่บุคลากรด่านหน้าต้องออกมาระบายความในใจผ่านโซเชียลมีเดีย

กรณีดังกล่าว มีข่าวว่า มีการเร่งสอบสวนคนปล่อยรายชื่อหลุด และมีการเรียกผู้ที่โพสต์ระบายดังกล่าวไปพบเจ้ากรมการแพทย์ฯ ซึ่งอาจจะถูกเตือนหรือภาคทัณฑ์ หรือใด ๆ ทั้งๆที่ควรตรวจสอบว่าใครทำให้มีชื่อซ้ำซ้อน ด่านหน้าคนไหนชื่อตกหล่นและยังไม่ได้วัคซีน อันควรต้องเร่งจัดหามาให้เป็นการเร่งด่วน ซึ่ง ผบ.ทอ.ควรจะต้องตั้งกรรมการสอบเจ้ากรมการแพทย์ฯและผอ.รพ.ภูมิพล มากกว่าว่าปล่อยให้บุคลากรด่านหน้าของตนไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 อย่างรวดเร็วได้อย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก็มีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลแห่งนี้ต้องเสียชีวิตไป อย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีข้อพิรุธของการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ของโรงพยาบาลแห่งนี้หลายอย่าง ทั้งที่ได้รับการจัดสรรมากว่า 1,860 โดส ซึ่งมากกว่าจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่มีอยู่ แต่ก็ยังมีบุคลากรด่านหน้าที่เป็นแพทย์ และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยตรงประมาณ 100-200 คน ไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีนในครั้งนี้ แต่กลับมีการแถลงข่าวว่าจะขอรับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้าอีก 400 โดส จึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากยิ่งขึ้น ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความดังกล่าวมาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ในวันนี้ เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่เจ้ากรมการแพทย์ทหารอากาศ ผอ.รพ.ภูมิพล และเจ้าหน้าที่อื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระชากหน้ากากวีวีไอพี ออกมาให้ประชาชนได้รับรู้

‘ธนกร’ ซัด ‘จาตุรนต์’ เปิดตาดูเจ้าหน้าที่ถูกทำร้าย ย้อน เหตุรุนแรงจงใจทำให้เกิดโดยจนท.รัฐ ลั่นรัฐใช้กม.เป็นธรรม ชี้ คนทำร้ายจนท.-ทำลายทรัพย์สินราชการ-บิดเบือนข้อมูล ทำแตกแยกต้องได้รับโทษ

เมื่อวันที่16 ส.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.ศึกษาธิการ เตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมว่า เลิกคิดรักษาอำนาจด้วยการอ้างความวุ่นวายที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก่อ และหยุดใช้ความรุนแรงต่อประชาชนว่า นายจาตุรนต์ ไปอยู่ที่ไหนมา หรือว่าพยายามจะปิดหูปิดตา ถึงไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไปกี่นายแล้ว และถ้าหากนายจาตุรนต์คิดว่าเจ้าหน้าที่ก่อเหตุทำร้ายตัวเองนั้น ความคิดเช่นนี้ยุติธรรมดีแล้วหรือ กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องออกมารักษาความสงบของบ้านเมือง ทั้งที่ช่วงนี้กำลังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ก็ต้องมาทำหน้าที่เพราะฝีมือของคนบางกลุ่ม

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายจาตุรนต์ระบุว่า ประเทศกำลังจมดิ่งสู่ห้วงแห่งหายนะ ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วไปหมด เพราะความล้มเหลวในการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ จะอาศัยตรรกะเหตุผลว่า จำเป็นต้องบริหารประเทศต่อไปเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวาย คงจะไม่มีใครเชื่อฟังอีกต่อไปแล้วนั้น นายจาตุรนต์นอกจากจะต้องเปิดใจให้กว้างแล้ว ยังต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้างตามไปด้วย ที่ประเทศและประชาชนเดือดร้อนกันไปทั่วไม่ใช่เพราะการบริหารประเทศ แต่เป็นเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลและบุคลากรทางการแพทย์ต่างระดมสรรพกำลังช่วยกันแก้ปัญหาจนสำเร็จและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาแล้ว และสถานการณ์แบบนี้ก็เป็นไปทั่วโลก

ทุกประเทศประกาศมาตรการงดออกจากบ้านเพื่อหยุดเชื้อ ประชาชนต่างให้ความร่วมมืออย่างดี รวมถึงพี่น้องคนไทยด้วย จะมีก็เพียงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่สนความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงจัดกิจกรรมรวมกลุ่มอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนว่าบุคลากรทางการแพทย์จะต้องเหนื่อยยากลำบากเพิ่มมากขึ้นอีกขนาดไหนเท่านั้น

“การบอกว่าความรุนแรงวุ่นวายส่วนใหญ่เกิดจากการจงใจทำให้เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่รัฐเองนั้น ไม่อยากคิดว่าคนที่เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีจะคิดแบบนี้ได้ หรือว่าคิดจากมาตรฐานของตัวเองในสมัยที่เป็นรัฐบาลใช่หรือไม่ ยืนยันว่าท่านนายกฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนสากลทุกอย่าง ส่วนการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมนั้นนายจาตุรนต์ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคนที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินราชการ พยายามบิดเบือนข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสร้างความแตกแยกต้องได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘วัชระ’ ยื่นป.ป.ช. ฟันคลัสเตอร์ ‘สมศักดิ์’ !! รดน้ำสงกรานต์-ดื่มไวน์-ร้องคาราโอเกะ-ไม่ใส่หน้ากาก ทำโควิด-19 ระบาดทั่วสุโขทัย ตาย 3 ราย และติดเชื้อกว่าครึ่งร้อย

วันที่ 16 ส.ค. 64 นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงพลตำรวจเอกวัชรพล ประสานราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. และกรรมการทุกคน ขอให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด -19 รวมทั้งนายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.พลังประชารัฐ ประพฤติฝ่าฝืนกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉิน กฎหมายอื่น ๆ และประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2561 หรือไม่

ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 64 เวลาประมาณ 19.00 น. นายสมศักดิ์ และคณะ ซึ่งมีนายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เดินทางไปที่ร้านคาเฟ่ เดอ ทรี อ.เมือง จ.สุโขทัย ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ มีการจัดรดน้ำตามประเพณีสงกรานต์ และร้องเพลงคาราโอเกะ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย มีผู้ร่วมงานประมาณ 21 คน อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ เป็นการร่วมชุมนุมฝ่าฝืนพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ 2548 มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ผิดพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งในสถานการณ์ โควิด-19 ของนายกรัฐมนตรี และจังหวัดสุโขทัย กระทบกระเทือนต่อจิตใจของประชาชนที่เคารพกฎหมายทั้งประเทศ ทั้งที่นายสมศักดิ์ มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ควรต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชน เพราะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดโรคระลอกที่ 3 แต่ยังบังอาจฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นความผิดอาญาและมาตรฐานทางจริยธรรม ผลของการจัดงานดังกล่าว ปรากฏว่าทำให้ผู้ร่วมงานติดโรคโควิด-19 จำนวน 21 คน มีผู้เสียชีวิต 3 คน และแพร่ไปทั่วจังหวัดสุโขทัย จำนวน 55 คน

สำหรับผู้เสียชีวิตคือนางอรพรรณ ภู่หลำ อายุ 63 ปี ชาว จ.สุโขทัย เสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 เม.ย.64 ที่กทม. / นางสิริรัตน์ โพธิ อายุ 66 ปี ชาวจ.สุโขทัย เสียชีวิตที่รพ. สุโขทัย เมื่อวันที่ 17 พ.ค.64 และ นายณัฐพล ติวุตานนท์ อายุ 42 ปี ชาวจ.สุโขทัย เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 64 ที่ รพ.สุโขทัย

นายวัชระ กล่าวว่า นายณัฐพล รับราชการหัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ ผังเมืองสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดสุโขทัย  ไปพร้อมกับภริยา และบุตรเล็ก ๆ 2 คน ปรากฏว่าทั้งครอบครัวติดโควิด 19  จำนวน 3 คน เมื่อนายณัฐพล เสียชีวิตทำให้ขาดผู้นำในครอบครัว ส่งผลต่ออนาคตของครอบครัวที่ขาดเสาหลักไป ตนได้หารือกับบิดานายณัฐพลแล้ว จึงขอส่งหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการป.ป.ช. ให้พิจารณาพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ของนายสมศักดิ์ และไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อครอบครัวของผู้ตาย แม้แต่พวงหรีดก็ไม่ได้ส่ง และไม่ได้แสดงสปิริตความรับผิดชอบต่อประชาชนแต่อย่างใด

อนึ่ง การกระทำของนายสมศักดิ์ อาจเข้าข่ายผิดมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 6-10 ข้อ 11,12,13,15 ,17,21 และ 23 หรือไม่

การระบาดโรคโควิด-19 ระลอกที่ 3 ไม่ใช่เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีความผ่อนคลายกับสถานการณ์ควบคุมโรคตามที่นายกรัฐมนตรีลงนามประกาศข้อกำหนด ฉบับที่22 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 64  แต่เป็นเพราะรัฐมนตรีในรัฐบาล ฝ่าฝืนกฎหมายและคำสั่งของนายกรัฐมนตรีนั่นเอง  นายวัชระ ยังยกตัวอย่างกรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สวมหน้ากากอนามัยยังถูกพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่ากทม.ไปจับ-ปรับ 6,000 บาท ถึงทำเนียบรัฐบาล แต่กรณีนายสมศักดิ์ มีนายวิรุฬ พรรณเทวี เป็นผู้ว่าฯสุโขทัย ได้รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือไม่

“ราเมศ” ย้ำ ไม่กังวล ฝ่ายค้าน ยื่นอภิปราย “เฉลิมชัย” พร้อมชี้แจง มั่นใจ สุจริต ทำตามกฎหมาย สร้างประโยชน์แก่เกษตรกร

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของฝ่ายค้าน โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีด้วย ว่า

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่ได้มีความกังวลใจใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมชี้แจงในสภาทุกประเด็น การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องปกติในระบบรัฐสภาภายใต้ระบอบประชาธิปไตย การตรวจสอบฝ่ายบริหารจากฝ่ายค้านถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็มีหน้าที่ชี้แจง เป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมือง ไม่มีอะไรน่ากังวล 

ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน ตรวจดูแล้วเป็นการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงตรงข้ามกับความเป็นจริง การกล่าวหาว่าไร้ภูมิปัญญาและไร้ความสามารถในการบริหารงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อกล่าวหานี้ขัดแย้งกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ที่มีคำตอบชัดเจนคือความสามารถในการทำงานให้เกษตรกรได้ประโยชน์ เป็นรัฐมนตรีที่แก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรอย่างเป็นระบบและยั่งยืนที่สุด ไม่ได้ล้มเหลวดังที่ฝ่ายค้านกล่าวหา ที่สำคัญไม่มีเรื่องทุจริตใดๆทั้งสิ้น ยึดความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง ปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ 

“คนชื่อเฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่เคยเข้าไปมีส่วนได้เสีย ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการใดๆทั้งสิ้น ไม่เคยเบียดบังทรัพยากรและสมบัติของแผ่นดิน ส่วนเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ ไม่เคยปล่อยปละละเลย ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ รวมถึงการชดเชยเยียวยาพี่น้องเกษตรกร ที่ทั่วทั้งประเทศทราบถึงการทำงานของนายเฉลิมชัยดีว่า พี่น้องเกษตรกรได้ประโยชน์มากมาย รายละเอียดจะไปชี้แจงต่อสภาทุกประเด็นหมัดต่อหมัด”  

เพียงแต่ฝ่ายค้านจะต้องนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง ไม่อยากให้มีการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมาเชื่อมโยงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด เพราะจะเข้าตัวฝ่ายค้านได้ การอภิปรายโดยยึดหลักการข้อบังคับอย่างตรงไปตรงมา ก็จะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเชิงสร้างสรรค์

นายราเมศ ย้ำว่า พร้อมชี้แจงในทุกประเด็น ชัดเจน ตรงไปตรงมา ที่อยากจะย้ำคือเมื่อการทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรียึดหลักความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง ก็จะเป็นเกราะคุ้มกัน และเป็นคำตอบได้ดีที่สุด ไม่ได้โกงก็ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลหรือกลัว และจะใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ถึงการทำงานที่เกิดผลสำเร็จนับไม่ถ้วนในทุกเรื่อง ประชาชนได้ประโยชน์อย่างมากมาย และจะนำความจริงที่เป็นผลงานไปพูดในสภาฯ สื่อให้ประชาชนเข้าใจ

นายราเมศ กล่าวด้วยว่า  โดยหลักการของพรรคก็จะได้ตั้งทีมสนับสนุนข้อมูลให้กับรัฐมนตรีของพรรค ทั้งในสภาและนอกสภา ส่วนตนจะเป็นหัวหน้าทีมในการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน หากฝ่ายค้านบิดเบือนข้อมูล และพรุ่งนี้ในที่ประชุม ส.ส.จะได้มีการหยิบยกเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจมาพูดคุยกันต่อไป

6 พรรคร่วมฝ่ายค้านผนึกกำลังยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 รัฐมนตรี ไร้เงา ประวิตร-ธรรมนัส พิธาย้ำพรรคร่วมฝ่ายค้านผสานกำลังใช้กลไกสภาแก้ไขวิกฤติโควิด เร่งถอดสลักประยุทธ์ ต้นเหตุบ่มเพาะความขัดเเย้งประชาชน

พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมอีก 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเพื่อชาติ, พรรคพลังปวงชนไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ในนามนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์

ทั้งนี้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ประกอบด้วย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเเรงงาน และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม

ทางด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยกระบวนการเหมือนกับการอภิปรายทุกครั้ง ทุกพรรคมีความต้องการในอภิปรายเเละเสนอรัฐมนตรีที่ไม่ไว้วางใจของตนเอง เเต่ในที่สุดเเล้วเราต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และมีมติว่าเราจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีเเละรัฐมนตรีทั้งหมด 6 คนสำคัญ มีความจำเป็นจะต้องพูดคุยกัน เพื่อรักษาบรรยากาศการทำงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน

พิธากล่าวเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ ซึ่งเร็วกว่าตามกรอบเวลาปกตินั้น ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านเราตั้งใจที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ เพื่อที่จะใช้กลไกสภาแก้ไขวิกฤติเเละลดความขัดเเย้ง โดยมีความจำเป็นที่ต้องถอดสลักพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อที่จะให้ประเทศสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ตนมีความเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แตกต่างจากครั้งก่อนๆ พอสมควร ในครั้งนี้ความเดือดร้อนเเละความลำบากของพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง พรรคก้าวไกลได้ประกาศออกไปว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยพี่น้องประชาชนให้ความสนใจเเละมีส่วนร่วม ซึ่งพี่น้องประชาชนส่งข้อมูล ส่งภาพเเละเนื้อหามาประกอบการอภิปรายให้ตนเเละพรรคก้าวไกลอย่างไม่ขาดสาย

เเละขณะนี้บรรยากาศนอกสภาเเละในสภาตรงกัน ความชอบธรรมในการบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เเทบจะไม่เหลือเเล้วนอกสภา เราต้องการใช้กลไกลในสภาตอนนี้เพื่อให้เกิดเเรงสั่นสะเทือนและอาฟเตอร์ชอกต่อไป เมื่อถามถึงว่า มีความขัดเเย้งภายในพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่นั่น พิธากล่าวว่าไม่มี ประชาชนต้องมาก่อน เราต้องการใช้กลไกในรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แน่นอนว่าในอดีตแต่ละพรรคมีความเห็นของตนเอง มีความเเตกต่างกันบ้าง เเต่เรามีวุฒิภาวะพอที่จะวางความแตกต่างนั้นลงเเละร่วมมือกันทำอย่างเต็มที่ที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

ขณะที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่าการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านเราได้ร่วมกันพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ซึ่งแน่นอนมี ส.ส. ได้เสนอรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อพิจารณาแล้วสรุปจบที่ 6 รัฐมนตรี เนื่องจากการขอเปิดอภิปรายไม่วางใจในครั้งนี้จะเน้นเป้าไปที่เรื่องการบริหารจัดการโควิด-19 เรื่องเศรษฐกิจ และ เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นหลัก สำหรับช่วงเวลาในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมฝ่ายค้านเราอยากจะได้กรอบเวลาดังเช่นการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในทุกครั้งที่ผ่านมาคือไม่น้อยกว่า 3 วัน

โดยภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นเรามีหลักฐานมากพอที่จะส่งเพื่อเอาผิดรัฐบาล โดยรัฐบาลก็ต้องคิดว่าท่านจะรับฟังการอภิปรายอย่างไร ประชาชนก็มีความเดือดร้อนกันอย่างไรในการจัดการต่างๆ และต้องฝากไปยังประชาชนที่เลือกผู้แทนราษฎรเข้ามาว่าท่านจะต้องจับตาว่า ส.ส. ที่ท่านเลือกมาเข้ามาเห็นแก่ใคร เค้าเห็นแก่พี่น้องประชาชนหรือไม่ที่กำลังล้มตายกันอยู่ขณะนี้ จึงขอวิงวอน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลให้ร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจเพราะครั้งนี้คือที่สุดแล้ว ส.ส.ที่ท่านยังมีความคิดความอ่านท่านต้องระลึกถึงประชาชนที่เลือกท่านเข้ามา เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้ายังมีอีก

ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังรับยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า กระบวนการหลังจากนี้จะนำสู่การตรวจสอบรายชื่อ ส.ส. ผู้ที่ลงรายชื่อในญัตติว่ามีความครบถ้วน และมีรายชื่อซ้ำหรือไม่ ขณะเดียวกันเนื้อหาในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่วางใจจะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณา 7 วันหลังจากนี้จากนั้นจะดำเนินการเพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน

ขณะเดียวกันการขอเปิดอภิปรายไม่วางใจในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ไม่เหมือนการเปิดอภิปรายเมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมาที่เป็นการยื่นขอเปิดอภิปรายในช่วงสมัยประชุมที่ 2 ของปี แต่ครั้งนี้เป็นการขอเปิดอภิปรายในสมัยประชุมแรกของปี ดังนั้นหลังจากนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านยังสามารถที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติได้อีกครั้งหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ขณะเดียวกันในช่วงการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้ฟังไจรัฐบาลจะยุบสภาในช่วงนี้ไม่ได้

โดยคาดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายคนนั้นจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน 2564

ภท. มั่นใจ “เสี่ยหนู-เสี่ยโอ๋” แจงฝ่ายค้านได้ หลังติดโผถูกซักฟอก 

นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ว่าตนคิดว่าทางรัฐมนตรีคงคาดการณ์ไว้แล้ว ว่าฝ่ายค้านคงหยิบประเด็นเรื่องโควิด - 19 ที่ค่อนข้างจะรุนแรงในขณะนี้ มาเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อยู่แล้ว จึงเชื่อว่าทั้งนายอนุทิน และนายศักดิ์สยาม คงได้เตรียมตัวไว้แล้ว ซึ่งคงชี้แจงไปตามหลักฐาน ตามเหตุผล ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ตนเชื่อว่าทั้งสองท่านจะมีข้อมูลที่นำมาชี้แจงกับทางฝ่ายค้านได้ 

นายภราดร กล่าวต่อว่า ส่วนจะมีการตั้งวอร์รูมหรือเตรียมขุนพลไว้สำหรับช่วยรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ส.ส.ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปอภิปราย เป็นเรื่องของฝ่ายค้านกับรัฐมนตรีที่จะชี้แจงกัน สำหรับกรณีของนายศักดิ์สยามนั้น ตนก็มั่นใจว่าท่านก็ตอบได้ เพราะการติดโควิด - 19 เป็นเรื่องปกติ และที่บอกว่าท่านติดจากการไปเที่ยวผับนั้น ในส่วนนี้ท่านก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่าติดมาจากคนขับรถ ติดมาจากทีมงาน

เมื่อถามว่าในการอภิปรายครั้งนี้คิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะยังลงมติไว้วางใจให้รัฐมนตรีอยู่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ต้องรอฟังเหตุผลว่าจะเป็นอย่างไร มีข้อมูลที่ชัดเจนเรื่องการทุจริต เรื่องการคอร์รัปชั่นหรือไม่ หรือบริหารผิดพลาดเช่นนี้ก็ต้องรอฟังข้อมูลจากฝ่ายค้านดู 

ถามต่อว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านมั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ในส่วนนี้มองอย่างไร นายภราดร กล่าวว่า ต้องรอฟังข้อมูลว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนแค่ไหน 

'ท่านใหม่ - ดร.นิว' ประกาศภารกิจทวงคืนกิจการดาวเทียมเป็นของคนไทย ตั้งคำถาม ใบอนุญาตนอกสัมปทานของดาวเทียมไทยคม เป็นใบอนุญาตที่ผิดกฎหมายหรือไม่?

ไม่นานมานี้ มจ.จุลเจิม ยุคล หรือ 'ท่านใหม่' ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก 'จุลเจิม ยุคล' ระบุว่า..."ต่อไปนี้ เรามีภารกิจทวงคืนกิจการดาวเทียมกลับมาเป็นของประชาชน คนไทย"

ขณะที่ด้านเฟซบุ๊ก 'Suphanat Aphinyan' ของ 'ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ' หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas สหรัฐอเมริกา ก็ได้ออกมาโพสต์ว่า...

กรณีดาวเทียมไทยคม 7, 8 ที่ไม่ยอมส่งคืน...

บริษัทไทยคมมีอะไรจะแก้ตัวกับประชาชนไหม?

บริษัทไทยคมไม่ยอมส่งคืนดาวเทียมไทยคม 7, 8 ให้กับประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็นดาวเทียมที่ได้รับใบอนุญาตนอกสัมปทาน

เมื่อตรวจสอบจากข้อมูลหมายเลขประจำตัวของวัตถุอวกาศ หรือ NORAD ID

- ดาวเทียมไทยคม 7

หมายเลข NORAD ID: 40141

https://www.n2yo.com/satellite/?s=40141

พบว่า...ดาวเทียมดวงนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Asiasat 6" ไม่ใช่ "Thaicom 7" และเป็นดาวเทียมของ "บริษัท Asia Satellite Telecommunications Co. Ltd."

- ดาวเทียมไทยคม 8

หมายเลข NORAD ID: 41552

https://www.n2yo.com/satellite/?s=41552

พบว่า...ดาวเทียมดวงนี้เป็นของ "ประเทศไทย"

ทำไมข้อมูลที่เป็นทางการในระดับสากลอย่าง NORAD ID ถึงต่างจากสิ่งที่บริษัทไทยคมนำเสนอต่อสังคมมาโดยตลอด?

ใบอนุญาตนอกสัมปทานของดาวเทียมไทยคม 7, 8 เป็นใบอนุญาตที่ผิดกฎหมายหรือไม่?

ดาวเทียมไทยคม 7 ที่สมควรเป็นของประเทศไทย กลายเป็นดาวเทียมต่างชาติได้อย่างไร? ดาวเทียมไทยคม 8 ที่เป็นของประเทศไทยในทางสากล ถูกแอบอ้างว่าเป็นของบริษัทไทยคมได้หรือ?

#ภารกิจทวงคืนกิจการดาวเทียมกลับมาเป็นของประชาชน


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/271669

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4450177405044863&id=100001579425464


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โฆษกศบค. เผย 4 วาระสำคัญ ถกในศบค.ใหญ่ ย้ำ ให้รอฟังแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ชี้ ข่าวที่ถูกเสนอก่อนแถลงนั้นเป็นข้อมูลเท็จ

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีวาระการประชุมศบค.ใหญ่ ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ว่า วันนี้จะมีการประชุมผ่านระบบทางไกลวีดีโอคอนเฟอเรนซ์โดยมี ผอ.ศบค. เป็นประธาน โดยมีเรื่องพิจารณาที่สำคัญ4 เรื่อง ได้แก่ แผนการให้บริการวัคซีน โควิด-19 , การรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และการสาธารณสุข จากต่างประเทศเช่นกรณีการแลกวรรคซีนระหว่างรัฐบาล ประเทศภูฏานกับรัฐบาลไทย การรับบริจาคยารักษาโควิด- 19 ชนิดหนึ่ง จากทางกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมันนี , การประเมินผลการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อ โควิด-19 ซึ่งหลายคนกำลังรอฟังว่ามาตรการต่างๆจะมีการปรับอย่างไร , การเปิดพื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเชื่อมต่อกับจังหวัดนำร่องอื่นๆ 7+7 เหล่านี้คือประเด็นที่สำคัญ และยังประกอบไปด้วยประเด็นย่อยๆ อื่นๆด้วย ซึ่งผลการประชุมเป็นอย่างไรจะได้มาแถลงข่าวให้ทราบภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขอฝากสื่อมวลชนและประชาชนว่า ขอให้รับฟังอย่างเป็นทางการในการแถลงข่าวจากศบค. ข้อมูลที่ออกไปก่อนการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการนั้นไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นข้อสรุปที่ชัดเจนอย่างแท้จริง ขออนุญาตด้วยความเคารพ เพราะเราต้องการให้มีชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และเป็นจริงจึงขอให้รับฟังจากการแถลงข่าว จากศูนย์แถลงข่าวศบค. แห่งนี้ที่เดียว เพื่อความเป็นเอกภาพของข้อมูลที่จะสื่อสารออกไป

ฟังเสียงประชาชน! ลำปางจัดขบวน #Carmobsลำปาง ขับไล่พลเอกประยุทธ์ ครั้งที่ 2 มีรถเข้าร่วมกว่า 1,000 คัน

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 15 ส.ค. 2564 ที่ จ.ลำปาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ บริเวณสวนสาธารณะเขลางค์นคร อ.เมืองลำปาง กลุ่มพิราบขาวเพื่อมวลชน มธ.ศูนย์ลำปางได้มีการจัดขบวน #carmobsลำปาง โดยเคลื่อนขบวนเวลา 16.00 น.จุดเริ่มต้น สวนสาธารณะเขลางค์ฯ - สามแยกโรงน้ำแข็ง - สวนอากง- วงเวียนหน้าสถานีรถไฟ- แยกดอนปาน - โรงเรียนมัธยมวิทยา - โรงเรียนประชาวิทย์ - ห้าแยกหอนาฬิกา-กาดออมสิน - มิวเซียมลำปาง - หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง -แล้ววกกลับมาที่ ถนนหน้าที่ทำการไปรษณีย์ไทย- ถนนทิพย์ช้าง -กลับไปยังจุดเริ่มขบวนสวนสาธารณะเขลางค์ฯ โดยมีรถนำขบวนรถแห่คันที่ 1 รถจักรยานยนต์มวลชน รถน้ำ รถยนต์มวลชน รถแห่คันที่ 2 รถยนต์มวลชนและ รถปิดท้าย กล่าวถึงการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 โดยมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เข้าร่วมขบวนกว่า 1,000 คัน เคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางดังกล่าวพร้อมกับบีบแตร ชู 3 นิ้วรอบเมือง แสดงพลังขับไล่นายกฯ ก่อนขบวนจะหยุดอ่านแถลงการณ์หน้าจวนผู้ว่าฯ โดยมี ตร.จราจร สภ.เมืองลำปางดูคอยดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรด้วย

ทั้งนี้ #carmobs ลำปางที่จัดขึ้น มีผู้ร่วมอุดมการณ์แสดงเจตนารมย์ในการขับไล่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อขบวนไปถึงหน้าจวนผู้ว่าฯแกนนำได้กล่าวแถลงการณ์ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล เกี่ยวกับการแก้ปัญหาโควิด การจัดหาวัคซีน การรักษาทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก การแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อไม่ให้มีการสืบทอดอำนาจ และให้พลเอกประยุทธ์และ ครม.ลาออก ก่อนเคลื่อขบวนกลับที่จุดเดิมและประกาศสิ้นสุดกิจกรรมก่อนแยกย้ายกันกลับในเวลา 18.00 น. โดยได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ สังเกตุการณ์และรักษาความสะดวกเรียบร้อยจำนวนมาก

"โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากจัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมาเพื่อร้องให้รัฐบาลฟังเสียงประชาชน ประชาชนจับมือและร่วมใจกันลงถนน เพื่อเรียกร้องการมีชีวิตรอดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่รัฐบาลไม่สนใจ นอกจากนี้ยังตอบแทนความหวังดีด้วยการใช้ความรุนแรง การออกมาขับไล่รัฐบาลทรราชย์ จึงเป็นหน้าที่ของประชาชน “ แกนนำกลุ่มฯกล่าว


ภาพ/ข่าว  วินัย / ลำปาง รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top