Friday, 6 June 2025
NewsFeed

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ แนะรัฐกู้เพิ่ม 1 ล้านล. - ขึ้นแวต

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบทำให้รายได้ครัวเรือนหายไป โดยประเมินภาพรวม 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563 - 65 รายได้ครัวเรือนจะหายไปถึง 2.6 ล้านล้านบาท ทำให้เงินภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลัง เพื่อช่วยให้รายได้ และฐานะทางการเงินของประชาชนและเอสเอ็มอีกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด 

ทั้งนี้มองว่า รัฐต้องเติมเข้าไปในระบบอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7% ต่อจีดีพี ซึ่งเป็นการกู้เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ 1.5 ล้านล้านบาท โดยในกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท จะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 70% ต่อจีดีพี ในปี 2567 แต่จะลดลงได้ค่อนข้างเร็วตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็ว 

ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม พบว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 74 จะต่ำกว่ากรณีที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินเพิ่มเติมถึงกว่า 5% ดังนั้น รัฐบาลต้องปฏิรูปการจัดเก็บภาษีผ่านการขยายฐานภาษี และนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ รวมทั้งปรับอัตราภาษีบางประเภท ซึ่งในท้ายที่สุดก็ต้องปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต)

ส่วนการใช้จ่าย มาตรการเงินโอนควรต้องตรงจุด และควรกำหนดเงื่อนไขของการได้รับเงินโอน พร้อมทั้งควบคุมรายจ่ายประจำและเพิ่มสัดส่วนของรายจ่ายลงทุน หากภาครัฐทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวตามศักยภาพได้เร็ว จะช่วยเร่งการเข้าสู่ความยั่งยืนทางการคลังได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากฐานภาษีและความสามารถในการจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้น เช่น กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว หากรัฐบาลเพิ่มอัตราแวต 1% จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 60,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะลดลงเพิ่มเติมได้อีก 0.33% ต่อจีดีพี

รมว.แรงงาน เร่งจัดส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศตามเป้าปี 64 เผยสร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว 1.5 แสนล้านบาท

รมว.แรงงาน เผยเป้าหมายจัดส่งแรงงานทำงานต่างประเทศ จำนวน 100,000 คน จัดส่งแล้ว 38,019 คน เตรียมส่งตามแผน 61,981 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 153,006 ล้านบาท

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 100,000 คน โดยจัดส่งแล้ว 38,019 คน แบ่งเป็นไต้หวัน 10,641 คน อิสราเอล 5,593 คน สวีเดน 5,287 คน ฟินแลนด์ 3,363 คน ญี่ปุ่น 1,948 คน ประเทศอื่นๆ 11,187 คน และอยู่ระหว่างจัดส่งตามแผนอีก 61,981 คน ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือน ก.ค. 64 มีแรงงานไทยที่ยังทำงานอยู่ในต่างประเทศรวม 110 ประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 118,572 คน ส่งรายได้กลับประเทศผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว 153,006 ล้านบาท 
 
“รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างมาก โดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จะมุ่งเน้นการรักษาตลาดแรงงานเดิมซึ่งก็คือการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่องกับงานภาคการเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC) งานภาคอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่น ผ่านองค์กร IM JAPAN  และงานภาคก่อสร้าง อุตสาหกรรม และการเกษตรในสาธารณรัฐเกาหลี ผ่านระบบ EPS ควบคู่การขยายตลาดแรงงานใหม่ที่มีแนวโน้มความต้องการแรงงานไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว 
 
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน มีกำหนดการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จำนวน 410 คน  แบ่งเป็น สาธารณรัฐเกาหลี 60 คน เดินทางระหว่างวันที่ 17 – 19 สิงหาคม และรัฐอิสราเอล 350 คน ทะยอยเดินทางวันที่ 25 สิงหาคม จำนวน 150 คน และวันที่ 30 สิงหาคม จำนวน 200 คน โดยแรงงานไทยสามารถเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย 5 วิธี คือ 1.กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 2.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 3.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างของตนไปทำงานต่างประเทศ 4.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานแจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีเดินทางถูกกฎหมายดังกล่าวจะทำให้แรงงานไทยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ค่าจ้างที่เหมาะสม และยังได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมีด้วย 
  
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ www.doe.go.th/overseas

เล็งขยายเวลาตึงราคาแอลพีจีช่วยชาวบ้านถึงสิ้นปี

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังหารือเบื้องต้นถึงแนวทางขยายกรอบการตรึงราคาแอลพีจี เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพไปจนถึงสิ้นปี 2564 หลังจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้ขยายเวลาตรึงราคา LPG ไว้เท่าเดิมที่ 318 บาทต่อขนาดถังละ 15 กิโลกรัม ไปจนถึงสิ้นเดือน.ก.ย.นี้ โดยอาจต้องขยายกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอุดหนุนอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้หารือกับปตท.ถึงกรณีของราคาก๊าซ เอ็นจีวี ซึ่งล่าสุด บมจ.ปตท. ได้ประกาศขยับราคาขึ้น0.93บาท/กก.ราคาขายปลีกเขตกทม.อยู่ที่ 15.48บาท/กก. แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นราคาผันแปรตามราคาต้นทุนก๊าซที่ขยับขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ขยับขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้เอ็นจีวี ซึ่งจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะหาทางช่วยเหลือผู้ใช้ต่อไป  

‘เพื่อไทย’ จัดหนัก ‘ประยุทธ์’ ซักฟอกด้านเศรษฐกิจ ชี้ภาพจำ 6 ปัญหาที่กระทบประชาชน ภาวะกบต้ม บริหารด้วยการโดนด่า บริหารแบบรอวันเจ๊ง จัดลำดับความสำคัญไม่ได้ ปิดปากคนเห็นต่าง และ #ผนงรจตกม แนะ ทำตรงข้ามกับที่ทำอยู่

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอีก 5 รัฐมนตรีที่บริหารงานผิดพลาดสร้างปัญหาทำให้คนเจ็บคนตายเป็นจำนวนมาก และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทางด้านเศรษฐกิจอย่างหนักต่อประธานสภาฯ ในวันนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตรียม ส.ส. ที่มีความรู้ความชำนาญด้านเศรษฐกิจ พร้อมอภิปรายจัดหนักพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าในปัจจุบันประชาชนทุกคนเห็นได้ชัดเจนถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ โดยจะมีภาพจำใน 6 ปัญหา ดังนี้

1.) ภาวะกบต้ม ตามทฤษฎีกบต้มที่เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่จริงที่มีมากว่า 100 ปีแล้ว แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่มีความรู้เลยส่งคนมาฟ้องผม แต่ผมโชคดีมีนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย คุณนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ มาช่วยเหลือในคดี ทำให้สำนักอัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะเป็นหลักคิดทางเศรษฐกิจสากล โดยกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจที่จะค่อย ๆ ทรุดลงเรื่อย ๆ เหมือนค่อย ๆ เร่งไฟหม้อต้มกบ กบจะค่อย ๆ ปรับตัวจนถูกต้มเดือดตาย ซึ่งภาวะกบต้มของไทยนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกวัน ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำเตี้ยมาตลอด พอมาเจอวิกฤตโควิดจึงเหมือนเป็นการเร่งไฟหม้อกบต้ม คนเจ็บคนตายเป็นจำนวนมาก ธุรกิจเจ๊งกันมาก แถมยังไม่มีทิศทางจะฟื้นเศรษฐกิจได้เลย ไทยอยู่อันดับบ๊วยในการจัดอันดับประเทศที่จะฟื้นตัวช้าที่สุดในสื่อหลักญี่ปุ่น และบทความในสื่อนี้ ยังระบุชัดเจนว่าการที่ไทยไม่ฟื้นหรือฟื้นช้าหมายถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงถึงภาวะกบต้มอย่างชัดเจน

2.) บริหารโดยการโดนด่า เรื่องนี้หากจำกันได้ผมเป็นคนแรกในการชี้ประเด็นนี้ โดยพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยคิดหรือวางแผนล่วงหน้า ถูกด่าถึงจะคิดแก้ไข ตั้งแต่การล็อกดาวน์ในครั้งแรกและไม่คิดจะเยียวยาจนต้องโดนด่าถึงคิดเยียวยา พอเยียวยาก็เยียวยาไม่ทั่วถึง จนต้องโดนด่าถึงจะทำ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันที่การบริหารจัดการวัคซีนยังมั่วมาก ยังต้องด่าถึงจะแก้ไข แต่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่เลย นอกจากนี้ประชาชนยังเชื่อว่าการบริหารจัดการวัคซีนที่มั่วมากและผิดพลาดขนาดนี้น่ามาจากเพราะมีผลประโยชน์และมีการทุจริตคอร์รัปชันเกี่ยวข้องด้วย

3.) บริหารแบบรอวันเจ๊ง การที่พลเอกประยุทธ์ ขาดความรู้ความสามารถ ปล่อยประเทศและประชาชนตามยถากรรม ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องล็อกดาวน์นานเท่าไหร่ถึงจะปลดล็อกดาวน์ได้ ประกาศจะเปิดประเทศใน 120 วัน โดยจะครบวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้แน่ แค่จะปลดล็อกดาวน์ในวันที่ 14 ตุลาคมก็ยังทำไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าวัคซีนที่มีคุณภาพจะมาเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีวัคซีนจะปลดล็อกได้อย่างไร คนติดไวรัสและคนตายจะลดลงไหม เศรษฐกิจจะพินาศขนาดไหน

โดยคาดกันว่าการล็อกดาวน์จะทำความเสียหายถึงเดือนละ 3-4 แสนล้านบาทเป็นอย่างต่ำ เศรษฐกิจไทยน่าจะติดลบอีกในปีนี้หลังจากปีที่แล้วติดลบหนักแล้วถึง -6.1 % แล้วพลเอกประยุทธ์ จะฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างไร ที่ผ่านมายังไม่เคยพิสูจน์เลยว่าทำได้ เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจกี่ครั้งก็ยังล้มเหลว พลเอกประยุทธ์ เป็นหัวหน้าทีมเองยิ่งล้มเหลวหนักมากขึ้น ทุกวันนี้บริหารเหมือนรอวันเจ๊ง คิดได้แค่กู้เงินมาแจกไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาบุญเอาคุณกับประชาชน โดยประเทศไม่ได้พัฒนา หนี้สาธารณะพุ่งกระฉูด เป็นการยืมเงินของลูกหลานในอนาคตมาแจก อีกหน่อยลูกหลานก็ต้องตามใช้หนี้กันอาน

4.) ไม่สามารถลำดับความสำคัญได้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำพิการทางความคิด เรื่องที่สำคัญควรเร่งทำก่อน กลับไม่ยอมทำ เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนน่าจะเห็นชัดสุด กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท แต่กลับไม่ยอมนำเงินไปซื้อวัคซีนที่มีคุณภาพ ทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่คนเจ็บคนตายพุ่งขึ้นจำนวนมาก กู้เงินอีก 5 แสนล้านบาท ก็ยังไม่เห็นวัคซีนที่มีคุณภาพเข้ามาเลย วัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐอเมริกามา บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ากลับไม่ได้รับการฉีดให้ครบ ทหารกลับได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อน ขนาด รมว. สาธารณสุขยังงงและยอมรับเอง และในขณะที่คนเจ็บคนตายจำนวนมาก เศรษฐกิจเจ๊งหนัก พลเอกประยุทธ์ ในฐานะ รมว. กลาโหม กลับปล่อยให้กองทัพเรือเสนอเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำเข้ามาขออนุมัติ แม้สุดท้ายจะถอนออกไปแต่ความจริงคือแค่คิดเสนอเข้ามาแต่แรกก็ผิดแล้ว แสดงถึงการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้เลย ซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องที่พูดได้อีกมาก

5.) ปิดปากคนเห็นต่าง เรื่องนี้ยังเป็นปัญหาอย่างมากตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หากจำกันได้สมัยที่เป็นเผด็จการได้เรียกผู้เห็นต่างจำนวนมากไปปรับทัศนคติ ซึ่งรวมถึงผมด้วยที่โดนเรียกไปถึง 12 ครั้ง จากการเตือนเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งต่อมาเศรษฐกิจก็ทรุดหนักและแย่จริง และหลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว ก็ยังคงปิดปากผู้เห็นต่างตลอด มีการฟ้องดำเนินคดี เพื่อปิดปาก ดารา นักร้อง นักแสดง ที่ทนการบริหารที่ล้มเหลวไม่ได้ ต้องออกมา call out แม้กระทั่งพยายามจะปิดปากสื่อมวลชน แต่โชคดีที่ศาลตัดสินว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย แม้กระทั่งการชุมนุมเพื่อประท้วงความล้มเหลวที่พลเอกประยุทธ์ ล้มเหลวจริงยังถูกเจ้าหน้าที่ยิงด้วยกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ถึงขนาดมีการลอบยิงจากที่สูง ซึ่งไม่ใช่ตามหลักการสากลตามที่อ้างไว้แน่นอน และล่าสุดผู้ประท้วงที่ยอมรับว่ากลับใจจากการเป็นสลิ่ม นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวน หรือ ไฮโซลูกนัท ยังถูกยิงถึงกับทำให้ตาบอดเลย ซึ่งไม่มีใครสมควรจะโดนการกระทำอย่างรุนแรงเช่นนี้

6.) #ผนงรจตกม หรือ ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด ซึ่งต้องขอชื่นชมนักศึกษาที่ขึ้นป้ายนี้ในฟุตบอลประเพณีต้นปี 2563 เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของเด็กรุ่นใหม่ได้อย่างแม่นยำที่สุด ปัจจุบันความไม่ฉลาดของผู้นำทำให้คนเจ็บและคนตายเป็นจำนวนมาก ไม่ตายด้วยไวรัสโควิดก็ตายด้วยพิษเศรษฐกิจ #ผนงรจตกม จึงเป็นความจริงขึ้นทุกวัน และเป็นจริงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่การเจ็บการตายจะลดลงหรือหยุดได้เลย ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์

ทั้ง 6 ข้อนี้เป็นภาพจำปัญหาของผู้นำที่ประชาชนจำได้แม่น และยังคงเป็นอยู่ โดยที่พลเอกประยุทธ์ ยังไม่แก้ไขหรือแก้ไขไม่ได้ เพราะเป็นข้อจำกัดทางความรู้ความสามารถและปัญหาทางความคิดไปแล้ว ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คาดหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารใหม่จะต้องทำตรงข้ามกับทั้ง 6 ข้อนี้ทั้งหมดคือ ต้องแก้ไขภาวะกบต้มนี้ให้ได้ เพื่อให้ประชาชนรอดพ้นจากวิกฤตไวรัสโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องคิดล่วงหน้าไม่ต้องให้โดนด่าก่อนถึงค่อยคิดทำ ต้องไม่บริหารแบบรอวันเจ๊ง เร่งแก้ไขไม่ปล่อยประเทศและประชาชนตามยถากรรมโดยต้องมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ต้องจัดลำดับความสำคัญของเรื่องจำเป็นว่าจะต้องทำก่อนหลังได้ เพื่อจะแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ และ สุดท้ายต้องมีผู้นำที่ฉลาดมานำประเทศ เพราะจะสอนคนที่ไม่ฉลาดให้ฉลาดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเลือกเอาคนฉลาดมาบริหารประเทศ ประเทศไทยถึงจะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดรายใหม่เพิ่มสูงวันละกว่า 20,000 คน แต่มีผู้เสียชีวิตเพียงไม่ถึง 10 คนต่อวัน ขณะที่ผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มมากเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลประเมินอาจต้องให้ออกซิเจนที่บ้าน

กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เผยว่า ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการหนักมีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,563 คนในวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจ หรือต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู เพิ่มขึ้นถึง 42 คนในวันเดียว

หากดูเพียงจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในญี่ปุ่นที่ทำสถิติมากกว่าวันละ 20,000 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาจดูเหมือนสถานการณ์จะย่ำแย่ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตมีเพียงวันละไม่เกิน 10 คน ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการฉีดวัคซีนที่ขณะนี้ผู้สูงอายุ 83.4% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว

แพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดชิบะ ใกล้กรุงโตเกียว ระบุว่า ขณะนี้ผู้ป่วยหนักที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นกลุ่มอายุ 40-50 ปี แตกต่างจากช่วงเวลานี้เมื่อปีที่แล้ว ที่ผู้ป่วยหนักส่วนใหญ่มีช่วงอายุ 70 ปี เนื่องกลุ่มคนหนุ่มสาวได้รับวัคซีนเพียงแค่ 36.5% เท่านั้น ประกอบกับไวรัสสายพันธุ์เดลตาติดต่อง่าย และมีอาการทรุดหนักลงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องออกนอกบ้านมีความเสี่ยงมากที่สุด

โรงพยาบาลหลายแห่งยอมรับว่า เตียงเกือบเต็มทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงโตเกียวต้องส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในจังหวัดข้างเคียง เช่น จังหวัดชิบะ คานางาวะ และไซตามะ ขณะนี้ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งหนึ่งในโรงพยาบาลจังหวัดเหล่านี้มาจากกรุงโตเกียวและเมืองใกล้เคียง

ระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่นมีศักยภาพสูงในการช่วยชีวิตผู้ป่วยไม่ให้เสียชีวิต แต่สถานการณ์ในขณะนี้ คือ มีผู้ป่วยมากกว่า 45,000 คน ต้องรักษาตัวอยู่แต่บ้าน แต่เมื่อผู้ป่วยมีทรุดลงและติดต่อขอเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกลับแทบไม่มีเตียงว่าง บางคนถูกปฏิเสธจากโรงพยาบาลมากกว่า 100 แห่ง หลายคนรอหลายชั่วโมงก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจนต้องล้มเลิกถอดใจไปเอง

คณะแพทย์ที่ปรึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นเตือนว่า หากเตียงในโรงพยาบาลยังไม่เพียงพอ อาจมีความจำเป็นต้องให้รถพยาบาลนำเครื่องช่วยหายใจและออกซิเจนไปให้ผู้ป่วยที่บ้าน พร้อมเตือนว่า หากผู้ป่วยมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วก็อาจเสียชีวิตที่บ้านได้


ที่มา : https://mgronline.com/japan/detail/9640000080306


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทนายสิทธิฯ เผย 'เพนกวิน-ฟ้า' ติดโควิด เตรียมย้ายไปรักษารพ.ราชทัณฑ์

16 สิงหาคม 2564 ทวิตเตอร์ TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ด่วน! 14.40 น. เพนกวิน-พริษฐ์ และฟ้า-พรหมศร ติด #โควิด-19 ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำชั่วคราวรังสิต หลังไม่ได้รับการประกันตัวในคดี #ม็อบ2สิงหา โดยเรือนจำเตรียมย้ายทั้งสองไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์

ทั้งนี้ ทั้งสองได้รับการตรวจโควิดก่อนเข้าเรือนจำ ไม่พบว่ามีเชื้อแต่อย่างใด


ที่มา : https://twitter.com/TLHR2014/status/1427176823046033408


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จุฬาฯ เผยข่าวดีความคืบหน้าของ 'ChulaCOV-19' ผลวิจัยชี้! กระตุ้นภูมิได้เยอะกว่าไฟเซอร์

16 ส.ค. 64 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าว ผลการทดสอบวัคซีน ChulaCOV-19 ในอาสาสมัคร เร่งวิจัยระยะต่อไป

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ความคืบหน้าจากการทดลองวัคซีน ChulaCOV-19 ในระยะที่ 1/2 เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 64 ที่เริ่มฉีดเข็มแรกในอาสาสมัครอายุ 18-55 ปี จำนวน 36 คน ซึ่งฉีดครบ 2 เข็มแล้ววันนี้ เป็นระยะเวลาการติดตามผลวันที่ 50 สำหรับอาสาสมัครที่อายุ 56-75 ปี อีกจำนวน 36 คน ส่วนใหญ่ได้รับเข็มที่ 1 แล้ว สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุนั้นจะมีการทดลองที่รอบคอบมากขึ้นและระยะเวลาการติดตามก็จะนานขึ้น  

อย่างไรก็ตาม ได้มีการทดลองในเฟส 2A ก่อนสิ้นเดือนส.ค. ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาการทดลองที่มากกว่ากลุ่มอายุ 18-55 ปี ในอาสาสมัคร 150 คน แบ่งเป็น 120 คน จะเป็นการทดลองฉีดวัคซีน ChulaCOV-19 โดยเลือกจากขนาดที่เหมาะสมจากระยะที่ 1 ส่วนอีก 30 คน จะฉีดวัคซีนเปรียบเทียบเป็นวัคซีนไฟเซอร์ ผลพบว่าสามารถในการยับยั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมได้ดี โดยจากการตรวจภูมิคุ้มในอาสาสมัครว่าสามารถยับยั้งการจับตัวของ RBD หรือโปรตีนที่กลุ่มหนาม หากจับได้แสดงว่าไวรัสโควิดไม่น่าจะเข้าเซลล์ได้ด้วย ซึ่งจากการเปรียบเทียบเปอร์เซ็นในการยับยั้งพบว่า วัคซีน ChulaCOV-19 อยู่ที่ 94% ไฟเซอร์ 94% แอสตร้าเซนเนก้า 84% ซิโนแวค 75% ซึ่งจากรายงานหากการยับยั้งเกิน 70% ก็น่าจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ 

ด้านผลข้างเคียง จากสรุปผลการทดลองเบื้องต้นพบว่า ซึ่งขอย้ำว่าเป็นเพียงการทดลองเบื้องต้นจากอาสาสมัคร 36 คน จึงยังไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงใด ๆ มีเพียงผลข้างเคียงเล็กน้อยและดีขึ้นภายใน 1-3 วัน ส่วนใหญ่จะเจ็บแผลจากการฉีด อ่อนเพลีย มีไข้ หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ และจะปวดมากขึ้นในเข็มที่ 2 

ทั้งนี้ มีการเปรียบเทียบปริมาณการให้วัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม แสดงให้เห็นว่าอาการข้างเคียงจะพบน้อยมากหรือแทบไม่มีในการให้โดสที่ต่ำ แต่อาการอ่อนเพลียจะพบทั้งการให้ในโดสที่ต่ำและสูงประมาณ 50-60% ส่วนใน 25 ไมโครกรัม จะพบมีไข้ประมาณ 25% เมื่อนำข้อมูลอาการข้างเคียงที่พบในไฟเซอร์ อย่างการเป็นไข้ก็มีเปอร์เซ็นต์ที่ใกล้เคียงกับผลการให้โดสของวัคซีน ChulaCOV-19 แต่อาจจะไม่สามารถเปรียบเทียบโดยตรงได้

นพ.เกียรติ กล่าวว่า ส่วนการกระตุ้นภูมิ T-cell ที่สร้างแอนติบอดี เพื่อไม่ให้เชื้อเข้าเซลล์ได้ หลังฉีดเข็มที่ 1 พบผลกระตุ้นภูมิใกล้เคียงกับไฟเซอร์ แต่หลังฉีดเข็มที่ 2 และวัดผลหลัง 3 สัปดาห์ พบว่า T-cell ของ ChulaCOV-19 อยู่ที่ 4,514 และของไฟเซอร์อยู่ที่ 1,742 แสดงถึงความสามารถในการยับยั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมได้ดี 

ผลต่อการยับยั้งข้ามสายพันธุ์ นพ.เกียรติ กล่าวว่า มีการตรวจในแล็บด้วยเทคนิค Pseudo virus ซึ่งจากตัวเลขที่ทำวิจัยจุดตัดที่สามารถป้องการอาการของโรคโควิดได้ประสิทธิภาพ หากจุดตัดอยู่ที่ 60 แสดงว่าความสามารถในการป้องกันก็จะอยู่ที่ 60% และจุดตัดเกิน 185 แสดงว่าความสามารถในการป้องกันก็จะอยู่ที่ 80% ซึ่งเมื่อตรวจสอบวัคซีนที่ใช้ทั้งไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม แอลฟา เบตา แกมมา และเดลตา พบว่า วัคซีน ChulaCOV-19 มีจุดตัดเกิน 185 แสดงว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อทั้ง 4 สายพันธุ์ และเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพการป้องกันในสายพันธุ์เดลตากับไฟเซอร์ ก็พบว่าไม่ต่างกันมาก 

"วัคซีนที่ ทดลองการผลิตยังเป็นการนำเข้าจากแคลิฟอร์เนีย แต่หากจะผลิตในประเทศที่โรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็จะต้องมีการทดสอบคุณภาพและมาตรฐานว่าเทียบเท่าจากที่ส่งมาจากแคลิฟอร์เนียหรือไม่ หากเทียบเท่าไทยก็จะมีทั้งวัคซีนที่นำเข้าและจากที่ผลิตในประเทศ โดยเรามีโรงงานของ ไบโอเน็ท เอเชียที่มีความสามารถผลิตวัคซีน mRNA ได้แล้ว และสามารถขยายกำลังการผลิตในสเกลที่ใหญ่ขึ้นได้” นพ.เกียรติ ระบุ

ศ.นพ.เกียรติ กล่าวอีกว่า มีข้อเสนอ 4 ข้อ เรียกร้องที่การดำเนินการต้องต่างไปจากเดิม คือ 

1.) ให้ประเทศไทย ต้องเปลี่ยนจากการทำงานแบบเดิมในทุกแผนเดิมที่ทำ โดยต้องกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ตัดสินใจร่วมกัน ทั้งเรื่องของงบประมาณต้องเพียงพอ ระดมทุนอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ  เป็นหนึ่งเดียวเรื่องวัคซีน โดยประเทศไทยต้องเปลี่ยนนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ เป็นการจัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้า แม้ว่าวัคซีนอาจจะไม่สำเร็จก็ตาม 

"เป็นเรื่องท้าทาย คนไทยต้องไม่ทำแค่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเดียว แต่ต้องร่วมใจกันกำหนดเป้าหมายให้เป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะการทำงาน "ศ.นพ.เกียรติกล่าว

2.) ต้องปรับเปลี่ยนกติกาการขึ้นทะเบียน วัคซีนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่าสามารถให้การรับรองการทดลองระดับเฟส 2B ได้หรือไม่ เพราะเป็นสถานการณ์ระบาดที่บังคับหรือต้องทำการทดลองเฟส 3 จะต้องมีกติกาจากอย.ที่ชัดเจนคาดว่าไม่เกินกลางเดือนหน้า

3.) โรงงานผลิตวัคซีนในประเทศ ต้องเร่งด่วน ในการผลิตให้เพียงพอ 

4.) นโยบายการจองและจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้า ต้องชัดเจน มีการกระจายการจองซื้อวัคซีนของรัฐและเอกชน

"คำถามว่าวัคซีนของจุฬาฯ ใช้ได้เมื่อไหร่  ถ้า อย.ปรับกติกาที่คาดว่าจะออกข้อกำหนดการขึ้นทะเบียน  รับรองกาทดลองเฟส 2B ได้ ก็คาดว่าจะคนไทยจะได้วัคซีนของจุฬาฯ ประมาณ สงกรานต์ปีหน้า แต่ถ้าต้องทำการทดลองเฟส 3 ระยะเวลาที่จะได้วัคซีนใช้ จะต้องยืดออกไปอีก ผมอยากให้มีการใช้ก่อนสงกรานต์ปีหน้า ถ้าเฟส 2B ออกมาดี ก็น่าจะใช้ได้ เป็นการฉีดเข็ม 3 เพราะคาดว่าสิ้นปีนี้ คนไทยน่าจะได้รับวัคซีนแล้วประมาณ 60-70% และแนวโน้มต้องมีการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 แน่นอน" ศ.นพ.เกียรติ กล่าว


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/113475


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

????โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ประกาศมาตรการเยียวยาผู้ปกครองนักเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564 จ่ายสูงสุด 10,000 บาท‼️

ประกาศ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
เรื่อง มาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ปกครองนักเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564

อ้างถึงประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการทั้งภาครัฐและเอกชนปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ โดยให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ขอให้โรงเรียนเอกชนในกำกับ ได้บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครอง พร้อมทั้งทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง เพิ่มเติมคนละ 2,000 บาท ตามที่ทราบแล้วนั้น

โรงเรียนเซนต์คาเบรียลได้ตระหนักถึงสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ดังนั้น อาศัยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารโรงเรียนฯ จึงกำหนดมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ปกครองโดยรวมทุกระดับชั้น ดังนี้

1. สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
2. สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นจำนวนเงิน 9,000 บาท (เก้าพันบาทถ้วน)
3. สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นจำนวนเงิน 8,000 บาท (แปดพันบาทถ้วน)

ทั้งนี้ ทางโรงเรียนขอให้ผู้ปกครองติดต่อชำระค่าธรรมเนียมการเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564 ให้เรียบร้อยก่อนเพื่อรับสิทธิ์ดังกล่าวนี้


ที่มา: https://www.facebook.com/106590839388372/posts/4322656951115052/

‘พรรคกล้า’ ลงพื้นที่ภาคอีสาน เปิดศูนย์ 'กล้าดูแล' ช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี ผู้อำนวยการพรรคกล้า ลงพื้นที่ช่วยพ่อแม่พี่น้องภาคอีสาน เปิดศูนย์กล้าดูแล ร่วมกับผู้กล้าในพื้นที่ แห่งที่ 12 ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา แห่งที่ 13 ตำบลคำแคน อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น แห่งที่ 14 ตำบลหนองสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู

โดย ผอ.พรรคกล้า กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน หลายคนต้องไปกักตัว อยู่ที่เถียงนา ในไร่ ในสวน อากาศร้อนมาก หรือบางบ้านเมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อ เนื่องจากบ้านเป็นครอบครัวที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน หากมีศูนย์กล้าดูแล ก็จะช่วยแยกผู้ป่วยออกจากบุคคลในบ้าน ผู้ป่วยเหล่านั้น จะได้ไม่ต้องไปอยู่ตามเถียงนา ไร่ สวน ให้มาอยู่ใกล้บุคลากรทางการแพทย์ และ ยังมี อสม. ตลอดจนคนในชุมชนยังช่วยดูแลกันเอง คอยเฝ้าระวัง จัดเวรยาม ส่งอาหาร 3 มื้อ ให้ญาติพี่น้องของตนเองได้ โดยปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยในศูนย์กล้าดูแล จะมีเตียงกระดาษ อุปกรณ์ทางการแพทย์พื้นฐาน สิ่งของจำเป็น และเป็นการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างตัวแทนของพรรคกล้าในพื้นที่ กับ ผู้นำชุมชน สาธารณสุข อสม. บางแห่งชุมชน ก็นำแคร่ไม้ไผ่ มาทำเป็นเตียง ตามวิถีชาวบ้าน บางแห่งก็ให้ใช้ห้องเรียนทำเป็นศูนย์ฯ 

สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่แต่เพียงแค่สิ่งของที่เราหามาจนเปิดศูนย์ฯ ได้ เหนือสิ่งอื่นใด คือตัวแทนของพรรคกล้าในพื้นที่ จะอยู่เคียงข้างบุคลากรทางการแพทย์ และช่วยวางระบบ ประสาน ส่งต่อ จนกว่าผู้ป่วยจะหาย นี่คือความร่วมมือ ความมีน้ำใจ ของทุกภาคส่วนที่ช่วยกันในยามวิกฤต แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"เฮียเอี๋ยว" ประธาน กต.ตร. มอบเงิน 300,000 บาท สนับสนุนโครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 สภ.เมืองสมุทรปราการ

ที่บริเวณด้านหน้าอาคารสถานีตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ คณะกรรมการ กต.ตร.สภ.เมืองฯ สมุทรปราการ นำโดย ‘นายสุดใจ จิรยาภากร’ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคมอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด และประธาน กต.ตร.สภ.เมืองสมุทรปราการ  พร้อมด้วย ‘พลเอกบุญเกิด วาดวารี’ ประธานชมรมชาวสมุทรปราการ ตลอดจน ‘นายเชาวลิต สามห้วย’  เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ ‘นายสุรศักดิ์ บูรณะบุญวงศ์’ และคณะ กต.ตร.สภ.เมืองสมุทรปราการ 

ร่วมกันมอบอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อร่วมสนับสนุนภาระกิจตำรวจของทางสถานีตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ในโครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 สภ.เมืองสมุทรปราการ โดยทางบริษัท สแตนดาร์ด แมนูเฟคเจอริ่ง จำกัด ได้ร่วมกับ บริษัท โคมอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยการประสานความร่วมมือระหว่าง นายจิรโรจน์ สัญฉนะวณิชน์ และนายสุดใจ จิรยาภากร ร่วมกันบริจาคแอลกอฮอล์ทำความสะอาดและมอบผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค โดยจะมอบให้กับทางสถานีตำรวจภูธร ต่าง ๆ ในสังกัดของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ

โดยมี พล.ต.ต. ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปกปภพ บดีพิทักษ์ พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์  ภัทรศรีวงศ์ชัย พ.ต.อ.ภูมินทร์  สิงหสุต พ.ต.อ.ประธาน นันทกอบกุล พ.ต.อ.อนันต์  ชัยชาญ รอง.ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.เติมรัศมิ์ จินดาวัฒน์ ผกก.สภ.เมืองสมุทรปราการ ตลอดจนข้าราชการตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ ร่วมให้การต้อนรับ

นอกจากนี้ นายสุดใจ จิรยาภากร ประธาน กต.ตร.สภ.เมืองสมุทรปราการ ยังได้มอบเงินเพื่อร่วมสนับสนุนภาระกิจตำรวจ  เป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท โดยมี พ.ต.ท.สุวิชา ชั้นงาม รอง.ผกก.จร.สภ.เมืองสมุทรปราการ เป็นตัวแทน พล.ต.ต. ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เพื่อส่งเสริมการปฎิบัติหน้าที่และการดำเนินงานของศูนย์วัตกรรมใหม่ของความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะสุดล้ำ และการร่วมมือจากภาคประชาชน เชื่อมั่น อุ่นใจ ปลอดภัย ในชุมชน

โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก เพื่อยกระดับการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่สาธารณะ ตามแนวคิดเรื่องเมืองอัจฉริยะ และเป็นการยกระดับระบบราชการเป็น 4.0 เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล พร้อมทั้ง บูรณาการร่วมกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสํานักงานตำรวจแห่งชาติในด้านการป้องกัน อาชญากรรม ให้ครอบคลุมทุกชุมชน


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top