Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

บริษัทซิโนแวคและซิโนฟาร์มของจีน ลงนามในข้อตกลงส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมกัน 550 ล้านโดส ให้แก่โครงการโคแวกซ์ ภายในกลางปีหน้า แต่ในระหว่างนี้พร้อมส่งมอบรวมกันก่อน 110 ล้านโดส

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ว่าองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (กาวี) ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญในโครงการโคแวกซ์ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ออกแถลงการณ์ เมื่อวันจันทร์ ว่าได้ลงนามอย่างเป็นทางการร่วมกับบริษัทเภสัชกรรมแห่งชาติจีน (ซิโนฟาร์ม) และบริษัทซิโนแวค ไบโอเทคของจีน ในการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมกัน 550 ล้านโดส

ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ซิโนฟาร์มเตรียมจัดส่งวัคซีนให้ 170 ล้านโดส และซิโนแวคเตรียมจัดส่งวัคซีนให้ 380 ล้านโดส นับตั้งแต่บัดนี้จนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ การจัดส่งวัคซีนร่วมกันของบริษัททั้งสองแห่งเข้าสู่โครงการโคแวกซ์ จะเกิดขึ้น 110 ล้านโดส ซึ่งช่วงเวลาของการส่งมอบ เกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ 'เดลตา'

สำหรับโครงการโคแวกซ์ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือน เม.ย. ปี 2020 มุ่งสนับสนุนการพัฒนา จัดซื้อ และส่งวัคซีนไปยังกว่า 180 ประเทศทั่วโลก โดยมีองค์การอนามัยโลกเป็นผู้นำ ร่วมกับองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (The Vaccine Alliance หรือ Gavi) ที่ก่อตั้งโดยบิลและเมลินดา เกตส์ และกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (Coalition for Epidemic Preparedness Innovations หรือ Cepi)

โคแวกซ์ หรือ Covax ย่อมาจาก Covid-19 Vaccines Global Access Facility หรือโครงการเพื่อการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ระดับโลก


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/47630/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'กระบี่'​ กำหนดมาตรการลานเทปาล์มน้ำมันคุณภาพ 18% ขึ้นไป​ ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเมืองแห่งปาล์มน้ำมันคุณภาพ

พันตำรวจโท หม่อมหลวงกิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า จังหวัดได้ติดตามการดำเนินงานตามโครงการขับเคลื่อนนโยบายเมืองแห่งปาล์มน้ำมันคุณภาพ และตรวจกำกับลานเทปาล์มน้ำมันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยกำหนดมาตรการเพื่อให้ลานเทรับซื้อปาล์มน้ำมันคุณภาพ (18% ขึ้นไป) ได้ปฏิบัติ ดังนี้...

- ลานเทปาล์มน้ำมันต้องมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม พื้นที่ปฏิบัติงานมีจำนวนพื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสม และถูกสุขลักษณะของพื้นที่ปฏิบัติงาน

- เครื่องชั่งได้มาตรฐานเหมาะสมกับการใช้งานตามกฎหมายกระทรวงพาณิชย์

- ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ในการแยกลูกร่วง โดยรางทะลายปาล์มเป็นรางทึบ ไม่มีตะแกรง หรืออุปกรณ์อื่นๆ ในการแยกลูกร่วง 

- มีป้ายแสดงราคาที่ชัดเจน และถูกต้องตามกฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 

- รับซื้อปาล์มทะลายและปาล์มร่วงในราคาเดียวกัน, รับซื้อปาล์มทะลายที่มีคุณภาพตาม มกษ.5402 โดยไม่ซื้อปาล์มดิบ และปาล์มที่ไม่มีคุณภาพ 

- ขนส่งปาล์มถึงโรงานภายใน 24 ชม. นับตั้งแต่รับทะลายปาล์ม

- ไม่กระทำการใดๆ ที่เร่งให้ปาล์มสุกเร็วโดยผิดแผกไปจากธรรมชาติ เช่น ไม่รดน้ำ บ่มปาล์ม ใช้สารเคมี อื่นๆ ที่เร่งให้ปาล์มสุกเร็วขึ้น

- รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อาทิ แสงสว่าง อุปกรณ์เครื่องมือ กล้องวงจรปิด ฯลฯ และได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO     

สำหรับลานเทที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่จังหวัดกำหนด และออกตรวจสอบกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวได้กำหนดโทษ ดังนี้...

- ลานเทปาล์มน้ำมันไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและบริการ หากฝ่าฝืนมีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2552 มาตรา 28 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

- หากลานเทปาล์มน้ำมันไม่แจ้งปริมาณสถานที่เก็บและไม่จัดทำบัญชีคุมสินค้าน้ำมันปาล์มและผลปาล์มน้ำมัน ฝ่าฝืนมีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2442 มาตรา 24(5) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมี่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท

- ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะมีการแจ้ง ลานเทปาล์มน้ำมันต้องประทับแสดงเครื่องหมายคำรับรองของสำนักงานกลางหรือสำนักงานสาขาที่เครื่องชั่งตวงวัดทุกเครื่อง หากฝ่าฝืนมีความผิดตาม พรบ. มาตรการชั่งตวงวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2557 มาตรา 7 ต้องระวางโทษจำคุกไม่กินสามปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นบาท

- ห้ามแก้ไขหรือดัดแปลงส่วนประกอบของเครื่องชั่งหรือโปรแกรมที่ใช้กับเครื่องช่างโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอื่นที่คล้ายคลึงกันหรือกระทำด้วยวิธีการใดๆ เพื่อให้ความเที่ยงของเครื่องชั่งผิดเกินอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด หากฝ่าฝืนมีความผิด ตาม พรบ. มาตราชั่วตวงวัด (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2557 มาตรา 75 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิดเจ็ดปี และปรับไม่เกิดสองแสนแปดหมื่นบาท 

ข่าว/ภาพ​ มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน

'สมุทรปราการ' ร่วมหารือ​ ให้ความช่วยเหลือประชาชนในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุโรงงานระเบิด

'สมุทรปราการ' ร่วมหารือ​ ให้ความช่วยเหลือประชาชนในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุโรงงานระเบิด

จังหวัดสมุทรปราการ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุระเบิดโรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติกของบริษัท หมิงตี้ จำกัด จากบริษัทประกันภัย
โดยมี​ นายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานการประชุมเพื่อร่วมหารือกำหนดแนวทางการดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชน ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุระเบิดโรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติกของบริษัท หมิงตี้ จำกัด จากบริษัทประกันภัย ณ ห้องประชุมชั้น 1​สำนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ โดยมี สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสมุทรปราการ (สคช. สป.) และสำนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานอัยการสูงสุด ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้

สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสมุทรปราการได้ประชุมหารือกับสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรปราการ บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยและบริษัท แม็คลาเรนส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจมูลค่าความเสียหาย ได้กำหนดแนวทางการรับคำร้องขอรับค่าสินไหมทดแทนจากประชาชนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมกรอบเวลาการดำเนินการเบื้องต้นไปแล้วนั้น ที่ประชุมเห็นว่า เนื่องจากจังหวัดสมุทรปราการได้มอบหมายให้ทางอำเภอบางพลีรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายและความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงเห็นควรให้บริษัทประกันภัยและบริษัทสำรวจมูลค่าความเสียหายประสานขอข้อมูลจากอำเภอบางพลี
เพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อไป

โดยในวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 เวลา 10.00 น.สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสมุทรปราการและสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยบริษัทประกันภัยและบริษัทสำรวจมูลค่าความเสียหายจะเดินทางไปร่วมหารือกับอำเภอบางพลีเกี่ยวกับการทำงานให้มีความชัดเจน และเป็นรูปธรรมต่อไป

เริ่มแล้วจัดตั้งสถาบันวิจัยฯ พัฒนาระบบรางของประเทศ

กรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2564 แล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.64 เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง สร้างความร่วมมือกับองค์กรทั้งในและต่างประเทศในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง  รวมทั้งพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง และจัดทำฐานข้อมูลด้านเทคโนโลยีระบบราง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและการสนับสนุนอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศอย่างแท้จริง มีเป้าหมายเร่งด่วนคือ การวิจัยชิ้นส่วนในระบบรางเพื่อให้สามารถผลิตรถไฟในประเทศ 

ทั้งนี้ยังมีการวิจัยเพื่อสร้างรถไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ต้นแบบครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมกับการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และโครงการอื่นๆ ในอนาคต ส่วนเรื่องทุนและทรัพย์สินในการดำเนินการจะมีเงินประเดิม เงินอุดหนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน ค่าธรรมเนียมและค่าตอบแทนจากการให้บริการของสถาบันวิจัยฯ และดอกผลรายได้จากทรัพย์สิน 

โดยสถาบันวิจัยฯ จะมีแนวทางในการจัดองค์การในแบบศูนย์ความเป็นเลิศในแต่ละด้าน เช่น ศูนย์ความเป็นเลิศด้านรถไฟความเร็วสูง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านรถไฟขนส่งสินค้า ศูนย์ความเป็นเลิศด้านรถไฟฟ้าในเมือง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาบุคลากรระบบราง และศูนย์ความเป็นเลิศด้านข้อมูลระบบราง ซึ่งแต่ละศูนย์จะเน้นการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และหน่วยงานผู้ใช้เทคโนโลยี เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมระบบรางให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป

“บิ๊กตู่” ย้ำการจัดทำแผนพัฒนาภาคกลุ่มจังหวัดและจังหวัด เน้นสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน  

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ครั้งที่ 2/2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำความสำคัญของการจัดทำแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาจังหวัด โดยการจัดทำแผนงานโครงการต้องคำนึงถึงศักยภาพของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ทั้งนี้ แผนงานโครงการต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และมีการบูรณาการเชื่อมโยงการพัฒนาจากระดับบน (Top Down) สู่ระดับล่าง (Bottom Up) รวมทั้งกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยมุ่งเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน  นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ในการจัดทำแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาจังหวัด ต้องปรับให้เข้ากับเกณฑ์ของยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งการจะทำให้ประสบความสำเร็จ ต้องขึ้นอยู่กับแผนปฏิบัติการที่ต้องลงไปยังพื้นที่ ทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน และการพัฒนาต้องเป็นการพัฒนาอย่างพุ่งเป้า เป็นไปตามศักยภาพของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ต้องมีการจัดเตรียมแผน จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนให้ดี ในการใช้งบประมาณต้องมีแผนการใช้งบประมาณในแผนเร่งด่วนตามกรอบระยะเวลา ที่ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า และปรับให้ตรงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสถานการณ์โลก สถานการณ์ภายในประเทศ ที่สำคัญคือต้องทำให้สอดคล้องกับห้วงระยะเวลา โดยต้องมุ่งเป้าหมายไปที่การฟื้นฟูของประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด รวมทั้งจะต้องมีเป้าหมายตัวชี้วัดการพัฒนาระดับความแตกต่างของรายได้ของประชาชน ของจังหวัด จีดีพีรายหัว ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ในวันนี้ต้องทำงานแนวเชิงรุกให้มากยิ่งขึ้น การจัดทำแผนงาน/โครงการต่าง ๆ จะต้องมีข้อมูลรายละเอียดที่เพียงพอ แผนปฏิบัติการต้องผ่านความเห็นชอบ ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ผ่านคณะกรรมการจังหวัด เสนอขึ้นมาผ่านคณะกรรมการตรวจสอบ คัดกรอง ให้ได้ข้อยุติเป็นแผนที่สมบูรณ์ โดยรัฐบาลจะไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดใดก็ตาม ทุกจังหวัดจะต้องได้รับความเท่าเทียมและเป็นธรรม เท่าเทียมในเรื่องของโอกาส เป็นธรรมก็คือจะต้องดูแลผู้มีรายได้น้อยให้มากขึ้น ซึ่งในการจัดทำโครงการขอให้ทำให้ดีที่สุด เมื่อเสนอโครงการมาแล้วหากต้องส่งกลับไปใหม่ จะทำให้ล่าช้าไม่ทันการณ์ ฉะนั้น ท้องถิ่นและจังหวัดต้องตรวจสอบในเรื่องการจัดทำแผนงานโครงการให้สมบูรณ์ ทั้งนี้ การทำงานใดก็ตามที่มีลักษณะการทำงานแบบเดิม ๆ จะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นการทำงานเชิงรุก ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ รวมทั้งในโครงการจะต้องมีแผนหลัก แผนรอง แผนเผชิญเหตุ ให้พร้อมสำหรับการอนุมัติโครงการ ทุกจังหวัด ทุกกลุ่มจังหวัดต้องเตรียมการให้พร้อม กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนตามห้วงระยะเวลา รัฐบาลเน้นให้ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้และมีประสิทธิภาพ  

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (1) นโยบาย หลักเกณฑ์ วิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2566 - 2570 (2) หลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติราชการจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 (3) แนวทางการกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 ภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดปีละ 28,000 ล้านบาท (4) หลักเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2570 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (5) ร่างกรอบแผนพัฒนาภาค พ.ศ. 2566 - 2570 ทั้ง 6 ภาค และหลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติการภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นกรอบในการจัดทำและเสนอขอโครงการที่สนับสนุนและขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ (6) ปฏิทินการดำเนินงานภายใต้กลไก ก.บ.ภ.ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2565 (7) แนวปฏิบัติสำหรับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด กรณีการชำระเงินประกันค่าธรรมเนียมให้สถาบันอนุญาโตตุลาการในการฟ้องคดีโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปี โดยใช้เงินเหลือจ่าย และ (8) การขอโอนเปลี่ยนแปลงโครงการเพื่อชดเชยเงินถูกพับไปของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 โดยจังหวัดเสนอคำขอเปลี่ยนแปลงเพื่อขอความเห็นจากคณะกรรมการบริหารงานจังหวัด/กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการและจัดส่งคำขอเปลี่ยนแปลงโครงการภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2564

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการปรับปรุงตัวชี้วัดการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ชุดใหม่ ที่ยึดโยงกรอบมิติการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ประกอบด้วย ตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัด (32 ตัวชี้วัด) ตัวชี้วัดการพัฒนาระดับกลุ่มจังหวัด (15 ตัวชี้วัด) ทั้งนี้ จังหวัด กลุ่มจังหวัด และส่วนราชการ สามารถใช้ตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการวัดสถานะการพัฒนาพื้นที่เชิงเปรียบเทียบ จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสามารถนำไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดได้ รวมทั้งชี้พื้นที่เป้าหมายการพัฒนาในระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้กับส่วนราชการเพื่อนำไปกำหนดแผนงานโครงการได้อย่างชัดเจน 

 

โฆษกทอ. ยัน ผู้บังคับบัญชา มีความห่วงใย กำชับให้ดูแลอย่างดีที่สุด พร้อมเปิดภาพที่พักทหารเกณฑ์ป่วยโควิด-19 

พล.อ.ท.ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า จากกรณีสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าว พลทหารภายในค่ายแห่งหนึ่งใน กทม.ร้องเรียนสื่อมวลชน พร้อมส่งภาพบางส่วน ภายหลังพลทหารในค่ายติดเชื้อโควิด 19 มากกว่า 200 คน แต่กลับถูกแยกตัวให้ไปนอนในโรงอาหาร บางคนนอนพื้น บางคนนอนเตียงแต่ไม่มีที่นอนและหมอน ส่วนอาหารก็ไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วย ทำให้ทางญาติรู้สึกไม่สบายใจ อยากให้หน่วยทหารต้นสังกัดดูแล นั้น 

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ภาพดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเหตุการณ์ช่วงแรกของการคัดแยกผู้ป่วย และจัดเตรียมที่พัก ปัจจุบันได้ย้ายทหารกองประจำการที่ติดเชื้อไปยังอาคารแห่งใหม่แล้ว และได้รับการดูแลอย่างดี โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้

1.  ระหว่าง 1- 6 ก.ค.64 ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกทหารกองประจำการ (ผลัดเก่า) หน่วยที่ตั้งดอนเมือง พบว่า มีทหารกองประจำการติดเชื้อโควิด จำนวน 37 คน หน่วยจึงรีบดำเนินการส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศทันที

2. วันที่ 7 ก.ค.64 เวลา 13.00 น. ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกทหารกองประจำการเพิ่มเติม จำนวน 250 คน 

3. วันที่ 8 ก.ค.64 เวลา 21.00 น. ทราบผลว่า มีทหารกองประจำการติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีกกว่า 100 คน หน่วยจึงแยกทหารกองประจำการที่ติดเชื้อโควิด 19 เข้าพักคอยบริเวณโรงประกอบเลี้ยงของหน่วยชั่วคราว และได้จัดเตรียมอาคารกองพันของหน่วยสำหรับเป็นสถานที่รักษาพยาบาลตามมาตรฐานการกักกันโรค

4. วันที่ 9 ก.ค.64 กรมแพทย์ทหารอากาศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมวางแผนให้ดัดแปลงอาคารกองพันของหน่วย เป็น Community Isolation (สถานที่แยกตัวชุมชน) ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพอากาศดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง

5. วันที่ 10 ก.ค.64 เวลา 12.00 น. ปูพรมตรวจคัดกรองเชิงรุกทหารกองประจำการส่วนที่เหลือ จนทราบผลช่วงกลางดึกว่า มีทหารกองประจำการติดเชื้อเพิ่มกว่า 100 คน หน่วยจึงรีบดำเนินการคัดแยกทหารกองประจำการส่วนที่เหลือ โดยจัดให้ทหารกองประจำการที่ติดเชื้อโควิด 19 พักบนอาคารกองพันเป็นการชั่วคราว แต่ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีจำนวนมาก จึงทำให้เกิดความไม่เรียบร้อยในช่วงแรกของการดำเนินการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งการให้บริการอาหารของผู้ป่วย

6. วันที่ 11 ก.ค.64 แยกทหารกองประจำการที่ติดเชื้อโควิด 19 ทั้งหมด เข้ารับการรักษาภายใต้การกำกับดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ ประกอบด้วย อาคารกองพันของหน่วย (Community Isolation) จำนวน 199 คน โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (ดอนเมือง) จำนวน 52 คน และโรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (โรงเรียนการบิน) จำนวน 39 คน

7. วันที่ 12 ก.ค.64 ผู้บัญชาการทหารอากาศ เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้ดำเนินการเคลื่อนย้ายทหารกองประจำการที่ติดเชื้อไปยังอาคารแห่งใหม่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการดูแลรักษาอย่างเพียงพอ และให้เร่งดำเนินการย้ายทหารกองประจำการที่ติดเชื้อโควิด 19 บางส่วนไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศแล้ว

8. วันที่ 14 ก.ค.64 ผู้บัญชาการทหารอากาศ เดินทางไปติดตามการดูแลทหารกองประจำการอีกครั้ง และได้แสดงความห่วงใย พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดูแลทหารกองประจำการที่ติดเชื้อโควิด 19 อย่างดีที่สุด โดยขณะนี้หน่วยได้ดำเนินการย้ายผู้ป่วยทั้งหมดเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

จึงขอนำเรียนข้อเท็จจริงตามภาพดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในช่วงแรกของการจัดเตรียมสถานที่ให้มีขีดความสามารถในการดูแลทหารกองประจำการที่ติดเชื้อโควิด-19 อย่างมีมาตรฐานทางการแพทย์ และเพื่อแสดงความห่วงใย ได้มอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบ ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองของทหารกองประจำการเพื่อสร้างความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

“กองทัพอากาศขอยืนยันว่า เราจะดูแลทหารกองประจำการซึ่งเป็นบุตรหลานของท่านภายใต้มาตรฐานการรักษาพยาบาลและขีดความสามารถของกองทัพอากาศที่มีอยู่อย่างเต็มกำลังความสามารถ”โฆษกกองทัพอากาศ กล่าว 

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun เกี่ยวกับสัดส่วนการส่งออกวัคซีนของไทย เพื่อให้เพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศว่า...

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun เกี่ยวกับสัดส่วนการส่งออกวัคซีนของไทย เพื่อให้เพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศว่า...

ไทยเตรียมกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีน เพื่อให้มีวัคซีนเพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศ

จากกรณีที่ประเทศไทย มีข้อตกลงเบื้องต้นที่จะได้รับวัคซีนจากบริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย) จำนวน 61 ล้านโดส จากกำลังการผลิตทั้งสิ้น 180 ล้านโดสต่อปี คิดเป็น 1/3 ของกำลังการผลิต ที่เหลืออีก 2/3 จัดส่งให้กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน

โดยมีการวางแผนที่จะได้รับวัคซีน...

- มิ.ย. 6 ล้านโดส

- ก.ค.-พ.ย. เดือนละ 10 ล้านโดส

- ธ.ค. 5 ล้านโดส

ซึ่งเมื่อรวมกับวัคซีน Sinovac / Pfizer / Moderna / Sinopharm ก็จะทำให้ไทยมีปริมาณวัคซีน 105 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้

แต่เมื่อทาง บริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย) เดินเครื่องการผลิตภายในประเทศ

เริ่มเดือนมิถุนายน ก็มีเหตุขลุกขลักเล็กน้อย แต่ในที่สุดไทย ก็ได้รับวัคซีนมาจำนวน 6 ล้านโดส

โดยที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนถูกเลื่อนการส่งวัคซีนออกไป

และในขณะนี้ มีข่าวว่า บริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย) กำหนดจะส่งวัคซีนให้กับประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละ 5-6 ล้านโดส ซึ่งเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของกำลังการผลิต ที่ได้เดือนละ 15 ล้านโดส

นั่นก็หมายความว่าวัคซีนที่ไทยจะได้รับในหกเดือนแรกจำนวน 61 ล้านโดส จะถูกกระจายออกไปเป็นได้รับเดือนละ 5 ล้านโดสเป็นเวลา 12 เดือนแทน

ซึ่งก็จะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ ทางรัฐบาล จึงได้เตรียมการแก้ปัญหาดังกล่าวสองแนวทางด้วยกัน

>> แนวทางที่หนึ่ง การเจรจา โดยความเข้าอกเข้าใจ และชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นที่ไทยจะต้องได้รับวัคซีนในสิ้นปีนี้จำนวน 61 ล้านโดส แทนที่จะเป็นเฉลี่ย 12 เดือน

>> แนวทางที่สอง ถ้าการเจรจานั้นไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะเป็นการดำเนินการเหมือนที่สหภาพยุโรปและประเทศอินเดีย ได้ดำเนินการแล้ว คือ ใช้กฎหมายในสถานการณ์ที่มีโรคระบาด

ประเทศไทยเอง ก็ได้มีการเตรียมการกฎหมายดังกล่าวไว้ตั้งแต่ปี 2561 คือ พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561

โดยในมาตรา 18 ระบุว่า…

ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อป้องกัน ควบคุม รักษา หรือลดความรุนแรงของโรค หรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ

ให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มีอำนาจประกาศกำหนดเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังต่อไปนี้

>> (2) สัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องเหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ เมื่อเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็นสิ้นสุดลงแล้ว ให้รัฐมนตรีประกาศยกเลิกประกาศนั้น

ทั้งนี้รัฐมนตรีในพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

และคณะกรรมการ หมายถึงคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธาน และมีผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนเป็นกรรมการและเลขานุการ

มติของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติวันนี้ ได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติร่วมกับอธิบดีกรมควบคุมโรค ไปทำการพิจารณาทบทวนเนื้อหาร่างประกาศดังกล่าว โดยให้พิจารณา…

1.) ผลกระทบซึ่งจะเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านและบริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย)

2.) ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชน

โดยขอให้เน้นการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตอย่างเต็มที่เป็นลำดับแรก แล้วกลับมารายงานถึงผลการเจรจา รวมทั้งร่างประกาศที่จะพิจารณาต่อไป

หวังว่าบริษัทผู้ผลิตคงจะเข้าใจและพยายามยืดหยุ่นการส่งวัคซีนให้ เช่นเดียวกับกรณีของสหภาพยุโรปและอินเดีย ก็ได้ใช้มาตรการเดียวกันนี้ เพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาดของประเทศเอาไว้ให้ได้


ที่มา :

https://www.facebook.com/237959479586026/posts/4017685858280017/

https://www.blockdit.com/posts/60eee08194f99a0c8365034f

อ้างอิง:

https://www.prachachat.net/marketing/news-713812

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2140230

http://www.nvi.go.th/index.php/files/large/ad4b0a607855cf0


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'เทศบาลแพรกษา'​ สืบสานพระปณิธานช่วยเหลือคนแพรกษา ประสานความร่วมมือ เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19

ที่บริเวณอาคารชั้น 1 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา, นายเมธากุล สุวรรณบุตร สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เขต 14 ร่วมเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พร้อมเดินตรวจเยี่ยมการให้บริการและให้กำลังใจประชาชนที่เดินทางมารับการฉีดวัคซีนที่อาคารสำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา

โดย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิก เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแพรกษา เดินตรวจเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ตำบลแพรกษา และประชาชนที่เดินทางมารับการฉีดวัคซีนในวันนี้ และเป็นวันแรกที่ทางเทศบาลตำบลแพรกษาได้จัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เนื่องจากพื้นที่โดยรอบมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก เทศบาลตำบลแพรกษามีความห่วงใยประชาชนในเขตพื้นที่แพรกษา รวมถึงประชาชนพื้นที่โดยรอบของจังหวัดสมุทรปราการจึงได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งนี้  

อีกทั้ง เพื่อลดความแออัดและเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน จึงได้ประสานความร่วมมือไปยังอบจ.สมุทรปราการ และสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ สาธารณสุขอำเภอเมืองสมุทรปราการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางมารับการฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 โดยการเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก หม่อมหลวงสกุล มาลากุล  สมาชิกวุฒิสภา เดินทางมาร่วมเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนในครั้งนี้

สำหรับศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19  เทศบาลตำบลแพรกษาจะเปิดให้บริการฉีดวัคซีนในวันจันทร์-วันศุกร์ รอบแรกตั้งแต่เวลา 8.30 น. เป็นต้นไป และในส่วนของประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลแพรกษาและพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความประสงค์ที่จะรับการฉีดวัคซีน สามารถติดต่อขอลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา วันจันทร์-วันศุกร์ เว้นวันหยุดราชการ หลังทำการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วทางสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ จะส่ง sms แจ้งเตือนวันและเวลาในการรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ทราบ

ที่มา: คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

รองโฆษกอัยการเผย ยื่นฟ้อง 11 ผตห.เยาวชนปลดเเอก ผิด 116 ศาลอาญา ส่วนอีก 3 รายที่ไม่มาศาลเเยกฟ้องเตรียมประสาน ตร.ตามภานุมาศ-ทัดเทพ หลังเบี้ยวนัด

นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า วันนี้พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง14 ราย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ,ฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉินฯเเบะความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เเต่วันนี้มีผู้ต้องหาไม่ได้เดินทางมาตามนัดอัยการ 5 รายประกอบด้วย นายพริษฐ์ ,นายณัฐวุฒิ  ซึ่งอยู่ระหว่างกักตัวโควิด

เเละนายภาณุพงศ์ ติดรายงานตัวรับทราบคำสั่งอัยการที่ จ.ระยอง ส่วน นายภานุมาศ  เเละ นายทัตเทพ ไม่สามารถติดต่อได้จากนี้ก็จะประสานพนักงานสอบสวนเพื่อติดตามมายื่นฟ้องต่อศาลต่อไป โดยวันนี้ทางพนักงานจะยื่นฟ้อง ผู้ต้องหาจำนวน 11 คนก่อนประกอบด้วยผู้ต้องหาที่มารายงานตัวกับ นายพริษฐ์เเละนายภาณุพงศ์ เนื่องจากตัวอยู่ในอำนาจศาลในคดีอื่น ส่วนอีก3 คนจะเเยกฟ้องในวันอื่นต่อไป

เพจ เยอรมันอินไซต์ - Germany Insights โดย ‘อินทรีล่าสาร’ โพสต์ข้อมูลเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการเจรจาจัดซื้อวัคซีน BioNTech/Pfizer ระหว่างเครือ Healthcare เอกชนไทยกับบริษัท ‘ไบออนเทค เซาท์อีสต์เอเชีย’ ในรายละเอียดระบุถึงคำตอบจากทางบริษัท BioNTech ด้วย

เพจเฟซบุ๊ก เยอรมันอินไซต์ - Germany Insights โดย ‘อินทรีล่าสาร’ ได้โพสต์ข้อมูลเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการเจรจาจัดซื้อวัคซีน BioNTech/Pfizer ระหว่างเครือ Healthcare เอกชนไทยกับบริษัท ‘ไบออนเทค เซาท์อีสต์เอเชีย’ ซึ่งในรายละเอียดมีการระบุถึงคำตอบตรงที่ได้รับจากทางบริษัท BioNTech ด้วยว่า...

ตามล่าหาความจริง - มีการเจรจาเรื่องจัดซื้อวัคซีน BioNTech/Pfizer ระหว่างเครือ Healthcare เอกชนไทยกับบริษัท ‘ไบออนเทค เซาท์อีสต์เอเชีย’ จริงหรือ? แล้วทางบริษัท BioNTech ว่าอย่างไรในเรื่องนี้?

รอบนี้ไม่มีลูกเพจมาถามหรอก มีแต่แอดมินแบบผมเนี่ยสงสัยเอง จากการที่เห็นข่าวที่แชร์กันมาว่า มีเครือ Healthcare ที่ไทย กำลังทำการเจรจากับ “ไบออนเทค เซาท์อีสต์เอเชีย” โดยอ้างว่า เยอรมันกับจีนทำอยู่ >> “จะซื้อ 2 ยี่ห้อคือ ‘BioNTech ของเยอรมัน’ ชนิด mRNA เป็นตัวเดียวกับ ‘ไฟเซอร์’ อีกตัวคือ โนวาแวกซ์ของอเมริกา”

ตอนที่อ่านเนี่ย ก็ทำให้ผมสงสัยเองเป็นอันมาก เพราะผมทราบว่า BioNTech เค้ามีการทำสัญญากับ Pfizer ว่า...

>> BioNTech will hold the regulatory authorization in the U.K., and, if granted, in the U.S., the EU, Canada and other countries. Pfizer will have the commercialization right worldwide with the exception of China, Germany and Turkey.

แปลได้ว่า…

>> BioNTech เป็นเจ้าของการอนุมัติวัคซีนในประเทศสหราชอาณาจักร และได้รับอนุญาตในสหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, แคนาดา และประเทศอื่น ๆ

>> ส่วนบริษัทไฟเซอร์จะมีสิทธิ์ในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก ยกเว้น 3 ประเทศ คือ จีน, เยอรมนี และตุรกี ซึ่งจากข่าวของเยอรมันเองนั้นเคยเขียนไว้ชัดเจนว่า BioNTech ได้สงวนลิขสิทธิ์ทางการตลาดไว้เองสำหรับประเทศเยอรมนี และประเทศตุรกี ส่วนจีนนั้น BioNTech ได้ร่วมมือกับบริษัทจีน Fosun Pharma ที่พึ่งจะขายวัคซีนให้กับ 2 บริษัทไต้หวัน เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลไต้หวันต่อไป

>> Link ซึ่งนี่เป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการของ Pfizer และ Biontech เอง

https://www.pfizer.com/news/press-release/press-release-detail/pfizer-and-biontech-receive-authorization-european-union

https://investors.biontech.de/news-releases/news-release-details/pfizer-and-biontech-receive-authorization-european-union-covid/

>> Link ส่วนนี่เป็นการร่วมมือกับ Fosun Pharma :

https://investors.biontech.de/news-releases/news-release-details/biontech-and-fosun-pharma-form-covid-19-vaccine-strategic/

สรุปง่าย ๆ ก็คือ แบ่งการรับผิดชอบการขายวัคซีนกันรอบโลกดังนี้...

BioNTech - เยอรมนี, ตุรกี

Fosun Pharma - จีน (ซึ่งสำหรับจีน รวมฮ่องกง, มาเก๊า และไต้หวันเข้าไปด้วย)

Pfizer - ทุกประเทศนอกเหนือจาก 3 ประเทศบนที่ว่ามา

และผมก็แวะไปดูของเว็บไซต์ BioNTech มาอีก สาขาที่จะเปิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สิงคโปร์ ยังอยู่ในระยะวางแผนอยู่เลยนะครับ ยังไม่ได้เปิดเลย แถม BioNTech เขียนในเว็บเองด้วยว่า วางแผนจะเริ่มเปิดออฟฟิศในปี 2021 และค่อยเริ่มสร้างโรงงานผลิตในปีเดียวกัน และขึ้นอยู่กับขั้นตอนการอนุมัติของทางการ และโรงงานจะเปิดตัวได้เร็วสุดในปี 2023 ตามนี้เลย...

????????????????????????????ℎ ???????????????????? ???????? ???????????????? ???????????? ???????????????????????????????????? ???????????????????????? ???????????? ???????????????????????????????? ???????????????????????????????????????????????? ???????? ????ℎ???? ???????????????????????????????????????????????????? ???????????????????????????????? ???????? 2021, ???????????????????????????? ???????? ???????????????????????????????? ????????????????????????????????. ????ℎ???? ???????????????????????????? ???????????????????????????????????????????? ????ℎ???????? ????ℎ???? ???????????????? ???????????????????? ???????? ???????????????????????????????????????????? ???????? ???????????????????? ???????? 2023 ???????????? ???????????????? ???????????????????????? ???????? ???????? 80 ???????????????? ???????? ????????????????????????????????????.

>> Link ประกาศข่าวเป็นทางการในเรื่องนี้ของ BioNTech:

https://investors.biontech.de/news-releases/news-release-details/biontech-establish-regional-headquarters-south-east-asia-and/

***เพิ่มเติมอีกว่า ในเว็บทางการของ BioNTech ที่บอกถึงสาขาบริษัทต่าง ๆ ในโลก ไม่มี ‘BioNTech Southeast Asia’ นะครับ สาขา BioNTech ที่อยู่นอกยุโรปมี 2 แห่ง คือ ใน Cambridge และ San Diego เข้าไปดูได้ที่เว็บทางการของบริษัทได้เช่นเคย >> https://biontech.de/our-dna/locations

แต่ผมก็ยังคิดว่า เอาน่ะ!! มันอาจจะมีการตกลงใหม่แบบที่เราไม่รู้ก็เป็นได้ (ถึงจะเป็นไปได้น้อยมาก เพราะ BioNTech เป็นบริษัทเยอรมัน ข่าวจาก BioNTech ก็ออกจาก HQ ที่อยู่ในเมือง Mainz และแน่นอนว่า ออกสื่อเยอรมันก่อนสื่อรอบโลกเสมอ) ผมก็เลยลองทดลองอะไรบางอย่างดู….

>> ผมเมล์หาบริษัท BioNTech ด้วยตัวเอง ซึ่งเนื้อหาที่ผมเขียนไปโดยสรุปก็คือ...

“ผมทำเพจเฟซบุ๊กให้ข้อมูลคนไทย และอยากจะเช็กข่าวว่า ‘จริง’ หรือ ‘Fake news’ ที่ตอนนี้มีข่าวที่ไทยออกเต็มไปหมดว่า มีเครือ Healthcare กำลังเจรจากับ ‘ BioNTech Southeast Asia’ โดยอ้างว่า อาจจะสามารถได้รับวัคซีนล็อตแรกภายในเดือนนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? และอ้างไปอีกว่า เท่าที่ผมทราบทาง Pfizer ได้มีการทำสัญญากับรัฐบาลไทยไปแล้ว และวัคซีนล็อตแรกควรจะถูกนำส่งภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงผมก็ก๊อปจากในแผนกข่าวของ BioNTech ด้านบนไปนั่นแหละ แล้วจึงต่อไปว่า ผมเองก็คิดว่า Pfizer เป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์ในการขายวัคซีนในทุกประเทศทั่วโลก ยกเว้นเยอรมนี, จีน และตุรกี อยากจะไขข้อสงสัยนี้เป็นอันมาก ขอความกรุณาบริษัทช่วยไขข้อข้องใจผมหน่อย เนื่องจากตอนนี้ประเทศไทย Fake News สะพัดมาก ๆ ผมจึงอยากจะขอยืนยันข้อมูลหน่อย”

โดยตอนที่ผมส่งเมล์ไป ผมไม่ได้คาดคิดว่าจะได้คำตอบกลับมาหรอกครับ ก็คิดว่าเสี่ยงดวงเล่น ๆ ดู ไม่มีอะไรเสียหาย มากสุดก็แค่ไม่ได้คำตอบ...ปรากฏว่า ไม่ถึง 2 ชั่วโมง BioNTech ตอบครับ และเป็นการตอบที่ชาญฉลาดเป็นอันมาก โดยตอบผมมาว่า...

“เรียน คุณ xx

ขอบคุณสำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับภูมิภาคประเทศไทย

BioNTech ไม่สามารถช่วยคุณตามคำขอของคุณได้

ประเทศที่คุณเรียกร้องขอข้อมูลถึงนั้นให้บริการโดย Pfizer, Inc. ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา

เราขอแนะนำให้คุณติดต่อสำนักงานของ Pfizer, Inc. ในประเทศของคุณหรือโทรติดต่อสำนักงานใหญ่ของ Pfizer Global ในนิวยอร์กซิตี้ที่ +1 (212) 733-2323

สามารถดูข้อมูลการติดต่อได้ที่: Pfizer.com/contact

นอกจากนี้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราที่จะสามารถให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเป็นประจำที่ www.biontech.de เพื่อติดตามข่าวสารล่าสุด

We wish you all the best! (ไม่รู้จะแปลให้ยังไง)

หากคุณมีคำถามใด ๆ โปรดติดต่อ [email protected] พร้อมหมายเลขตั๋ว # xxxxxx

ด้วยความนับถือ,

ทีมงาน BioNTech ของคุณ”

อ่านแวบแรกเหมือนจะไม่ให้คำตอบ อ่านต่อไปก็ชัดเจนว่า >> “คำตอบชัดเจนกว่านี้ไม่มีแล้ว” เพราะ BioNTech เค้าก็ยืนยันที่ผมถามนั่นแหละว่า วัคซีน Comirnaty ของบริษัท BioNTech / Pfizer สำหรับประเทศไทยนั้น เฉพาะบริษัท Pfizer, Inc. เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการขาย ซึ่งรัฐบาลไทยก็ทำสัญญาไปแล้วไม่ใช่หรือเท่าที่ผมทราบ

ด้วยเหตุนี้รบกวนลูกเพจที่ไทยและสื่อไทยที่ตามเพจช่วยไปหาคำตอบแทนหน่อยนะครับว่า

ใครคือ ‘BioNTech Southeast Asia’ ที่ว่ามาเอ่ย? ในเมื่อ BioNTech ใน South East Asia จะยังไม่เปิดทำการ โรงงานก็ยังไม่เสร็จ จนกว่าจะปี 2023 ที่สิงคโปร์ ในเว็บทางการของ BioNTech ก็ไม่มีบริษัทนี้

วัคซีนที่ว่าของ mRNA จาก BioNTech คือของใคร? ที่บอกเจรจาตั้งแต่ตุลาคมนี่กับบริษัทไหน เพราะไม่ใช่ BioNTech แน่ ๆ ล่ะ?

และต่อให้บอกว่า ร่วมมืออะไรกับจีนนั่น ก็จะบอกว่า บริษัทจีน ชื่อ Fosun Pharma บริษัทนี้ก็มีสิทธิ์ขายเพียงแค่ในขอบเขตแถวจีนเท่านั้น แล้ววัคซีนที่ว่าจะมาในเดือนนี้ให้ไทย งั้นจะมาจากไหนครับ?

>> ก๊อป Quote มาตรง ๆ เลย (บทสัมภาษณ์)

--“วัคซีนทางเลือกที่ผมเป็นกรรมการ จริง ๆ เราติดต่อทั้ง ‘โมเดอร์นา’ และ ‘ไบออนเทค เซาท์อีสต์เอเชีย’ ซึ่งเยอรมันกับจีน เขาทำอยู่

เตรียมนำเข้าวัคซีนอีก 2 ยี่ห้อ!!

ต่อมา พิธีกร ได้สอบถามว่า อยากให้ช่วยขยายความการซื้อวัคซีน ที่จะทำคล้าย ๆ กับ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์นำเข้าซิโนฟาร์มนั้น นพ.บุญ กล่าวว่า จะซื้อ 2 ยี่ห้อ คือ ไบออนเทค ของเยอรมัน ชนิด mRNA เป็นตัวเดียวกับไฟเซอร์ อีกตัวคือ โนวาแวกซ์ของอเมริกา แต่ยังไม่ผ่าน FDA ในอเมริกา แต่ตอนนั้นเราจดซิโนแวค โดยยังไม่มีใครรับรองเลย ก็คิดว่าน่าจะทำได้” (ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/news_2824988)

เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่บอกผมว่า นายแพทย์ผู้พูดอาจจะเข้าใจผิด ขอให้เข้าไปอ่านดูที่สัมภาษณ์กับทางหนังสือพิมพ์มติชนครับ เอ่ยเองชัดเจนว่า “เป็นตัวเดียวกับไฟเซอร์” เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าใจผิดสิครับ ก็แสดงว่า รู้ว่า ทั้ง 2 บริษัท ไม่ใช่บริษัทเดียวกัน แต่เป็นวัคซีนตัวเดียวกัน จริงหรือไม่?

อีกอย่างที่ผมติดต่อถามไปที่ BioNTech ส่วนตัวผมก็มองว่า สมเหตุสมผลไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเอาชื่อ BioNTech เค้ามาอ้างอิงโดยที่บริษัทไม่ทราบ ซึ่งคำตอบที่ BioNTech ตอบผมกลับมาก็เขียนชัดเจน ผมเลยไม่เห็นความจำเป็นจะต้องติดต่อถามยืนยันกับทาง Pfizer อีกครั้งครับ ในเมื่อทาง Pfizer ไม่ได้ถูกยกมาอ้างอิงถึงว่ามีการติดต่อแต่อย่างใด

ผมไม่ใช่สื่อไทยนะ ผมเป็นแค่ประชาชนธรรมดาคนหนึ่งในเยอรมนี หน้าที่ต้องพิสูจน์ข้อมูลก่อนจะลงข่าว คือ หน้าที่ของสื่อครับ ไม่ว่าจะประเทศใด เพราะฉะนั้นอย่าขอให้ผมต้องไปติดต่อถาม Pfizer อีกรอบเลย เชิญสื่อไทยจัดการกันต่อเองตามสมควรครับ ผมชี้แจงในส่วนบริษัทในประเทศผม ก็เพราะผมไม่อยากให้ BioNTech เค้าต้องด่างพร้อยโดยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรครับ

ปล. : ต้องขออภัยในความอยากรู้อยากเห็นของผมด้วย ไม่ได้อยากจะดราม่าแต่อย่างใด แต่ไม่อยากให้คนไทยต้องมานั่งหวังลม ๆ แล้ง ๆ แล้วอกหักกันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ข้อมูลก็อยากจะให้ได้ข้อมูลจริงที่มันถูก ๆ กัน Fake News ปลิวว่อนเหลือเกิน

อีกอย่างผมในฐานะประชาชนเยอรมัน ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เข้าใจผิด หากวันนึงไม่ได้วัคซีนกันที่ไทย แล้วกลับกลายเป็นคนไทยจะมาด่าบริษัท BioNTech เอาได้ เพราะชัด ๆ ว่า บริษัทเจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องเลยแต่อย่างใด ตามอีเมล์ที่ตอบผมลงรูปมานั่นแหละเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

ส่วนเมล์ผมที่เขียนไปหา BioNTech เพื่อความโปร่งใส ผมก็ได้ก๊อปมาลงให้ในคอมเมนท์แล้ว ส่วนรูปที่ผมแนบเป็นรูปจากอีเมล์ส่วนตัวผมนะครับ ซึ่งผมไปใส่ลายน้ำมา แล้วก็ใส่โลโก้ ใส่ชื่อผมอีกรอบ และลงอีกที สรุปแล้ว ก็คือ ลิขสิทธิ์ส่วนตัวของผม ใครที่อยากจะเอารูปผมไปใช้ ขอให้ติดต่อมาขอผมก่อน ขอความกรุณาอย่าขโมยรูปผมไปใช้โดยไม่ได้รับคำอนุญาตจากผม ขอบคุณครับ >> (Link ภาพ : https://www.facebook.com/GermanyInsights)


ที่มา : https://www.facebook.com/GermanyInsights


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top