Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' การันตีความดี ‘หมอยง’ ย้ำชัด เป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ระบุว่า ตามที่มีบุคคลเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนให้ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปลดนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ออกจากตำแหน่งหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลีนิคภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ด้วยการกล่าวอ้างว่า นายแพทย์ยง ในฐานะที่ปรึกษาสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ให้กับรัฐบาล ขาดจรรยาบรรณรับใช้การเมือง นั้น

ผมไม่รู้คุณคือใคร กล้าที่จะเรียกร้องให้ปลดคนที่ทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ไม่กล้าเปิดเผยชื่อ การเรียกร้องผ่านสื่อเช่นนี้ ต้องมีตัวตน อย่าทำตัวลึกลับ หลบอยู่ในเงามืด

สถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด เป็นสถานการณ์รุนแรงและอันตราย ต้องการบุคคลที่มีความรู้จริง ไม่ใช่การลองผิดลองถูก ต้องไม่เอาชีวิตเพื่อนมนุษย์มาทดลองวิชา

ได้ทราบว่า มีนิสิตเก่าคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ กำลังร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนและให้การรับรองความดีของนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ

ผมในฐานะนิสิตเก่าจุฬาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้เรียนคณะเดียวกับท่าน แต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิสิตปี 2512 ขอให้กำลังใจนายแพทย์ยง ขอให้ท่านยืนหยัด อดทน และทำงานเพื่อประเทศชาติ และเพื่อสุขภาพของคนไทยต่อไป

#save หมอยง

 

https://www.facebook.com/nantiwat.samart/posts/1656464041206238


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ให้มุมมองเกี่ยวกับ BRI

เมื่อสถานการณ์ภาพรวมโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มทรง ๆ ผู้คนเริ่มชินชากับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน ประเด็นโรคระบาดครั้งใหญ่ แผ่วเบาลงบ้างจากความสนใจของประชาคมโลก

เวลานี้จึงมีเรื่องราวของ อภิมหายุทธศาสตร์ Belt and Road initiative (ข้อริเริ่มแถบและเส้นทาง) หรือ BRI หวนกลับมาเป็นหัวข้อสำคัญอีกครั้ง

ล่าสุด กลายเป็นหนึ่งในวาระการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขึ้นที่รีสอร์ทริมทะเลคาร์บิสเบย์ มณฑลคอร์นวอลล์ ของสหราชอาณาจักร เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

‘ไบเดน ยุ G7 รวมพลังต้านอิทธิพลจีน เปิดแผนสู้โครงการเส้นทางสายไหม’ กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ของ เว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2564

คล้อยหลังไม่ทันข้ามวัน เพจ TNN World รายงานข่าวในประเด็นเดียวกัน โดยอ้างถึงบทวิเคราะห์ของ สำนักข่าว Reuters ที่ระบุ ผู้นำ G7 กำลังหาหนทางร่วมกันในการรับมือกับ สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น หลังแผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและทางทหารขนานใหญ่ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา

บทวิเคราะห์ จากรอยเตอร์ ยังเชื่ออีกว่า ผู้นำกลุ่ม G7 กำลังเตรียมเสนอโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อแข่งกับโครงการเส้นทางสายไหม ในศตวรรษที่ 21 หรือ Belt and Road initiative (BRI) มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้นำจีน

ในโอกาสที่ BRI ถูกจับตาอีกครั้งและพรรคคอมมิวนิสต์จีน เฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2021 นี้ เพจเฟซบุ๊ก Platform Economy and Transition in the New Era under the BRI ASEAN ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive จาก รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ซึ่งเกาะติดจับตาการเปลี่ยนแปลงของจีนมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานเกือบ 30 ปี มีบทความวิเคราะห์ผ่านสื่อต่าง ๆ มีผลงานหนังสือ 9 เล่ม และงานวิจัยเกี่ยวกับจีน อีก 20 กว่าเรื่อง อีกทั้งยังเน้นลงพื้นที่เก็บข้อมูลในจีน เพราะอยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ใช่แค่มองจีนผ่านสื่อตะวันตก จึงตั้งใจเดินทางไปให้ครบทุกมณฑลของจีนว่า...

วันที่ ‘สื่อไทย’ ต้องรู้เท่าทันแผนการใหญ่ BRI หรือ Belt and Road initiative (เส้นทางสายไหมใหม่) ของจีน!!

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะวัดจากปริมาณงานที่ทำเกี่ยวกับจีนของ รศ.ดร.อักษรศรี และมีเข้าใจผิดไปบ้างว่าเธอเป็นนักวิชาการ ‘โปร จีน’ ซึ่งเธอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่เลย เพียงแต่เธอมอง จีน ในมุมของความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงต้องศึกษาให้รู้เท่าทัน และเกาะติดจับตาอย่างต่อเนื่อง

รศ.ดร.อักษรศรี >> “จับเรื่องจีนอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2535 ที่เริ่มเรียนปริญญาโท เพราะมี Passion ที่เริ่มจากความสงสัยในระบบแบบจีน ต้องการไขปริศนาระบบแบบจีนที่ไม่เหมือนใคร จากที่เคยเรียนรู้มาแบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก จึงเกิดความสงสัยว่า การที่จีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่จะใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมกลไกตลาด แล้วมันจะไปด้วยกันได้เหรอ มันจะทำได้นานแค่ไน มันจะพังลงสักวันหนึ่งมั้ย หรือจะล่มสลายเหมือนสหภาพโซเวียตมั้ย” รศ.ดร.อักษรศรี ยิ้มเมื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่สนใจไขปริศนาระบบแบบจีน ก่อนบอกจริงจังว่า…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ช่วงแรก ๆ บอกเลยว่า ออกแนวจับผิดว่า ระบบแบบจีนจะไหวมั้ย มันจะล่มสลายเมื่อไร ตอนนั้นมองอย่างนั้น เพราะเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีแนวเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาไง เลยเอากรอบแบบตะวันตกไปมองจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไป จีนเติบโตอย่างที่ยากจะหยุดยั้ง ด้วยระบบทุนนิยมโดยรัฐของจีนที่ไม่ได้เดินตามตำราฝรั่ง จึงสนใจศึกษาเรื่องจีนที่แปลกไม่เหมือนใครอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสนุกกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันของจีน และมามองจีนตามข้อเท็จจริงที่ได้ไปเห็นหรือสัมผัสมาด้วยตัวเอง”

ทั้งนี้หากมองในประเด็นเกี่ยวกับ BRI นั้น เธอชี้ว่าไทยไม่ควรเคลิ้มเกินไป และไม่เชียร์เกินงาม…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “เมื่อโลกหมุนมาถึง พ.ศ. นี้ ปฏิเสธไม่ได้ หากเอ่ย ถึง จีน เมื่อไหร่ ย่อมจะมีความเชื่อมโยงกับ BRI ไม่ทางใดทางหนึ่ง เพราะยุทธศาสตร์ BRI เป็น Long Term Strategy ที่จีน “คิดใหญ่ มองไกล” ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ฉาบฉวยทำไปวัน ๆ และภายใต้ BRI จีน ไม่ใช่แค่ส่งออกแค่สินค้าจีน หรือจีนไม่ได้แค่ส่งออกแค่นักธุรกิจจีน แต่จีนใช้ BRI เพื่อส่งออกแพลตฟอร์มจีน และส่งออกเทคโนโลยีจีน นี่คือสิ่งที่อยากให้ความสำคัญว่าหลายอย่างที่จีนทำวันนี้ ล้วนเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ใหญ่ BRI

“ที่สำคัญ BRI ไม่ใช่แค่ FTA (Free Trade Area) แต่ BRI คือ Grand Strategy เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ครอบคลุมหลายมิติ เป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องเกาะติด เป็นคัมภีร์ที่ สี จิ้นผิง ใช้บุกโลก ฉะนั้น ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัว รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย”

รศ.ดร.อักษรศรี ยังบอกต่อ “จากประสบการณ์ที่จับเรื่องจีนมานาน สามารถสรุปได้ว่า Mindset ของสื่อไทย ทั้งสื่อกระแสหลัก และสื่อโซเซียลที่มีต่อจีนนั้น แบ่งเป็นสองกลุ่มสุดขั้ว คือ กลุ่มโปรจีน กับ กลุ่มไม่เอาจีน ซึ่งสื่อโซเชียลไทยที่โปรจีนก็จะชื่นชม สี จิ้นผิง ดุจดั่งผู้นำในฝันดีเลิศไปหมด ส่วนฝ่ายที่ไม่เอาจีน ก็แสดงความเห็นรุนแรง แบบสุดขั้ว จับผิดไปหมด และรู้สึกเสียดายมาก ที่สื่อไทยกระแสหลัก มักทำงานเรื่องจีน แค่ตามวาระงาน เช่น การทำข่าว BRI ก็นำเสนอเป็นข่าวรูทีน ตามวาระ Event การประชุมที่เกิดขึ้นเนือง ๆ ไม่ต่างกับข่าวต่างประเทศทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยมีการวิเคราะห์เจาะลึกอะไรมากมายนัก

“สื่อไทยส่วนใหญ่ ทำงานเหวี่ยงไปตามกระแส มากกว่านำกระแส ในขณะที่ตัวอาจารย์เองเริ่มเกาะติดเรื่อง One Belt One Road (ชื่อเรียกเดิม BRI) มาตั้งแต่ครั้งแรกที่สี จิ้นผิง ไปพูดคำนี้ที่เอเชียกลางเมื่อกันยายน 2013 และเขียนบทความเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องหลาย 10 ชิ้น ตั้งแต่นั้นมา จนเขียนหนังสือวิเคราะห์ BRI โดยเฉพาะออกมาหนึ่งเล่ม ชื่อว่า ‘The Rise of China จีนคิดใหญ่มองไกล’ 

ในขณะที่ สื่อไทยเพิ่งจะมาสนใจ BRI ก็ตอนที่มีกระแสดราม่า ว่า ผู้นำไทยไม่ได้รับเชิญจากจีนให้เข้าร่วมประชุม BRI Summit ครั้งแรกที่ปักกิ่งในเดือนพฤษภาคมปี 2017 บางคนบอกว่า เพราะเป็นผู้นำทหารที่มาจากการปฏิวัติ พอมีดราม่าเรื่อง BRI ขึ้นมาเท่านั้นแหละ คนไทยรู้จักยุทธศาสตร์นี้ของจีนขึ้นมาเลย (ยิ้ม) แต่น่าเสียดายที่บางคนก็ยังรู้จักแบบคลาดเคลื่อน เช่น บอกว่า BRI ไม่พาดผ่านไทย ไม่รวมประเทศไทยด้วย (หัวเราะ) ทั้ง ๆ ที่นายกฯ จีน หลี่ เค่อเฉียง พูดชัดว่าโครงการรถไฟไทย-จีน คือ ส่วนหนึ่งของ BRI และหลี่ เค่อเฉียง มาประกาศ 1 ใน 6 ระเบียงเศรษฐกิจของ BRI ตอนบินกรุงเทพฯ (ธันวาคม 2014) คือ ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indochina Peninsula Economic Corridor) ที่เกี่ยวข้องกับไทยโดยตรง

สื่อไทยต้อง #แปลงจีนให้เป็นโอกาส!!

รศ.ดร.อักษรศรี >> “อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตั้งแต่เกาะติดพัฒนาการของ BRI จีนได้พยายามใช้แผนการใหญ่ BRI ในการออกไปมีอิทธิพลระดับโลกแบบเนียน ๆ ไม่โฉ่งฉ่าง และใช้เป็น Soft Power เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับสื่อทั่วโลก รวมทั้งสื่อไทยผ่านการจัดสอนภาษาจีนให้ฟรี จัดทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและศิลปะบันเทิง รวมทั้งจัดพาสื่อไทยจากค่ายต่าง ๆ ไปทัศนศึกษาในจีนและดูแลอย่างดี เป็นต้น”

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า การไปศึกษาดูงาน การไปเรียนรู้ด้านภาษาหรือวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่จีนเสนอมาให้สื่อไทย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร จึงคิดว่า ไม่ควรปฏิเสธ เพียงแต่ต้องใช้วิจารญาณในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ควรเคลิ้มตามโดยง่าย แต่ควรทำสิ่งที่ขอแนะนำว่า ต้อง ‘แปลงจีนให้เป็นโอกาส’ เพื่อไปรู้เท่าทันจีนด้วยตาเราเอง ไปอัปเดทข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก อัปเดทชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในจีน แต่ต้องตระหนักด้วยว่า สิ่งที่ฝ่ายจีนจัดให้ไปดู ก็คงจะโรยผักชีรออยู่เช่นกัน จึงไม่ควรเคลิ้มจนเกินไป หรือเชียร์จนเกินงาม

“การไปเห็นด้วยตาตัวเองย่อมจะดีกว่า อย่ามองจีนโดยผ่านสายตาสื่อตะวันตกมากเกินไป เพราะต้องยอมรับ มีสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ที่อ่านแค่แมกกาซีนฝรั่ง อ่านบทความฝรั่ง แล้วนำมาแปลเพื่อเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ของสื่อไทย มีคอลัมน์นิสต์ไทยบางคนไม่เคยบินไปจีนเลยด้วยซ้ำ หรือไปจีนนานมากแล้ว แต่ก็แปลบทความฝรั่งแล้วมาเขียนวิเคราะห์เรื่องจีน แล้วก็ใส่ซีอิ๊ว พริกไทย เข้าไปหน่อย เพื่อทำให้ดูเป็นเวอร์ชั่นไทย” 

รศ.ดร.อักษรศรี ให้ข้อสังเกตก่อนบอกต่ออีกว่า “ระบบจีนไม่เหมือนใคร ยิ่งจีน มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนแค่ไหน ยิ่งต้องรู้ให้จริง เรื่องจีน ทุกวันนี้มี Fake News เรื่องจีนเยอะมาก สื่อมวลชน ยิ่งต้องรู้ให้รอบด้าน ยิ่งต้องเกาะติดอัปเดท จึงขอแนะนำคาถาในการทำรายงานสื่อเกี่ยวกับจีน ด้วยหลัก 4 ร คือ รู้เขา รู้เรา รู้จริง และ รู้เท่าทัน”

แล้วสื่อไทยต้องทำอย่าง ถึงจะรู้จริง?

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ต้องใฝ่รู้ เกาะติด ทำการบ้าน ฟังข้อมูลหลายฝ่าย ทั้งจากสื่อตะวันตก สื่อจีน นักวิชาการจากค่ายต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ มันไม่ยากนะ ถ้าอยากจะรู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงแต่มีใจทุ่มเทรึเปล่าแค่นั้นเอง”

ในฐานะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มองอย่างไร? หากสื่อมีข้ออ้างเรื่องข้อจำกัดในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับจีนให้รอบด้าน 

รศ.ดร.อักษรศรี มองว่า “ถ้าเป็นสื่อมืออาชีพ ไม่ควรมีข้ออ้าง ไม่ว่าจะอ้างเรื่องไม่มีงบในการบินไปลงพื้นที่เก็บข้อมูล ไม่มีงบค่าแปลหรือมีข้อจำกัดด้านภาษา ฯลฯ เพราะยุคนี้มีเทคโนโลยีช่วยได้ และมีข้อมูลเกี่ยวกับจีนหลายช่องทางมาก สื่อมืออาชีพ ต้องทำได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวสื่อเอง มี Passion ที่สนใจใฝ่รู้เรื่องจีน อย่างจริงจังแค่ไหน

สุดท้าย ถ้าสื่อไม่มี Passion เรื่อง BRI แล้ว ‘ประเทศไทย’ จะไปต่อได้หรือไม่? 

รศ.ดร.อักษรศรี บอกตรง ๆ ว่า...

“ไปต่อได้แน่นอน เพราะคุณูปการ (Contribution) ของสื่อหรืออิทธิพลของสื่อที่มีต่อนโยบายต่างประเทศของไทยที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น (ยิ้ม) เพราะข้อเท็จจริง คือ การกำหนดนโยบายของไทยเป็นเรื่องของนักการเมืองหรือชนชั้นปกครองมากกว่า แต่ถ้าจะขออนุญาตแนะนำ คือ สื่อต้องมีจุดยืนที่แน่วแน่ มี Strong Position ของตัวเองในการนำเสนอข้อเท็จจริงและบทวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ที่สำคัญ อย่าสร้างดราม่า หรือปั่นกระแส เพื่อแค่หวังยอดวิวหรือยอดแชร์ รวมทั้งอย่าตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของนักการเมือง จนทำให้งานที่สื่อออกมาจะแกว่งไปแกว่งมา ตามผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม”

 

ที่มา : https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223542323199664/?d=n
https://www.facebook.com/101768495251562/posts/178195904275487/?d=n


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลประกาศหาผู้ที่สนใจซื้อต่อวัคซีน Pfizer มากกว่า 8 แสนโดสที่ค้างอยู่ในสต็อค และกำลังจะหมดอายุภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2021 นี้ หากไม่มีประเทศไหนสนใจก็จำเป็นต้องทำลายทิ้งทั้งหมด

วัคซีนตกค้างมูลค่ารวมหลายล้านเหรียญที่อิสราเอลถือครองอยู่และประกาศขายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะจากข้อมูลที่เปิดเผยโดยสื่อมวลชนอิสราเอลพบว่า รัฐบาลมีวัคซีน Pfizer เหลือค้างที่กำลังจะหมดอายุถึง 1.4 ล้านโดส แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์ Delta ที่กลับมาใหม่ในอิสราเอล จึงต้องเร่งฉีดวัคซีนประมาณ 6 แสนโดส ให้กับกลุ่มเยาวชนชาวอิสราเอลอายุระหว่าง 12-15 ปี ให้ทันภายในเดือนนี้

ส่วนที่เหลือมากกว่าครึ่งที่ฉีดไม่ทัน จำเป็นต้องทิ้งไป

ตอนนี้รัฐบาลอิสราเอลกำลังเร่งเจรจาหาประเทศที่สนใจมาซื้อวัคซีนต่อจากอิสราเอล หรือแม้แต่ขายโควตายอดจองวัคซีนล่วงหน้า ซึ่งมีรายงานว่ามีถึง 3 ประเทศที่เข้ามาติดต่อขอรับซื้อวัคซีนแล้ว

แต่ก่อนหน้านี้ อิสราเอลก็มีวัคซีนล็อตที่หมดอายุภายในเดือนมิถุนายนปีนี้ และได้ติดต่อส่งมอบให้กับรัฐบาลปาเลสไตน์ แต่ถูกปฏิเสธไปเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งกระชั้นชิดกับวันหมดอายุมากจึงต้องทิ้งไป

แต่วัคซีนล็อตที่กำลังจะหมดอายุในเดือนกรกฎาคมมีมากถึงกับต้องประกาศขาย และเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับวัยรุ่นอิสราเอลให้ทันภายในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ เพื่อจะได้มารับวัคซีนเข็ม 2 ได้ทันวันหมดอายุ เท่ากับว่าจำเป็นต้องเร่งฉีดให้ได้มากถึง 1.3 หมื่นคนต่อวันเป็นอย่างน้อย

จนถึงตอนนี้ มีประชาชนชาวอิสราเอลรับวัคซีนครบ 2 เข็มไปมากกว่า 5 ล้านคน คิดเป็น 57% ของประชากร มากเป็นอันดับ 1 ของโลก และอิสราเอลเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่ได้รับวัคซีน Pfizer ในจำนวนที่ไม่มีการเปิดเผย

แต่ถึงแม้จะมีวัคซีนในสต็อคเป็นจำนวนมากแล้ว จนไม่สามารถฉีดทันวันหมดอายุ และต้องเหลือทิ้งเกือบล้านโดส แต่เมื่อช่วงเดือนเมษายนก็พบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้เซ็นสั่งวัคซีน Pfizer เข้ามาเพิ่มอีก 18 ล้านโดส เตรียมที่จะฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อ้างอิง : https://www.timesofisrael.com/israel-may-have-to-throw-away-nearly-1-million-covid-vaccines/

https://www.fr24news.com/a/2021/06/israel-may-have-to-throw-away-nearly-a-million-covid-vaccines.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จับตาดู ทีมสิงโตคำราม จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฐานะ ‘แชมป์’ ได้หรือไม่?

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

เมื่อคืน สิงโตคำรามใส่อินทรีเหล็ก จนจำต้องถอยทัพกลับแคว้นบาวาเรียเป็นที่เรียบร้อย เรากำลังพูดถึง ขุนพลทีมชาติอังกฤษ ที่ทำผลงานเอาชนะทีมชาติเยอรมันไปด้วยสกอร์ 2-0 กรุยทางผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลยูโร 2020 ได้เป็นผลสำเร็จ

ได้ยินเด็กแถวบ้านตะโกนว่า ‘อังกฤษมาละเว้ยยย!’ แหม่ สงสัยจะมาจริงอะไรจริง ยิ่งใครดูฟอร์มเมื่อคืนที่ชนกับเยอรมัน ต้องบอกว่า ขุนพลสิงโตหนุ่มชุดนี้ เล่นบอลมีระบบ ระเบียบ และมีความเขี้ยวมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ

ต้องยกความดีให้กับหัวหน้าคุมสิงโต นามว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชุดนี้ ที่เพิ่มเติมโหมดความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการบิ้วท์เกมจากแผงหลังและแผงกลางขึ้นไป ทำได้ดี และเล่นกันได้ง่าย จนทำให้บอลของอังกฤษดูเนียนขึ้น

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เซาธ์เกตเลือกใช้งานเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ จอห์น สโตนส์ ที่เด่นเรื่องการพาบอลจากหลังขึ้นไปหน้าได้ดีทั้งคู่ รวมไปถึงคู่แผงมิดฟิลด์ตรงกลางอย่าง เดแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่เล่นบอลง่าย ไม่เลือกเก็บบอลนาน ทำชิ่งเปิดบอลให้เกมไหลลื่นอยู่ตลอด

แม้ว่าจะยิงได้น้อยในรอบแรก ไม่ถูกใจกองเชียร์สักเท่าไร แต่สำหรับฟุตบอลทัวร์นาเม้นท์แบบนี้ ทีมที่ค่อย ๆ ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละ จะเป็นทีมที่น่ากลัว และจะไปได้ไกลที่สุด เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่า รูปแบบการเล่นของทีมกำลังค่อย ๆ ลงตัวมากขึ้นเป็นลำดับ

ซึ่งทีมอังกฤษ กำลังเดินเครื่องไปแบบนั้น เหมือนเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ต้นไม่แรง แต่แซงปลายกันยาว ๆ เอาเป็นว่า หากผ่านรอบ 8 ทีม ที่จะพบกับยูเครนไปได้ ถึงตรงนั้น อังกฤษมีโอกาสสูงที่จะคว้า ‘แชมป์ฟุตบอลยูโร 2020’ เพราะทั้งฟอร์มการเล่น กำลังใจ และกระแสกองเชียร์ มาเต็มร้อยแน่นอน

อีกไม่นาน คงได้รู้กันว่า สิงโตชุดนี้ จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฐานะ ‘แชมป์’ ได้หรือไม่?


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

บก.ทบ. จัดตรวจเชิงรุกคัดกรองเชื้อกำลังพล WFH สร้างความปลอดภัยกำลังพลผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ส จากนโยบายพิทักษ์พลที่สอดคล้องกับมาตรการป้องกัน COVID-19 ที่กองทัพบกดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการติดเชื้อสู่หน่วยทหารและกำลังพล โดยเฉพาะมาตรการ WFH (Work From Home) ให้กำลังพลปฏิบัติงาน ที่ที่พัก และผลัดเปลี่ยนมาปฏิบัติงานในหน่วยทหารตามวงรอบเพื่อลดความแออัด เมื่อกลับมาปฏิบัติงานในที่ตั้งหน่วยจะมีการตรวจคัดกรองหรือการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กำลังพลตามแนวทางของ ศบค.19 ทบ. 

สำหรับในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก กทม. พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีนโยบายให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยมอบให้สถาบันวิจัยวิทยาศาตร์การแพทย์ทหาร เข้าดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยวิธี Rapid Test ให้กับกำลังพลทุกระดับที่หมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติงาน 

โดยได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดแรกไปแล้วเมื่อ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา และล่าสุดในวันที่ 30 มิ.ย. 64 ได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดที่ 2 ซึ่งมีกำลังพลเข้ารับการตรวจ 1,360 นาย โดย ผู้บัญชาการทหารบกได้มาตรวจเยี่ยมและเข้ารับการตรวจหาเชื้อพร้อมกับข้าราชการที่ปฏิบัติงานในกองบัญชาการกองทัพบกด้วย สำหรับผลการตรวจหากพบกำลังพลมีการติดเชื้อจะมีการตรวจซ้ำและนำเข้าสู่กระบวนการควบคุมและรักษาตามลำดับต่อไป โดยระหว่างการตรวจคัดกรองได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการตรวจหาเชื้อ การฉีดวัคซีน COVID-19 เพื่อให้ตระหนักและสามารถปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับพัฒนาการของการแพร่ระบาด 

“การตรวจคัดกรองเชิงรุกก่อนเข้าปฏิบัติงาน เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ในการดูแลกำลังพลไม่ให้มีการติดเชื้อ เป็นการสร้างความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID ในสถานที่ทำงาน และไม่เป็นภาระด้านการรักษาพยาบาลให้กับระบบสาธารณสุข ที่สำคัญทำให้กำลังพลมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบกจะมีการจัดตรวจตามวงรอบแบ่งผลัดปฏิบัติงานตามมาตรการ WFH อย่างต่อเนื่องทุก 7 วันทำการ

ธปท. ชี้ โควิดระลอกสาม พาแรงงานตกงาน แถมทักษะหาย

น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทย ในเดือนพ.ค. ได้รับผลกระทบชัดเจนขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ระลอก 3 จนทำให้เครื่องชี้การบริโภคลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนในทุกหมวดการใช้จ่าย กิจกรรมทางเศรษฐกิจ รายได้ของภาคครัวเรือน และความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลง แม้มาตรการภาครัฐจะช่วยพยุงกำลังซื้อภาคครัวเรือนได้บางส่วน 

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศยังมีอยู่ ส่วนมาตรการควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 6 จังหวัด (สีแดงเข้ม) ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาครตั้งแต่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ยอมรับว่ามาตรการเหล่านี้มีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่ง  ธปท. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอีกครั้ง

ทั้งนี้ ธปท. ยอมรับว่า ยังมีความกังวลสถานการณ์การระบาดของโควิดจะยืดเยื้อ เป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคแรงงาน มีอัตราการว่างงานนานกว่าที่คาด และอาจจะกลายเป็นแผลเป็นที่แก้ได้ยากขึ้นในอนาคต เนื่องจากแรงงานบางส่วนที่ไม่ได้ทำงานเป็นระยะเวลานานอาจจะสูญเสียทักษะไปเพราะฉะนั้นเมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นก็ต้องเร่งฟื้นฟูทักษะให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยว

#41 ‘แอโร่ซอฟ’ ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยคนไทย เปิดโอกาสให้โปรโมทฟรีช่วงบอลยูโร 2020

???? #เฟส41ช่วยต่อไม่รอแล้ว

‘แอโร่ซอฟ’ ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยคนไทย เปิดโอกาสให้โปรโมทฟรีช่วงบอลยูโร 2020

.

.

"บิ๊กตู่" ห่วงเฟกนิวส์คนป่วยโควิดภูเก็ต ทำลายบรรยากาศเปิดประเทศ วอนตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะเดินทางไปดูความเรียบร้อยในวันแรกที่จะเปิด "ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์" ซึ่งนายกฯ มีความกังวลเรื่องเฟกนิวส์ที่ออกมาล่าสุดว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด 5 ราย ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ได้ชี้แจงแล้วว่า ผู้ติดเชื้อดังกล่าวไม่ใช่ผู้ที่อยู่ใน จังหวัดภูเก็ต แต่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากกทม. และผ่านการคัดกรองตามระเบียบของจังหวัด ขณะนี้ผู้ป่วยทั้ง 5 รายที่ติดเชื้อก็ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว

นายอนุชา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อไม่ทำลายบรรยากาศการเตรียมความพร้อมเปิดประเทศ เพื่อให้เข้าใจตรงกันทุกอย่าง และดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการ เพื่อให้สามารถเปิดประเทศนำร่องที่จังหวัดภูเก็ตได้ จึงเป็นเรื่องที่นายกฯ อยากให้สื่อสารให้ประชาชนทุกคนได้เข้าใจ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กช้าง” สั่งเตรียมมาตรการคัดกรองควบคุมโรคเข้ม เตรียมรับทหารใหม่เข้าหน่วย 1 ก.ค. พร้อมฉีดวัคซีนทุกนาย

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาโควิด-19 

โดยพล.อ.ชัยชาญ ได้ย้ำถึงข้อสั่งการพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมขอขอบคุณทุกเหล่าทัพและ ตำรวจ ที่สนับสนุนรัฐบาลจัดกำลังพลเข้าควบคุมแคมป์คนงานและพื้นที่ชุมชนเสี่ยงสูงที่ผ่านมา รวมทั้งสนับสนุนการจัดตั้งและบริหารจัดการสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐ (SQ) 35 แห่ง และสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ) 146 แห่ง ต่อเนื่องตั้งแต่ มี.ค. 63 เป็นต้นมา โดยขอให้เตรียมการส่งมอบภารกิจการบริหารจัดการสถานที่กักกันโรคทางเลือก (AQ) ให้ สธ.ดำเนินการต่อตั้งแต่ 1 ก.ค. 64 เป็นต้นไป 

นอกจากนั้น นายกฯ และรมว.กลาโหม ยังได้กำชับให้ หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และทุกเหล่าทัพ เตรียมความพร้อมรับทหารกองประจำการผลัดที่ 1/64 ที่จะทยอยเดินทางเข้าประจำหน่วยทหารทั่วประเทศพร้อมกัน ระหว่าง 1-3 ก.ค.64 โดยให้มีการคัดกรองและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมที่สาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด ทั้งการจัดเตรียมสถานที่และกระบวนการรับตัวทหาร ตั้งแต่การรายงานตัวในพื้นที่จังหวัดอำเภอ การจัดยานพาหนะและการเคลื่อนย้ายทหารเข้าหน่วย การปรับสภาพและคัดกรองเฝ้าระวังควบคุมโรคใน 14 วันแรก 

โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงสูง รวมทั้งมาตราการควบคุมโรคระหว่างการฝึกและการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หากพบการติดเชื้อให้คัดแยกและส่งเข้ารับการรักษาที่ รพ.สนาม ทันที พร้อมกันนี้ ขอให้ประสานกระทรวงสาธารณสุข ขอรับการสนับสนุนวัคซีนฉีดให้กับทหารที่เข้าประจำการใหม่ทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อมิให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหน่วยทหาร 

พล.อ.ชัยชาญ ยังได้ย้ำให้ทุกเหล่าทัพ ที่จัดกำลังพลเข้าไปเข้าไปควบคุมแคมป์คนงาน หรือพื้นที่ชุมชนแพร่ระบาด ขอให้สร้างความเข้าใจกับแรงงานและเจ้าของสถานประกอบการถึงเหตุผลความจำเป็นในมาตรากรชั่วคราวที่กำหนด พร้อมทั้งเร่งรวบรวมความต้องการวัคซีน เสนอ สธ. เพื่อเร่งฉีดให้กับกำลังพลที่ลงปฏิบัติงานในพื้นที่โดยเร็ว และขอให้พิจารณาจัดตู้ปันสุขในพื้นที่รอบหน่วยทหารและจัดรถครัวสนามสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ควบคุมที่มีการแพร่ระบาดโดยทั่วถึง เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด ในสถานการณ์วิกฤตของการแพร่ระบาดของโรคที่กำลังเกิดขึ้น

‘ศักดิ์สยาม’ รับนโยบาย ‘บิ๊กตู่’ เร่งจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ลดการพึ่งพาเรือต่างชาติ เพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพบริการขนส่งทางทะเล

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings โดยมีนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) อธิบดีกรมเจ้าท่า ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย และสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ทำหน้าที่ ฝ่ายเลขานุการ 

นายศักดิ์สยามฯ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคม จัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อพัฒนาการขนส่งทางทะเลของไทยให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้น กระทรวงคมนาคมได้มีนโยบายที่จะให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติขึ้นมาใหม่ เนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน กองเรือพาณิชย์ของไทยที่ทำการขนส่งสินค้าทางทะเล มีขนาดเล็ก มีระวางบรรทุกน้อย ไม่สามารถขนส่งระยะไกล เรือสินค้าไทยมีสัดส่วนในการขนส่งสินค้าเข้า-ออกจากประเทศเพียงร้อยละ 9 และไทยต้องพึ่งพาเรือสินค้าต่างชาติถึงร้อยละ 91 ทำให้ไทยขาดดุลค่าระวางขนส่งสินค้าสูงถึงประมาณร้อยละ 90 คิดเป็นเงินประมาณ 1.33 ล้านล้านบาทต่อปี 

เมื่อกระทรวงคมนาคมมีแผนการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศ ความเป็นศูนย์กลาง การเป็นทางผ่านของการขนส่งระหว่างภูมิภาคของโลก ย่อมเป็นความได้เปรียบและเป็นโอกาส ในขณะที่กระทรวงคมนาคม ได้เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมาอย่างต่อเนื่อง การผลักดันการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ จะช่วยให้ไทยลดการพึ่งพาเรือต่างชาติ ลดต้นทุนการขนส่ง ลดการขาดดุลค่าระวาง และเสริมศักยภาพ การแข่งขันให้กับเรือไทย ตลอดจนช่วยให้มีการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งให้คุ้มค่า การขนส่งสินค้านำเข้าส่งออกทางทะเลจะมั่นคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น

ดังนั้น กระทรวงคมนาคม จึงแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติขึ้น และได้กำหนดให้มีการประชุม ครั้งที่ 1 ในวันนี้ เพื่อให้คณะกรรมการ เป็นกลไกเร่งรัดการดำเนินงาน และการขับเคลื่อนเพื่อจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติให้สำเร็จโดยเร็วต่อไป 

นายศักดิ์สยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมในวันนี้ ได้พิจารณากรอบแนวทางในการดำเนินงานจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ และทางเลือกรูปแบบการดำเนินงาน รวมทั้งเห็นชอบแผนการดำเนินงาน (Action Plan) เพื่อเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ซึ่งได้มอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ และนำเสนอผลการศึกษาให้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งบริษัท สายการเดินเรือแห่งชาติ จำกัด โดยมีนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล แนวทางและรูปแบบการจัดตั้งบริษัท สายการเดินเรือแห่งชาติ จำกัด ที่มีความเหมาะสม รวมทั้งประเด็นข้อกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยบข้อง เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติต่อไป

ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ได้มีข้อสั่งการให้นำเสนอความก้าวหน้าของการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ภายใน 1 เดือน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ 

1.) มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย และกรมเจ้าท่า เชิญสถาบันการศึกษา เพื่อหารือเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดเตรียมบุคลากรด้านพาณิชย์นาวี สำหรับรองรับ จัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ 

2.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จัดตั้งคณะอนุกรรมการในแต่ละด้านเพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติต่อไป 

3.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบ การลงทุนและการถือหุ้นของบริษัทเดินเรือในประเทศต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นแนวทางและรูปแบบการจัดตั้ง สายการเดินเรือแห่งชาติต่อไป 

4.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาแนวทางการกำหนดสิทธิประโยชน์ และการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและจดทะเบียนเรือในประเทศไทย

5.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในรูปแบบการดำเนินงานของ บริษัท สายการเดินเรือแห่งชาติ จำกัด ในกรณีที่รัฐบาลถือหุ้นบุริมสิทธิ เพื่อให้มีความคล่องตัว ในการดำเนินงานและมีอำนาจในการตัดสินใจ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top