Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

รมว. แรงงาน ประชุม คบต. แก้ไขข้อขัดข้องการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวช่วงสถานการณ์โควิด ระลอกใหม่

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเสนอครม.ปรับเวลาหานายจ้างของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เป็น 60 วัน ขยายเวลาตรวจโควิด-19 และยื่นขออนุญาติทำงาน (บต.48) ต่างด้าวกลุ่มมติ 29 ธ.ค. 63 ออกไป และผ่อนผันให้ต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 มติครม. 4 ส.ค. 63 และมติครม. 10 พ.ย. 63 อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการตามประกาศที่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานกำหนดให้แล้วเสร็จ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน  รับทราบข้อขัดข้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ และมีความห่วงใยผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง/สถานประกอบการ และการทำงานแรงงานต่างด้าว ทั้งสิ้น 2,150,663 คน และเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องนี้ วันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 4/2564 จึงมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขข้อขัดข้องฯ เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ ดังนี้

1.) ขยายระยะเวลาการตรวจคัดกรองโควิด-19 ของคนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 โดยให้ดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 และขยายระยะเวลาตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงาน (ยื่นบต. 48) กับกรมการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์ออกไปตามที่ที่ประชุมคบต.เสนอ สำหรับผลการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 18 ต.ค. 64

2.) ขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงาน ที่การผ่อนผันให้อยู่และทำงานในประเทศใกล้จะสิ้นสุด แบ่งเป็น

(1.) กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 และมติครม. 4 ส.ค. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้เป็นการชั่วคราวต่อไป โดยที่ต้องยื่นขอก่อนการอนุญาตทำงานตามสิทธิปัจจุบันของแต่ละกลุ่มสิ้นสุด ทั้งนี้ กรณีหนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ คนต่างด้าวต้องมีเอกสารฉบับใหม่ภายใน 1 ปี เพื่อให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ย้ายตราประทับการอนุญาตให้อยู่ในประเทศต่อไป

(2.) กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 10 พ.ย. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่หนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีก 1 ปี เพื่อทำเอกสารประจำตัวฉบับใหม่ และตรวจลงตราวีซ่ากับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

3.) แก้ไขข้อขัดข้องกรณีแรงงานต่างด้าวตาม MoU กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค.62  มติครม. 4 ส.ค.63 มติครม. 10 พ.ย.63 และมติครม. 29 ธ.ค.63 (เฉพาะที่อนุมัติ บต.48 แล้ว) ที่ออกจากนายจ้างเดิมและไม่สามารถหานายจ้างใหม่ได้ทัน แบ่งเป็น

(1.) กลุ่มที่การอยู่สิ้นสุดแล้ว (1 ม.ค. 64 จนถึงก่อนวันที่ ครม.มีมติ) ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ผ่อนผันให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษถึง 13 ก.พ. 66 และ2.กลุ่มที่การอยู่ยังไม่สิ้นสุด (วันที่ ครม.มีมติ -13 ก.พ. 66) ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ให้ปรับระยะเวลาหานายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60 วัน

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า คนต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานในประเทศไทย ที่การผ่อนผันดังกล่าวใกล้จะสิ้นสุด มีจำนวนถึง 2,150,663 คน แบ่งเป็น

1.) กลุ่มคนต่างด้าวถือบัตรชมพู จำนวน 1,364,214 คน แยกตามมติครม. 20 ส.ค. 62 จำนวน 1,162,443 คน และตามมติครม. 4 ส.ค. 63 จำนวน 201,771 คน

2.) กลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี จำนวน 131,585 คน และ

3.) กลุ่มคนต่างด้าวที่สิ้นสุดการให้อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตทำงานตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 จำนวน 654,864 คน คบต.จึงจำเป็นต้องแก้ไขข้อขัดข้องนี้โดยเร็ว เพื่อให้การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวของนายจ้าง/สถานประกอบการด้วย

ทั้งนี้ หากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

‘ลุงป้อม’ ห่วงเยาวชนภาคใต้ ส่งที่ปรึกษา รมว.เฮ้ง มอบชุดธารน้ำใจจากสภากาชาดไทย สู้ภัยโควิด-19 แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการ จ.เพชรบุรี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ห่วงใยเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี ตามโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ มอบหมายที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ส่งมอบชุดธารน้ำใจและอาหารฮาลาลจากสภากาชาดไทย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจสู้โควิด-19 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มาทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี ตามโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จังหวัดเพชรบุรี และ ศอบต. ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบชุดธารน้ำใจจากสภากาชาดไทย และอาหารฮาลาลแก่เยาวชนชายแดนใต้ ซึ่งเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ณ พื้นที่สวนสาธารณะ บางเค็ม และมณฑลทหารบกที่ 15 อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี

นางธิวัลรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบชุดธารน้ำใจและอาหารฮาลาลจากสภากาชาดไทย แก่ลูกจ้าง ในสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งทางกระทรวงแรงงานได้รับการประสานจากสภากาชาดไทยให้ความอนุเคราะห์ชุดธารน้ำใจ ซึ่งเป็นอาหารฮาลาลให้เยาวชนชายแดนใต้ได้รับประทาน โดยมี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเพชรบุรี สถานีกาชาดที่ 8 เพชรบุรี หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมเป็นตัวแทนในการมอบ ผู้แทนแรงงานจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นผู้รับมอบในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้ฝากความห่วงใยมายังเยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำงานในสถานประกอบการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการต่อสู้โควิด-19 ให้ก้าวข้ามไปด้วยกัน

“ประภัตร” แจง นายกฯสั่งสกัด"ลัมปี สกิน" ทุกพื้นที่ ฝากส.ส.ช่วยทำความเข้าใจเกษตรกร ไม่ติดต่อถึงคน ยัน วัว-ควาย ตาย มีเงินชดเชยให้

นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงข้อห่วงใยของสมาชิกเกี่ยวกับโรค"ลัมปี สกิน "ซึ่งเกิดขึ้นในโคและกระบือ ว่า ขอขอบคุณแทนเกษตรที่ส.ส.ทุกคนมีความห่วงใย "ลัมปี สกิน" เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และเกิดขึ้นกับโคและกระบือเท่านั้น โดยอาการขั้นแรกของโรคนี้ วัวจะมีไข้สูง จากนั้นจะมีตุ่มขึ้นที่ผิวหนังเหมือนฝีและแตก แต่ยืนยันว่ารักษาได้ โดย นายกรัฐมนตรีได้ใส่ใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงสั่งให้กระทรวงเกษตรฯ รีบสกัดกั้นโรคดังกล่าว ดังนั้น เราจึงสั่งห้ามนำสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านปิดด่านตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีเล็ดลอดเข้ามาบ้าง ทำให้เชื้อเกิดขึ้นครั้งแรกที่อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด โดยมีพาหะคือยุง ริ้น ไร แมลงวัน จึงต้องรีบสกัดกั้น ต้องหยุดการเคลื่อนย้ายสัตว์โค กระบือทั้งหมด หากจำเป็นให้ขอเป็นรายๆ ไป 

นายประภัตร กล่าวต่อว่า ขอฝากสมาชิกส.ส.ส่งต่อข้อมูลให้ประชาชนได้เข้าใจว่าโรคนี้ทางองค์การสุขภาพสัตว์โลกยืนยันออกมาแล้วว่ารักษาหาย ใช้เวลารักษาประมาณ 30 วัน เนื้อบริโภคได้ และไม่ติดต่อถึงคน ทั้งนี้ เข้าใจว่าเมื่อเป็นโรคอุบัติใหม่ จึงสั่งให้ปศุสัตว์ทุกจังหวัด ปศุสัตว์อำเภอทุกแห่ง ลงพื้นที่สกัดกั้น และรับผิดชอบในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้วัคซีนมาถึงแล้วโดยได้รับ 6 หมื่นโดส และสัปดาห์หน้าจะมาอีก 3 แสนโดส แต่ก็ยังไม่พอ เราจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยอธิบดีกรมปศุสัตว์ ทำหน้าที่ประธาน มีเจ้าหน้าที่และเอกชน ร่วมพิจารณาจุดเสี่ยงว่าอยู่ในพื้นที่ใด เพื่อจะได้รีบป้องกันก่อน ทำให้การกระจายวัคซีนแต่ละจังหวัดจะได้ไม่เท่ากัน

"ยืนยันว่าเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุด"ลัมปี สกิน" ให้ได้ ส่วนโคและกระบือที่ตาย เราจะมีการชดเชยและเยียวยาตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย จึงขอให้เกษตรกร ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย นอกจากนี้อยากฝากเพื่อเป็นทางเลือกคือการทำประกันโค กระบือซึ่งโครงการนี้จะช่วยบรรเทาและช่วยเหลือเกษตรกรได้” นายประภัตร กล่าว

ประกันชีวิตโตรับโควิดระบาด 4 เดือนฟันเกือบ 2 แสนล.

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจประกันชีวิต 4 เดือนแรก ปี 2564 (ม.ค.-เม.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 195,544 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 3.25% โดยแยกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 56,227 ล้านบาท เติบโต 10.38% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 139,316.51 ล้านบาท เติบโต 0.63% อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ 81%

“การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และโรคร้ายแรงยังอยู่รอบตัวเรา ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ภาคธุรกิจจึงได้มีการปรับปรุงรูปแบบของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้สอดรับกับสถานการณ์มากขึ้น ทั้งในรูปแบบเหมาจ่ายหรือเพิ่มความคุ้มครองให้ครอบคลุมรอบด้าน ตลอดจนบริการเสริมในด้านต่างๆ ซึ่งผู้เอาประกันภัยสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับความคุ้มครองอย่างดีที่สุดตามเงื่อนไขกรมธรรม์ไม่ว่าจะป่วยด้วยโควิด หรือโรคร้ายอื่นๆ ก็ตาม”

ทั้งนี้พบว่าช่องทางตัวแทนประกันชีวิตยังคงเป็นช่องทางหลัก ด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวม 91,040 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 0.94% มีสัดส่วน 46.56% รองลงมาเป็นการขายผ่านธนาคาร เบี้ยประกันภัยรับรวม 83,587 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6.71% มีสัดส่วน 42.75% ตามด้วยช่องทางนายหน้าประกันชีวิต เบี้ยประกันภัยรับรวม 10,355 ล้านบาท ลดลง 1.56% มีสัดส่วน 5.30% 

ช่องทางอื่นๆ เบี้ยประกันภัยรับรวม 5,565 ล้านบาท ลดลง 0.92% มีสัดส่วน 2.85 ช่องทางโทรศัพท์ เบี้ยประกันภัยรับรวม 4,778 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6.41% มีสัดส่วน 2.44 ช่องทางดิจิทัล เบี้ยประกันภัยรับรวม 202 ล้านบาท ลดลง 3.59% มีสัดส่วน 0.10% และ ช่องทางไปรษณีย์ เบี้ยประกันภัยรับรวม 13 ล้านบาท ลดลง 15.22% มีสัดส่วน 0.01%

'หมอเอก' นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.ก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กเผย ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแนวหน้าที่มีนโยบายสร้างประเทศปลอดควันบุหรี่ภายในปี 2050 โดยตั้งเป้ามีผู้สูบบุหรี่ไม่เกิน 5%

ในโพสท์ดังกล่าว ยังได้ระบุถึงรายงานล่าสุดของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ของอังกฤษที่ปรับปรุงคำแนะนำเรื่องการควบคุมบุหรี่ใหม่ และมีข้อที่ระบุชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าถูกบรรจุเป็นอุปกรณ์เพื่อช่วยในการเลิกบุหรี่ และยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายไว้ว่าให้มีการส่งเสริมการเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ดั้งเดิมมาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีการควบคุมการเข้าถึงของเยาวชน และการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีความปลอดภัย

สส. เอกภพยังได้ให้ข้อเสนอว่าควรต้องนำข้อมูลวิชาการมาปรับปรุงนโยบายควบคุมบุหรี่ในประเทศไทย พร้อมตั้งคำถามว่าถึงเวลาหรือยังที่นโยบายควบคุมบุหรี่ในประเทศไทยไม่ควรเป็นการตัดสินใจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเสนอความคิดเห็นและถกเถียงด้วยข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อหาทางนำบุหรี่ไฟฟ้าที่อยู่ใต้ดินยากต่อการควบคุมให้ขึ้นมาบนดินที่เราสามารถควบคุมการเข้าถึงของเยาวชนได้

โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ในวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เพื่อประโยชน์ด้านภาษีและสุขภาพผู้สูบบุหรี่ ซึ่ง สส. เอกภพได้เข้าไปตอบข้อความของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยว่าได้มีการพูดถึงการพิจารณาบุหรี่ไฟฟ้าในหลายกรรมาธิการฯ และก็มีญัตติรอเข้าพิจารณาในสภาอยู่ด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ โต้ ‘ลุงตู่’ ปมใช้หนี้จำนำข้าว อ้า งเพราะถูกทำรัฐประหาร และรัฐบาลปล่อยปละให้เกิดทุจริตจัดเกรดข้าวดีเป็นข้าวเน่า ขายข้าวต่ำกว่าราคาจริง

‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ โต้ ‘ลุงตู่’ ปมใช้หนี้จำนำข้าว อ้า งเพราะถูกทำรัฐประหาร และรัฐบาลปล่อยปละให้เกิดทุจริตจัดเกรดข้าวดีเป็นข้าวเน่า ขายข้าวต่ำกว่าราคาจริง 
.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก Yingluck hinawatra โต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีหนี้จำนำข้าวว่า วานนี้ (1 มิ.ย.) ได้ฟังคุณประยุทธ์ชี้แจงในสภาฯ ว่า หนี้สาธารณะเพิ่มเพราะมีหนี้จำนำข้าวในลักษณะที่เป็นการพาดพิงถึงดิฉัน โดยอ้างว่า ท่านใช้หนี้ไปแล้ว 7 แสนห้าพันล้านบาท และเหลือภาระหนี้อีก 2.8 แสนล้านบาท ต้องใช้หนี้อีก 12 ปีถึงจะหมด นั้น ขอยืนยันว่า "คุณประยุทธ์กล่าวเท็จในสภาฯ" และก็อยากบอกว่า 
.
1.) เมื่อคุณประยุทธ์ทำรัฐประหารยึดอำนาจนั้น ยอดหนี้สาธารณะของโครงการฯ เป็นภาระค้ำประกัน และมียอดไม่ถึง 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน และโครงการฯ ยังมีสต็อกข้าวสารหลายแสนล้านบาท ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปสอบถาม รมว.คลังของท่านดู เสียดายที่รัฐบาลท่านปล่อยปละให้มีการทุจริต นำข้าวดีๆ เหล่านั้นไปจัดเกรด ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำมาก่อนมีผลให้นำไปขายในราคาต่ำกว่าราคาจริง เป็นอาหารสัตว์บ้าง เป็นพลังงานบ้าง ซึ่งถ้าขายข้าวกันอย่างสุจริต ภาระคงค้างที่เกิดจากภารกิจช่วยเหลือชาวนาอย่างจริงจังในครั้งนั้นก็ย่อมจะไม่มาก และโครงการฯ ก็มีความคุ้มค่าต่อภารกิจ และเศรษฐกิจโดยรวม ตามรายงานของสภาพัฒน์ฯ อีกด้วย 
.
2.) ส่วนคำกล่าวหาในลักษณะที่ว่ารัฐบาลดิฉันสร้างหนี้มาก มาดูข้อมูลจริงกันค่ะ ในช่วง 3 ปีงบประมาณ (2555-2557) ที่ดิฉันบริหารงาน การกู้เงินเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลลดลง ต่อเนื่องทั้ง 3 ปี จาก 400,000 ล้านบาท เป็น 300,000 ล้านบาท และ 250,000 ล้านบาท (และวางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นงบประมาณสมดุล ในปี 2560) รวมยอดหนี้ฯ 3 ปีงบประมาณ เท่ากับ 950,000 ล้านบาท

3.) มาดูฝีมือสร้างหนี้ของคุณประยุทธ์ กันสิคะว่าเป็นอย่างไร การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ที่กำลังลดลงและควรจะลดลงอีก กลับทะยานเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 ที่มียอดเงินกู้ 250,000 ล้านบาท ปรากฏว่ามีการกู้เงินที่มียอดสูงขึ้นในช่วงเวลาอีก 4 ปี ต่อเนื่องก่อนการเลือกตั้ง (2559-2562) เป็น 390,000 ล้านบาท; 552,921.7 ล้านบาท; 550,358 ล้านบาท และ 450,000 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นช่วงก่อนจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เสียอีก

พอปี 2563 และ 2564 ก็ยิ่งกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงเป็นประวัติการณ์ คือ 683,000 ล้านบาท และ 623,000 ล้านบาท และในสองปีนี้ยังออก พรก.กู้เงินเพื่อภารกิจโรคระบาด อีกสองฉบับ ปี 2563 กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และในปี 2564 เมื่อไม่กี่วันก่อนก็กู้อีก 5 แสนล้านบาท และนี่ยังไม่รวมที่ คุณประยุทธ์กำลังเสนอ พรบ.งบประมาณ 2565 ที่ต้องกู้ชดเชยขาดดุลอีก 7 แสนล้านบาท รวมเป็นยอดเงินกู้ถึง 5.699 ล้านล้านบาท หนี้ขนาดนี้ใช้นานเท่าไหร่จะหมดคะ

4.) มาดูดอกเบี้ยจ่ายกันบ้างก็พอจะบอกได้ว่าหนี้ที่ท่านก่อไว้สร้างภาระแค่ไหน งบประมาณปี 2565 ที่กำลังอภิปรายกันอยู่ มียอดรวม 3.1 ล้านล้านบาทนี้ ต้องจัดเตรียมไว้จ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 182,988 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น ถึง 67 % เมื่อเทียบกับ สมัยรัฐบาลดิฉัน ในปีงบประมาณ 2557 ก่อนรัฐประหาร งบฯ จ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่เพียง 109,511 ล้านบาท ดอกเบี้ยสูงขึ้นมาก เพราะคุณประยุทธ์กู้เงินมากมาย

5.) รัฐบาลดิฉันวางระบบชำระคืนหนี้สาธารณะก้อนโตที่ทิ้งค้างไว้ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ทำให้รัฐบาลคุณประยุทธ์นอกจากจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแล้ว ยังลดยอดหนี้สาธารณะลงไปหลายแสนล้านบาทโดยท่านไม่ต้องทำอะไรเลย แทนที่จะชื่นชมรัฐบาลก่อน กลับเอาแต่โทษโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเพื่อเบี่ยงเบนความเสียหายที่ท่านก่อขึ้น

วันนี้ดิฉันไม่ได้บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว คุณประยุทธ์หัดโทษตัวบ้างเถอะค่ะ อย่าโทษแต่ดิฉันเลย ดิฉันฟังมา 7 ปีแล้ว สุภาพบุรุษ ชายชาติทหารเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกค่ะ

 

ที่มา : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/posts/4413336982044056


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายกฯ ปลื้ม ‘สยามไบโอไซเอนซ์’ ล็อตแรกส่งมอบให้แอสตร้าเซนเนกา ยัน จัดหา 100 ล้านโดส ทันปีนี้แน่

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แสดงความยินดีที่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ล็อตแรก แก่บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ตามกำหนด และทางแอสตร้าเซนเนกาจะได้ทยอยส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อกระจายฉีดให้กับประชาชนไทยต่อไป โดยวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนกา 61 ล้านโดส จะทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ธ.ค. 2564 ทั้งนี้การเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวในอาเซียนได้สร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะได้รับวัคซีนตามข้อตกลง และคนไทยมีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาวัคซีนจากความร่วมมือระหว่างบริษัทแอสตราฯ และบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ยังสนับสนุนให้ประชากรในภูมิภาคอาเซียนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากจะมีการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนคนไทยทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป และเป้าหมายในปีนี้จะจัดหาวัคซีนทั้งสิ้น 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน และจะครบทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ในปีต่อไป และจะมีการจัดหาให้ครอบคลุมถึงชาวต่างชาติที่ทำงานและอาศัยในประเทศไทยโดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนรายงานว่ามีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกที่จะเข้ามายังประเทศไทยภายในปีนี้ในจำนวนที่แน่นอนแล้วประกอบด้วยวัคซีนแอสตร้าเซเนกา 61 ล้านโดส ทยอยส่งมอบตั้งแต่เดือนมิ.ย. วัคซีนซิโนแวค ส่งมอบแล้ว 6 ล้านโดส และจะส่งมอบในเดือนมิ.ย. 3 ล้านโดส และมีอีก 10-15 ล้านโดสที่ได้ทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว รวมถึงรัฐบาลจีนบริจาคอีก 1 ล้านโดสที่จะทยอยส่งมอบในระยะต่อไป

สำหรับวัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค จำนวน 20 ล้านโดส ขณะนี้อยู่ระหว่างต่อรองเงื่อนไขสัญญา คาดว่าจะเข้ามาประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่3 เป็นต้นไป ส่วนวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จำนวน 5 ล้านโดส อยู่ระหว่างต่อรองเงื่อนไขสัญญา และคาดว่าจะเข้ามาประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 เช่นเดียวกัน และอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้ทราบนำนวนที่แน่นอน เช่น วัคซีนของโมเดิร์นน่า ซิโนฟาร์ม เป็นต้น

“เสี่ยโจ้” ซัด “ประยุทธ์” พูดใส่ร้าย “ยิ่งลักษณ์” จี้ตอบใช้หนี้ตอนไหน ตอกกลับเอางบใช้หนี้ซื้ออาวุธตัวเองสมัยเป็น ผบ.ทบ.หรือไม่ กวักมือชวน “เสี่ยหนู” ร่วมคว่ำร่างส่ง “บิ๊กตู่” กลับบ้าน 

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า งบประมาณปี 2565 จำนวน 3.10 ล้านล้าบาท อาวุธสงครามมาเพียบ แต่ไม่มีอาวุธฆ่าโควิดเลย การจัดงบประมาณไม่สอดคล้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากรวมทั้งคนตาย แต่การจัดงบประมาณแทนที่จะให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาโควิด แต่กลับไปมุ่งเน้นงบด้านความมั่นคงของกองทัพ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ บอกใช้หนี้โครงการจำนำข้าว 7 แสนล้านบาทนั้น ตนเป็นรัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วย อยากถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าไปใช้หนี้ตอนไหน ท่านเป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 58-65 ท่านใช้หนี้ประมาณ 6.5 แสนล้านบาท ซึ่งเงินที่นำไปใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่กู้กันมา ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ใส่ร้าย พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ทำให้อดีตนายกฯ เสียหาย ท่านใช้หนี้สมัยเป็น ผบ.ทบ.ที่ซื้ออาวุธไปเยอะหรือไม่ ถ้าไม่จริงขอให้ท่านมาตอบ 

นายยุทธพงศ์ อภิปรายว่า การจัดงบ สธ.ไม่เพียงพอ ไม่มีการตั้งงบซื้อวัคซีน ที่บอกให้ไปใช้งบในส่วนของเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ถามว่าสภาฯ จะผ่านให้ท่านหรือไม่ยังไม่รู้เลย รัฐบาลประกาศให้ซื้อวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ แต่ยังหาซื้อวัคซีนไม่ค่อยได้เลย นอกจากนี้ขอให้ท่านเปิดสัญญาที่เซ็นไว้กับ บ.แอสตร้าเซเนก้าว่าซื้อวัคซีนจำนวนเท่าไร ส่งมอบเมื่อไร ถ้าส่งไม่ทันเสียค่าปรับหรือไม่ ท่านควรเปิดสัญญาให้ประชาชนทราบ วันนี้ไม่ควรมีใครเสียชีวิตหรือเจ็บป่วย ขอให้นายกฯ ทำเรื่องวัคซีนให้กระจ่าง ส่วนที่นายกฯ ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข นั่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการเฉพาะกิจแก้โควิดนั้น ท่านบริหารราชการเหมือนค่ายทหาร ขอฝากไปถึงนายอนุทินว่าไม่ต้องไปง้อ ขอให้มาร่วมกับป๋าพงษ์ (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ) ของตน ช่วยกันคว่ำร่างงบประมาณฉบับนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะได้กลับบ้านเสียที

นายยุทธพงศ์ อภิปรายอีกว่า ในส่วนของงบประมาณกระทรวงกลาโหม ทุกหน่วยงานมีงบลับรวม 470 ล้านบาท นายกฯ ในฐานะ รมว.กลาโหมต้องชี้แจงว่าทำไมต้องเป็นงบลับ เอาไปทำอะไรในเมื่ออ้างว่าบริหารราชการโปร่งใส ซึ่งในภาวะที่ประเทศเดือดร้อน ประชาชนล้มตายและลำบาก แต่กองทัพบกกลับเอาเงินไปซื้อยานเกราะล้อยางปี 63-65 วงเงิน 4,515 ล้านบาท และโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตีปี 64-66 วงเงิน 4,226 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบผูกพัน ที่สำคัญคือการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ของกองทัพเรือ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ซึ่งกองทัพเรือเคยมีหนังสือลงวันที่ 31 ส.ค.63 ถึงประธานกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณปี 64 โดยปรับลดงบประมาณการจัดซื้อเรือทั้งสองลำเหลือศูนย์บาท เป็นการขอยกเลิกเองเลย เพราะประเทศเดือดร้อน แต่ในปี 65 ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ยังตั้งเรื่องขอซื้ออีก บริหารประเทศแบบนี้ใครจะไว้วางใจ หรือกองทัพอากาศมีโครงการจัดซื้อเครื่องบินโจมตีเบาปี 64-66 วงเงิน 4,500 ล้านบาท ท่านสามารถชะลอจัดซื้อออกไปก่อนได้ ทำไมไม่ทำ ที่เหลือเชื่อคือมีโครงการพัฒนาปฏิบัติการในห้วงอวกาศ ระยะที่ 1 ปี 64 -67 วงเงิน 1,470 ล้านบาท ท่านอย่าไปเพิ่งอวกาศ มาเอาชนะโควิดก่อน สรุปคืองบปี 65 วัคซีนไม่แน่นอนแต่รถถัง เครื่องบินรบและเรือดำน้ำมีแน่นอน ดังนั้นหากสมาชิกเห็นว่าการจัดงบไม่ตรงความต้องการของประชาชนและประเทศ ขอให้ช่วยกันคว่ำร่างฉบับนี้

รมว.ยุติธรรม สั่งป.ป.ส.เร่งขยายผลสอบเครือข่ายขนยาเสพติดข้ามชาติ หลังจับผีน้อยคาสนามบินอินชอน พบยาไอซ์มูลค่า 341 ล้านบาท

สืบเนื่องจาก วันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำสนามบิน อินชอน (เกาหลีใต้) ได้ตรวจยึดยาเสพติด (ยาไอซ์) น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม ประมาณ 4,040.49 กรัม มูลค่ากว่า 12.14 พันล้านวอน หรือประมาณ 341ล้านบาทไทย พร้อมจับกุมผู้ต้องหาที่ส่งมาจากประเทศไทย นั้น 

ล่าสุดนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้เร่งสั่งการให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการสูงสุด สาธารณรัฐเกาหลี (SPO) เพื่อขยายผลไปถึงผู้สั่งการ และเครือข่ายที่ร่วมลักลอบคนยาเสพติดไปประเทศเกาหลีใต้ เพื่อหาพยานหลักฐานเตรียมดำเนินคดี พร้อมสอบเส้นทางการเงิน เพื่อทำการยึดทรัพย์สินต่อไป 

ขณะที่ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ป.ป.ส. ได้ประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการสูงสุดเกาหลีใต้ ที่ประจำอยู่ในสำนักงาน ป.ป.ส. มาโดยตลอด จนขยายผลทราบว่า ของกลางดังกล่าว (ยาไอซ์) ถูกส่งมาจากบริษัทส่งสินค้า ซอยอิทาปัจ 13 ถนนเพชรเกษม เขตบางแค ซึ่งระบุตัวผู้ส่งชัดเจนแต่อยู่ระหว่างการสอบสวน โดยมีการส่งยาเสพติดผ่านทางเครื่องบิน

โดยนักค้ายาเสพติดกลุ่มนี้จะมีการติดต่อซื้อขายยาเสพติดผ่าน แอปพลิเคชั่น ไลน์ กับเฟซบุ๊ก ก่อนขนส่งยาเสพติดผ่านพัสดุ และจัดส่งบริษัท ขนส่งพัสดุเอกชนแห่งหนึ่งโดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ SPO (เกาหลีใต้) รายงานว่า กลุ่มผู้รับสินค้าดังกล่าวเป็นคนไทยที่ลักลอบเข้าเมือง ซึ่งสำนักงานป.ป.ส. กำลังเร่งดำเนินการขยายผลเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘เฉลิมชัย’ เดินหน้าพัฒนาทะเลสะอาดอย่างยั่งยืนภายใต้โครงการ ‘ทะเลปลอดอวน-ขยะคืนฝั่ง’ กรมประมง ผนึกกำลัง ประมงพื้นบ้าน-ประมงพาณิชย์ แปลงขยะทะเลเป็นทุนภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) เพื่อสร้างรายได้ชุมชนประมง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการ ฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพประมงไทย แถลงวันนี้ (2 มิ.ย.) ว่า หลายปีที่ผ่านมาทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการ ป้องกันและจัดการปัญหาขยะทะเล โดยประเทศไทย ติดอันดับต้นๆ ของโลกที่มีการทิ้งขยะลงทะเลมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม หลายหน่วยงานในประเทศไทยทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญและได้มีการกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณขยะ สอดคล้องกับวาระแห่งชาติภายใต้แผนแม่บทการจัดการขยะแห่งชาติฉบับที่ 2559-2564 ว่าด้วยการต่อต้าน ขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน ตามมติที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ในการร่วมมือมุ่งมั่นฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิต ของเกษตรกรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานสู่มิติใหม่ ภายใต้ ‘5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย’ คือ

1.) ยุทธศาสตร์ตลาดนาการผลิต

2.) ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0

3.) ยุทธศาสตร์ ‘3’s’ (Safety-Security-Sustainability-เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน)

4.) ยุทธศาสตร์การบริหาร เชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล ‘เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย’ และ

5.) ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืน ตามแนวทางศาสตร์พระราชา ซึ่งสอดคล้องกับมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เห็นชอบในโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงเกิดการนำขยะมารีไซเคิลหมุนเวียนให้เกิดรายได้ใช้พัฒนาชุมชน ภายใต้ ‘โครงการทะเล ปลอดอวน’ และ ‘โครงการขยะคืนฝั่ง’ โดยมีกรมประมงในฐานะหน่วยงานที่ดูแลด้านประมง ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีในปี 2562 โดยทางกรมประมง ได้ร่วมกับพี่น้องชาวประมงทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ ผู้ที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลโดยตรง ริเริ่มนำแนวคิดการไม่สร้างขยะในท้องทะเล และการเก็บขยะในท้องทะเล มาแปลงเป็นทุน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ภายใต้การบริหารจัดการของชุมชนประมง สร้างรายได้นำไปพัฒนาชุมชน

นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า “สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะในทะเลนั้น ได้ดำเนินงานภายใต้นโยบายของ เจ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้เน้นย้ำในเรื่องของ การมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม โดยกรมประมง ผู้ประกอบการและชาวประมง บูรณาการงานร่วมกันอย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ช่วยลดโอกาสในการ ปนเปื้อนของมลพิษในสัตว์น้ำ ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเริ่มต้นจากชาวประมงพาณิชย์ขยายผลไปสู่ ชาวประมงทุกกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกรมประมงได้ดำเนินโครงการในการกำจัดขยะทะเล ภายใต้การขับเคลื่อนของ อธิบดีกรมประมง มาแล้ว จำนวน 2 โครงการ คือ…

1.) โครงการ Net Free Seas หรือเรียกว่า โครงการทะเลปลอดอวน ซึ่งกรมประมงได้ร่วมกับมูลนิธิความ ยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) ในการพยายามจัดการและแก้ไขปัญหาขยะที่ เกิดจากเศษอวนประมง โดยการนำเศษอวนเอ็นจากเรือประมงพื้นบ้าน กลับมารีไซเคิลแปรสภาพใช้ประโยชน์และสร้าง รายได้ให้แก่ชุมชน โดยปัจจุบันได้มีการนำร่องจัดทำโครงการ Net Free Seas ในพื้นที่ชุมชนชายฝั่งทะเลในจังหวัด ทางภาคตะวันออกและภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่ ระยอง จันทบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา และพังงา โดยมีชุมชนประมง พื้นบ้านที่จัดตั้งเป็นองค์กรประมงท้องถิ่น ทั้งหมด 47 ชุมชน มีชาวประมงเข้าร่วมโครงการกว่า 700 คน

โดยชุมชนประมงท้องถิ่นในพื้นที่สามารถรวบรวมนำเศษอวนที่กลายเป็นขยะในพื้นที่แล้ว ส่งขายให้กับโรงงาน ในราคา 10 บาท/กิโลกรัม เพื่อนำมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติก และแปลงไปเป็นของใช้ต่างๆ ได้มากกว่า 12 รายการ เช่น ที่เปิดขวด ที่รองแก้ว ที่กดลิฟท์ ส่วนประกอบของกระดานโต้คลื่น พรมปูพื้น ฯลฯ ซึ่งถูกนำไปจำหน่ายทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศแล้วกว่า 100,000 ชิ้น สามารถลดขยะที่เกิดจากเศษอวนไปได้มากถึง 14,000 กิโลกรัม ซึ่งชุมชนจะมี รายได้ตอบแทน โดยการดำเนินโครงการจะถูกปรับให้เหมาะสมกับวิถีชุมชน แต่ละชุมชนมีส่วนร่วมและมีสิทธิ์ในการให้ คำแนะนำและตัดสินใจในรูปแบบการบริหารจัดการรายได้ที่ได้รับจากการขายเศษอวนผ่านโครงการและระบบการ จัดการ รีไซเคิลขยะจากอวนที่ไม่ซับซ้อนชาวบ้านสามารถดาเนินการเองได้ เอื้อให้เกิดการเสริมสร้างความเข้มแข็งของ ชุมชนได้ในระยะยาว

โครงการดังกล่าว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาขยะจากเศษอวนประมงเพื่อเป็นการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเลและ ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลในระยะยาวแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากขยะ ช่วยสร้างช่องทางการเพิ่ม รายได้ให้แก่ชุมชนชาวประมง และเป็นการริเริ่มการนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาใช้แก้ปัญหาและเพิ่มคุณภาพ ชีวิตในชุมชนให้ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยสนับสนุนความพยายามของชุมชนในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลผ่านการ อนุรักษ์อย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจผ่านโครงการเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์และปลูกฝังพฤติกรรมการแก้ปัญหาขยะทะเลและการรีไซเคิลให้เป็นวิถีชุมชนที่ยั่งยืน และในอนาคตมีแผนจะขยายผลไปยังชุมชน ในจังหวัดใกล้เคียงในฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งปัจจุบันมีชุมชนประมงในพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนชุมชนประมงท้องถิ่นชายฝั่งกับ กรมประมงทั้งหมดแล้ว จำนวน 751 ชุมชน

2.) โครงการ ‘ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา’ โดยกรมประมงร่วมกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและ ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รณรงค์ให้ชาวประมงดูแลรักษาสภาพแวดล้อมในพื้นที่เขตทะเลและชายฝั่งให้สะอาด นำขยะ ทะเลคืนฝั่ง ภายใต้กรอบแนวคิด ‘รับรู้ต้นตอปัญหา เกิดจิตสำนึกตระหนัก ให้ความเห็นร่วม สมัครเข้าทำกิจกรรม สร้าง สัมพันธ์ ให้ความร่วมมือ ยึดปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง’ ซึ่งศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออก (PIPO) ของกรมประมง จำนวน 30 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นหน่วยงานขับเคลื่อนกิจกรรมฯ ดังกล่าว ปัจจุบันมีชาวประมงเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 4,328 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564) มีขั้นตอนการดำเนินการโดยผู้ควบคุมเรือประมงทุกลำที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ จะต้องจดบันทึกรายงานขยะที่เก็บมาแต่ละครั้ง แนบพร้อมการส่งสมุดบันทึกการทำประมง (LB) เพื่อให้ศูนย์ PIPO ตรวจสอบและบันทึกปริมาณขยะลงในระบบ

นอกจากนี้ยังได้ประสานงานไปยังท่าเทียบเรือทุกแห่งที่จดทะเบียนกับ กรมประมง ให้จัดจุดรวบรวม คัดแยกขยะจากทะเล และประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงที่ออกเรือ ลดการใช้ภาชนะหรือ บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ยาก ไม่เทเศษสิ่งของเหลือใช้ หรือเครื่องมือ อุปกรณ์ ของใช้ในเรือประมงลงสู่ทะเล ซึ่งจาก ดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 ปี ได้มีการสรุปรายงานผลปริมาณขยะ คืนฝั่งที่เก็บมาได้ปัจจุบันทั้งหมด จานวน 182,876 กิโลกรัม (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564) แบ่งเป็นขยะที่เก็บในเรือประมงจานวน 139,682 กิโลกรัม ขยะจากทะเล 43,194 กิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่ประเภทขยะที่พบมากที่สุดคือ เศษอวน รองลงมาเป็นขวด พลาสติก ขวดแก้ว และขยะอื่นๆ ทั้งนี้ขยะที่รวบรวมไว้จะมีการส่งต่อไปสู่กระบวนการนากลับมาใช้ซ้ำเพื่อให้คุ้มค่าที่สุด หรือนำกลับมาใช้ใหม่ หรือกำจัดด้วยวิธีที่ถูกต้อง

“จากการดำเนินการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมประมงได้มุ่งผลักดันกิจกรรมฯ ดังกล่าว ในด้านการดูแล รักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง จนประสบความสำเร็จเห็นผลเชิงประจักษ์ โดยล่าสุดกรมประมงได้ส่งผลงาน กิจกรรมฯ ดังกล่าว เข้าร่วมชิงรางวัลเลิศรัฐประจำปี 2564 ประเภทรางวัล การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม เพื่อแสดงถึงความร่วมมือร่วมใจระหว่างภาครัฐ และพี่น้องชาวประมง ในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและ สิ่งแวดล้อม ท้ายนี้ กรมประมงขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงในความตระหนักรักษ์สิ่งแวดล้อม และช่วยกันเก็บขยะจาก ทะเลคืนฝั่ง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบและขยายผลไปสู่ชาวประมงทุกกลุ่มให้ปรับเปลี่ยน วิถีการทำประมงใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเนื่องในโอกาสวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก กรมประมง และพี่น้องชาวประมง ขอแสดงเจตจำนงว่าพวกเราพร้อมที่จะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลให้คืนความอุดมสมบูรณ์ ดังเดิม” อธิบดีกรมประมง กล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top