Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

เสธ.ทอ. ตรวจความก้าวหน้าศูนย์บริการวัคซีนกองทัพอากาศ

ที่อาคารรณนภากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราชพล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) มอบหมายให้ พล.อ.อ. ชานนท์ มุ่งธัญญา เสนาธิการทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการกองบังคับการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กองทัพอากาศ (ผอ.บก.ศปม.ทอ.) ตรวจความก้าวหน้าการจัดตั้งสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนของกองทัพอากาศ ซึ่งได้มอบหมายให้ ศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ (ศป.พรท.ศบภ.ทอ.) จัดตั้งศูนย์บริการวัคซีนกองทัพอากาศขึ้น เพื่อเพิ่มจุดบริการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนและข้าราชการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

พล.อ.อ.ชานนท์ ได้ตรวจความก้าวหน้าการจัดเตรียมพื้นที่ การติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ขั้นตอนและจุดต่าง ๆ การติดตั้งระบบไฟฟ้าและไฟฟ้าสำรอง การติดตั้งคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับลงทะเบียน การติดตั้งเครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับการฉีด ห้องพยาบาลสำหรับผู้มีอาการข้างเคียง และสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับประชาชนที่มาให้บริการ

ทั้งนี้ ศูนย์บริการวัคซีนกองทัพอากาศ ณ อาคารรณนภากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช สามารถรองรับผู้มารับบริการฉีดวัคซีนได้วันละ 1,000 คน ในเบื้องต้นจะบริการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลของกองทัพอากาศที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง หรือผู้ที่ปฏิบัติภารกิจในการดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยง และผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อ (DMHTTA) มีจุดพักรอเพื่อสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีน โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ จากกรมแพทย์ทหารอากาศ ดูแลอย่างใกล้ชิด

"แรมโบ้" แจงแทน “บิ๊กตู่” ยืนยัน บริษัทแอคแคป แอสเซ็ทส์ ไม่เคยติดต่อมา “ชี้” เป็นข้อกล่าวอ้าง “จวก” อย่าทำตัวเป็นบริษัทนายหน้าค้าทางลัด “เย้ย” ถ้าเป็นตัวแทนจริงควรไปเดินตามขั้นตอนของ อย.

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายกรกฤษณ์ กิติสิน ผู้บริหารบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ อ้างเป็นตัวแทนของวัคซีนยี่ห้อชิโนฟาร์ม และได้ทำหนังสือถึง ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัย ผอ.มหาวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นั้น ที่นายกรกฤษณ์ อ้างว่า มีการติดต่อมาที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกว่า 1 เดือนนั้น ไม่เป็นความจริงและไม่มีการติดต่อมาเข้าผ่านสำนักเลขาธิการนายกฯหรือคณะทำงานนายกฯ เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยไร้ข้อเท็จจริง และไม่เคยมีหนังสือจากบริษัทฯ ขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีหรือประสานส่วนตัวผ่านใครมาทั้งสิ้น การออกมาให้ข่าวดังกล่าว ดูตามเจตนานายกรกฤษณ์ ต้องการที่จะใช้บริษัทของตัวเองเข้ามาเป็นนายหน้ามากกว่า เนื่องจากตรวจสอบแล้วพบว่า บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ จดทะเบียนเมื่อปี 2563 ไม่เคยทำธุรกิจยา และเวชภัณฑ์มาก่อน และมีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 5 ล้านบาท นอกจากนั้นยังพบว่าบริษัทฯ ไม่ได้มีใบอนุญาตนำเข้ายาและเวชภัณฑ์ ไม่มีหนังสือรับรองการแต่งตั้งเป็นตัวแทนขายวัคซีนโดยตรงจากชิโนฟาร์มแต่อย่างใด

"การที่บริษัทฯได้ทำหนังสือถึง ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ นั้นมีเจตนาที่น่าเคลือบแคลงสงสัยหลายประเด็นอาทิเช่น ศ.นพ.นิธิ แจ้งว่าหนังสือฉบับจริงยังไม่ถึงท่านเลยแต่ทำไมหนังสือฉบับดังกล่าวมีการเผยแพร่เปิดเผยในโชเชียลก่อนที่จะถึงมือท่าน มีเจตนาเผยแพร่ก่อนเพื่ออะไร ถ้ามั่นใจเป็นตัวแทนชิโนฟาร์มจริง สามารถนำวัคซีนเข้ามาได้จริงทำไมจึงไม่ไปเดินตามขั้นตอนกระบวนการในการยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนที่ อย.ซึ่ง นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ชี้แจงว่า ผู้แทนชิโนฟาร์มที่ยื่นขอเอกสารขอขึ้นทะเบียนวัคซีนชิโนฟาร์มกับทางอย. คือ บริษัทไบโอจีนีเทค จำกัด ซึ่งจะมีการพิจารณาในวันนี้ (28 พ.ค.) ซึ่งถ้าได้รับการพิจารณาขึ้นทะเบียน บริษัทฯนี้จะได้เป็นผู้นำเข้าวัคซีนชิโนฟาร์ม ซึ่งถือเป็นการเดินเอกสารตามขั้นตอนที่ถูกต้อง”นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า การที่บริษัทฯแอคแคป แอสเซ็ทส์ที่ทำมาหากินจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แล้วมาอ้างเป็นตัวแทนและไม่ยอมเดินตามกระบวนการขั้นตอนในการยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนที่ อย.และยังอ้างว่าติดต่อเพื่อขอพบ นายกรัฐมนตรี และ รมต.สาธารณสุข เพื่อขอเสนอขายวัคซีนนั้น น่าจะมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ใจ เป็นการใส่ความให้เกิดความเสียหายต่อทั้งสองท่าน ถึงแม้จะได้พบทั้งสองท่าน ก็คงไม่มีอภิสิทธิ์เหนือบริษัทฯอื่น อย่างไรก็ต้องไปเดินตามขั้นตอนการขึ้นทะเบียน จะข้ามขั้นตอนในการตรวจสอบจากอย.ไม่ได้ เพราะวัคซีนทุกยี่ห้อต้องผ่านการตรวจสอบของ อย.เท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีการตรวจสอบคุณภาพให้มีความปลอดภัยต่อชีวิตของประชาชน ไม่ใช่บริษัทฯ ทำอาชีพอะไรก็จะนำเข้ามาได้โดยใช้วิธีวิ่งหาเส้นสายผู้ใหญ่ เรื่องอย่างนี้อย่ามาอ้างทำให้นายกฯและรมต.สธ เสียหาย ไม่สมควรอย่างยิ่ง 

"น่าจะเป็นบริษัทฯ นักวิ่งมากกว่า จะมาวิ่งกับนายกฯ รมต.สาธารณสุขได้อย่างไร เอกสารไม่พร้อม ไม่เดินตามขั้นตอน จะวิ่งทางลัด ไม่มีรัฐบาลไหน เอาชีวิตของประชาชนไปเสี่ยงกับวัคซีนที่อาจไร้คุณภาพโดยไม่ผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนจาก อย. ผมทราบดีว่า นายหน้าค้าวัคซีนเช่นนี้ มีมากมายหลายบริษัทฯแต่ไม่ยอมไปยื่นเอกสารจดทะเบียนจะหวังให้ผู้ใหญ่ช่วยทางลัด ขอร้องอย่าใช้วิธีนี้ ไปขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องถ้ามั่นใจว่าเป็นตัวแทนจริงและมีวัคซีนที่มีคุณภาพจริง อย่ามาใช้วิธีวิ่งทางลัดไม่มีใครช่วยได้และไม่เอาชีวิตประชาชนมาเสี่ยงกับวัคซีนที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ นายกฯและรัฐบาลทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะไม่เคยคิดเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวใด ๆ ทั้งสิ้น "นายเสกสกลกล่าว

“หมออุดม” ยังไม่พบเชื้อโควิค-19 กลายพันธุ์ในประเทศไทย

ที่เอเชียทีค ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษา ศบค. เปิดเผยว่าในที่ประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเช้า วันเดียวกันนี้ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่า ยังไม่พบเชื้อโควิค-19 กลายพันธุ์ในประเทศไทย ตามที่สื่อมวลชนอังกฤษรายงานข่าว ระบุไม่มีการส่งตัวอย่างเชื้อดังกล่าวตรวจสอบแต่อย่างใด ซึ่งการตรวจสอบการกลายพันธุ์ จะต้องได้รับการยืนยันมากกว่า 1 Lab ดังนั้นข่าวที่ออกมา จึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพียงข้อสงสัยจากทางอังกฤษเท่านั้น

ซึ่งขั้นตอนจากนี้ อังกฤษควรแจ้งมายังทางการไทย  เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของประเทศไทยในขณะนี้ ยังไม่เอื้อต่อการกลายพันธุ์ เนื่องจากยังพบผู้ติดเชื้อเพียง 60 คนต่อประชากร 1 แสนคน ขณะที่ปัจจัยที่เอื้อต่อการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ เกิดในพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 75 คนต่อประชากร 1 แสนคน และ เชื้อโควิดที่ระบาดในประเทศไทย นับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ 95 เป็นเชื้อโควิดจากสายพันธุ์อังกฤษอีกด้วย

'นพ.นิธิ' แฉยับบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ ยันแค่พวกแอบอ้าง ไม่ใช่ตัวแทนจริง

จากกรณีโลกโซเชียลเผยแพร่จดหมายจาก บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ในฐานะพันธมิตรผู้เดียวในประเทศไทย ของบริษัท TELLUS AGROTECH PTE. LTD. ผู้จัดจำหน่ายวัคซีน ซิโนฟาร์ม ในภูมิภาคเอเชีย อ้างว่าส่งถึง ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เรื่องการเสนอขายวัคซีนต้านโควิด-19 ยี่ห้อ SINOPHARM จากบริษัท TELLUS AGROTECH PRIVATE LIMITED จำนวน 20 ล้านโดสนั้น

ล่าสุด ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ว่า เห็นหนังสือนี้ร่อนไปทั่วบนระบบออนไลน์ โดยคนที่หนังสือนี้ส่งถึงยังไม่ได้เห็นหนังสือตัวเป็นๆ เลย อย่างไรก็ดีถึงจะมาพบก็คิดว่าคงไม่ได้พบเหมือนกัน เพราะจากที่พยายามช่วยหาวัคซีน ‘ตัวเลือก’ มาเพิ่มเติมระยะหนึ่งนั้น มีบริษัทหรือกลุ่มคนมากมายที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของวัคซีนโน้นวัคซีนนี้ มากกว่าสิบกลุ่ม

ขอเรียนให้คนที่เห็นหนังสือนี้เข้าใจกันตามนี้ครับ

1.) กลุ่มหรือบริษัทแบบนี้ที่ว่าเป็นตัวแทนนั้นเป็นไปได้ยาก

2.) การเป็นตัวแทนใครในการนำยาหรือวัคซีนจริงต้องได้รับ dossier (รายละเอียดรายการประกอบยาและการผลิต) จากบริษัทเจ้าของเพื่อมาใช้ขอใบอนุญาตจาก อย.

3.) บริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิดขณะนี้ จะติดต่อกับรัฐบาลหรือตัวแทนรัฐบาลก่อนเท่านั้น เป็นเหมือนกันทุกบริษัททั่วโลกเพราะเป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉิน จะไม่ติดต่อกับเอกชนเป็นรายๆ หรือติดต่อคุยด้วยก็จะไม่ให้ dossier เพื่อยื่นขอใบอนุญาต

4.) รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐบาลเมื่อติดต่อแล้วจึงอาจมอบหมายให้บริษัทที่ทำโลจิสติกเรื่องการขนส่งและเก็บวัคซีนที่มีมาตรฐานเฉพาะเป็นผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนและทำการขนส่งแทนหน่วยงานรัฐได้

5.) บริษัทหรือกลุ่มตัวแทนใดที่ว่าเป็นตัวแทนหรือมีวัคซีนเป็นล้านๆ โดสโดยไม่มี dossier ที่ต้นทางจัดให้ ไม่ใช่ตัวแทนที่สมบูรณ์ครับ คงไม่ได้พบผมเช่นกัน

ถ้าติดตามและอ่านประกาศของราชวิทยาลัยฯ ในราชกิจจานุเบกษาที่อ้างถึงให้เกินแปดบันทัด แล้วอ่านข้อบังคับลูกที่ตามมาก็จะทราบว่า ยังไงราชวิทยาลัยฯ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่มีครับ

ขอร้องอย่าถือโอกาสโจมตีกัน แค่นี้ประชาชนคนเจ็บก็ทุกข์แย่อยู่แล้ว นิธิ 27 พ.ค. 64

 

ที่มา : https://www.facebook.com/nithi.mahanonda

https://www.thaipost.net/main/detail/104422


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สตาร์ทอัพธุรกิจท่องเที่ยว “มาคาเลียส” เผยประเทศไทยแม้เจอวิกฤตโควิด-19 หนักอย่างไร แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไงก็ฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการต้องรู้วิธีการรับมือในยุค Next Normal 

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย กล่าวว่า “วิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นวิกฤตที่รุ่นแรงที่สุดในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยและทั่วโลกได้พบเจอ ส่งผลต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบอย่างมหาศาลกับธุรกิจทุกภาคส่วน โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศไทย แต่ทั้งนี้จากประสบการณ์การบริหารงานของบริษัทแม่ในโซนยุโรปประกอบกับการดำเนินงานในประเทศไทยตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ ประเมินว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้เหมือนทุกครั้งที่เคยเกิดวิกฤตต่างๆ เพราะประเทศไทยมีเอกลักษณ์ที่เป็นแม็กเน็ตสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย อาทิ วัฒนธรรมประเพณี ความงดงามของธรรมชาติ อาหารการกิน ค่าใช้จ่ายต่อการท่องเที่ยว เป็นต้น แต่สิ่งที่จะตามมาภายหลังจากพายุโควิด-19 สงบลง คือการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ยุค “Next Normal” หรือยุค “การเปลี่ยนแปลง” เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องปรับตัวตาม

ดังนั้นการเรียนรู้วิธีการรับมือให้เร็วคือทางรอดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยมาคาเลียสมองว่า 5 แนวทางที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมและสร้างระบบการท่องเที่ยวยุค Next Normal ได้นั้น คือ “คุณภาพและประสบการณ์” (Quality & Experience) ของผลิตภัณฑ์หรือการบริการ คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวจะพิจารณาเป็นอันดับแรกมากกว่าเรื่องของราคา เพราะการออกไปท่องเที่ยวในแต่ละครั้งนักท่องเที่ยวจะคิดเยอะขึ้น ดูความสมเหตุสมผลระหว่างราคากับคุณภาพ และที่สำคัญในแต่ละทริปต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อีกด้วย 

ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างคุณภาพของบริการที่จับต้องได้มากกว่าการทำโปรโมชั่น ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนการจำหน่ายแพคเกจแบบการลดราคา เป็นการเพิ่มกิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างความสนุกให้กับทริปท่องเที่ยว เป็นต้น แนวทางต่อมาคือ “ความปลอดภัย” (Hygiene) ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวในยุค Next Normal ทั้งความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของห้องพัก รวมถึงการให้บริการที่เน้นแบบไร้สัมผัส (Contactless Services) ด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ เช่น e-Voucher เปลี่ยนจากกระดาษเป็นออนไลน์ e-Concierge เปลี่ยนจากการเช็คอินที่เคาเตอร์เป็นการให้บริการเช็คอินที่ห้องพัก เพื่อลดการแออัดบริเวณพื้นที่ส่วนรวม และ Digital payment การชำระเงินด้วยรูปแบบการโอนจ่าย หรือการจ่ายผ่านเหรียญคริปโต (Crypto Currency) ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นบริการใหม่ของทางมาคาเลียสที่ได้เปิดใช้งานแล้วและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี 

“เทคโนโลยี” (Tech) ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการยกระดับคุณภาพของงานบริการ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการหลายแห่งนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการ เช่น การใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน สำหรับการเช็คอิน การเช็คเอาท์ การสอบถามข้อมูล รวมไปถึงการให้บริการ Room Service แทนการใช้โทรศัพท์ในห้องพัก เพิ่มความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว เพราะสามารถใช้บริการได้ทุกที่ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการติดตามนักท่องเที่ยวได้อีกด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ

“ทักษะ” (Skill) เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริการมากขึ้น ส่งผลให้รูปแบบบริการเปลี่ยนไป บางสายงานอาจถูกลดจำนวนลง ดังนั้น บุคลากรควรมีการ Upskill คือการนำองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมมาพัฒนาตัวเองให้มีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น การเพิ่มทักษะภาษาจีนจากเดิมที่มีทักษะภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เพื่อเตรียมรับนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นต้น และ Reskill การเปลี่ยนองค์ความรู้เดิมเพื่อรับมือกับสายอาชีพใหม่ที่จะเกิดขึ้น เช่น เดิมเป็นเจ้าหน้าที่ออฟฟิศรับจองห้องพัก แต่เมื่อ Ai เข้ามาทำงานแทน เราอาจผันตัวเองมาเรียนเป็นผู้สอน SUP Board เพราะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางน้ำที่กำลังได้รับความนิยม และเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ เป็นต้น 

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “แนวทางสุดท้ายที่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยนำพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุค Next Normal คือ “บูรณาการ” (Integration) เพราะการทำงานเพียงลำพังคนเดียวอาจไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุดของการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องร่วมมือและผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมไปถึงกลุ่มชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างแผนแม่บทด้านการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยควรจะเป็น รวมถึงการร่วมมือกันกำหนดแนวทางการแก้ไข ดูแล และป้องกัน หากเกิดวิกฤตต่างๆ  ขึ้นอีกครั้ง”

พร้อม…กับทุกด้านของชีวิต กับ 10 เหตุผลดีๆ ที่ควรเลือกมาสด้า บีที-50 เป็นปิกอัพคู่ใจในยุคนี้

เมื่อพูดถึงรถปิกอัพแล้วต้องบอกว่าเป็นยานพาหนะที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน แต่ปัจจุบันรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปจากอดีต ถนนหนทางดีขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก คนส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาใช้งานอเนกประสงค์มากขึ้น และต้องตอบโจทย์ทุกความต้องการในรถคันเดียว จึงทำให้การตัดสินใจเลือกรถปิกอัพต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายด้านรวมกัน ทั้งสมรรถนะของเครื่องยนต์ การประหยัดค่าใช้จ่าย ความอเนกประสงค์ สะดวกสบาย ดีไซน์ต้องโดนใจ และที่สำคัญต้องส่งผลต่อภาพลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของ แบบว่าขับแล้วต้องหล่อดูดี ซึ่งในท้องตลาดก็มีรถปิกอัพมากมายหลายยี่ห้อให้เลือก หนึ่งในนั้น คือ มาสด้า บีที-50 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่ผู้คนต่างให้ความสนใจ วันนี้เรามาเจาะลึกถึงคุณสมบัติที่มากับปิกอัพคันนี้กันว่าทำไมถึงต้องเลือกมาสด้า บีที-50 รถปิกอัพสไตล์เอสยูวีรุ่นนี้มาเป็นรถปิกอัพคู่ใจ พร้อมสำหรับการใช้งานในระยะยาว

1.) ดีไซน์สง่างามสไตล์รถเอสยูวี

หากถ้าพูดถึงเรื่องความสง่างาม ความโดดเด่นด้านการออกแบบรถของแบรนด์มาสด้าแล้ว ต้องยกให้กับแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ จิตวิญญานแห่งการเคลื่อนไหว เรียบง่ายแต่งดงาม ปิกอัพมาสด้า บีที-50 ถูกออกแบบตามแนวคิดนี้เช่นเดียวกับรถยนต์มาสด้ารุ่นอื่นๆ แต่ยังมีความพิเศษอยู่ที่ มาสด้าได้นำแนวคิดนี้มาผสมผสานกับรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งอันเป็นเอกลักษณ์ของรถปิกอัพ จึงทำให้รถรุ่นนี้กลายเป็นปิกอัพที่โดดเด่นที่สุดในทุกมุมมอง แตกต่างจากปิกอัพทั่วไปในท้องตลาดด้วยการเป็น “ปิกอัพสไตล์เอสยูวี” สไตล์คนยุคใหม่

2.) ภายในเรียบหรู สะดวกสบาย คัดสรรด้วยวัสดุเกรดพรีเมี่ยม

ภายในห้องโดยสารเน้นความประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยคัดสรรเลือกใช้เฉพาะวัสดุคุณภาพสูง จึงช่วยเพิ่มผิวสัมผัสถึงคุณภาพของการตกแต่งภายในห้องโดยสารได้อย่างลงตัว ออกแบบโดยเน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางตามหลัก Human Machine Interface เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด นอกจากนี้ ความสะดวกสบายที่จัดมาให้อย่างเต็มเปี่ยม พวงมาลัยปรับได้มากถึง 4 ทิศทาง เบาะนั่งคนขับไฟฟ้าปรับ 8 ทิศทางและระบบดันหลัง ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ลำโพงมากถึง 8 ตำแหน่ง ที่พักแขนพร้อมที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง ช่องเสียบ USB ช่องเก็บของสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกตำแหน่ง

3.) เครื่องยนต์ทรงพลัง ทนทาน แรงและประหยัดน้ำมัน

ผู้ใช้งานรถปิกอัพต้องการรถที่เครื่องยนต์มีกำลังสูง มาสด้า บีที-50 ตอบสนองความต้องการส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี กับตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ในรุ่นขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบหัวฉีดน้ำมันแรงดันสูง 250 MPa ให้ละอองน้ำมันละเอียดและการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ประหยัดน้ำมันได้ถึง 14.1 กิโลเมตร/ลิตร นอกจากนี้ อีกหนึ่งทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.9 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ประหยัดน้ำมันถึง 16.1 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่าดีที่สุดในคลาส

4.) ตัวถังแข็งแกร่ง เสถียรภาพการขับขี่ดีเยี่ยม รองรับการบรรทุกของได้อย่างเหลือล้น

โครงสร้างตัวถังผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าที่ทนต่อแรงดึงสูง (High Tensile Steel) ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนจากภายนอก ให้เสถียรภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น กับคอยล์สปริงที่ช่วยเพิ่มความนุ่มสบาย ซับแรงกระแทกที่จะเข้าสู่ห้องโดยสาร พร้อมเหล็กกันโคลงหน้าช่วยเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว ชุดแหนบด้านหลังที่ยาวถึง 1,370 มม. เพิ่มความสามารถในการบรรทุก ทำให้ง่ายต่อการขนถ่ายสัมภาระและบรรทุกได้มากขึ้น

5.) ตอบรับวิถีคนรุ่นใหม่ เชื่อมต่อไร้ขีดจำกัดด้วยระบบ infotainment ครบครัน

ตอบโจทย์รูปแบบการเชื่อมต่อการสื่อสารในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัวกับระบบ Infotainment ที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูง WXGA ขนาด 7 นิ้ว หรือ 9 นิ้ว รวมถึงรองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto™ ใช้งาน Miracast แบบไร้สาย รองรับการเชื่อมต่อแบบ MirrorLink ระบบนำทางที่ติดตั้งมากับรุ่นหน้าจอขนาด 9 นิ้ว ใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง

6.) สองทางเลือกกับระบบขับเคลื่อนที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างทรหด

ระบบขับเคลื่อน 2 รูปแบบ คือ ระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ซึ่งในรุ่นระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ใช้เพลาขับที่ทำจากอลูมิเนียม ทำให้รถเบาขึ้นและสามารถสลับโหมดการขับเคลื่อนและการทำงาน 4H/4L ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบ Electronic Diff-Lock ที่เฟืองท้าย ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดและพร้อมรับมือได้ทุกสภาพถนนที่ยากต่อการขับขี่ 

7.) ระบบปลอดภัยเป็นเลิศอุ่นใจกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง

เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงได้ถูกติดตั้งมาพร้อมกับตัวรถเพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัย เพื่อให้ขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้แก่ ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM และ ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC), ระบบช่วยออกตัวรถขณะอยู่บนทางลาดชัน (HLA), เซ็นเซอร์กะระยะทั้งด้านหน้าและด้านหลังรวม 8 ตำแหน่ง, ถุงลมนิรภัยรวมสูงสุดถึง 6 ตำแหน่ง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

8.) ตอบโจทย์การใช้งานทุกสถานการณ์

เนื่องจากปิกอัพรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ขับขี่ได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งในเมืองและออฟโรด จึงสามารถขับบนถนนขรุขระได้อย่างดีเยี่ยม มาพร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS) ช่วยควบคุมกำลังขับที่เหมาะสม ให้ความคล่องแคล่วและการควบคุมที่แม่นยำ ในรุ่นยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ (Hi-Racer) และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ยังขับลุยน้ำได้ถึง 800 มิลลิเมตร เนื่องจากท่ออากาศหลักได้ถูกติดตั้งอยู่ด้านหน้าเหนือแผงด้านบนของหม้อน้ำ มีโครงสร้างช่วยให้ช่องว่างรอบท่อปิดสนิท จึงป้องกันไม่ให้น้ำเข้าสู่ระบบท่ออากาศเมื่อต้องขับลุยน้ำ และรถรุ่นนี้ยังใช้งานในเมืองได้อย่างคล่องแคล่วและง่ายดาย

9.) คุ้มค่ามากที่สุดกับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาต่ำ

มาสด้า บีที-50 มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กม. เริ่มต้นเพียง 20,985 บาท เท่านั้น มาพร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษ ดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กม. ช่วยลดภาระค่าบำรุงรักษาและยังใช้อะไหล่และของเหลวคุณภาพสูงในราคาเป็นมิตร เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่สุดเหมาะที่จะเป็นปิกอัพคู่ใจลูกค้าไปตลอดอายุการใช้งาน

10.) การสื่อสารชัดเจนปิกอัพสำหรับคนรุ่นใหม่พร้อมทุกสถานการณ์

การวางตำแหน่งทางการตลาดภายใต้สโลแกน : พร้อม...กับทุกด้านของชีวิต สะท้อนภาพลักษณ์ของคนยุคใหม่ มีแนวทางการใช้ชีวิตที่ชัดเจน ไม่เหมือนใคร เต็มที่กับทุกด้านได้ในแบบที่ต้องการ โดยสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของปิกอัพมากยิ่งขึ้น ใช้อาชีพที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมาย ให้คุณพร้อมไปกับทุกภารกิจ ไม่ว่าเค้าจะทำอาชีพอะไร Mazda BT-50 ก็ตอบโจทย์ทุกอาชีพ ทั้งธุรกิจ ครอบครัว และชีวิตส่วนตัว ตามคอนเซ็ปต์ “พร้อม...ทุกเมื่อ เพื่อทุกงาน”

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มาสด้ามุ่งมั่นตั้งใจในการผลิตปิกอัพ บีที-50 ยังมีจุดเด่นอีกเพียบที่รอให้ค้นหา ลองแวะไปที่โชว์รูมเพื่อทดลองขับ แล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงบุคลิกและพลังที่ซ่อนอยู่ของรถปิกอัพที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่นี่คือปิกอัพที่ พร้อม...กับทุกด้านของชีวิต

‘บิ๊กตู่’ ย้ำเร่งกระจายฉีดทุกคน วอนอย่าขยายข่าวทำคนสับสน แจงสถานการณ์เปลี่ยนต้องปรับแผนตลอด คงไม่ต้องขอโทษ ลั่นไม่มีวัคซีนการเมือง ยันไม่มีปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 พ.ค. ที่ศูนย์การค้า เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกสถานพยาบาล ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและหอการค้าไทย ดำเนินการโดยศูนย์การค้าเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ และโรงพยาบาลบางปะกอก 1 พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานเกี่ยวข้อง โดยนายกฯ ได้ตรวจเยี่ยมตามจุดให้บริการต่างๆ พร้อมทักทายเจ้าหน้าที่ และประชาชนที่เข้ามารับบริการ พร้อมสอบถามอาการหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งนายกฯ กล่าวว่า เป็นยังไงบ้าง เจ็บนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย สังเกตอาการไม่มีอาการอะไรเลยใช่ไหม วันนี้วัคซีนยังต้องรอ ซึ่งขึ้นอยู่กับวัคซีน ขณะนี้มีอยู่แค่ไหนก็แค่นั้น แต่เดี๋ยวจะทยอยฉีดให้กับทุกคน ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ เหน็ดเหนื่อยกันหน่อยตอนนี้ ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้กล่าวให้กำลังใจนายกฯ ด้วย

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยม ว่า วันนี้ตนได้เห็นความพร้อมเพียงในเรื่องการเตรียมการตามมาตรฐานสาธารณสุขอย่างครบถ้วน ขอขอบคุณผู้ให้บริการเจ้าของสถานที่ รวมถึงผู้ที่บริจาคสิ่งของดูแลช่วยเหลือให้กับผู้ที่ได้รับเข้าฉีดวัคซีน โดยจะเห็นได้ว่าขณะนี้การบริหารวัคซีน การฉีดวัคซีนจะกระจายเร่งทำให้มากยิ่งขึ้นตามปริมาณวัคซีนที่ได้กระจายไป และมีหลายกลุ่มที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับความเร่งด่วนในการฉีดวัคซีน ดังนั้นขอให้ฟังที่ตนพูด อย่าไปฟังที่อื่นพูดเพราะจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดไป และต้องให้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่บ้าง เพราะทำงานแบบนี้เหนื่อย เสียสละและอดทน ซึ่งปกติการบริหารก็ยากอยู่แล้วเพราะคนจำนวนมาก ถ้าหากทำให้สับสนไปเรื่อยๆ ขยายข่าวไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดก็จะมาลงที่เจ้าหน้าที่ จึงขอให้นึกถึงหัวใจของเจ้าหน้าที่บ้าง ตนขอแค่นั้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนการให้บริการถือว่าเป็นการฉีดที่จะต้องบริหารวัคซีนที่ได้รับทั่วกรุงเทพฯ 25 จุด ตามจำนวนที่มอบไปตามห้วงระยะเวลาที่กำหนด ส่วนการบริหารวัคซีน จะบริหารเป็นเดือน โดยจะให้ทุกคนได้ฉีดมากที่สุดในเดือนนั้น โดยเป้าหมายจะฉีดให้ได้ในเดือนธ.ค.และย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามกำหนด แต่ยอมรับว่า การทำงานเพื่อคนหมู่มากในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คงไม่ต้องขอโทษ เพราะบางอย่างจำเป็นต้องมีความอ่อนตัวในการบริหารบ้าง ซึ่งการทำงานมีแนวทางกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าสถานการณ์จากระดับ 1234 แล้วจะทำอย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้การบริหารวัคซีนการจัดหาสถานที่ฉีด จำนวนผู้ฉีด การกระจายวัคซีน ทุกอย่างจะต้องมีการปรับแต่ทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน ตนขอยืนยัน ขออย่าไปพูดว่าคนนั้นไม่ได้ฉีด คนนี้ได้ฉีด ขอความร่วมมือกับสื่อด้วย เรื่องใดที่ไม่เกิดประโยชน์ขอความกรุณาอย่าไปแพร่ในสื่อทุกชนิดเพื่อลดความขัดแย้ง เพราะไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะไปทะเลาะเบาะแว้งกัน ตนไม่อยากให้ใครทะเลาะกันทั้งสิ้นไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม เราต้องไปด้วยกัน การทำสิ่งดีๆ เพื่อสิ่งดีๆ ถือเป็นกุศลต่อตนเองทำให้ประเทศชาติฟื้นตัวขึ้น ช่วยกันทำความดี ตนบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว

จากนั้นนายกรัฐมนตรี รับมอบของที่ระลึก พร้อมกล่าวว่า ฝากความคิดถึงทุกคน ทั้งบุคคลากรทางการแพทย์ ซึ่งต้องเหนื่อยหน่อย แต่ทั้งหมดเป็นกุศล ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น ทำบุญก็อย่างหนึ่ง ทำบุญกับพระกับอะไรก็ว่าไป ส่วนทำกุศลทำให้กับคนที่เขายากลำบาก นั่นแหละกุศลแรง จากนั้นนายกฯ ชูสองนิ้วให้กับประชาชนที่ต่อคิวรอฉีดวัคซีน พร้อมกล่าวว่า เดินหน้าไปด้วยกันนะ เราต้องชนะไปด้วยกันทุกคน เราต้องเดินหน้าไปด้วยกันทุกคน ก่อนขึ้นรถเดินทางกลับเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล

เมื่อถามว่า จะมีการแจ้งความเอาผิดกับบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด ที่อ้างว่าเคยติดต่อกับรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่จะดำเนินการต่อไป คงไม่ต้องมาถามล่วงหน้า

เมื่อถามว่าแผนการกระจายวัคซีนแอสตราเซนเนกาที่จะเข้ามาในเดือนมิ.ย. ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วัคซีนทั้งหมดที่จะเข้ามาในเดือนมิ.ย. จะกระจายภายในเดือนมิ.ย. ทั้งหมด โดยจะกระจายไปให้ได้มากที่สุดและได้มอบนโยบายไปแล้ว ซึ่งได้บอกไปแล้วว่า เราจำเป็นต้องกระจายวัคซีนเป็นรายเดือน ไม่เช่นนั้นก็ต้องวางแผนไป 6 เดือน แล้วจะได้ตามนั้นหรือไม่หล่ะ เพราะวัคซีนมาเป็นช่วงๆ ในแต่ละเดือนและการกระจายไปตามจุดต่างๆ จึงจำเป็นจะต้องวางแผนตรงนี้ ถ้าไม่มีการแพร่ระบาดขึ้นมาใหม่ก็คงเป็นไปตามแผนได้ แต่ในเมื่อมีการแพร่กระจายและมีการระบาดสูงในบางพื้นที่ จึงจำเป็นต้องมีการปรับในการนำวัคซีนเข้าไปในแต่ละพื้นที่

“ผมยืนยันแล้วกันว่า ทุกคนจะได้รับการฉีดอย่างแน่นอน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม จะยังได้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่นายกฯ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าได้ฉีดทุกคน 100 เปอร์เซ็นต์ได้ฉีดทั้งหมด ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อมหรือแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่จะทำให้รวดเร็วมากขึ้น โดยเมื่อวานเพียงวันเดียวได้ 1 ล้านกว่าราย

เพียงแต่วันนี้ต้องทำให้ระบบหมอพร้อมรองรับคนที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันอื่นด้วย เพื่อนัดและติดตามผลการฉีดวัคซีน ทุกคนจะต้องได้รับการติดตามจากการเข้ารับการฉีดวัคซีน นี่คือการรับผิดชอบและการออกใบรับรอง รัฐบาลทำขนาดนี้ ส่วนจะมีความยุ่งยากหรือไม่อย่างไร ก็ต้องไปเก็บกันเอาเอง ขอร้องว่าอย่าไปคิดเพียงชั้นเดียวมันไม่ได้

เมื่อถามว่า ในบางจังหวัดยังไม่มีแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกจังหวัดมีหมดอยู่แล้ว กระทรวงมหาดไทยยืนยันแล้ว ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการร่วมกับสำนักงานสาธารณสุข (สสจ.)และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตามฉีดกันให้ทั้งหมดแล้ว

เมื่อถามถึงวัคซีนทางเลือก เช่น วัคซีนซิโนฟาร์ม มีความคืบหน้าอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ก็มีบริษัทเข้ามาติดต่อเป็นทางการแล้วกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งอย.ขึ้นทะเบียนแล้ว และอยู่ระหว่างการเจรจานำเข้า โดยต้องเข้าตามช่องทางที่ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายตามมาตรการ ถ้าไม่เข้าตามช่องก็มาไม่ได้ จะมาพบใครก็ไม่ได้ เพราะตนไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น เพราะเป็นหน้าที่ของอย. และองค์การเภสัชกรรม (อภ.)

เมื่อถามว่า ได้รับรายงานกรณีอังกฤษพบ โควิด-19 สายพันธุ์ไทยแล้วหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า “มันก็มีทุกสายพันธุ์นั่นแหละ ถ้ามันจะเกิด อย่าไปกังวลให้มากนักเลย วันนี้ขอให้ฉีดวัคซีนกันให้ได้เสียก่อน ซึ่งถ้าเป็นก็รักษาได้ ขอให้ดูแลตัวเองป้องกันตัวเองถ้าไม่ดูแลตัวเอง ถ้าไม่ช่วยกันทำอะไรก็ไม่สำเร็จ อย่าไปจับผิดเล็กน้อย ถ้าถามมา ก็ตอบไปว่ารักษาได้ วัคซีนที่มีอยู่ก็ป้องกันได้

เมื่อถามว่าในส่วนของวัคซีนการเมืองที่ยังมีความเห็นต่างกันในพรรคร่วมรัฐบาลจะทำอย่างไร นายกฯ ได้หันหน้าไปมองนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ที่ยืนอยู่ข้างๆ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยพร้อมกล่าวว่า “ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ผมเข้าใจกันหมดทุกประการ ผมยืนยันตรงนี้ ต่อหน้านายอนุทิน เมื่อวานนี้ผมก็คุยกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรจะมีปัญหาก็เพราะมีคนยุแยงตะแคงรั่วอยู่แถวนี้นั่นแหละ ไม่เห็นมีปัญหาตรงไหน การจะปรับเปลี่ยนอะไรต่างๆ ผมก็ปรับเปลี่ยนตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข ว่า อะไรดี อะไรใช่หรือไม่ใช่ อะไรต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ผมก็ฟังในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนในทุกระดับ ด้านสาธารณสุขเราก็ต้องฟัง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดก็เข้าสู่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่มีผมเป็นผอ.แล้วผมจะไปสั่งอะไรได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าผมจะไปเข้าข้างใครทั้งนั้นแหละ ผมต้องบูรณาการในการทำงานจากข้อกำหนดทุกประการ นี่คือหน้าที่ของผมตามข้อมูลที่หลายฝ่ายเสนอขึ้นมา ก็แค่นั้นเองอย่าไปตีกัน บ้านเมืองวุ่นวายพออยู่แล้ว หยุดๆ กันเสียบ้าง


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างระบบบิ๊กดาต้าออร์กานิค ล่าสุดขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์เกือบ 4 แสนไร่ พร้อมเดินหน้าเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง จัดตั้งกลไกขับเคลื่อนทั่วประเทศแล้ว

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน เปิดเผยถึงความก้าวหน้าการขับเคลื่อน โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองว่า การดำเนินงานของคณะทำงานด้านเกษตรอินทรีย์ ด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ และด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสาน เพื่อการพัฒนาภาคการเกษตรไทยตาม “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ (ประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน)ตามแนวทางศาสตร์พระราชา สรุปผลการประชุมเฉพาะวาระสำคัญได้ ดังนี้

1.) โครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project) มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาเกษตรกรรมและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองพร้อมกับการพัฒนาการเกษตรในเมือง (Urban Farming) ภายใต้นโยบายการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ประการของสหประชาชาติเพื่อโลกอนาคต (UN Sustainable Development Goals : 17 aspects for future world) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ 11 การพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน (Sustainable cities and communities: Make cities inclusive, safe, resilient and sustainable)

ซึ่งในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากรในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตามปรากฏการณ์การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะความไม่มั่นคงทางอาหารยิ่งขึ้น โดยอาศัยหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และภาคประชาชน ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนพร้อมกัน เพื่อการพัฒนาและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศ ทั้งในระดับเขต ระดับจังหวัด เขตปกครองท้องถิ่น พื้นที่อยู่อาศัย สถานที่สำคัญต่างๆ ให้เป็นแหล่งผลิตอาหารสร้างความมั่นคงทางอาหารในเมืองและเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เช่น มีการจัดทำ QR code ให้ความรู้เกี่ยวกับชนิดของพืช และสมุนไพร รวมทั้งการใช้ประโยชน์ โดยจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ดังนี้

(1.) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ระดับเขต ตามการแบ่งเขตตรวจราชการของกระทรวงฯ

(2.) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ระดับจังหวัด

(3.) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

(4.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วัด (Green Temple)

(5.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่วิทยาลัย (Green College)

(6.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่โรงเรียน (Green School)

(7.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่มหาวิทยาลัย (Green Campus)(8.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่การเคหะแห่งชาติ

(9.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองระดับชุมชนและท้องถิ่น (Green Community)

(10.) คณะทำงานขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่อาคารชุด (Green Condo)

2.) การจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักพัฒนาระบบบริหาร ก่อนการดำเนินการต่อไป

3.) การจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางเกษตรอินทรีย์ (Organic Big Data Center) โดยสามารถเข้าชมได้ที่ https://organicmoac.ldd.go.th ข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2564มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในฐานข้อมูลออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 397,037.24 ไร่

4.) ความก้าวหน้าการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส แห่งประเทศไทย ขณะนี้พร้อมดำเนินการจัดตั้งโดยมี องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ประกอบด้วย ประธานกรรมกําร 1 คน กรรมการและ เลขานุการ 1 คน โดยการคัดเลือกจากคณะกรรมการบริหารสภาฯ และกรรมการ จํานวน 20 คน แบ่งเป็น ผู้แทนองค์กรจัดระบบ (3 แห่ง) เกษตรกรเกษตรอินทรีย์ PGS 4 ภาค (8 คน), ผู้แทนสถาบันการศึกษา (4 แห่ง), ผู้ประกอบการด้านการผลิตเกษตรอินทรีย์ และจําหน่ายเกษตรอินทรีย์ PGS 4 แห่ง, เกษตรกรรุ่นใหม่ประเทศไทย (1 คน), สมาคม ผู้บริโภคอินทรีย์ไทย 1 แห่ง และผู้แทนภาครัฐ (1 แห่ง) โดยมีอํานาจหน้าที่หลัก ได้แก่ การกําหนดกรอบเกษตรอินทรีย์ระบบกํารรับรองแบบมีส่วนร่วม จัดระบบการกํากับดูแล และติดตาม การเทียบเคียง การยอมรับกระบวนกํารรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วน ร่วม รวมทั้งสื่อสาร ประชําสัมพันธ์ จัดทําฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ระบบกํารรับรอง แบบมีส่วนร่วม

5.) ความก้าวหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ขณะนี้มีผลดำเนินโครงการไปแล้ว โดยมีเป้าหมาย 4009 ตำบล 648 อำเภอ 75 จังหวัด จำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 29,706 ราย และมีจ้างงานจำนวน 14,076 ราย

6.) คู่มือสำหรับประชาชนในการปฏิบัติตามข้อตกลงบันทึกความเข้าใจการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยที่ประชุมมอบหมายให้จัดทำคู่มือสำหรับประชาชนในเรื่องการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่

7.) นิยามใหม่ “วนเกษตร” ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริการการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนแล้วจะทำให้การพัฒนาวนเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังจากติดกรอบนิยามเดิมมาเป็นเวลานานหลายปี

8.) เรื่องกํารจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มีความคืบหน้าหลังจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาขณะนี้ปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ ได้มอบให้สํานักพัฒนาระบบบริหาร สํานักงาน ปลัดกระทรวงเกษตรพิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์’ เตรียมผลักดัน การจัดการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยสำหรับบุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความต้องการเป็นพิเศษ

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุมออนไลน์ กล่าวให้กำลังใจและเปิด ‘โครงการนำร่องการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยสำหรับบุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ’ โดยอ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ บรรยายสรุปโครงการและเปิดประชุมทางไกล กับสมาชิกเครือข่ายอีก 10 จังหวัด ซึ่งมีผู้แทนชมรมผู้ปกครอง และผู้แทนสำนักงานสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในพื้นที่เข้าร่วมกว่า 30 ท่านผ่านระบบ True Vroom 

ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า มีความคาดหวังกับการศึกษานอกระบบและพร้อมสนับสนุน ทุกลมหายใจ และจะพยายามผลักดันให้ดีที่สุด ทั้งนี้ผู้ปกครองและภาคีเครือข่ายเป็นองคาพยพที่สำคัญอย่างมาก และมีความเชื่อว่า คนพิการมีความสามารถ และไม่ได้เป็นภาระสังคม ดังนั้นการศึกษากศน. ในรูปแบบที่กำลังดำเนินการขยายผล จะช่วยยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ และหากมีข้อขัดข้องใดๆ ให้ประสานส่งข้อมูลต่อท่านรัฐมนตรีได้ และเชื่อมั่นว่า ชาวกศน. พร้อมสนับสนุนการศึกษาคนพิการและการศึกษาบุคคลออทิสติก

จากนั้น อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ สรุปว่าตามแผนงานจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ มิถุนายน 2564-กันยายน 2565 โดยจัดในรูปแบบศูนย์การเรียนนอกระบบเฉพาะทางในพื้นที่ 10 จังหวัด มี 15 ศูนย์การเรียนต้นแบบ ที่มีการทบทวนหลักสูตรแนวทางการจัดการเรียนรู้ การจัดแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลที่เน้นบริบทของผู้เรียนในพื้นที่ ทั้งการพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะการเรียนรู้ และพื้นฐานอาชีพ โดยผู้เรียนทั้งหมดเป็นกลุ่มที่ตกหล่นจากการศึกษาในระบบและอยู่ในชุมชนกับครอบครัว มีการฝึกอบรมครูและผู้ปกครอง เพื่อเรียนรู้ร่วมกันในรูปแบบ Online การพบกลุ่มตามสถานการณ์ และที่สำคัญ จะมีครูผู้สอนคนพิการประจำกลุ่มด้วย ในสัดส่วน 1:5 นับเป็นวิธีการที่นำมาทดลองใช้ในระบบของกศน. เป็นโครงการแรก โดยการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนการศึกษาสำหรับคนพิการ

ซึ่งจะมีจังหวัดนำร่อง จำนวน 11 จังหวัด รวม 15 แห่ง ได้แก่ ภาคกลาง จังหวัดชลบุรี, จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดกรุงเทพมหานคร 5 เขต ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก, จังหวัดตาก ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสงขลา, จังหวัดนครศรีธรรมราช, อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา, จังหวัดอำนาจเจริญ ,จังหวัดสกลนคร

ทั้งนี้สำนักงานกศน. ได้จัดทำ MOU ร่วมกับ ‘สมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย)’ และภาคีเครือข่าย เพื่อสานพลังความร่วมมือต่อกัน   

อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ยังได้กล่าวขอบคุณ ‘ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ‘นายวรัท พฤกษาทวีกุล’ เลขาธิการ กศน.ทีมงาน ศูนย์ กศน.กลุ่มเป้าหมายพิเศษ กศน.กทม กศน.จังหวัด และ กศน. อำเภอ ที่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้

‘หมอหนู’ อนุทิน ชาญวีรกุล รมว.กระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการจัดการบริการฉีดวัคซีน (นำร่อง) แก่ ‘คนพิการ’ กลุ่มบุคคลพิเศษ และครอบครัว

ณ สถาบันราชานุกูล ถนนดินแดง กรุงเทพมหานคร, นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต, พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผอ.สถาบันราชานุกูล ร่วม Kick off ฉีดวัคซีนเพื่อเด็กพิเศษและครอบครัว ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยจัดคิวให้บริการตามวันเวลานัดหมาย

ในการนี้ อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายกสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย) คุณสุชาติ โอวาทวรรณสกุล และครอบครัว เข้าร่วมรับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นผู้นำและสร้างความมั่นใจให้ เชื่อมั่นกับ คนพิการและครอครัวคนพิการ ในการเข้ารับฉีดวัตซีนตามที่รัฐบาลจัดสรรให้ ซึ่งขั้นตอนและบริการในการฉีดวัคซีน นับเป็นมาตรฐานสูง ตั้งแต่การรับบัตรคิว การชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง วัดความดัน วัดชีพจร ซักประวัติอาการ โรคประจำตัว การฉีดวัคซีน การเฝ้าดูอาการ 30 นาที และการรับคำแนะนำและ Scanติดตามผล พร้อมนัดวันฉีดเข็มสอง บรรยากาศเป็นเอง เหมาะสมกับเด็กพิเศษมาก ทีมงานสื่อสารกับเด็กและครอบครัว โดยท่าทีเป็นมิตรเหมือนคนในครอบครัว

โดยทราบว่า การเตรียมการระบบหลังบ้าน โดยเฉพาะการลงทะเบียน การจัดสถานที่ ออกแบบการบริการ บุคลากรของสถาบันทำงานกันอย่างทุ่มเท

ท้ายนี้ อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข / กรมสุขภาพ และสถาบันราชานุกูล เป็นอย่างสูง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top