Friday, 9 May 2025
NewsFeed

“ทำเนียบ” ยืนยันใช้มาตรการเข้มข้นกันโควิด-19 แจง เจ้าหน้าที่แลกบัตรตึกบัญชาการ 1 ติดโควิด-19 ส่งรักษาแล้ว

ที่ทำเนียยรัฐบาล น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ เปิดเผยว่าจากกรณีที่มีบุคคลากรภายในทำเนียบรัฐบาลติดเชื้อโควิด-19 และมีการตรวจพบเป็นระยะนั้น สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไม่ได้เพิกเฉย ได้ใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุดในการป้องกันการแพร่ระบาด เช่น การตรวจเช็คบุคลากรเป็นประจำ การส่งเจ้าหน้าที่ไปรับวัคซีนโควิด-19 ตามความจำเป็น การทำความสะอาด ฆ่าเชื้อสถานที่ต่าง ๆ ภายในทำเนียบรัฐบาลเป็นประจำ รวมทั้ง การปฏิบัติตามมาตรการของสาธารณสุข ล่าสุดตามที่มีข่าวว่ามี เจ้าหน้าที่แลกบัตร ตึกบัญชาการ 1 ติดโควิด-19 และได้มาปฏิบัติงานในวันอังคารที่ 25 พ.ค.ผ่านมา ซึ่งเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งนี้ในวันดังกล่าวไม่มีการประชุมในตึกบัญชาการ จึงลดความเสี่ยงได้ลงมาก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้เข้ารับการรักษาตัวที่สถานพยาบาลแล้ว และบุคคลสัมผัสใกล้ชิด ได้มีการกักตัวดูอาการแล้ว

“จึงขอให้ความมั่นใจว่า ตึกบัญชาการ และทำเนียบรัฐบาล ยังเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจากโควิด 19 ด้วยการดำเนินการตามหลักอนามัยและการป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนร่วมปฎิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ด้วยการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ยังต้องดำเนินต่อไป และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชน ก็ยังตัองทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง” ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าว

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งบรรดาหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ รายงานภายใน 3 เดือน ในข้อสรุปที่ว่าไวรัสโควิด-19 ที่อุบัติขึ้นครั้งแรกในจีน มีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์หรือเกิดจากอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการของจีน

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งบรรดาหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ รายงานภายใน 3 เดือน ในข้อสรุปที่ว่าไวรัสโควิด-19 ที่อุบัติขึ้นครั้งแรกในจีน มีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์หรือเกิดจากอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการของจีน หลังจากสื่อมวลชนรายงานเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ มีนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (WIV) ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2019 หรือเพียงเดือนเดียวก่อนที่จีนจะประกาศว่ามีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น

ไบเดนระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาว "ประชาคมข่าวกรองต้องเพิ่มความพยายามเป็น 2 เท่า ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่จะพาเราเข้าใกล้ข้อสรุปที่ชัดเจน และให้รายงานกลับมาที่ผมภายใน 90 วัน"

ถ้อยแถลงของไบเดนระบุว่า ปัจจุบันหน่วยงานทั้งหลายมีความเห็นต่างใน 2 สมมุติฐานแหล่งต้นตอของไวรัสที่กวาดล้างโลกในขวบปีที่ผ่านมา คร่าชีวิตผู้คนแล้วมากกว่า 3.4 ล้านราย ตัวเลขที่พวกนักวิเคราะห์บอกว่าน้อยกว่าความเป็นจริงอย่างมาก

คำสั่งของไบเดนเป็นสัญญาณว่า ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสกำลังขยายวงกว้างมากขึ้น ท่ามกลางข้อสันนิษฐานว่าอาจมันมีแหล่งกำเนิดผ่านการสัมผัสกับสัตว์ในตลาดแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน หรือไม่ก็ไวรัสโคโรนาหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการวิจัยแห่งหนึ่งที่มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่นในเมืองเดียวกัน

คำตอบในเรื่องนี้จะก่อผลกระทบกับทั้งจีน ที่บอกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังกับโรคระบาดใหญ่ และกับสหรัฐฯ เอง

ส.ส.อดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต เรียกร้องจีนให้มอบข้อมูลด้วยความเต็มใจ และเตือนว่าจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการด่วนสรุปหรือการสรุปโดยมีแรงจูงใจทางการเมือง

"การที่จีนยังคงขัดขวางการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและครอบคลุม ในข้อเท็จจริงและข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งต้นตอของโคโรนาไวรัส รังแต่จะเตะถ่วงงานสำคัญ ๆ ที่จำเป็นสำหรับช่วยเหลือโลกเตรียมความพร้อมได้ดีขึ้นในการรับมือกับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไป" ชิฟฟ์ กล่าว

"กระนั้นก็ตาม ผมมั่นใจว่าประชาคมข่าวกรองและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในรัฐบาลของเรา จะเดินหน้าไล่ตามทุกร่องรอยที่เป็นไปได้และมอบข้อมูลอัพเดท การค้นพบบนพื้นฐานของหลักฐานภายในกรอบ 90 วันที่ประธานาธิบดีกำหนด" เขากล่าว

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) เคยให้การสนับสนุนเงินการวิจัยโคโรนาไวรัสในอู่ฮั่น แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้สนับสนุนการทดลองวิจัยแบบ gain-of-function ที่เกี่ยวข้องกับการดัดแปลงสายพันธุ์ไวรัสให้เกิดสายพันธุ์ใหม่เพื่อทำความเข้าใจของการกลายพันธุ์ของไวรัสที่แพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้งายขึ้นในปัจจุบัน

เงินสนับสนุนถูกยกเลิกโดยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปีที่แล้ว

ไบเดน เผยว่า ในเดือนมีนาคม เขาเคยขอรายงานเกี่ยวกับแหล่งต้นตอของไวรัส ในนั้นรวมถึงทฤษฎีที่ว่ามันอุบัติขึ้นจากการที่มนุษย์สัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือเกิดจากอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ "จนกระทั่งตอนนี้ ประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อมโยงเหตุการณ์ความเป็นไปได้อยู่ราว ๆ 2 ทฤษฎี แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนเกี่ยวกับคำถามนี้" เขากล่าว

คารีน ฌอง ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ไบเดน ได้รับแจ้งจากประชาคมข่าวกรองเกี่ยวกับคำประเมินของพวกเขาเมื่อราว ๆ 1 เดือนก่อน แต่มันเป็นข้อมูลลับจนกระทั่งปัจจุบัน

เมื่อถามถึงจุดยืนของรัฐบาลเกี่ยวกับข้อสงสัยที่ว่าไวรัสอาจถูกดัดแปลงโดยตั้งใจเพื่อให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพ เธอตอบว่า "เรายังไม่ได้ตัดข้อสันนิษฐานใด ๆ ทิ้ง"

ทฤษฎีไวรัสหลุดจากห้องปฏิบัติการได้สร้างความขุ่นเคืองแก่จีน ด้วยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของปักกิ่งออกมาประณามและกล่าวหาวอชิงตันอีกครั้งในวันพุธ (26 พ.ค.) ว่า "กำลังเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลบิดเบือน" กระนั้นก็ตามทฤษฎีดังกล่าวกำลังเป็นที่ถกเถียงกันมากขึ้นในสหรัฐฯ

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล อ้างรายงานข่าวกรองของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า มีนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น (WIV) 3 คน ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2019 ด้วยอาการไข้ตามฤดูกาล หรือเพียงเดือนเดียวก่อนที่จีนจะประกาศว่ามีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจีนได้แถลงในวันเดียวกัน ว่า คณะผู้เชี่ยวชาญจาก WHO ซึ่งได้ไปเยือนสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ออกมาสรุปแล้วว่า ข้อสันนิษฐานที่ว่าเชื้อไวรัสอาจหลุดออกมาจากห้องแล็บอู่ฮั่น “มีความเป็นไปได้น้อยมาก”

อีกสมมุติฐานที่พูดถึงกันอย่างมากคือไวรัสถือกำเนิดจากค้างคาวแล้วจากนั้นก็ถ่ายทอดสู่มนุษย์ มีความเป็นไปได้ว่าจะแพร่เชื้อผ่านและมีสัตว์อื่นเป็นพาหะตัวกลาง ทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นของการแพร่ระบาด แต่พอเวลาผ่านไป พวกนักวิทยาศาสตร์ไม่พบไวรัสทั้งในค้างคาวและสัตว์อื่น ๆ ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมตรงกับเชื้อ SARS-CoV-2 เลย

สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เรียกร้องให้ดำเนินการสืบสวนต้นกำเนิดของไวรัสในเชิงลึกยิ่งขึ้น หลังจากคณะผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศของทางองค์การอนามัยโลกที่ส่งลงพื้นที่จีนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้มีการจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์อิสระสืบสวนเรื่องนี้เพื่อความโปร่งใส

 

(ที่มา:เอเอฟพี)
https://mgronline.com/around/detail/9640000050952


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

"สันธนะ" จี้ กกต.เร่งสอบวุฒิการศึกษา "ตู่ นันทิดา" ใช้สมัครเลือกตั้งนายกอบจ.สมุทรปราการ 

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรอง ผกก.สันติบาล 2 พร้อมด้วยนายพิรวัชร์ ยงทองคำทิพย์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยื่นคัดค้านการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าติดตามเรื่องร้องเรียน กรณีที่นายพิรวัชร์ร้องเรียนให้กกต.ตรวจสอบการเทียบวุฒิการศึกษาของ น.ส.นันทิดา แก้วบัวสาย นายกอบจ.สมุทรปราการ เพื่อให้กกต.สืบสวนหาข้อเท็จจริงว่าวุฒิการศึกษาดังกล่าวผ่านการเทียบวุฒิการศึกษาหรือไม่ ได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่

พ.ต.ท.สันธนะ กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากชาวสมุทรปราการจำนวนมากเรื่องวุฒิการศึกษาดังกล่าว และพบว่านายพิรวัชร์ได้ร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวหลังการเลือกตั้งอบจ.สมุทรปราการ เพื่อให้ กกต.ได้ตรวจสอบวุฒิการศึกษา น.ส.นันทิดา ที่ได้ยื่นประกอบการสมัครเลือกตั้งนายกอบจ. ซึ่งตั้งแต่การยื่นสมัคร การเลือกตั้ง จนถึงการประกาศผลการเลือกตั้ง เป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว และเป็นการร้องขอให้ตรวจสอบวุฒิการศึกษาที่มีการรับรองจากต่างประเทศ ซึ่งคณะกรรมการอุดมศึกษาสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว แต่ระยะเวลาที่ล่วงเลยมา 5 เดือน กับการทำงานของกกต. ตนเห็นว่าควรมีการลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องนี้ เพราะวันนี้มีการปฏิบัติหน้าที่ของนายกอบจ.สมุทรปราการ หากคุณสมบัติที่ยื่นสมัครไม่ถูกต้อง การดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการขนาดไหน เพราะหลังจากเข้ารับหน้าที่ก็จะต้องมีการเบิกจ่ายงบประมาณ แต่หากตรวจสอบแล้วคุณสมบัติถูกต้องชาวสมุทรปราการก็จะมีความมั่นใจ ดังนั้นตนคิดว่าเรื่องดังกล่าวควรมีข้อสรุปได้แล้ว ไม่ควรมีเหตุที่จะต้องมาอ้างเรื่องสถานการณ์โควิด เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นการตรวจสอบทางเอกสารเท่านั้น

พ.ต.ท.สันธนะ กล่าวภายหลังหารือกับเจ้าหน้าที่ กกต. ว่า เจ้าหน้าที่ กกต. ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในกรอบเวลา ซึ่งจากการพูดคุยตนคิดว่าการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ไม่น่าจะเกิน 30 วัน ซึ่งตนจะไปชี้แจงให้ชาวสมุทรปราการเข้าใจว่า อีกประมาณ 1 เดือนนี้ กกต.จะมีข้อยุติในเรื่องดังกล่าวว่ามีมูลความจริงหรือไม่ และจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป

รมว.คลัง แจง พ.ร.ก.ซอฟต์โลน ช่วยเหลือผู้ประกอบการหลังได้รับผลกระทบโควิด-19 ด้าน ส.ส.ฝั่งรัฐบาล ชมเปราะแก้ปัญหาตรงจุด “พิจารณ์” ซัดนายกฯ หยุดคุยโวแก้ปัญหาดีกว่าชาติอื่น ทำผู้ประกอบการเป็นหนี้หลังรัฐบาลเองการ์ดตกปล่อยระบาดระลอก 3 ส่วน

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือ และฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564 (พ.ร.ก.ซอฟต์โลน) โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการตราพ.ร.ก.ดังกล่าว ว่าโดยที่การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตการเงินของประเทศปรับสูงขึ้นมาก ที่ผ่านมาแม้ภาครัฐจะให้การช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบ แต่ผู้ประกอบการต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกิจการนาน จึงต้องมีมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก และลดภาระหนี้ มาตรการต่าง ๆ ต้องทำโดยเร่งด่วนเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย จึงจำเป็นต้องตราพ.ร.ก.ฉบับนี้

รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ประกอบด้วย 2 มาตรการ คือ

1.) มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในอัตราที่เหมาะสม ผ่านกลไกการลดความเสี่ยงด้านเครดิตของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มดังกล่าวสามารถประคับประคองธุรกิจและรักษาการจ้างงาน รวมทั้งปรับปรุงธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง และ

2.) มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง (มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งภาครัฐเร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจ ไม่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินเป็นการชั่วคราว และไม่ถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินหลักประกันในราคาต่ำกว่าสภาพความเป็นจริง ให้แก่กลุ่มทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีโอกาสกลับมาดำเนินธุรกิจโดยใช้ทรัพย์สินหลักประกันเดิมได้หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายสนับสนุนพ.ร.ก.ซอฟต์โลน เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วน และมีการปรับปรุงข้อเสียของพ.ร.ก.เมื่อปี 63 ทำให้แก้ปัญหาได้ตรงจุด เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ลูกค้าธนาคารสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งเชื่อว่าวงเงินจะเพียงพอต่อการแก้ไขสถานการณ์ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม 

ขณะที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า รัฐบาลจะทำตัวเป็นผู้รู้ทุกอย่างไม่ได้ แต่ต้องฟังทุกภาคส่วน การปล่อยกู้ผ่านสถาบันการเงิน เราไม่มีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเชิงนโยบาย จึงไม่มีการจัดลำดับความสำคัญ แต่เป็นนโยบายของแต่ละธนาคารที่กำหนดเอง และแม้ว่าการแก้ไขปัญหาเฉพะหน้าเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ แต่ต้องมองระยะยาวต่อไปในวันข้างหน้าด้วย 

ด้านนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลเคยออกพ.ร.ก.ซอฟต์โลน มาแล้วแต่ไม่ตอบโจทย์ ครั้งนี้เป็นรอบที่ 2 แต่กลับไม่มีเป้าหมาย ไม่มีการอธิบายว่า อยากเห็นการปล่อยกู้เท่าไหร่อย่างไร มีแต่การบอกวัตถุประสงค์คร่าวๆ ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการกำกับธนาคารต่างๆ ให้ปล่อยกู้ตามเป้าหมาย และเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงธปท.เร่งสร้างความมั่นใจให้ธนาคารต่างๆ ว่าพร้อมชดเชยหนี้เสียในเวลาที่เหมาะสม ต้องเพิ่มมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ธนาคารต่างๆในการปล่อยสินเชื่อ เช่น ให้มีค่าธรรมเนียมพิเศษกรณีลูกหนี้ขอวงเงินต่ำกว่า 2 ล้านบาท ให้สถาบันการเงินของรัฐมีความเข้มแข็งมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ ตั้งคอลเซ็นเตอร์รวมถึงโครงการคลินิคช่วยกู้ เพื่อรับเรื่องให้คำปรึกษาระหว่างเอสเอ็มอีกับสถาบันการเงิน 
  
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม หยุดโม้คุยโวว่าการดูแลการแพร่ระบาดโควิด – 19 ทำได้ดีกว่าชาติอื่นๆ แต่ให้มองด้านความเสียดายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เสียหายน้อยกว่าชาติอื่นเลย ประชาชนทำธุรกิจอยู่ดีๆกลับกลายต้องมีปัญหา โดยที่รัฐหยิบยื่นซอฟต์โลนและความเป็นหนี้ให้ ทั้งที่ผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการบริหารธุรกิจผิดพลาด แต่เป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวผิดพลาดไม่รอบคอบ ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ปล่อยให้ลักลอบเข้าเมืองจนนำมาสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ และเป็นรัฐบาลเองที่การ์ดตก ดังนั้น รัฐจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการ และต้องเยียวยาโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ท่านต้องกล้าจ่ายเงินให้ผู้ประกอบการโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตำหนิ ว่าให้เงินแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้ เพื่อช่วยกู้สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่” นายพิจารณ์ กล่าว 

วรรณวรี ตะล่อมสิน กล่าวอภิปรายร่าง 'พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019' หรือ 'พ.ร.ก. Soft loan' ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 3 บางคอเเหลม พรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายร่าง 'พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019' หรือ 'พ.ร.ก. Soft loan' ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

วรรณวรี กล่าวว่า ตอนนี้ พวกเรากำลังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สามแล้ว ซึ่งการระบาดรอบนี้ กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ของประเทศเราอย่างมาก รัฐบาล โดยเฉพาะพลอ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จัดว่าล้มเหลวในการบริหารระบบสาธารณสุข การบริหารจัดการวัคซีน และการจัดการเศรษฐกิจของประเทศ

"ช่วงปีที่ผ่านมา มีธุรกิจ SMEs มากมายที่ไปไม่รอด ไม่สามารถฝ่าฟันช่วงโควิดในรอบ 1-2 ทำให้ต้องปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก วันนี้เจ้าของกิจการหลายรายก็บอกว่า รอบแรกผ่านมาได้ รอบสองพอไหว รอบสามไม่ไหวจริง ๆ ถ้าแบงค์ไม่ช่วยเรื่องสภาพคล่อง จึงจำเป็นอย่างมากที่ท่านจะต้องช่วยพยุงพวกเค้าด้วย หากดูจากตัวเลขการจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ปัจจุบันมีการจ้างงาน 6.9 ล้านคน"

วรรณวรี กล่าวต่อไปว่า ในปีก่อน ธนาคารแห่งประเทศไทยออก พรก.Soft loan 5 แสนล้านบาท แต่หลังจากดำเนินโครงการไป มีการอนุมัติสินเชื่อไปเพียง 138,200 แสนล้าน คิดเป็น 27.64% ของวงเงินสินเชื่อ ถือว่าล้มเหลวและพลาดเป้าไปมาก จน SMEs ที่เดือดร้อนไม่สามารถเข้าถึงวงเงินนี้ได้จริง

ส่วนพรก.ฟื้นฟูฉบับใหม่นี้ อาจจะทำให้สำหรับผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงได้ยากขึ้นไปอีก เนื่องจากในประกาศของแบงค์ชาติที่กำหนดมาให้ธนาคารพาณิชย์ ระบุว่า ให้ธนาคารพาณิชย์ให้ความช่วยเหลือกับ 'ผู้ประกอบการธุรกิจที่มีศักยภาพ เพื่อช่วยประคับประคองฟื้นฟูธุรกิจให้สามารถดำเนินกิจการการต่อไปได้' ซึ่งแบงก์พาณิชย์จะนำในส่วนนี้ไปตีความเพื่อปล่อยกู้

"การประเมินว่า ธุรกิจใดมีศักยภาพ ในมุมมองของดิฉันคือ ธุรกิจที่ยังอยู่รอดจากโควิดทั้งสองครั้ง มาได้จนถึงวันนี้ อาจจะมีปัญหาหรือสะดุดบ้างในช่วงปีที่ผ่านมา และถ้าตั้งใจเดินเข้ามาขอกู้ เราก็ยินดีที่จะช่วยและควรจะช่วย แต่ธุรกิจที่มีศักยภาพในสายตาของแบงค์ คือ ธุรกิจที่มีรายได้เยอะ สม่ำเสมอ มีหนี้น้อย มีประวัติดี ไม่เคยผิดนัดชำระ และจะสามารถคืนเงินกู้ได้ทุกบาททุกสตางค์ โดยไม่พิจารณาเรื่องความเดือดร้อนของกิจการ"

วรรณวรี ยังกล่าวอีกว่า ที่พรก.ได้บอกว่า จะให้กับธุรกิจที่ไม่เคยมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารด้วย ก็จะพบว่า ณ วันที่ 17 พ.ค. ธปท.ได้ปล่อยสินเชื่อฟื้นฟูไปให้ 5,465 บริษัท ในจำนวนนี้ มีเพียง 71 บริษัทที่ไม่เคยมีวงเงินกับธนาคาร คิดเป็น 1.3% เท่านั้น และในความเป็นจริง จาก SMEs ในประเทศไทย 3 ล้านราย มากกว่า 2.5 ล้านรายไม่มีวงเงินกู้กับธนาคาร

"เท่าที่ดิฉันทราบและพูดคุยกับผู้ประกอบการมา ได้ยินถึงขนาดว่า คนที่เดินเข้ามาหาแบงค์เพื่อขอกู้ ร้อยทั้งร้อย แทบไม่มีใครได้กู้ ดิฉันได้ยินแล้วพูดตรง ๆ ว่าฟังแล้วทั้งเจ็บ ทั้งจุก ครั้งแล้วครั้งแล้ว ที่ธุรกิจเล็ก ๆ ธุรกิจที่เดือดร้อน ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงวงเงินเยียวยาจริง ๆ"

"รัฐบาลสู้อุตส่าห์เตรียมวงเงินสูงถึง 350,000 ล้านบาท เพื่อพยุงธุรกิจ เขียนพรก.อย่างสวยหรู อ่านแล้วดูดี มีความหวัง แต่มันไม่สำคัญ ในความเป็นจริง แบงค์ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามได้อย่างที่เขียนดิฉันขอให้นิยาม Soft loan ฉบับใหม่นี้ว่า #ซอฟโลนทิพย์”

วรรณวรี เสนอว่ารัฐบาลควรตั้งวงเงินออกมา 5 หมื่นล้านบาท จากวงเงิน 5 แสนล้านบาทตาม พ.ร.ก. เพื่อช่วยพยุงธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด ระบุกลุ่มธุรกิจให้ชัด เช่น ร้านอาหาร โรงแรม บริการ ให้ทั้งที่มีวงเงินและไม่มีวงเงินกับธนาคาร โดยตั้งเป็นกองทุนพิเศษ ให้กู้ผ่านธนาคารรัฐ เช่น ธ.ออมสิน / SME bank และควรมีข้อยกเว้นในเรื่องคุณสมบัติผู้กู้ที่ต้องยืดหยุ่น ซึ่งสามารถพิจราณาเป็นรายเคสได้

"ตั้งแต่วันแรกที่พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศ ท่านก็ทำให้ประชาชนก็เห็นมาตลอดว่า ท่านสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ เจ้าสัวอย่างชัดเจน มาจนถึงวันนี้ 7 ปีผ่านไป วิกฤติโควิดเข้ามา ยิ่งตอกย้ำให้พวกเราเห็นว่า นอกจากสนับสนุนทุนใหญ่อย่างชัดเจนแล้ว ท่านยังไม่เคยเหลียวแลธุรกิจตัวเล็ก ๆ ยิ่งสภาวะเศรษฐกิจหลังโควิด ที่จะตกต่ำไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี เราต้องการผู้นำที่มีความรู้ทางเศรษฐกิจ และนำพาให้ประเทศไทยฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจไปได้ ถ้าเรายังมีนายกและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดิฉันคิดว่า ประชาชนคนไทยคงจะตกงาน อดตาย หนี้ท่วมหัว ส่วนคนที่เลือกได้ก็คงจะย้ายประเทศหนีท่านกันหมด" วรรณวรีกล่าวทิ้งท้าย


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

คืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ส่งมอบพื้นที่แล้ว 86% รวม 5,521 ไร่ เตรียมพร้อมร่วมเอกชนรุกงานก่อสร้าง ยกระดับบริการแอร์พอร์ต ลิงก์ มั่นใจเปิดบริการปี 2568 ดันท่องเที่ยวโต จูงใจการลงทุน มีงานในพื้นที่ รายได้ดีมั่นคง

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี รายงานความก้าวหน้าการลงทุน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ (EEC Project list) ภายหลังได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด (เอกชนคู่สัญญา) ได้ร่วมกันเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญ ๆ ได้แก่

1.) ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง เป็นตามขั้นตอนกฎหมาย ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เตรียมการส่งมอบพื้นที่ในช่วงสนามบินสุวรรณภูมิถึงสนามบินอู่ตะเภา ระยะทาง 170 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ในการดำเนินโครงการประมาณ 5,521 ไร่ งานมีความคืบหน้า 86% ให้กับเอกชนคู่สัญญาแล้ว

นอกจากนี้ การรื้อย้ายสาธารณูปโภคเพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้าง การส่งมอบพื้นที่เวนคืน อยู่ในขั้นตอนการทำสัญญาของรฟท. ที่เดินหน้าดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อเนื่องเช่นกัน และจะพร้อมส่งมอบพื้นที่ได้ทั้งหมด ภายในเดือนกันยายน 2564 นี้

2.) เริ่มแล้วงานก่อสร้าง ถนนสะพาน บ้านพักคนงาน โรงหล่อชิ้นส่วน ยันพร้อมเปิดบริการปี 2568 งานก่อสร้างโครงการ ฯ จะเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันบริษัท ฯ เอกชนคู่สัญญา ได้ดำเนินการออกแบบ และเริ่มงานเตรียมการก่อสร้าง (early work) เช่น ก่อสร้างถนนและสะพานชั่วคราวสำหรับงานก่อสร้างโครงการ (access road and temporary bridge) ก่อสร้างสำนักงานสนาม (site office) บ้านพักคนงาน (labour camp) และก่อสร้างโรงหล่อชิ้นส่วนโครงสร้างทางวิ่ง (concrete yard) แล้ว

โดยมีความพร้อมเริ่มงานก่อสร้างโครงการฯ ทันที เมื่อได้รับมอบพื้นที่โครงการฯ ช่วงสุวรรณภูมิถึงอู่ตะเภา จาก รฟท. ซึ่งจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 4-5​ปี และจะเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงช่วงพญาไท สุวรรณภูมิ ถึงอู่ตะเภา ในปี 2568 ตามแผนเร่งรัด

3.) ยกเครื่องแอร์พอร์ต ลิงก์ โฉมใหม่ คนใช้สะดวกขึ้น บริการทั่วถึงปลอดภัย ซึ่งการส่งมอบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ขณะนี้ รฟท. พร้อมส่งมอบให้เอกชนคู่สัญญา ซึ่งยืนยันว่าผู้โดยสารจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ระหว่างการถ่ายโอนกิจการในวันที่ 24 ตุลาคม 2564 นี้ โดยเฉพาะเรื่องบัตรโดยสาร ยังสามารถใช้บัตรโดยสารรายเดือนเดิมของ รฟท.ได้ต่อไปหลังการถ่ายโอน และเอกชนคู่สัญญาจะทยอยให้ผู้โดยสารเปลี่ยนบัตรโดยสารใหม่ต่อไป

ขณะที่ด้านความพร้อมของเอกชนคู่สัญญา ในช่วงก่อนการรับโอนสิทธิ์เพื่อเข้าดำเนินโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ได้ประกาศใช้งบประมาณสูงถึง 1.7 พันล้านบาท นำผู้เชี่ยวชาญการเดินรถและให้บริการระบบรางทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบระบบอย่างละเอียด พร้อมทั้งสำรวจสภาพทางเทคนิคของสถานี ระบบรถไฟฟ้า เตรียมความพร้อมปรับปรุงสถานี พัฒนาด้านบุคลากรเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการปรับปรุงเพื่อยกระดับคุณภาพบริการ (Level of Service and Customer Satisfaction) ซึ่งได้เสนอมายัง รฟท. มีข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้...

1.) ปรับปรุงระบบไฟฟ้าที่จำเป็น เช่น ระบบติดต่อสื่อสารทางวิทยุ ระบบอาณัติสัญญาณควบคุมการเดินรถไฟฟ้า เพื่อให้ขบวนรถมาตรงเวลามากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงระบบกล้องวงจรปิด รักษาความปลอดภัยผู้โดยสาร ระบบรางรถไฟฟ้า ระบบป้องกันอัคคีภัย และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกภายในขบวนรถไฟฟ้า เป็นต้น

2.) ปรับปรุงสถานีรถไฟ เช่น ป้ายสัญลักษณะและบอกทาง ปรับปรุงทางเดิน สิ่งอำนวยความสะดวกสถานีและเพิ่มห้องน้ำสาธารณะ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและปรับปรุงระบบการจราจร ที่จอดรถโดยรอบ เพิ่มระบบแสงสว่างเพื่อความปลอดภัย เพิ่มพัดลมระบายอากาศ แผงกันสาดป้องกันแสงแดดและฝนภายในสถานี เพื่อสร้างความสะดวกสบายยิ่งขึ้น

3.) ปรับเปลี่ยนตู้ขนสัมภาระจำนวน 4 ตู้ ให้เป็นตู้รองรับผู้โดยสารแทน โดยจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1,000 คนต่อชั่วโมง ลดการรอคอยขบวนรถไฟในชั่วโมงเร่งด่วนที่เป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน

สำหรับ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เป็นโครงการสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ทุกขั้นตอนดำเนินการโปร่งใส รัดกุม และประเทศได้ประโยชน์สูงสุด มีมูลค่าการลงทุนรวม กว่า 257,464 ล้านบาท (ภาครัฐ 157,872 ล้านบาท และเอกชน 99,592 ล้านบาท) เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่อีอีซี เพื่อดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง

เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์สามารถเชื่อมต่อกับการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น โดยมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณ 650,000 ล้านบาท รวมถึงการจ้างงานตลอดช่วงระยะเวลาการก่อสร้างสูงถึง 16,000 อัตรา และการจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากกว่า 100,000 อัตราใน 5 ปี และเมื่อสิ้นสุดสัญญาทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐ

 

https://www.youtube.com/watch?v=vXjfYWBXU8c&ab_channel=EECWECAN


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘วิษณุ’ แจง ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ยกสถานะเทียบเท่า กระทรวง ทบวง กรม ดีลซื้อวัคซีนได้เอง แต่มีเงื่อนไขต้องมาขออย. ก่อน ระบุต้องใช้งบประมาณตัวเอง อุดช่องว่างช่วงขาดแคลนเท่านั้น เมื่อไทยผลิตได้เองต้องหยุด 

เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ว่าด้วยการให้บริการทางการแพทย์และ การสาธารณสุขในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ สถานการณ์การฉุกเฉินอื่น ๆ ว่าความชัดเจนได้เกิดขึ้นวันนี้ เมื่อราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ออกข้อกำหนดหรือเรียกว่าคำสั่งลูกตามมาอีกฉบับหนึ่งเพื่อขยายความ โดยมีความชัดเจนขึ้น ดังนี้

1.) ซึ่งราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีอำนาจทางกฎหมายของเขาที่จะออกประกาศแบบนี้ได้ เพื่อที่จะนำเข้า วัคซีน ยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถ้าไม่ออกประกาศอย่างนี้มาจะไม่สามารถนำเข้าได้และการออกประกาศดังกล่าวเพื่อที่จะมีอำนาจนำเข้า แต่ไม่ใช่ว่าสามารถนำเข้ามาโดยอิสระ เพราะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่ทุกประการ เช่น ขออนุญาต สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข แต่ถ้าไม่ออกประกาศมาก็จะไม่สามารถขอยื่นอะไรได้เลย หรือ เรียกว่าตกคุณสมบัติ

2.) เป็นการใช้อำนาจในช่วงวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 เท่านั้น และใช้ช่วงที่วัคซีนขาดแคลน โดยข้อกำหนดที่นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้อธิบายว่าเมื่อสถานการณ์นี้คลี่คลายอำนาจนี้ก็จะหมดไป หรือเมื่อผลิตวัคซีนขึ้นมาในประเทศได้อย่างเพียงพอ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะหยุดการนำเข้าทั้งหมด  

3.) ต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่มีอยู่ทุกประการ ดังนั้นประกาศดังกล่าวเพื่ออุดช่องว่างเท่านั้น 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเป็นการจัดหาซ้ำซ้อนกับทางกระทรวงสาธารณสุข ที่กำลังดำเนินการอยู่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่าไม่ซ้ำซ้อน เพราะต้องไปขออนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขอยู่ดี เพียงแต่เขาเป็นอีกช่องทางหนึ่ง เหมือนกับเอกชน หรือใครต่อใครที่ไปติดต่อแล้วกลับมาขออนุญาต โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มีศักยภาพที่จะไปติดต่อกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สปุตนิค หรือแม้แต่ไฟเซอร์ และโมเดอร์นาเหมือนกับเอกชนหลายคนที่มีศักยภาพ แต่ที่ผ่านมาเอกชนไม่มีปัญหาในเรื่องของคุณสมบัติ แต่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ จึงต้องออกประกาศมาว่าตัวเองมีคุณสมบัติ แล้วจะมีสถานะเทียบเท่ากับเอกชนทั้งหลาย โดยต้องผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมทั้ง ยาฟาวิพิราเวียร์ วัคซีนและเวชภัณฑ์ ไม่ว่าตัวใดก็ต้องมาขอ อย.อยู่ดี โดยหลังจากนี้จะมีขีดความสามารถไปติดต่อเองได้ และเมื่ออย.เห็นชอบก็เอาเข้ามาได้ แต่ทั้งหมดใช้งบประมาณของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เอง โดยไม่ได้มาของบประมาณของรัฐ เพราะไม่เช่นนั้นกระทรวงสาธารณสุขก็จะไปทำเอง 

เมื่อถามว่าโรงพยาบาลอื่น ๆ เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จะดำเนินการเช่นเดียวกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า การที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ต้องทำเช่นนั้นเป็นไปตามพ.ร.บ.ยา คนที่จะนำเวชภัณฑ์ เข้ามาได้ ถ้าเป็นราชการคือกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมหาวิทยาลัยของรัฐก็เข้าข่ายตรงนี้อยู่แล้ว แต่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ไม่เข้าข่าย เขาจึงต้องออกประกาศสถานะเขาขึ้นมา หากในกรณีถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชน เช่น โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ เขาก็มาแบบเอกชนเขาทำได้อยู่ วันนี้เอกชนหลายเจ้าก็ทำกันอยู่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้ตนอธิบายให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และผู้อำนวยการศบค. พร้อมทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ทราบแล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างรวดเร็วเพราะองค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นผู้ลงนามใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า "ตามพระราชบัญญัติประธานสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นผู้ลงนาม ซึ่งพระองค์ท่านเป็นประธานสภาฯ ดังนั้น คนอื่นลงนามไม่ได้ และกฎหมายก็เขียนไว้ว่า เมื่อเสร็จแล้วให้ลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อประกาศให้คนทั้งประเทศรับทราบว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ยกระดับขึ้น เพราะถ้าไม่มีการออกประกาศ และหากไปยื่นขอจากอย. ก็จะถูกตีกลับ เพราะไม่มีคุณสมบัติ" 


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เริ่มแล้ววันนี้! กรุงเทพมหานคร ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดให้ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18-59 ปี จองฉีดวัคซีนโควิด

กรุงเทพมหานคร ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดให้ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18-59 ปี จองฉีดวัคซีนโควิด นอกโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. 64 จากนั้นจะเริ่มฉีดตั้งแต่ วันที่ 7 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป

มีช่องทางไหนที่สามารถลงได้บ้าง ไปเช็คกันได้เลย


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

แอมมี่ 'ปฏิเสธ' คดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมเผยตั้งแต่หลุดคุก มีสุขครึ่งเดียว

ช่วงเช้าวันนี้ (27 พ.ค. 64) ศาลอาญานัดสอบคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำ อ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะ บอททอมบลูส์ อายุ 32 ปี แนวร่วมม็อบคณะราษฎร เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 

ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 217 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 กรณีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมแล้วโพสต์เผยแพร่ลงในโซเชียล

โดยในวันนี้ นายไชยอมร หรือแอมมี่ ซึ่งได้รับการประกันตัว เดินทางมาศาลพร้อมกับนางอรวรรณ แก้ววิบูลย์พันธุ์ มารดา และ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้นัดรายงานตัวหลังได้รับการประกันตัว และครบรอบการฝากขังไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องนายไชยอมร หรือแอมมี่ เข้ามาในข้อหาที่ปรากฏตามข่าว โดยขั้นตอนเบื้องต้น คือการนำตัวไปห้องเวรชี้เพื่อฟังการอ่านคำฟ้อง เนื่องจากทนายความ และจำเลยยังไม่ได้เห็นคำฟ้องว่ามีเนื้อหาอย่างไรบ้าง แต่ตามหลักหลังจากมีการอ่านคำฟ้อง ศาลจะสอบถามจำเลยว่าจะให้การอย่างไร ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้

นายไชยอมร หรือแอมมี่ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับอิสรภาพรู้สึกมีความสุขเพียงครึ่งเดียว เพราะนักโทษคดีทางการเมืองคนอื่น ๆ ยังคงถูกคุมขังอยู่ เช่น นายอานนท์ นําภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก และคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สื่อ ส่วนกรณีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำนั้น นายไชยอมร กล่าวว่า สิ่งที่กำลังต่อสู้ไม่ใช่การต่อสู้กับระบบราชทัณฑ์ แต่เป็นเรื่องของปัญหาเชิงโครงสร้าง จะมองว่ากรมราชทัณฑ์เป็นแพะในเรื่องนี้อย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากคลัสเตอร์เรือนจำเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ต่อมาศาลได้สอบคำให้การโดยอ่าน และอธิบายฟ้องให้นายไชยอมร ฟังแล้วสอบถามจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า นายไชยอมร แถลงให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี และจัดเตรียมทนายความไว้พร้อมแล้ว ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 28 มิ.ย.นี้เวลา 09.00 น. จากนั้นนายไชยอมร หรือ แอมมี่ มารดา และทนายความเดินทางกลับทันที

 

ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000051028


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กองปราบ ตามรวบขบวนการค้าสัตว์ข้ามชาติ พบสัตว์บางส่วนเสียชีวิตแล้ว เนื่องจากถูกจับใส่กล่องมาเบียดกัน

กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก., (หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 2 ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ตร. ) และ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.มีชัย กำเนิดพรม, พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย, พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป., สั่งการให้ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป., พ.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์ รอง ผกก.3 บก.ป., นำทีมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 2 ศปจร.ตร.

โดย พ.ต.ต.หญิง กัญจิรา นรสาร สว.ฝอ.บก.ปปป. ปฏิบัติราชการ ศปจร.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ไล่ล่าพ่อค้าสัตว์ป่าสงวนข้ามชาติได้ผู้ต้องหา 1 ราย บนถนนสาย 359 ทราบชื่อนายภานุพงศ์ จูสิงห์ ขับรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ทะเบียนปลอม 1ฒฉ 4894กทม.นายภาณุพงศ์ยอมรับสารภาพว่ารับจ้างขนสัตว์ป่าคุ้มครอง (ลิง) 218 ตัวในราคาครั้งละ 3,000 บาททำมาแล้ว 3 ครั้ง โดยนักบินมาจากจังหวัดพิจิตรเพื่อที่จะนำไปส่งที่จังหวัดสระแก้วซึ่งจะมีคนมารับช่วงต่ออีกทีหนึ่งแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับได้ที่บริเวณถนนสาย 359 ดังกล่าว และยังพบว่ามีลิงเสียชีวิตแล้วก็มีเป็นบางส่วนเนื่องจากถูกจับใส่กล่องมาเบียดเสียดกัน ทั้งนี้จะได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบข้อหาครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง


ภาพ/ข่าว  ทองสุข สิงห์พิมพ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top