Friday, 13 June 2025
NewsFeed

'ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์' รำลึกถึง ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ผู้ปฏิรูปการปกครองสู่ความทันสมัยครั้งสำคัญของชาติไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ออกบทความในหัวข้อ ความคิดก้าวหน้า (Progressive) ในสมัยพระจอมเกล้าฯ มีเนื้อความ ดังนี้...

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี ถือเป็น ‘วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ’ เพื่อรำลึกถึงที่การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงพระปรีชาสามารถด้านดาราศาสตร์เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวตะวันตก หลังพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาไว้อย่างแม่นยำ พร้อมกับเชิญคณะนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกร่วมเป็นสักขีพยาน ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์

ไม่เพียงแต่ทางด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ในด้านขององค์ความรู้ทางการเมือง ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความเห็นของปัญญาชนในสังคมไทยนั้นแบ่งออกเป็นสองขั้ว ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ไม่เชื่อว่าชาติตะวันตกจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจและตัวแสดงสำคัญในการเมืองโลกและการเมืองไทย ที่มักจะนำโดยฝ่ายขุนนาง ในเอกสารของเฮนรี เบอร์นี่ มีการบันทึกว่าเจ้าพระยาพระคลังของไทยนั้นแสดงความกังขากับแสนยานุภาพของอังกฤษในการที่จะยึดครองพม่า โดยเบอร์นี่ย์ได้มีการบันทึกว่า...

"ท่านพระคลังดูเหมือนจะไม่เชื่อข่าวเกี่ยวกับชัยชนะของกองทัพอังกฤษ ซึ่งท่านคิดว่าคงเป็นชัยชนะชั่วคราว และท่านเห็นว่าการที่กองทัพเราหวังจะเข้ายึดครองอังวะ (Ava) หรือจะเอาชนะพวกพม่าให้ได้นั้นเป็นความคิดเพ้อฝันมากกว่า"

ในขณะที่ฝ่ายก้าวหน้าของสังคมไทยนั้น นำโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระปรีชาญาณและการวางรากฐานทางความคิดตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชดำรัสของพระองค์ที่ว่า...

 "...การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่งให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีเขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว..." 

นั่นแสดงให้เห็นถึงการตระหนักถึงความเข้าใจในภูมิทัศน์ทางการเมืองโลกและภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงไป ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความหัวก้าวหน้าที่ทันโลกของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงศึกษาภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตกแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยพระองค์เอง สั่งซื้อตำหรับตำราจากต่างประเทศ และศึกษาจากพระสหายชาวตะวันตกที่มีความรอบรู้ ในพระนิพนธ์ เรื่อง ความทรงจำ ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกถึงความก้าวหน้าของพระราชบิดาของพระองค์ท่านในช่วงเวลาดังกล่าวเอาไว้ว่า...

"...ตั้งแต่จีนรบแพ้อังกฤษ ต้องทำหนังสือสัญญายอมให้อังกฤษกับฝรั่งต่างชาติเข้ามีอำนาจในเมืองจีนเมื่อ พ.ศ. 2385 เวลานั้นไทยโดยมากยังเชื่อตามคำพวกจีนกล่าวว่า แพ้สงครามด้วยไม่ทันเตรียมตัว...แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริเห็นว่า ถึงคราวโลกยวิสัยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้นทางตะวันออกนี้ และประเทศสยามอาจจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งยิ่งขึ้นในวันหน้า จึงเริ่มทรงศึกษาภาษาอังกฤษ"

พระปรีชาสามารถในการหยั่งถึงอนาคตของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้พระองค์เตรียมส่งเสริมให้พระราชโอรสและธิดาของพระองค์ ศึกษาภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก จนนำไปสู่การปฏิรูปการปกครองสู่ความทันสมัยครั้งสำคัญของชาติไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช พระราชโอรสของพระองค์

เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 (พระนคร : คุรุสภา, 2504),
กรมศิลปากร, เอกสารเฮนรี่ เบอร์นีย์ เล่ม 1 แปลโดย สาวิตรี สุวรรณสถิตย์ (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2551)
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ความทรงจำ (พระนคร: ศิลปาบรรณาคาร, 2516)

‘ทักษิณ’ ใส่เสื้อเหลืองขึ้นศาลฯ ตรวจหลักฐานคดี ม.112 แง้ม!! ไม่กังวลเพราะเป็นคดีกระชับอำนาจ หลังปฏิวัติใหม่ๆ

(19 ส.ค. 67) ศาลอาญา นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดีย (The ChosunMedia) ของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน

ซึ่งนายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

ในวันนี้มีทีมทนายความประมาณ 6-7 คนมาศาล

ต่อมาเวลา 08.53 น. นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีนี้ ได้เดินทางมาศาล โดยสวมเสื้อสีเหลืองใส่สูทดำคลุมทับ พร้อมกล่าวก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดีว่า ไม่มีความกังวล เป็นคดีที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติใหม่ ๆ เป็นการใช้กฎหมายกระชับอำนาจ ส่วนเรื่องพยานเป็นเรื่องทนายความ หลังจากนั้นนายทักษิณได้เดินห้องขึ้นพิจารณาทันที

'ศาลชั้นต้นดูไบ' ตัดสิน 'อนุมัติจ่ายเงินเดือนด้วยคริปโต' สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เงินดิจิทัลถูกนำมาใช้ในวงกว้าง

เมื่อไม่นานมานี้ ศาลชั้นต้นแห่งดูไบได้ยืนยันถึงความถูกต้องตามกฎหมายของการจ่ายเงินเดือนด้วยสกุลเงินดิจิทัลภายใต้สัญญาจ้างงานในการตัดสินสำคัญเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ซึ่งการตัดสินนี้มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคดีที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งศาลเดียวกันได้ยกฟ้องข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับโทเค็น EcoWatt

โดยคำตัดสินที่ออกในคดีหมายเลข 1739/2024 (แรงงาน) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางการพิจารณาคดีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาค

>>ข้อพิพาทการจ่ายเงินเดือนในรูปของสกุลเงินดิจิทัล

คดีนี้เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทที่โจทก์ ซึ่งเป็นลูกจ้าง เรียกร้องค่าจ้างที่ไม่ได้รับการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน โดยในสัญญาของโจทก์ระบุเงินเดือนรายเดือนเป็นสกุลเงินทั่วไป พร้อมกับโทเค็น EcoWatt จำนวน 5,250 โทเค็น ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งศาลตัดสินให้โจทก์ชนะคดี โดยสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินเดือนที่ค้างชำระเป็นโทเค็น EcoWatt โดยอ้างว่านายจ้างไม่แสดงหลักฐานการชำระเงิน

ในคำให้การของนายจ้าง ได้โต้แย้งว่าโจทก์ถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลที่สมเหตุสมผล และการจ่ายเงินเดือนเป็นโทเค็น EcoWatt นั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาลพบว่าสัญญาจ้างงานระบุการจ่ายเงินเป็นทั้งสกุลเงินทั่วไปและสกุลเงินดิจิทัลอย่างชัดเจน และนายจ้างไม่ได้ให้หลักฐานที่เพียงพอเพื่อพิสูจน์ว่าโทเค็น EcoWatt ได้รับการชำระเงินแล้ว

คำตัดสินดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อตกลงทางสัญญาที่ชัดเจนและความพร้อมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการปรับตัวให้เข้ากับแนวทางทางการเงินสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังถือเป็นก้าวล่าสุดในแนวทางที่ก้าวหน้าของประเทศในการนำเอาและควบคุมอุตสาหกรรมคริปโตมาใช้

>>การพลิกคำตัดสินก่อนหน้านี้

การตัดสินดังกล่าวมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับคดีที่คล้ายกันในปี 2566 ซึ่งศาลเดียวกันได้ยกฟ้องข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับโทเค็น EcoWatt ในกรณีดังกล่าว การที่พนักงานไม่สามารถระบุมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้ศาลปฏิเสธที่จะบังคับใช้การชำระเงิน

คำตัดสินในปี 2567 เน้นย้ำถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของศาลเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ด้วยการยอมรับว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นรูปแบบของค่าตอบแทนที่ถูกต้องและศาลได้สร้างบรรทัดฐานที่อาจส่งเสริมการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ในวงกว้างมากขึ้นในหลายภาคส่วน รวมถึงการจ้างงานด้วย

การตัดสินดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากมาตรา 912 ของกฎหมายการทำธุรกรรมทางแพ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาลกลางหมายเลข (33) ปี 2021 ซึ่งควบคุมการกำหนดและการจ่ายค่าจ้าง

ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ยังคงวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก การตัดสินใจครั้งนี้อาจช่วยนำทางไปสู่การบูรณาการสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มเติมในกรอบทางกฎหมายและเศรษฐกิจของภูมิภาค

'รองโฆษกฯ รัดเกล้า' เดินหน้าสร้างวัคซีนด้านการเงินแก่คนไทย 'ทุกเพศ-ทุกวัย' ยกระดับการบริหารเงิน 'ออม-ลงทุน-หนี้' พร้อมเท่าทันมิจฉาชีพออนไลน์

เมื่อวานนี้ (18 ส.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ ‘เนเน่’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตผู้สมัคร สส. เขตบางพลัด-บางกอกน้อย อดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน โดยนำโครงการดี ๆ ที่ขับเคลื่อนโดย ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และองค์กร/หน่วยงานภาคีอีกหลากหลาย ที่เดินสายจัดกิจกรรมให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ภายใต้หลักสูตร 'หลักสูตรอภินิหารทางการเงิน' ให้กับประชาชน 

ทั้งนี้ในปี 2567 มีเป้าหมายที่จะจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 18 ครั้งให้กับชุมชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยนางรัดเกล้าได้ประสานโครงการดังกล่าวให้มามอบความรู้ให้ประชาชนในชุมชนวัดโพธิ์เรียง และชุมชนใกล้เคียง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนที่ดีจากสำนักงานเขตบางกอกน้อยอีกด้วย โดย ดร.วรชล ถาวรพงษ์ ผู้อำนวยการเขตบางกอกน้อย ได้ให้เกียรติมาร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมอีกด้วย

นางรัดเกล้า กล่าวต้อนรับผู้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “นอกเหนือจากการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการการเงิน การออม การลงทุน การบริหารจัดการหนี้ (ทั้งในระบบและนอกระบบ) อีกเนื้อหาสำคัญที่หลักสูตรนี้นำมาสอนให้กับประชาชนคือ การรู้เท่าทันอาชญากรรมออนไลน์ เช่น กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการเสริมความรู้ เพิ่มความปลอดภัยในการท่องโลกออนไลน์ให้กับคนในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของเหล่าอาชญากร วันนี้ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นว่านอกเหนือจากกลุ่มผู้สูงอายุ ยังมีน้อง ๆ เยาวชนเข้ามาร่วมเรียนหลักสูตรด้วย คนรุ่นใหม่สามารถเป็นกำลังสำคัญในการสอดส่อง ดูแล ให้คำแนะนำกับผู้สูงอายุในชุมชนได้”

นางรัดเกล้า กล่าวต่อไปว่า “กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการเสริมองค์ความรู้ในเชิงรุก (pro-active) มุ่งหวังให้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จะได้เรียนรู้และเสริมสร้างภูมิปัญญาและภูมิคุ้มกันจากภายในรูปแบบต่าง ๆ วอนขอให้ประชาชนที่ได้ความรู้จากกิจกรรมนี้ นอกเหนือจากนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาด้านการเงินของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแล้ว ขอให้นำความรู้ที่ได้ไปบอกต่อ สอนต่อ เพื่อเป็นการเสริม 'วัคซีนทางการเงิน' ให้กับญาติ มิตร สหาย ในชุมชนด้วย”

กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ที่นางรัดเกล้า นำมาจัดให้กับพี่น้องในเขตบางพลัดบางกอกน้อย

‘หนุ่ม’ ชื่นชม ‘พีระพันธุ์’ มุ่งมั่นแก้ปัญหาพลังงานเพื่อคนไทย เชื่อ!! สิ่งที่ทำจะกลายเป็น ‘อนาคต’ ให้กับลูกหลาน

เมื่อวานนี้ (18 ส.ค. 67) จากช่องติ๊กต็อก ‘@_pong63’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอแสดงความรู้สึกของตนที่มีต่อ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังมุมานะพยายามทำเพื่อประเทศไทย โดยระบุว่า

“พอดีเห็นดรามามาจากหลาย ๆ คน…ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่เกิดบนแผ่นดินไทยแล้วมีความ ‘รู้-รัก’ ผืนแผ่นดินไทยในสํานึกอยู่แล้วตั้งแต่บรรพบุรุษที่ร่วมสร้างแผ่นดินมา…

จะมาขอชื่นชมความกล้าหาญของคนดีในสังคม ‘ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ถ้าท่านได้ฟังคลิปนี้ผมขอบคุณจากใจเลย ขอบคุณที่ท่านมุ่งมั่นตั้งหน้าทํางานเพื่อคนไทย ไม่ว่าจะเป็นหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ท่านสรรค์สร้างให้กับสังคม ผมพยายามติดตามดูคลิปท่านมาหลาย ๆ คลิป และ สิ่งที่ท่านทําผมว่ามันจะเป็นอนาคตให้ลูกหลาน แล้วก็ทําให้ประชาชนคนไทยหันมากลับหน้ากลับหลัง หันมามองอนาคตไปด้วยกันก็คือ…จะได้มาร่วมกันสร้างพัฒนาประเทศให้มันไปในทิศทางที่ดีขึ้น

แล้วในระหว่างทางเดินผมรู้ว่ามันมีอุปสรรคขวากหนามหลาย ๆ อย่างที่ทําให้ท่านทําไม่สําเร็จ แล้วก็รู้สึกว่าในสิ่งที่ท่านยินยอมที่จะต้องทําตามในหลาย ๆ อย่างที่มันอาจจะไม่ได้เป็นการเต็มใจ แต่ก็ต้องทําเพื่อดีกว่าที่จะเสียสละไปเป็นฝ่ายค้านหรืออะไรก็ตาม ผมว่าอยู่ ณ จุดตรงนี้อย่างน้อย ๆ มันยังมีคุณค่า ได้ทําในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชนคนไทยในหลาย ๆ ด้าน

ฉะนั้น ผมต้องขอชื่นชมท่านอีกครั้ง แล้วก็ผมฝากไว้ด้วย ปี 70 เราไปวัดกัน…1 เสียงของผม จะมอบให้ท่าน และผมเชื่อว่าครอบครัวผม ญาติ ๆ และคนในพื้นที่ของผม ผมจะพยายามพูดและแนะนําสิ่งดี ๆ ต่อ ๆ กันไป ขอบคุณที่ทําเพื่อประชาชนคนไทย…”

'พม่า' วิกฤติ!! หลายเมืองขาดแคลนน้ำมัน พบ!! สถานการณ์ลากยาวกว่า 20 วันแล้ว

(19 ส.ค. 67) เพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' เผยภาพ ประชาชนจำนวนมากมาต่อแถวซื้อน้ำมันเพื่อเติมรถยนต์ (18/8/2024) ในย่างกุ้ง และหลายเมืองน้ำมันขาดแคลน 

การขาดแคลนเชื้อเพลิงเกิดขึ้นทั่วเมียนมามานานกว่า 20 วันแล้ว การซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นเรื่องยากมาก ต้องต่อคิวซื้อ

‘พลเมืองดีสัตหีบ’ พบ ‘เต่ายักษ์’ หนัก 10 กิโลกรัม พลัดหลง แถมน้ำตาไหลนอง 2 ข้าง - โดนมนุษย์ใจร้ายฟันกระดองยับ

(19 ส.ค. 67) ศูนย์วิทยุ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือจาก น.ส.คนึงนิด จันดาก อายุ 46 ปี พักบ้านเลขที่ 48/96 ม.4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่าได้พบเต่าขนาดใหญ่ ไม่ทราบชนิด เดินเข้ามาบริเวณบ้าน จึงได้นำกักขังไว้ในที่ปลอดภัย เพราะเกรงอาจถูกสุนัขกัด พร้อมนำอาหารมาให้กินประทังความหิวโหย จึงขอให้ส่งเจ้าหน้าที่มาให้การตรวจสอบ และช่วยเหลือ

ต่อมา นายวิชา จินดานิล หน่วยกู้ภัยนามเรียกขาน 142 พร้อมกับผู้สื่อข่าว ได้ร่วมลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ พบพลเมืองดีผู้แจ้งอยู่กับกลุ่มครอบครัวต่างชาติ กำลังให้การดูแลเต่าอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นได้นำคุณลักษณะรูปร่างเต่าค้นหาข้อมูลใน Google มีลักษณะคล้ายกับ ‘เต่าบัว’ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง มีความยาวราว 40 ซม. น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม ไม่ทราบเพศ

อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า เต่าตัวนี้กำลังร้องไห้ ดวงตาทั้ง 2 มีน้ำตาไหลนอง และที่บริเวณกระดองด้านบน ยังพบถูกมนุษย์ใจร้าย ใช้มีดฟันหลายต่อหลายครั้ง จนเป็นทางยาวร่องลึก ตลอดจนถูกสุนัขในหมู่บ้านรุมเห่ากันระงม พยายามจะเข้ามากัดทำร้าย นับเป็นภาพที่สุดน่าเวทนาใจอย่างมาก

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้โทรแจ้ง 1362 สายด่วนพิทักษ์ป่า เพื่อรายงานการพบเต่า โดยทางหน่วยงานอนุญาตให้นำเต่าปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ในพื้นที่ปลอดภัย จึงได้ขนย้ายนำเต่าปล่อยไว้ ณ อ่างเก็บน้ำ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งกองทัพเรือ เพื่อให้เต่าได้กลับไปใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติดั้งเดิม

อาลัย ‘ส.ต.ท.ปฏิภาณ’ ถูกกระบะซิ่งชนเสียชีวิต ขณะลงช่วยอุบัติเหตุกลางถนน หลังออกเวร

สืบเนื่องกลุ่มไลน์ตำรวจเมืองเลย โพสต์ภาพไว้อาลัย ส.ต.ท.ปฏิภาณ อุทธบูรณ์ หรือ น้องเหินฟ้า อายุ 28 ปี ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ภูเรือ จ.เลย ที่ลงไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ ขณะที่ออกเวร จู่ ๆ มีรถกระบะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พุ่งชนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่ รพ.เลย เมื่อคืนวันที่ 17 ส.ค. 67 เวลา 01.00 น. สร้างความเศร้าโศกเสียใจต่อครอบครัว ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนตำรวจด้วยกัน

ล่าสุด (19 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านของ ส.ต.ท.ปฏิภาณ ที่บ้านโนนสว่าง ต.หนองคัน อ.ภูเรือ จ.เลย ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีทางศาสนา พบกับ ร.ต.อ.กิตติ อุทธบูรณ์ รอง สวป.สภ.ภูหลวง จ.เลย พ่อของน้องเหินฟ้า ยังอยู่ในอาการที่เศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของลูกชาย

ร.ต.อ.กิตติ เล่าว่า ส.ต.ท.ปฏิภาณ อุทธบูรณ์ หรือ น้องเหินฟ้า เป็นลูกชายคนโต ในจำนวนพี่น้องที่เป็นผู้ชายทั้งหมด 3 คน รับราชการเป็นตำรวจอยู่ที่ สภ.ภูเรือ หลังออกเวร ช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 17 ส.ค.2567 ลูกชายไปกับเพื่อน เพื่อไปหาเพื่อนใน อ.เมืองเลย ขากลับเห็นอุบัติเหตุบนถนนเลย - เชียงคาน ขาออกเมือง กลัวจะเกิดเหตุซ้ำซ้อน จึงลงจากรถไปช่วยเหลือ ซึ่งขณะนั้นร้อยเวร สภ.เมืองเลย ยังมาไม่ถึงที่เกิดเหตุ ลูกชายและเพื่อน จึงเดินไปเอากรวยยางวางเป็นเครื่องหมายให้สัญญาณกับรถที่สัญจร รถระหว่างนั้นมีรถกระบะขับมาด้วยความเร็ว เฉี่ยวชนลูกชายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กู้ภัยฯ รีบนำตัวส่ง รพ.เลย แพทย์ให้ญาติทำใจ ก่อนที่ลูกชายเสียชีวิต เมื่อเวลาประมาณ 03.25 น. ของคืนวันที่ 17 ส.ค. 67

คุณพ่อเล่าทั้งน้ำตา ว่าการสูญเสียลูกชายครั้งนี้ ทางครอบครัวยังทำใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงความมีน้ำใจและความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตลอดเวลา ว่า "ผมเป็นตำรวจ อยากให้ลูกชายเป็นตำรวจ ผมสอนลูกตลอดเวลาว่า พ่อเติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะได้เงินมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นหม้อข้าวหม้อแกงให้พ่อ ดูแลลูกส่งเสียให้ลูกเรียน ผมมีความตั้งใจว่า อยากให้ลูกเป็นตำรวจเหมือนพ่อ มีประกาศสอบที่ไหนก็พาลูกไปตลอด พอลูกสอบได้ รับราชการแล้ว ตั้งใจว่าอยากให้ลูกเป็นนายร้อย ก็ให้ลูกเลือกลงตำแหน่งที่ รร.นายร้อยตำรวจสามพราน อยู่ที่กองรักษาการณ์ ที่โรงเรียนนายร้อย คราวนี้ระหว่างที่ลูกรับราชการที่โรงเรียนนายร้อย สอบ 2 ครั้งไม่ได้ จึงได้บอกลูกว่ากลับมาบ้าน พ่อจะใกล้เกษียณแล้ว กลับบ้านเรา ซึ่งลูกชายก็ขอย้ายมาที่ สภ.ภูเรือ จ.เลย จนกระทั่งมาถูกรถชนจนเสียชีวิต"

ส่วนคู่กรณีที่ขับรถกระบะชนลูกชาย ได้มาร่วมงานศพแสดงความเสียใจ แต่ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการช่วยเหลือแต่อย่างใด ทั้งนี้พิธีทางศาสนา ที่บ้านกำหนด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-21 ส.ค. 67 และจะมีพิธีฌาปนกิจศพที่วัดสันติธรรมาราม บ้านหนองคัน ต.หนองคัน อ.ภูหลวง

ส่วนทางคดี พงส.สภ.เมืองเลย ได้เรียกคนขับรถกระบะมารับทราบข้อกล่าวหา ‘ขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต’ และจะมีการสอบปากคำเพิ่ม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อย่าถูกชะตา 'แรงงานข้ามชาติ' จากค่าจ้างแสนถูก เพราะ 'โปรไฟล์ขั้นเทพในราคาย่อมเยา' ไม่มีอยู่จริง

เมื่อก่อนหน้าไม่นานมานี้นัก มีข่าวครึกโครมเรื่องที่แรงงานพม่า โปรไฟล์สวยหรู เรียนจบปริญญาด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่ขอเรียกเงินเดือนแค่ 12,000 บาท ทั้ง ๆ ที่เคยทำงานโปรเจกต์สร้างตึก Yoma Central ตึกขนาดใหญ่ย่านใจกลางกรุงย่างกุ้งมาแล้ว  

วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ และบอกกล่าวอีกด้านหนึ่งให้ทราบกัน รวมถึงสิ่งที่ต้องรู้ต้องเตรียมตัว หากจะรับพนักงานต่างชาติมาให้ทราบโดยทั่วกัน

การจ้างลูกจ้างต่างชาติที่ไม่ใช่แรงงานในไทย มีข้อปฏิบัติที่บริษัทในไทยต้องคำนึงอยู่ไม่น้อย โดยจะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มกิจการเพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย...

1. บริษัทที่จดทะเบียนเป็น BOI หรือ ส่งเสริมการลงทุน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีข้อกำหนดในการที่จะรับคนต่างชาติเข้าทำงานชัดเจนคือ...

• บริษัทที่จะรับคนต่างชาติต้องเป็นกิจการที่อยู่ในขั้นตอนขอรับการส่งเสริมฯ หรือได้รับบัตรส่งเสริมฯ แล้ว 
• คนต่างชาติที่จะรับต้องเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการ 
• มีเหตุผลและความจำเป็นต้องจ้างทำงานในกิจการ BOI

• คนต่างชาติที่จะทำงานต้องได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว คือ Non-B ประเภทธุรกิจ หรือ Non-IB ประเภทการลงทุนภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมลงทุน โดยชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานกับบริษัทใน BOI ต้องมีอายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้...

>> ประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 2 ปี ในกรณีที่วุฒิการศึกษาตรงกับตำแหน่งงานในระดับทั่วไป และมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี นับถึงวันที่ยื่นบรรจุตัว

>> ประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 5 ปี ในกรณีที่วุฒิการศึกษาไม่ตรงกับตำแหน่งงาน หรือในกรณีที่มีตำแหน่งในระดับผู้จัดการ และมีอายุไม่ต่ำกว่า 27 ปี นับถึงวันที่ยื่นบรรจุตัว

2. บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนกับ BOI จะมีเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับหน่วยงานที่สามารถรับชาวต่างชาติเข้ามาทำงานได้ ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และมีพนักงานคนไทย 4 คน ต่อพนักงานต่างชาติ 1 คน รวมถึงบริษัทจะต้องเป็นผู้ขออนุญาตทำ Work Permit ให้แก่พนักงานดังกล่าว รวมถึง Visa ที่จะต้องเปลี่ยนจาก Tourist Visa เป็น Non-B visa ที่สามารถพักอาศัยในไทยได้เป็นเวลา 1 ปี

กลับมาที่ประเด็นจั่วหัวเริ่มต้น ถามว่าทำไมคนเมียนมาโปรไฟล์ดี ๆ ถึงมาเรียกเงินเดือนไม่สูงในประเทศไทย?

เอย่า ขอหยิบยกสิ่งที่เป็นคำกล่าวจากชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในเมียนมาและสิ่งที่เป็นพื้นฐานการศึกษาของประเทศเมียนมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจกัน ดังนี้...

1. ในแง่ของการศึกษาในเมียนมาส่วนใหญ่ไม่ได้มีการฝึกงานจากสถานประกอบการก่อนเรียนจบ จะมีแค่เพียงการไปดูงานเท่านั้น ดังนั้นคุณภาพคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในเมียนมาส่วนใหญ่จะเก่งแต่วิชาการ แต่ไม่ใช่การปฏิบัติงานจริง หลายครั้งจากปากของผู้ประกอบการในเมียนมาเองกล่าวว่า คนเมียนมาเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ดี แต่ไม่สามารถ Generate job หรือ Problem solving ได้ในกรณีที่เกิดปัญหา ฉะนั้นในหลายบริษัทใหญ่ ๆ ในเมียนมา จึงมีการจ้างชาวต่างชาติเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้

2. คนเมียนมามีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษดีกว่าคนไทย เพราะตามประสบการณ์แล้ว คนเมียนมาส่วนใหญ่จะต้องทำงานใกล้ชิดกับชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็น ยุโรป, อเมริกา, อินเดีย, จีน หรือไทยเองก็ตาม และภาษาอังกฤษก็ถือว่าเป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสาร ยกเว้นในบางบริษัทที่ลงทุนจ้างล่ามมาเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างระดับปฏิบัติการกับผู้บริหารระดับกลางที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้

3. โปรเจกต์ใหญ่ ๆ ในเมียนมานั้น คนเมียนมาส่วนใหญ่คือ ระดับปฏิบัติการหรือตรวจหน้างานเท่านั้น ส่วนคนที่อนุมัติแบบ ตัดสินใจโปรเจกต์และลงนามตรวจรับงาน ถ้าไม่ใช่คนเมียนมาที่มีดีกรีจบจากต่างประเทศมาก็จะเป็นชาวต่างชาติไปเลย

ในปัจจุบันชาวเมียนมาที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี จะหนีเข้ามาในประเทศไทยทางเครื่องบิน โดยถือวีซ่าท่องเที่ยว หรือ วีซ่าเพื่อการศึกษา เข้ามาในประเทศไทย หลังจากนั้นคนเหล่านี้ก็พยายามที่จะเข้าหางานในไทย เพื่อปรับสถานะวีซ่าของตนจากวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่าการศึกษามาเป็น 'วีซ่าทำงาน' เพื่อให้อยู่ในไทยได้อย่างปกติสุข 

นี่ไม่รวมถึงสวัสดิการอื่นที่จะได้จากบริษัท ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนะ!!

เอาจริง ๆ เอย่า คงไม่สามารถปิดกั้นบริษัทใด ๆ ไม่ให้รับคนกลุ่มนี้มาทำงาน แต่อย่าลืมว่าการที่บริษัทใด ๆ บริษัทหนึ่งที่คิดจะลงทุนจ้างชาวต่างชาติเข้ามาทำงานให้ ก็มักจะมีหลายความคาดหวังที่บริษัทต้องการ โดยเฉพาะเรื่องของความคาดหวังในผลงานจากพนักงานคนนั้น ๆ

เอย่า ก็แค่อยากบอกให้คิดและตรึกตรองให้ดี ยิ่งกับเรื่องวีซ่าที่คนเหล่านี้ถือก่อนรับเข้ามาทำงาน หากเป็นกลุ่มที่มีครอบครัวอยู่ในไทย บริษัทจ้างคนกลุ่มนี้ไว้ก็คงไม่เดือดร้อนแน่นอน เพราะพวกที่มีครอบครัวในประเทศไทยเขาไม่ได้เดือดร้อนในการไม่มีที่อยู่ที่อาศัย แต่ถ้าเป็นวีซ่าอื่น ๆ หากเขาอยู่เกินข้อกำหนดของวีซ่าเขาก็ต้องกลับและเดินทางกลับมาใหม่หรือไม่ก็หนีเป็นผีน้อยในไทยในที่สุด

สุดท้ายอย่าลืมว่าหลายอาชีพเป็นอาชีพต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทำ ไม่ว่าจะเป็นงานเสมียนหรือเลขานุการ, งานมัคคุเทศก์, งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี ยกเว้นงานปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการและงานให้ความช่วยเหลือหรือทำการแทนในการดำเนินกระบวนพิจารณา ชั้นอนุญาโตตุลาการ ในกรณีที่กฎหมาย ซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทที่พิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการนั้นมิใช่กฎหมายไทย

ส่วนงานที่ให้คนต่างด้าวทำ โดยมีเงื่อนไขที่ให้คนต่างด้าวทำงานได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพันภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย คือ งานให้บริการทางบัญชี, งานวิชาชีพในสาขาวิศวกรรม และงานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งทั้ง 3 งานนี้คนต่างด้าวหรือต่างชาติที่จะทำ ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ หรือยกเว้นเป็นผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าวตามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน หรือ ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement (MRAs) ซึ่งมีหลักเกณฑ์แยกย่อยไปอีก (หากใครอยากทราบลองไปหาข้อมูลกันดูนะคะ)

อยากเลือกต่างชาติมาทำงาน ก็เลือกคนที่ทำถูกกฎหมาย จงมองความซื่อสัตย์ของพนักงาน ไม่ใช่มองแค่ค่าจ้างที่ถูกแสนถูกเพียงอย่างเดียว

เพราะในโลกนี้ไม่มีของดีราคาถูกหรอกค่ะ

“แพทองธาร” ประกาศเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินไทยเป็นพื้นที่ของโอกาสของคนไทยทุกคน

(วันที่ 18 สิงหาคม 2567) เวลา 11.00 น. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนวิภาวดีรังสิต ภายหลังการรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงคำกล่าวต่อสื่อมวลชน ว่า ขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอีกครั้ง พรรคร่วมรัฐบาลและประชาชนทุกคน ขอบคุณที่ได้มอบความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ให้ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

วันนี้ ดิฉันให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ขอบคุณอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่ท่านได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้วางแผนในการเป็นนายกฯ ในครั้งนี้มาก่อน แต่ขอให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่า ดิฉันพร้อมและเต็มใจที่จะรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ พาประเทศชาติ ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหาต่างๆ

ประเทศไทยของเรายังมีปัญหาเรื่องปากท้องที่รอการแก้ไขอยู่ และดิฉันตั้งใจว่า การได้รับตำแหน่งนี้ ดิฉันมีความมุ่งมั่นในการทำให้ปากท้องของพี่น้องประชาชนดีขึ้น

ดิฉันมีความตั้งใจที่จะผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ปัญหายาเสพติด ยกระดับระบบสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ และรวมถึงการผลักดัน Thailand  Soft power อย่างต่อเนื่องที่เริ่มทำมาตั้งแต่ต้น

ดิฉันมีความตั้งใจที่จะร่วมงานกับทุกภาคส่วน เพื่อที่จะผลักดันนโยบายต่างๆ เหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วง ขอให้ทุกท่านติดตามการแถลงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมได้ในเดือนกันยายนนี้

สุดท้าย ดิฉันอยากจะขอขอบคุณพลังที่สำคัญที่สุด พลังอันยิ่งใหญ่ คือพลังของพี่น้องประชาชน ทั้งที่เลือกและไม่ได้เลือกดิฉัน

ดิฉันขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่นี้ อย่างเต็มความสามารถ โดยที่ไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่าง ทุกเพศ ทุกวัย ทุกความหลากหลาย ดิฉัน ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในฐานะแม่ ในฐานะลูก  ในฐานะเพื่อน  ดิฉันมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทย ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินไทยเป็นพื้นที่ของโอกาส เป็นพื้นที่ที่คนไทยกล้ามีความฝัน กล้ามีความคิดสร้างสรรค์ และกล้ากำหนดอนาคตของตัวเองค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top