Wednesday, 18 June 2025
NewsFeed

'ดร.หิมาลัย' เปิดงาน 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' สะท้อนอีกแง่มุมประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

(6 ส.ค. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นประธานการเปิดกิจกรรมเสวนา 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ ห้องประชุมชั้น 12 อาคารศรีศรัทธา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมีตัวแทนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ / นายภัทรพล แก้วสกุณี อดีตผู้สมัคร สส.เขต 6 จ.ปทุมธานี พรรครวมไทยสร้างชาติ / น.ส.พัชรนันท์ โกศลสมบัตินนท์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ / นาย อิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนักศึกษาประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ได้กล่าวเปิดงานว่า วันนี้เราจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

"เรามาร่วมไขความจริงกันอีกครั้งว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง...

"หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป"

สำหรับการเสวนาในหัวข้อ 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' นั้นได้มีวิทยากรร่วมในการบรรยายจำนวน 5 ท่าน ซึ่งล้วนแต่แสดงความคิดเห็นในหลากหลายแง่มุม ได้แก่...

นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินการสร้างภาพยนตร์ดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันด้านประวัติศาสตร์ และยังแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับบุคคลในประวัติศาสตร์ รวมถึงความพยายามที่จะถ่ายทอดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2475 ที่ผ่านการศึกษาและค้นคว้าแจกแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือและบิดเบือน 

ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้กล่าวถึง ความสำคัญในการจัดการกับประวัติศาสตร์ที่จะทำให้ชี้นำอนาคตของสังคมได้ จึงมีการพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ผ่านการให้ความจริงเพียงครึ่งเดียวในฐานะประชาชนจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน และในอีกด้านหนึ่งบรรดาผู้ก่อการต่างยอมรับความผิดพลาดของตนเองที่ก่อในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นสามารถนำมาเป็นบทเรียนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความแตกแยก แม้จะมีอุดมการณ์และความเห็นต่างทางการเมืองของแต่ละกลุ่มบุคคลก็ตาม

ด้านนายจิตรากร ตันโห นิสิตปริญญาโท สาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อสังเกตถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัชกาลที่ 7 ที่พยายามประนีประนอมกับทุกกลุ่มอำนาจในสังคม และไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรแต่อย่างใด รวมการตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใด ในหลวงรัชกาลที่ 7 จึงได้ทรงร่างรัฐธรรมนูญไว้ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในปี 2475 อีกด้วย

ขณะที่ นางสาวปัณฑา สิริกุล ผู้เขียนบทภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ได้เล่าถึงเส้นเรื่องของประวัติศาสตร์และตั้งข้อสังเกตถึงบางช่วงบางตอนของประวัติศาสตร์ที่ไม่ปรากฏในตำราและหนังสือใด ๆ โดยเฉพาะการฉ้อโกง และดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมืองของคณะราษฎร ประกอบกับการนำข้อมูลของศาลพิเศษของหลวงพิบูลสงครามมาเป็นข้อมูลประกอบในหนังสือซึ่งขาดความน่าเชื่อถือ เพราะจากการสืบค้นและตรวจสอบข้อมูลพบว่า การให้การภายในศาลพิเศษนั้น ล้วนเต็มไปด้วยคำให้การเท็จเป็นจำนวนมาก 

ด้าน นายฤกษ์อารี นานา อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตนักเรียนไทยในฝรั่งเศส ได้ให้ข้อสังเกตถึงการปฏิวัติของประเทศฝรั่งเศสหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ได้เริ่มต้นจากที่ประชาชนต้องการล้มล้างระบอบกษัตริย์ แต่มาจากการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาความอดอยาก เรียกร้องให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่หลายปัจจัยนำไปสู่การล้มล้างระบอบกษัตริย์ที่สุด และต้องใช้ระยะเวลานานนับร้อยปีหลังการปฏิวัติประเทศถึงเป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้

‘ช่อ พรรณิการ์’ ชี้!! 18 ทูตต่างชาติ รู้มารยาททางการทูตดี ฟาก ‘รัชดา’ โต้กลับ รู้มารยาท แต่ก็ต้องใช้อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจบริบททางสังคมนั้นๆ ด้วย

(6 ส.ค. 67) จากรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ ดำเนินรายการโดย ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ได้สัมภาษณ์ ‘ช่อ-พรรณิการ์ วานิช’ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และต่อสายสนทนาสดกับ ‘รัชดา ธนาดิเรก’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกรณี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล มีภาพถ่ายร่วมกับทูตต่างประเทศ และมีข้อมูลว่าจะเชิญทูตจำนวน 18 ประเทศมาร่วมฟังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรค 

โดยในบางช่วงบางตอน ช่อ-พรรณิการ์ ได้กล่าวถึงประเด็นการมีมารยาททางการทูตว่า “ในเรื่องความรู้อันเกี่ยวกับมารยาททางการทูต ดิฉันเชื่อว่าบรรดาทูต 18 ประเทศมีไม่น้อยกว่าคุณรัชดาหรอก และมีมากกว่าดิฉันแน่นอน…

“ดิฉันก็ไม่คิดว่าดิฉันมีความรู้เรื่องมารยาท หรือวิธีการอันนุ่มนวลในการดําเนินการระหว่างประเทศเทียบเท่ากับทูต 18 ประเทศนี้ เพราะนั่นเป็นอาชีพของเขา ไม่ใช่อาชีพของดิฉัน เพราะฉะนั้นดิฉันว่าเรื่องมารยาท ทุกคนโดยเฉพาะคนที่เขาเป็นเอกอัครราชทูตของประเทศ ที่เป็นประเทศชนชั้นนําระดับโลกเขาทราบ…

“คุณสรยุทธ คุณไบร์ท เป็นนักข่าวก็ย่อมรู้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพนักข่าว ดิฉันเป็นนักการเมืองก็รู้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพของนักการเมือง นักการทูตย่อมรู้จรรยาบรรณวิชาชีพของนักการทูต อนุสัญญากรุงเวียนนาทุกคนก็ต้องอ่านว่าหน้าที่ทางการทูตมันมีอะไรบ้าง”

ต่อมาทางด้าน ‘รัชดา ธนาดิเรก’ ก็ได้กล่าวตอบกลับระหว่างสนทนากันว่า “ประเด็นที่คุณช่อบอกว่าทูตเจ้าหน้าที่ทูต 18 ประเทศ เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามารยาททางการทูตคืออะไร ความรู้ที่ใช้บนอคติ ใช้บนฐานความคิดของเขาเพียงด้านเดียว ไม่เอามาประยุกต์ใช้กับบริบทสังคมไทย วัฒนธรรมไทย กฎหมายไทย อันนี้ดิฉันก็ไม่เชื่อว่าความรู้ในเรื่องมารยาทจะสามารถนํามาใช้ได้อย่างถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ…

ประเด็นมันอยู่ที่ว่าวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญกําลังวินิจฉัยว่าพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล ที่ศาลท่านเคยวินิจฉัยไปแล้วว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทําลายสถาบัน ซึ่งอันนั้นคือสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย ศาลกําลังจะวินิจฉัยในทางใดทางหนึ่ง ไม่มีใครรู้ แต่ท่านเคยวินิจฉัยไปแล้วว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทําลาย ดังนั้นจึงจําเป็นที่จะต้องมีการวินิจฉัย ทําไมต่างชาติไม่เข้าใจในเรื่องตรงนี้ พฤติกรรมที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมันเซาะกร่อนบ่อนทําลายเสาหลักของประชาธิปไตย…

“แล้ววันนี้ศาลรัฐธรรมนูญคืออํานาจตุลาการเป็นอํานาจอธิปไตย เรากําลังจะใช้ คุณมายุ่งอะไร ดิฉันย้ำไม่ใช่ปฏิเสธสิทธิในการเห็นต่างของชาติอื่น ๆ เห็นต่างได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องมาแสดงออกในสถานการณ์วันนี้ แบบนี้ โพสต์เช่นนี้ อันนี้แย่หนักเข้าไปใหญ่ คุณจะเอาข้อมูลที่คุณได้รับทราบจากการพูดคุยกับนักการเมือง และไปประเมินสถานการณ์กับรัฐบาลของคุณ ทําได้ เป็นสิ่งที่ต้องทําอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่มาโพสต์ว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญกําลังจะวินิจฉัย ใช้อํานาจศาลตัดสินคดีที่มันเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นวิกฤติ อันนี้มันไม่ใช่เรื่องจะต้องทํา”

เชียงใหม่-กรมสุขภาพจิต พัฒนาศักยภาพผู้ดูแลเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เขตสุขภาพที่ 1 และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 7 เชียงใหม่

วันที่ 6 สิงหาคม 2567 เวลา 11.00 น. นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างพลังใจ คืนเด็กไทยสู่สังคม สำหรับ ผู้ดูแลเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เขตสุขภาพที่ 1, ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 7 เชียงใหม่/ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุขสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด/โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปและหน่วยงานในสังกัดกรมสุขภาพจิต เขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 50 คน โดยมี นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน ณ ห้องประชุมนพเก้า โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ 

นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์เด็กและเยาวชนกระทำความผิดเป็นสถานการณ์ที่พบได้ทั่วโลก จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ ปี พ.ศ.2564 พบว่าในแต่ละปีมีเด็กและเยาวชนทั่วโลกกระทำความผิดประมาณ 10 ล้านคน สำหรับประเทศไทยพบว่าปี 2561–2565 การกระทำความผิดที่เกิดจากเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 45.91 แต่กลับมีการถูกจับซ้ำในอัตราที่สูงขึ้นโดยเฉพาะ 3 ปีหลัง จากการถูกปล่อยตัวซึ่งสูงถึงร้อยละ 41 โดยคดีที่มีการจับกุมมากที่สุด 3 อับดับแรก ได้แก่ 1) ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ 2) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และ 3) ความผิดเกี่ยวกับอาวุธและวัตถุระเบิด การกระทำผิดเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ด้านความมั่นคงของประเทศ และด้านการพัฒนาประเทศในระยะยาว

การบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างกรมสุขภาพจิตและกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างปัจจัยปกป้องให้เด็กและเยาวชนมีภูมิคุ้มกันทางใจป้องกันไม่ให้กลับไปก่อความรุนแรงหรือก่อคดีซ้ำ อันจะนำไปสู่การป้องกันปัญหาความรุนแรงและการมีสุขภาวะที่ดีในวัยผู้ใหญ่ต่อไป

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง กล่าวว่า การจัดโครงการเสริมสร้างพลังใจ คืนเด็กไทยสู่สังคม ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรในสถานพินิจและศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนฯ มีความรู้และทักษะในการจัดการกับอารมณ์/พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนได้อย่างเหมาะสม และสร้างแรงจูงใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนให้ไปในทางที่ถูกต้อง รวมถึงพัฒนาศักยภาพเครือข่ายผู้รับผิดชอบงานด้านสุขภาพจิตในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนฯ ให้มีทักษะในการคัดกรอง ดูแล และส่งต่อเด็กและเยาวชนในรายที่จำเป็นเข้ารับบริการในหน่วยบริการสาธารณสุขต่อไป

นภาพร/เชียงใหม่ (ภาพ-ข่าว)

'จันทร์แจ่ม' ไม่ติดใจเรื่องเพศสภาพนักชกแอลจีเรีย เผย!! วางแผนมาดีแล้ว แต่คู่ต่อสู้ 'มีความเร็ว-ช่วงชกยาว'

(7 ส.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก MGR SPORT โพสต์ข้อความระบุว่า…

ควันหลงหลังจากที่ ‘จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง’ นักชกสาวไทย แพ้ ‘อิมาน เคลิฟ’ คู่แข่งจากแอลจีเรีย ได้เหรียญทองแดงโอลิมปิก

นักชกจากจังหวัดหนองคายกล่าวว่า "วางแผนมาสู้ เป็นอย่างดีแล้วแต่ต้องยอมรับว่าคู่ต่อสู้นั้นมีความเร็วและมีช่วงชกที่ยาวกว่าทำให้แทบจะเข้าไม่ถึงตัวเลย"

“เรื่องของเพศสภาพนั้นไม่ได้ติดใจอะไร แต่ต้องยอมรับว่าเขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งแล้วก็มีการชกที่มั่นใจมาก สายตามุ่งมั่นอยู่ตลอดเวลาและดูปราดเปรียวกว่าในการชกกันที่อินเดียเมื่อปีที่แล้ว”

นักชกสาวไทย กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งสำคัญก็คือเขามีโอกาสฟื้นตัวจากการชั่งน้ำหนักเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาส่วนตัวเองเมื่อคืนนอนหลับ และหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หลับสนิทอีกทั้งมาเจอกับเวทีใหญ่ในวันนี้ค่อนข้างจะที่จะตื่นเต้นเนื่องจากผู้ชมเยอะมากแล้วก็กองเชียร์ของแอลจีเรียเยอะมากเหมือนชกในบ้านของเขา“

ต่อข้อซักถามที่ว่าเงินที่ได้มาจะนำไปใช้อะไร จันทร์แจ่ม ตอบว่ายังไม่ได้วางแผนเอาไว้แต่ตอนนี้อยากที่จะพักก่อน 

“อาหารที่อยากกินนั่นก็คือส้มตำ แต่ที่อยากกินที่สุดก็คือผัดเผ็ดปลาไหลฝีมือพ่อ แต่กว่าจะได้กลับบ้านก็ต้องอีกสักระยะหนึ่ง ที่ผ่านมาไม่ได้กินของที่ชอบเลยเนื่องจากต้องควบคุมน้ำหนัก”

สมุทรปราการ-เทศบาลตำบลแพรกษา มอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติแก่คณะครู นักเรียน ที่เข้าแข่งขันสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน

ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา เป็นประธานมอบเกียรติบัตรให้แก่คณะครู นักเรียน ในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางวิชาการ ระดับภาคตะวันออก วังน้ำเย็นวิชาการ ครั้งที่ 29 และการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย วังน้ำเย็นเกมส์ ครั้งที่ 38

โดยมี นายวรรณวุฒิ มาสุข รองปลัดเทศบาลตำบลแพรกษา รักษาราชการแทนปลัดเทศบาลตำบลแพรกษา เป็นผู้กล่าวรายงาน โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นภายในห้องประชุม ชั้น 5 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ โดยมี คณะสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแพรกษา หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร คณะครูโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา และคณะครูโรงเรียนวัดแพรกษา ร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

ด้าน ตร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 25 กล่าวว่า เทศบาลตำบลแพรกษา ได้จัดส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางวิชาการ ระดับภาคตะวันออก”วังน้ำเย็นวิชาการ” ครั้งที่ 29 และการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย”วังน้ำเย็นเกมส์” ครั้งที่ 38 ระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว

โดยสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ได้ส่งคณะครูและนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 74 รายการ จากทั้งหมด 107 รายการ แบ่งเป็นคณะครูจำนวน 118 คน นักเรียนจำนวน 266 คน รวมทั้งสิ้น 384 คน โดยมีโรงเรียนอนุบาลแพรกษาวิเทศศึกษา ส่งคณะครูและนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 7 รายการ ได้รับรางวัลเหรียญทอง 4 รางวัล เหรียญเงิน 2 รางวัล เหรียญทองแดง 1 รางวัล โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ส่งคณะครูและนักเรียนเข้าร่วมแข่งขัน จำนวน 39 รายการ

ได้เหรียญทอง 20 รางวัล เหรียญเงิน 11 รางวัล เหรียญทองแดง 4 รางวัล -ได้รับรางวัลเข้าร่วม 3 รางวัล โรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา เข้าร่วมแข่งขันจำนวน 28 รายการ
ได้เหรียญทอง 14 รางวัล เหรียญเงิน 9 รางวัล เหรียญทองแดง 4 รางวัล และมี 11 รายการได้ผ่านเข้าแข่งขันในระดับประเทศ ณ เทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงรายในวันที่ 2-5 กันยายน 256

นอกจากนี้ เทศบาลตำบลแพรกษา ได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย วังน้ำเย็นเกมส์ ครั้งที่ 38 ระหว่างวันที่ 20-29 มิถุนายน เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว โดยสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลตำบลเเพรกษา
ได้ส่งนักเรียนเข้าร่วมแข่งขัน จำนวนหลายรายการ นอกจากนี้ มีจำนวน 8 รายการ ได้ผ่านเข้าแข่งขันในระดับประเทศ ณ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ในวันที่ 14-24 สิงหาคม อาทิเช่น หมากรุกไทย รุ่นไม่เกิน 12 ปี ชาย แบดมินตัน รุ่นไม่เกิน 12 ปี ประเภทชายเดี่ยว ประเภทชายคู่ ประเภทหญิงเดี่ยว ประเภทหญิงคู่ และประเภทคู่ผสม กรีฑา วิ่ง 200 เมตร ชาย และเทเบิลเทนนิส  ประเภทหญิงคู่

ทั้งนี้ ทางเทศบาลตำบลแพรกษา จึงได้มอบประกาศเกียรติคุณเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแก่คณะครูและนักเรียนที่ร่วมกันสร้างชื่อเสียงให้แก่เทศบาลตำบลแพรกษาระดับภาคตะวันออก  รวมถึงส่งกำลังใจให้กับคณะครูและนักเรียนที่จะเดินทางเข้าร่วมการแข้งขันระดับประเทศ ณ เทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย รวมถึงคณะครูและนักเรียนที่จะเดินทางเข้าร่วมแข่งขัน
กีฬานักเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย ในระดับประเทศ ที่เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ดต่อไป

ประกอบกับ ในวันนี้ได้นำอาหารต่างๆ หลายรายการนำมาจัดเลี้ยงแจกจ่ายให้แก่นักเรียนที่ทำคุณประโยชน์สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนทานฟรีอีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยจัดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนรุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก

เมื่อวันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2567 นายกำพล สิริรัตตนนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิต 
และการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก พร้อมด้วย นางนุชจารี คล้ายสุวรรณ  นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย / กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย กรรมการภาคตะวันออกผู้แทนตำรวจภูธรภาค 2 ผู้แทนตำรวจภูธรจังหวัดนครนายกผู้แทนจากหน่วยงานสาธารณสุข ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต และผู้มีเกียรติ ร่วมงานระหว่าง วันที่ 5 – 7 สิงหาคม 2567 ณ ห้องประชุมโรงแรมที วินเทจ ต.ท่าทองหลาง อ.บางคล้า  จ.ฉะเชิงเทรา

นายกำพล สิริรัตตนนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่าจากคำกล่าวรายงานของ น.ส.ฐิติพร  พริ้งเพลิด  อุปนายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย คนที่ 2 ทำให้ทราบถึงความเป็นมา และวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนในวันนี้ 

ซึ่งต้องการให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน ได้รับความรู้ มีความเข้าใจ ในเรื่องสิทธิด้านต่างๆ สำหรับคนพิการ โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการก่อความรุนแรง และการฆ่าตัวตาย รวมทั้ง เน้นให้เห็นความสำคัญของครอบครัว เพื่อลดความรุนแรง รวมทั้งเพื่อให้ได้แนวทางและขั้นตอนในการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตอย่างถูกวิธี ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต และพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

น.ส.ฐิติพร พริ้งเพลิด อุปนายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย คนที่ 2 กล่าว โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตและการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก จัดขึ้น เพื่อให้เกิดแกนนำเครือข่ายภาคปฏิบัติ ที่มีความรู้ความเข้าใจขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตเมื่ออยู่ในภาวะต่างๆได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และทันเหตุการณ์ เพื่อให้ได้แนวทาง และขั้นตอนในการให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตอย่างถูกวิธี ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต และ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จากการทำแผนงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย  ก่อตั้งเมื่อวันที่  27  มีนาคม  2546 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา  21 ปี

การจัดโครงการฯในวันนี้ จะดำเนินการระหว่างวันที่  5 – 7 สิงหาคม 2567 โดยจะมีการจัดกิจกรรมทั้งหมดจำนวน 5 รุ่น แบ่งเป็น รุ่นที่ 1 ภาคเหนือ จำนวน 140 คน รุ่นที่ 2 ภาคกลาง จำนวน 139 คน รุ่นที่ 3 ภาคอีสาน จำนวน 154 คน รุ่นที่ 4 ภาคใต้ จำนวน 117 คน  และรุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก จำนวน 76 คน รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งโครงการจำนวน 626 คน 

โดยกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการในรุ่นที่ 5 ภาคตะวันออก ประกอบด้วยคณะกรรมการภาคตะวันออกหรือผู้แทน คณะกรรมการและกรรมการที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ผู้แทนตำตรวจภูธรภาค 2 และผู้แทนตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก ผู้แทนจากหน่วยงานสาธารณสุขในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ผู้สังเกตการณ์ วิทยากรและคณะทำงาน รวมจำนวน  76 คน  

'จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง' คว้าเหรียญทองแดง หลังพ่ายคะแนนให้กับ 'อิมาน เคลิฟ' นักชกแอลจีเรีย

(7 ส.ค.67) การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีสเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส มวยสากล รอบรองชนะเลิศ คนสุดท้าย รุ่น เวลเตอร์เวท 66 กก.หญิง มีนักกีฬาไทยลงแข่งขัน คือ 'บี' จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง วัย 23 ปี กำปั้นจากจังหวัดหนองคาย ดีกรีเหรียญเงินและเหรียญทองแดง ชิงแชมป์โลก รวมถึง เหรียญเงินเอเชียนเกมส์ ปี 2023 ที่รอบ 8 คนชนะ  บูเซญาซ ซูร์เมเนลี่ เบอร์ 1 ของรุ่นจากตุรกี โดยพบกับ อิมาน เคลิฟ กำปั้นวัย 25 ปีจากแอลจีเรีย ที่ไม่ผ่านตรวจเพศจาก IBA แต่ IOC ให้ลงแข่งได้ ซึ่งรอบที่แล้วชนะลูก้า ฮาโมรี่ จากฮังการี

คู่นี้เคยเจอกันมาแล้วในรอบรองชนะเลิศ ในศึกชิงแชมป์โลก 2023 ที่ประเทศอินเดีย โดย เคลิฟ เป็นฝ่ายชนะคะแนนเอกฉันท์ 5-0 เสียง ก่อนที่ สหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (IBA) ตัดสิทธิ์และปรับแพ้ เนื่องจาก เคลิฟ ตรวจเพศไม่ผ่าน

ยกแรก เคลิฟ แย็บรักษาระยะก่อนต่อยหนึ่งสอง ขณะที่ จันทร์แจ่ม พยายามยิงหมัดตัดลำตัวใส่ หมดยกแรก เคลิฟ นำขาด

ยกที่สอง จันทร์แจ่ม แก้เกมด้วยการพยายามเดินติดไม่ให้ เคลิฟ เดินเข้าหา แต่นักมวยจากแอลจีเรีย ก็ใช้ช่วงชกที่ได้เปรียบกว่าดักแย็บซ้ายใส่ จบยกนี้ จันทร์แจ่ม คะแนนยังเป็นรอง 

ยกสุดท้าย จันทร์แจ่ม ที่รู้ว่าคะแนนเป็นรอง พยายามเดิมเข้าใส่ แต่ก็โดน เคลิฟ 2 หมัด ครบยก อิมาน เคลีฟ ชนะไปเอกฉันท์ 5-0 เสียง ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ส่วน จันทร์แจ่ม ได้เหรียญทองแดงไปแบบได้ใจชาวไทย 

‘เกาหลีใต้’ วุ่น!! คนในชาติคลั่งการเมืองหนัก สะเทือนลามเรื่องความรัก หลังผลโพล ชี้!! 58.2% ไม่อยากอินเลิฟกับคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวานนี้ (6 ส.ค. 67) นสพ.The Korea Herald ของเกาหลีใต้ รายงานข่าว 6 in 10 S. Koreans won't date across political lines: survey ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2567 สถาบันสุขภาพและกิจการสังคมแห่งเกาหลี เผยแพร่ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวเกาหลีใต้จำนวน 3,950 คน อายุระหว่าง 19 - 75 ปี ซึ่งดำเนินการเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 58.2 ไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์โรแมนติกกับบุคคลที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 70 ยังคัดค้านการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความเชื่อทางการเมืองตรงข้ามกัน และร้อยละ 33 ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานสังสรรค์ทางสังคม กับคนที่มีมุมมองทางการเมืองตรงข้ามกัน และผลการสำรวจอื่น ๆ ยังแสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้กำลังประสบกับปัญหาประชาชนมีความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองอย่างมาก ซึ่งชี้ให้เห็นถึงรอยร้าวที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างกลุ่มเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในประเทศ

รายงานข่าว กล่าวต่อไปว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 92.3 มองว่าความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวามีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 87 ในปี 2561 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 21 เท่านั้นที่ระบุว่าไว้วางใจรัฐสภา ส่วนความขัดแย้งอื่น ๆ ในสังคมเกาหลีใต้ที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุ ได้แก่ ระหว่างพนักงานประจำกับพนักงานชั่วคราว ร้อยละ 82.2 ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ร้อยละ 79.1 ระหว่างคนรวยกับคนจน ร้อยละ 78 และระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ร้อยละ 71.8

โดยรวมแล้ว กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนความสามัคคีในสังคมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 จากระดับ 10 ซึ่งลดลงจาก 4.31 ในปี 2565 และ 4.59 ในปี 2564 ในขณะเดียวกัน ระดับความขัดแย้งทางสังคมโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.93 จาก 4 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.88 ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม นอกจากความแตกต่างทางสังคมและการเมืองแล้ว ระดับความพึงพอใจในชีวิตของแต่ละบุคคลกลับเพิ่มขึ้น โดยระดับความสุขโดยเฉลี่ยในระดับ 10 อยู่ที่ 6.76 เมื่อปี 2566 เพิ่มขึ้น 0.43 จุดจาก 6.33 ในปี 2564 ในทางกลับกัน ระดับภาวะซึมเศร้าลดลงเหลือ 2.57 เมื่อปี 2566 จาก 2.92 ในปี 2564

‘เพจก้าวไกล’ เปิดภาพ 'ก้าวไกลในเลนส์กล้อง' ประมวลรูปที่คุณอาจไม่เคยเห็น ในระยะเวลาทำงาน 4 ปี

(7 ส.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรคก้าวไกล - Move Forward Party’ โพสต์ภาพ พร้อมเนื้อหาในหัวข้อ ‘ก้าวไกลในเลนส์กล้อง : ประมวลรูปที่คุณอาจไม่เคยเห็น จากช่างภาพผู้ติดตามการทำงานของพรรค’ โดยระบุว่า...

4 ปีของพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องราวของผู้คนและการเดินทางที่ไม่รู้จบ และผู้ที่จะเก็บบันทึกเส้นทางของพวกเขาได้เป็นชิ้นเป็นอันที่สุด ก็คือบรรดาช่างภาพที่ติดตามการทำงานของพรรคก้าวไกล เราติดต่อไปยังช่างภาพเหล่านั้นเพื่อขอภาพถ่ายที่พวกเขาประทับใจ ขบขัน หรือเป็นแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งแกนนำ ทีมงาน สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนจากทั่วสารทิศ

ขอเชิญชม ‘ก้าวไกล’ จากวิวไฟน์เดอร์ของคนทำงานตัวจริงและเรื่องราวที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน

รู้จัก ‘Colin Huang Zheng’ ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ แพลตฟอร์ม E-commerce เขย่าโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันทุกวันนี้นี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะจับจ่ายซื้อขายผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Platform E-commerce ชื่อดังในบ้านเราอย่าง LAZADA และ SHOPEE แต่ไม่นานมานี้มีน้องใหม่เข้ามาในตลาด E-commerce เพิ่มขึ้นอีกหลายราย อาทิ SHIEN และที่มาแรงที่สุดคือ ‘TEMU’

‘TEMU’ เป็น Platform E-commerce ที่ดำเนินการโดย PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซจีน แต่จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน และยังระบุว่าเป็นสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงดับลิน (ซึ่งทั้งสองแห่งมีมาตรการทางภาษีที่เอื้อต่อเจ้าของกิจการที่จดทะเบียนในแต่ละแห่งอย่างมากมาย) โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ตั้งราคาลดพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่จัดส่งจากจีนถึงผู้บริโภคโดยตรง รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ช่วยให้บริษัทได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แรงงานบังคับ ทรัพย์สินทางปัญญา และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด บริษัทมีข้อพิพาททางกฎหมายกับคู่แข่งอย่าง SHEIN

นอกจากนี้แล้ว PDD Holdings ยังเป็นเจ้าของ Pinduoduo ซึ่งเป็น Platform E-commerce ยอดนิยมในประเทศจีนอีกด้วย โดย ‘TEMU’ เริ่มใช้งานในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2022 ในเดือนมีนาคม 2023 เปิดตัวในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเดือนต่อมาได้เปิดตัวในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และสหราชอาณาจักร ในที่สุด ‘TEMU’ ก็ขยายเข้าสู่ตลาดละตินอเมริกา และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2024 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ 49 เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ‘TEMU’ ได้ลงโฆษณา Super Bowl หลายรายการ เป็นมูลค่าราว 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการค้นหาชื่อและการเข้าชม ‘TEMU’ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ใช้งานจริงในสหรัฐอเมริกากว่า 100 ล้านคน มีดาวน์โหลด Application มากกว่า 130 ล้านครั้งทั่วโลก และมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ประมาณ 420 ล้านครั้งต่อเดือน ตามข้อมูลของ Semrush 

รูปแบบธุรกิจของ ‘TEMU’ ยินยอมให้ผู้ขายในประเทศจีนขายและจัดส่งโดยตรงถึงลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้จัดจำหน่ายคนกลางในประเทศปลายทาง ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง แต่ผู้ขายหลายรายระบุว่า ‘TEMU’ ขอให้พวกเขาลดราคาลงจนกระทั่งถึงจุดที่ขายสินค้าขาดทุน นอกจากนั้น ‘TEMU’ เสนอสินค้าฟรีให้กับผู้ใช้รายที่แนะนำผู้ใช้ใหม่ผ่านรหัสพันธมิตรโซเชียลมีเดีย และเกมมิฟิเคชัน การซื้อออนไลน์บน ‘TEMU’ สามารถทำได้โดยใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตหรือผ่านแอปมือถือเฉพาะ และ ‘TEMU’ ยังใช้แคมเปญโฆษณาออนไลน์ขนาดใหญ่บน Facebook และ Instagram

นอกจากนี้แล้ว ‘TEMU’ ยังกำหนดให้ผู้ขายต้องเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่พบใน AliExpress เมื่อผู้ขายหลายรายเสนอขายผลิตภัณฑ์เดียวกัน ‘TEMU’ จะอนุญาตเฉพาะผู้ขายที่เสนอราคาต่ำที่สุดเท่านั้น สินค้าที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดการขายขั้นต่ำของ ‘TEMU’ (30 ชิ้นและ 90 ดอลลาร์ใน 14 วัน) จะถูกลบออกจากแพลตฟอร์ม การโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักในแอปมือถือ และลงโฆษณาทางทีวีในรายการ Super Bowl ส่งผลให้ ‘TEMU’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากผลการวิจัยของ Sensor Tower เปิดเผยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ผู้ใช้ ‘TEMU’ ใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาทีต่อสัปดาห์บนแอป เมื่อเทียบกับ 18 นาทีบน Amazon และ 22 นาทีบน eBay 

‘Colin Huang Zheng’ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1980 ในเขตชานเมืองหางโจวเจ้อเจียง พ่อแม่ของเขาเป็นพนักงานระดับกลางในโรงงาน เข้าเรียนที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจว เป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง ‘PDD Holding’ เจ้าของ ‘TEMU’ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของบริษัท Pinduoduo ซึ่งปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในจีน หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เขาได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison หลังจากนั้นได้เข้าทำงานกับ Google ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2004 เวลานั้น Microsoft มีมูลค่าตลาดมากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ Google ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ Huang ก็เลือกเดินทางไปกับ Google

ในปี 2006 Huang กลับสู่มาตุภูมิในฐานะส่วนหนึ่งของทีมเปิดตลาดเมืองจีนให้กับ Google อย่างไรก็ตาม 1 ปีต่อมา Huang ก็ตัดสินใจตามสัญชาตญาณตัวเองอีกครั้ง เขาเลือกลาออกจาก Google โดยไม่แม้กระทั่งจะรอให้ตัวเองมีความพร้อมเสียก่อนด้วยซ้ำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิถีผู้ประกอบการของเขา ในปี 2015 Huang ได้ตั้งบริษัท Pinduoduo ขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ มีรายได้ 1.4 พันล้านหยวน (280 ล้านดอลลาร์) ในปี 2017 และในปี 2019 บริษัทสร้างรายได้ 4.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (30.14 พันล้านหยวน) ธุรกิจเติบโต และบริษัทเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลังการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ในชื่อหลักทรัพย์ว่า ‘PDD’ เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ด้วยมูลค่ามากถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มสูงขึ้นในเวลาต่อมา Huang ซึ่งมีหุ้นอยู่ในบริษัท 47% มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 13 ของจีนในปี 2018

วันที่ 1 กรกฎาคม 2020 Huang ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Pinduoduo แต่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเช่นเดิม ต่อมาเมื่อ 17 มีนาคม 2021 Huang ได้ทำการสละตำแหน่งประธาน และมอบสิทธิในการออกเสียงของหุ้นของเขาให้กับคณะกรรมการบริหาร โดยบริษัท Pinduoduo ระบุว่า Huang ต้องการที่จะแสวงหา ‘โอกาสใหม่ในระยะยาว’ ต่อไป ในเดือนมิถุนายน 2020 หลังจาก Huang ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น Pinduoduo ของเขาลงเหลือ 29.4% โดยบริจาค 2.37% ให้กับมูลนิธิการกุศล และ 7.74% ให้กับบรรดาหุ้นส่วนของ Pinduoduo

หุ้น 2.37% ที่เขาบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคม และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ใจบุญชั้นนำในรายชื่อ Hurun China Philanthropy List ในปี 2021 หลังจากที่เขาให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงิน 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Huang และทีมผู้ก่อตั้ง Pinduoduo ได้บริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.37% ของหุ้น Pinduoduo) ให้กับ Starry Night Charitable Trust เพื่อ “สนับสนุนการวิจัยพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ เกษตรกรรม และอาหาร”

“การตัดสินใจที่ถูกต้องนั้นสำคัญกว่าการทำงานหนัก การมีสามัญสำนึกนั้นสำคัญกว่าการมีความรู้”  ‘Colin Huang Zheng’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top