Wednesday, 18 June 2025
NewsFeed

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดการประชุมร่วมตำรวจไทย-มาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 ส่งเสริมความร่วมมือในกิจการตำรวจ และการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

วันนี้ (6 สิงหาคม 2567) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุมร่วมระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเท็ล แบงค็อก กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ.ตัน ศรี ราซารุดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธี การประชุมร่วมระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 เป็นการประชุมประจำปีที่จัดขึ้นสลับกันระหว่างทั้งสองประเทศ ในปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 5 - 8 สิงหาคม 2567 โดยที่ประชุมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูล 9 หัวข้อ ได้แก่  
1. การลักลอบนำเข้าและการค้าอาวุธ  
2. การลักลอบนำเข้ายานพาหนะที่ถูกโจรกรรมระหว่างสหพันธรัฐมาเลเซียและราชอาณาจักรไทย  
3. การค้ามนุษย์และการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 
4. อาชญากรรมทางเศรษฐกิจและอาชญากรรมทางไซเบอร์  
5. การลักลอบนำเข้าและการค้ายาเสพติด 
6. การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามแนวชายแดน  
7. อาชญากรรมทางทะเลและการกระทำอันเป็นโจรสลัด 
8. การก่อการร้าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อราชอาณาจักรไทยและสหพันธรัฐมาเลเซียและงานข่าวกรอง 
9. การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากร 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ฯ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการส่งเสริมความร่วมมือในกิจการตำรวจ และรักษาคำมั่นของทั้งสองฝ่ายในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญ ตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้มีร่วมกัน และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความสงบเรียบร้อย การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคสังคมของทั้งสองประเทศ ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย มีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือระดับทวิภาคี เพื่อนำมาซึ่งความปลอดภัยและความมั่นคงของทั้งสองประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

(สุรินทร์) ศิษย์เก่า รร.จปร. จัดกิจกรรมวันคล้ายวันพระราชทานกำเนิด รร.จปร. ครบรอบปีที่ 137 วันที่ 5 สิงหาคม 2567

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 ที่ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูบลย์  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วยศิษย์เก่า รร.จปร. ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และศรีษะเกษ และ คุณอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25 ร่วมพิธีวันพระราชทานกำเนิด รร.จปร. ซึ่งประกอบไปด้วยพิธีสงฆ์ พิธีทำบุญตักบาตร และพิธีวางพานพุ่มถวายราชสดุดี โดยมี ศิษย์เก่า รร.จปร.จากหน่วยกองบัญชาการต่างๆในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ เข้าร่วม ณ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 จังหวัดสุรินทร์ นำโดย พร้อมด้วย พันเอก จิรัฏฐ์ ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พันเอก จิตรกร  จันทร์สว่าง รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พันเอก โถมวัฒน์ สว่างวิทย์  รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดศรีสะเกษ(ท) พันเอก เกียรติศักดิ์  พรมตวง ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 สำนักงานพัฒนาภาค 5 นางสาวอณัญญา พรหมบุตร รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ จากนั้น คณะศิษย์เก่า รร.จปร. ได้ร่วมทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ณ โรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดสุรินทร์  โดยการมอบทุนอาหารกลางวัน และมอบอุปกรณ์แปลงเกษตร และอุปกร์การทำความสะอาดแก่ นายชลอ  เมืองทอง  ผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสุรินทร์ เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์พระผู้พระราชทานกำเนิด รร.จปร. โดยโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานกำเนิด เมื่อ 5 สิงหาคม 2430 ณ บริเวณพระราชวังสราญรมย์ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ตั้งมาที่บริเวณเขาชะโงก จังหวัดนครนายก ตลอดระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มุ่งมั่นผลิตนายทหารสัญญาบัตร ที่มีคุณลักษณะตามที่กองทัพบกต้องการ มีความเป็นสุภาพบุรุษ นักรบ นักพัฒนา มุ่งพัฒนากองทัพและประเทศชาติ พร้อมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

คิกออฟ!! 'ไฮโดรเจน' พลังงานทางเลือกใหม่ ภายใต้แนวคิดของ ‘พีระพันธุ์’ หลัง 'ซาอุฯ' ไฟเขียว ร่วมอุตฯ การผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เชิงพาณิชย์ในไทย

ความเป็นจริงเกี่ยวกับเชื้อเพลิงพลังงานที่ใช้กันอยู่ในบ้านเราทุกวันนี้ เกือบทั้งหมดต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ 

ด้วยเพราะทรัพยากรเชื้อเพลิงพลังงานที่มีอยู่เองในประเทศนั้น จะมีช่วงเวลาที่ค่อย ๆ หมดไป ๆ และไม่เพียงพอต่อการรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่มีแต่เร่งความต้องการเชื้อเพลิงพลังงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

แต่ในขณะที่เชื้อเพลิงพลังงานที่ต้องนำเข้า ต้องซื้อจากประเทศอื่น ๆ มานั้น ก็ใช่ว่าประเทศที่ขายให้จะไม่ตระหนักถึงทรัพยากรตนที่พร้อมจะหมดไป หรือไม่เพียงพอใช้ในประเทศเช่นกัน

ดังนั้น สิ่งที่ตามมา จึงเป็นเรื่องของราคาเชื้อเพลิงพลังงาน ที่ผู้ซื้อจำใจต้องยึดราคาภายใต้กรอบของผู้ผลิตที่จะกำหนดได้เองเป็นส่วนใหญ่ 

พอภาพโดยรวมเป็นแบบนี้ ก็ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาจริงจังกับ 'พลังงานใหม่' ไม่ว่าจะเป็นพลังทดแทนหรือพลังงานทางเลือก ที่ต้องให้ความสำคัญ มีการคิดค้น และพัฒนาให้กลายมาเป็นพลังงานที่จะถูกนำมาใช้แทนพลังงานในปัจจุบัน หรือพลังงานฟอสซิลมากขึ้นเรื่อย ๆ

‘ไฮโดรเจน’ (Hydrogen, H2) ถือเป็นเชื้อเพลิงพลังงานที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกสำหรับอนาคต เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาด เป็นธาตุที่เบาที่สุดและเป็นองค์ประกอบของน้ำ (H2O) 

ขณะเดียวกัน ยังเป็นธาตุที่รวมอยู่ในโมเลกุลของสารประกอบอื่น ๆ เช่น สารประกอบจําพวกไฮโดรคาร์บอน (HC) คุณสมบัติทั่วไปของ ‘ไฮโดรเจน’ คือ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แถมยังไม่มีสารประกอบคาร์บอน ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจก 

นอกจากนี้ ‘ไฮโดรเจน’ ยังถูกนำมาใช้ในการทำปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชั่น (Hydrogenation) ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น โรงกลั่นน้ำมันเพื่อลดค่ากำมะถันในน้ำมัน, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาหกรรมอาหาร, อุตสาหกรรมกระจก, อุตสาหกรรมเคมี และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ไม่เพียงเท่านี้ ‘ไฮโดรเจน’ ยังสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้และให้ความร้อน โดยมีค่าพลังงานความร้อนต่อน้ำหนักสูงกว่าน้ำมันเบนซินประมาณ 3 เท่า หรือนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าโดยป้อนเข้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) 

ดังนั้น ไฮโดรเจน จึงถือเป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงที่สำคัญอย่างมากในอนาคต โดยหลายประเทศทั่วโลกได้มีการวิจัยและพัฒนาในเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย เช่น สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, ฯลฯ

ทั้งนี้ ‘ไฮโดรเจน’ สามารถผลิตได้จากวัตถุดิบหลัก 3 แหล่ง ได้แก่ (1) เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม (2) พลังงานหมุนเวียน เช่น ชีวมวล น้ำ และ (3) พลังงานนิวเคลียร์ 

ส่วน ‘ไฮโดรเจน’ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานสามารถจำแนกจากชนิดของแหล่งพลังงานและวิธีในการผลิตไฮโดรเจน โดยกำหนดเป็นสีต่าง ๆ ไว้ 4 สี ดังนี้...

(1) ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen) คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน ซึ่งไฮโดรเจนสีเทาคิดเป็นประมาณ ร้อยละ 95 ของไฮโดรเจนที่ผลิตได้ในปัจจุบัน โดยกระบวนการผลิตนี้จะมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่ชั้นบรรยากาศ 

(2) ไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen) คล้ายกับไฮโดรเจนสีเทา ยกเว้นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกกักเก็บไว้ในพื้นดิน ใช้การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS: Carbon Capture and Storage) โดยไฮโดรเจนสีน้ำเงินเป็นทางเลือกที่สะอาดกว่าไฮโดรเจนสีเทา แต่มีราคาแพงกว่าเนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีในการดักจับคาร์บอน 

(3) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นโดยใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด ซึ่งไฮโดรเจนสีเขียวถือเป็นไฮโดรเจนที่มีการปล่อยมลพิษต่ำหรือเป็นศูนย์ เนื่องจากใช้แหล่งพลังงานสะอาด เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอิเล็กโทรไลซิสในกระบวนการแยกน้ำ (H2O) เป็นไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2) 

(4) ไฮโดรเจนสีอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมพลังงาน อาจใช้สีอื่น ๆ เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างชนิดของไฮโดรเจน แม้ว่าสีเทา, สีฟ้า และสีเขียวเป็นสีทั่วไป แต่มีสีดำ, สีน้ำตาล, สีแดง, สีชมพู, สีเหลือง, สีเขียวขุ่น และสีขาว เป็นสีสำหรับ Molecular Hydrogen (H2) ที่ผลิตจากแหล่งพลังงานและกระบวนการผลิตอื่น ตัวอย่างเช่น ไฮโดรเจนสีดำและสีน้ำตาลเป็นไฮโดรเจนสีเทาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยไฮโดรเจนสีดำคือ การใช้ถ่านหินบิทูมินัส ส่วนไฮโดรเจนสีน้ำตาลคือ การใช้ถ่านหินลิกไนต์ ผ่านกระบวนการ Gasification process เพื่อการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ 

จากปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมานั้น จึงทำให้ ‘ไฮโดรเจน’ เป็นหนึ่งในพลังงานใหม่ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง 

สำหรับประเทศไทย ได้มีการใช้ ‘ไฮโดรเจน’ เป็นพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยพลังงานจาก ‘ไฮโดรเจน’ จะทำหน้าที่สนับสนุนการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานลม เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิตกระแสไฟฟ้า และได้มีการนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิง ‘ไฮโดรเจน’ รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle : FCEV) โดยใช้รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนรับส่งนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในพื้นที่พัทยา - ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง 

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งสถานีต้นแบบเติม ‘ไฮโดรเจน’ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของประเทศไทย (Hydrogen Station) ที่ อำเภอบางละมุง ชลบุรี อีกด้วย

แม้ว่าขณะนี้ ‘ไฮโดรเจน’ ยังไม่ใช่พลังงานทดแทนหลักที่ได้รับความนิยม แต่พลังงานจาก ‘ไฮโดรเจน’ ก็ยังมีการคิดค้นในเชิงนวัตกรรม เพื่อให้เป็นพลังงานสะอาดมากขึ้นเรื่อย ๆ พอที่จะนำมาแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการปลดปล่อยมลพิษ ช่วยพาสังคมมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) เพื่อขจัดต้นตอของปัญหาโลกร้อนให้สำเร็จได้อย่างแท้จริงเสียที

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยในวันนี้ ก็ไม่ได้นิ่งเฉยกับสุดยอดพลังงานทางเลือกนี้ และยังดูจะเอาจริงเอาจังกับการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงานหลักให้ประเทศอีกด้วย เพราะนี่คือหนึ่งในวิสัยทัศน์ด้านเชื้อเพลิงพลังงานของ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ที่ต้องการให้ไทยผลิต ‘ไฮโดรเจน’ ได้เองภายในประเทศ 

เหตุผลเพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าแทนที่ ‘LNG’ ที่ปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศด้วยราคาที่ไม่มีความแน่นอน และมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลน จนส่งผลกระทบต่อต่อค่า ‘Ft’ ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าในบ้านเรามีราคาแพง และสำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานในภาคการขนส่งแทนที่ ‘CNG’ ซึ่งกำลังการผลิตจากแหล่งผลิตในอ่าวไทยและนำเข้าจากเมียนมามีปริมาณที่ลดลงเรื่อย ๆ 

โดย ‘พีระพันธุ์’ ได้มอบนโยบายนี้ให้ ‘บมจ.ปตท.’ ผู้ประกอบการด้านพลังงานรายใหญ่ที่สุดของไทยได้ทำการศึกษาและขับเคลื่อน ซึ่งทาง ‘บมจ.ปตท.’ เอง ก็ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวแล้ว โดยร่วมกับ ‘บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด’ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 

สำหรับความคืบหน้าของเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากการที่ ‘พีระพันธุ์’ ได้นำเรื่องของการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงานไปเจรจาหารือกับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ระหว่างการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เมื่อ วันที่ 15-17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และเพื่อเป็นการขยายผลต่อยอดโครงการฯ ดังกล่าว ทางรัฐบาลซาอุดีอาระเบียก็ได้ตอบรับและแสดงความสนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เชิงพาณิชย์เพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงานในประเทศไทยแล้ว 

โดยการร่วมมือนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 (Saudi Vision 2030) จากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพื่อที่จะลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวของประเทศ และเพิ่มช่องทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น 

นี่จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ภาคการผลิตกระแสไฟฟ้าและการคมนาคมขนส่งของประเทศไทย จะมีโอกาสและทางเลือกในการใช้เชื้อเพลิงพลังงานที่สามารถผลิตได้ในประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน ทำให้ความมั่นคงทางพลังของไทยมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลแก่พี่น้องประชาชนคนไทยโดยรวมทั้งหมดทั้งมวลต่อไป

‘ตำรวจสอบสวนกลาง’ เตือนภัย!! มิจฉาชีพ สาวก ‘iPhone’ ห้ามกดอนุญาตหากพบข้อความให้รีเซ็ตรหัสผ่าน Apple ID

(6 ส.ค.67) ‘มิจฉาชีพออนไลน์’ ถือเป็นภัยสังคมที่เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนโดยเฉพาะในระยะหลังมานี้ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงให้โอนเงิน หรือหลอกให้คลิกลิงก์เพื่อกระทำการต่าง ๆ บนสมาร์ตโฟนของเรา สร้างความเสียหายมาแล้วมากมาย

ด้วยเหตุนี้ ‘ตำรวจสอบสวนกลาง’ ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับหนึ่งในกลวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพออนไลน์ สำหรับผู้ใช้งาน ‘iPhone’ พร้อมระบุว่า หากมีการแจ้งเตือนในลักษณะนี้ ห้ามกดอนุญาตเด็ดขาด

โดยตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า ผู้ใช้ iPhone โปรดระวัง หาก iPhone มีข้อความแจ้งเตือนว่า "รีเซ็ตรหัสผ่าน ใช้ iPhone เครื่องนี้เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่าน Apple ID" โดยที่เราไม่ได้ดำเนินการใด ๆ กับโทรศัพท์ หรือ มีข้อความว่า "Apple ID Sign in Requested" มีการแจ้งว่ามีการเข้าระบบของ Apple โดยที่เราไม่ได้เข้าระบบ และมีการแสดงตำแหน่งแปลก ๆ ที่เราไม่เคยไป หรืออยู่ต่างประเทศ

ขอเตือนว่า อย่ากดอนุญาตโดยเด็ดขาด เพราะมีความเป็นไปได้ว่า มิจฉาชีพกำลังพยายามเข้าระบบของเรา

ทั้งนี้ เมื่อกดไม่อนุญาตแล้ว ขอแนะนำให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่าน บังคับให้ทุกเครื่องออกจากระบบ และเปิดการเข้าระบบแบบ 2 ชั้น (2FA) ในทันที

หากพบเจอมิจฉาชีพออนไลน์ ต้องการแจ้งความ หรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับมิจฉาชีพ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วนศูนย์ AOC 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง

ผช.ทูตทหารเรือ ต้อนรับ “น้องคิว” ซุปเปอร์แมนประดู่เหล็ก นักปัญจกีฬาทีมชาติไทย พร้อมโค้ชชาวเยอรมัน เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2024 ณ กรุงปารีส

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2567 นาวาเอก ไกรวุฒิ ภมรบุตร ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ ณ กรุงปารีส พร้อมด้วย แพทย์หญิง ปณิตตา ภมรบุตร ภริยาฯ เป็นผู้แทนเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ให้การต้อนรับ “น้องคิว” จ่าโท ภูริช โยเฮือง ซุปเปอร์แมน ประดู่เหล็ก นักกีฬาปัญจกีฬาทีมชาติไทย พร้อมด้วยโค้ช เปรโด ชาวเยอรมัน ที่เดินทางมาจากประเทศโปรตุเกส เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก Paris 2024 ณ ท่าอากาศยาน Charles de Gaulle กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยมี ข้าราชการจากสำนักงานผู้ช้วยทูตฝ่ายทหารเรือ พร้อมคู่สมรส และข้าราชการประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส และผู้แทนชุมชนไทย ในฝรั่งเศสร่วมให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่น โดย  “น้องคิว” จะลงแข่งขันในประเภทบุคคลชาย รอบจัดอันดับฟันดาบ รายการแรก ในวันที่ 8 สิงหาคม นี้ เวลา 16.00 น. (เวลาประเทศไทย)

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

เตรียมเชียร์!! 'น้องเทนนิส' ล่าทอง-ป้องกันแชมป์โอลิมปิก จ่อลุ้นพร้อมกัน 7 ส.ค.นี้ นับเป็นการแข่งขันวันเดียวจบ

(6 ส.ค. 67) ‘เทนนิส’ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดหญิง เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่แล้ว เตรียมลงป้องกันแชมป์ เทควันโดรุ่น 49 กก.หญิงในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ กรองด์ ปาเลส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เริ่มในวันพุธที่ 7 สิงหาคม เป็นต้นไป ซึ่งจะแข่งขันวันเดียวจบ

ล่าสุด ได้มีการแบ่งสายแข่งขันออกมาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า ในรอบแรก ‘เทนนิส’ ได้บาย โดยจะรอพบผู้ชนะระหว่าง ‘อนา เบโล่’ จากติมอร์เลสเต หรือ ‘อูเมมะ เอล บุชชี่’ จากโมร็อกโก ในรอบ 16 คนสุดท้าย แข่งขันในเวลา 15.47 น. (ตามเวลาประเทศไทย)

จากนั้น หากผ่านเข้าสู่รอบ 8 คน เทนนิส จะต้องลงแข่งขันในเวลา 19.53 น.ซึ่งหากชนะอีกก็จะเข้าสู่รอบรองชนะเลิศจะทำการแข่งขันในเวลา 21.21 น. และถ้าเอาชนะคู่แข่งผ่านเข้าสู่รอบชิงเหรียญทองการแข่งขันจะมีขึ้นในเวลา 02.19 น.หรือเช้ามืดวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย

สำหรับช่องทางการรับชมติดตามได้ทาง ช่อง 7HD , 9 MCOT HD , PPTV HD36 , True , T-Sports7 และ AIS Play

เชียงใหม่-กรมสุขภาพจิต หนุนพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยา ยกระดับบริการสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน

กรมสุขภาพจิต หนุนพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยา ยกระดับบริการสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน จัดโครงการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทย ครั้งที่ 2

วันที่ 6 สิงหาคม 2567เวลา 10.30 น. นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทย Thai Standardized Achievement Test (TSAT) ครั้งที่ 2 สำหรับนักจิตวิทยาคลินิกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข อาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน หนุนการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาคลินิกในเขตสุขภาพที่ 1 ในการคัดกรองดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยมี นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน ณ ห้องอิมพีเรียลบอลรูม โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่

นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กไทยมีความน่าเป็นห่วงมากขึ้น จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต เด็กอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน พบมีพัฒนาการล่าช้า เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) มีปัญหาทางเชาวน์ปัญญา (IQ) และมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตต่อเนื่องไปจนถึงวัยรุ่นและนำไปสู่การใช้ยาเสพติด สอดคล้องกับการรายงานของโรงพยาบาลสวนปรุง ปี 2566 เด็กอายุ 6-12 ปี เข้ารับการรักษา จำนวน 213 คน ปี 2567 ช่วง 9 เดือน จำนวน 164 คน มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยโรคที่พบมาก 5 อันดับ ได้แก่ สมาธิสั้น ความผิดปกติแบบไม่อยู่นิ่ง ภาวะซึมเศร้า ความบกพร่องทางการเรียนรู้ และภาวะวิตกกังวล  

กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตและยาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถและมีนวัตกรรมด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยมีจำนวนนักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบประกอบโรคศิลปะ จำนวน 1,320 คน ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 1 (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่ และน่าน) มีจำนวน 53 คน โครงการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทยนี้ จึงเป็นโครงการที่ช่วยเหลือได้อย่างตรงจุดและเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วน 

โดยนักจิตวิทยามีบทบาทสำคัญนอกจากจะช่วยให้จิตแพทย์วินิจฉัยกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ นำเด็กเข้าสู่การรักษาได้อย่างรวดเร็วแล้วยังช่วยส่งต่อข้อมูลให้กับครูการศึกษาพิเศษ นักแก้ไขการพูด นักกิจกรรมบำบัดเพื่อวางแผนกิจกรรมการช่วยเหลือให้กับเด็กได้อย่างเหมาะสม เป็นการยกระดับการบริการสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที ดูแลคุ้มครองเด็กกลุ่มป่วยอย่างถูกต้องเท่าเทียม ทั่วถึงและต่อเนื่องจนหายทุเลา

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้ช่วยอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง กล่าวว่า แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย (Thai Standardized Achievement Test) หรือ TSAT เป็นเครื่องมือมาตรฐานของ นักจิตวิทยาคลินิกที่ใช้ในการตรวจประเมินเชิงคลินิกและค้นหาปัญหาทางการเรียน ทั้งในด้านการอ่าน การเขียน การคำนวณของเด็กไทยอายุ 6-12 ปี เพื่อช่วยเหลือ “จิตแพทย์” ในการวินิจฉัยเด็กกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) โดยทีมวิจัยได้ทดสอบจากกลุ่มตัวอย่างเด็กไทยทั่วทุกภูมิภาค จำนวน 1,680 คน และได้จัดโครงการอบรมฯ นำร่องไปแล้ว จำนวน 75 คน ได้รับการตอบรับที่ดีและยอมรับว่าแบบทดสอบ TSAT แปลผลได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว ทำให้เด็กได้รับการช่วยเหลืออย่างตรงจุด ไม่หลุดออกจากระบบการศึกษา 

รพ.สวนปรุง จึงได้จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพนักจิตวิทยาด้านการใช้แบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไทย Thai Standardized Achievement Test (TSAT) ครั้งที่ 2 ขึ้น ระหว่างวันที่  6-8 สิงหาคม 2567 สำหรับ นักจิตวิทยาคลินิกในเขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 60 คน โดยมี ทีมผู้วิจัย จิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิกจากกรมสุขภาพจิต รวมถึงเครือข่ายภาควิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากร 

นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน กล่าวเพิ่มเติมว่า หากผู้ปกครอง หรือครู พบว่าเด็กในการดูแลมีปัญหาทางการเรียนสามารถนำมาตรวจประเมินในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกประจำอยู่ หรือขอคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต โทร 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง   

‘นายกฯ’ ลั่น!! ไม่มีใครมีสิทธิไปก้าวก่ายตุลาการ ชี้!! ทุกคนและตนเองก็อยู่ใต้ความยุติธรรมเดียวกัน

(6 ส.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล หารือกับทูต 18 ประเทศ ถึงคดียุบพรรค จนหลายฝ่ายกังวลว่าจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ ว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าตนไม่ทราบว่ามีการคุยกันในเรื่องนี้หรือไม่ เพราะมีการพบกันแต่ไม่ทราบเนื้อหาว่ามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง แต่กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ส่วนตัวคิดว่าทั้ง 18 ประเทศ ระบบยุติธรรมและระบบบริหารแยกกันชัดเจน ฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายกับกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยก็เป็นกลางและเป็นสากล ได้รับการยอมรับจากทุก ๆ ฝ่ายอยู่แล้ว

“ผมคงพูดแทนท่านอื่นไม่ได้ แต่ส่วนตัวของผมมีความเคารพกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ซึ่งผู้สื่อข่าวทุกคนก็คงทราบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของผมเอง ผมเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าหากมีประเด็นหรือมีผู้ร้องเรียน ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแจ้งไปที่ระบบยุติธรรมและคอยการตัดสิน อย่างของผมเองก็ได้แจ้งไปแล้วว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ยื่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็คอยวันตัดสินคือวันที่ 14 ส.ค. และผมก็ไม่ได้มีการไปพูดคุยอะไรกับใครทั้งสิ้น และประเทศของเราก็เป็นเอกราช แต่ก็ต้องให้เกียรติทางนั้นเขาเหมือนกัน ผมไม่ทราบว่ารายละเอียดการพูดคุยสนทนามีเรื่องอะไรบ้าง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะเดียวกันก็มีความกังวลเนื้อหาในหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศที่ชี้แจงต่อองค์การสหประชาชาติ (UN) เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องเรียนอย่างนี้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกันในเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศก็ต้องมีการชี้แจงไปยัง UN ส่วนของการแปลก็คงต้องขอให้กระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจงดีกว่าว่าแปลไปว่าอะไร แต่จุดยืนของเรา เราไม่ก้าวก่ายระบบตุลาการอยู่แล้ว และเราก็จะไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่ายระบบตุลาการของเรา และเชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศจะมีการแถลงชี้แจงในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้

เมื่อถามว่าหลายฝ่ายเป็นห่วงสถานการณ์ โดยเฉพาะในวันที่ 7 ส.ค. ที่จะมีการตัดสินคดีของพรรคก้าวไกล ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนตนไม่ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคง และมั่นใจว่าทุกคนตั้งอยู่บนความสงบและยอมรับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และความจริงแล้วเราก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

‘วิคเตอร์ อเซลเซ่น’ เปิดใจ เหตุผลที่เรียนรู้ ‘ภาษาจีน’ จนคล่องปร๋อ เพราะเป็นอีกทักษะ 'สร้างสัมพันธ์-เรียนรู้ทริก' จากเพื่อนแบดฯ ต่างถิ่น

(6 ส.ค. 67) จากเพจ Tutustory 图图是道 ได้แชร์ข้อมูลของ เพจ Main Stand ระบุว่า…

#MainStand : ภาษาจีน ... การเรียนรู้ของ วิคเตอร์ อเซลเซ่น ทำให้เป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้น
การคว้าเหรียญทองโอลิมปิกสมัย 2 แถมยังเป็นการชนะนักกีฬาขวัญใจชาวไทยอย่าง ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ทำให้แฟนกีฬาแดนสยามจำนวนไม่น้อย ได้รับรู้เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของ วิคเตอร์ อเซลเซ่น นักตบลูกขนไก่ชาวเดนมาร์ก Final Boss แห่งแบดมินตันชายเดี่ยวยุคนี้มากขึ้น

และหนึ่งในเรื่องที่ทำให้หลายคนทึ่งคือ นอกจากภาษาเดนิช ภาษาบ้านเกิด และภาษาอังกฤษแล้ว วิคเตอร์ยังสามารถพูดภาษาจีนได้ชนิดคล่องปร๋อเลยทีเดียว และเรื่องนี้มีที่มา …

วิคเตอร์เล่าถึงการเรียนภาษาจีนว่า ตัวเขาเริ่มเรียนเมื่อปี 2014 ส่วนเหตุผลนั้น เจ้าตัวพูดแบบติดตลกว่า "การเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ จะช่วยให้เขาเป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้นได้"

ทว่าเมื่อเรียนอย่างจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ วิคเตอร์ก็ได้รู้ว่า การเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ ช่วยให้เขาเป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้นได้จริง ๆ และมันช่วยเขาได้ทั้งในและนอกสนามเลยทีเดียว

"ผมไม่รู้ว่าภาษาจีนกลางช่วยผมในสนามได้มากแค่ไหน สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมคือการได้พูดคุยกับผู้เล่นหลาย ๆ คน โดยเฉพาะผู้เล่นชาวจีน รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน นั่นทำให้คุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้อง คุณสามารถเรียนรู้บางอย่างจากผู้เล่นชาวจีนได้"

หลังจบการแข่งขันโอลิมปิก ริโอ 2016 วิคเตอร์ที่คว้าเหรียญทองแดงในครั้งนั้น จากการชนะ หลิน ตัน ตำนานนักตบลูกขนไก่อาร์ตตัวพ่อชาวจีน CCTV สถานีโทรทัศน์แห่งชาติของแดนมังกรยื่นไมค์สัมภาษณ์เขา และวิคเตอร์ตอบด้วยภาษาจีนกลางชนิดคล่องปร๋อ

เหตุการณ์นั้น ทำให้เขากลายเป็นชาวต่างชาติคนดังในประเทศจีน หนึ่งในชาติที่แบดมินตันเป็นกีฬายอดนิยมทันที โดยตอนนี้เขามีผู้ติดตามบน Weibo โซเชียลมีเดียดังแดนมังกรมากกว่า 1.2 ล้านคนแล้ว

แน่นอนว่า เพื่อให้เข้าถึงตลาดจีน วิคเตอร์ก็มีชื่อจีนด้วย ซึ่งคุณครูสอนภาษาจีนกลางของเขาตั้งให้ว่า ‘อัน ไซ่ หลง’ (ซึ่งอันที่จริงก็คือการนำนามสกุล อเซลเซ่น มาดัดแปลงเป็นภาษาจีนนั่นเอง) โดยมีความหมายว่า ‘มังกรนักสู้ผู้เยือกเย็น’

ไม่เพียงแค่ในประเทศจีนเท่านั้น การเรียนรู้ภาษาจีนของวิคเตอร์ ยังทำให้เขาได้สร้างสัมพันธ์กับนักแบดมินตันอีกมากมาย รวมถึงในประเทศที่มีคนเชื้อสายจีนอยู่ด้วย เพราะหนึ่งในเพื่อนที่เขาสนิทสนมจากการเรียนภาษาจีนคือ ‘ลี ชอง เหว่ย’ ตำนานนักตบลูกขนไก่ชาวมาเลเซีย ซึ่งมีเชื้อสายจีน

วิคเตอร์ยังเล่าด้วยว่า การที่เขาเป็นนักแบดมินตันอาชีพ ทำให้เขาเกิดแพชชั่นในการเรียนภาษาใหม่ ๆ เพื่อเข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลายยิ่งขึ้น

"เมื่อคุณเป็นนักกีฬา คุณจะต้องเดินทางบ่อย ๆ คุณจะได้ยินภาษาต่าง ๆ ดังนั้น ผมคิดว่ามันน่าสนใจ มันเป็นสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ในขณะที่คุณอยู่บนท้องถนน"

และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ วิคเตอร์ อเซลเซ่น ทำให้มุกตลกที่เขาเล่น ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป เพราะการเรียนรู้ภาษาใหม่ ทำให้ วิคเตอร์ อเซลเซ่น เป็นนักแบดมินตันที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

'รมว.ปุ้ย' อัดฉีดสินเชื่อสีเขียว 15,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ 3% ด้าน SME D Bank ขานรับนโยบาย ดันเอสเอ็มอีมุ่งสู่อุตฯ สีเขียว

(6 ส.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในการเป็นประธานเปิด 'โครงการสินเชื่อ SME Green Productivity ยกระดับเพิ่มผลิตภาพเอสเอ็มอีสู่อุตสาหกรรมสีเขียว' ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนนโยบายด้านการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ 

ทางกระทรวงฯ จึงมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ยกระดับเพิ่มผลิตภาพเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ 'Green Industry' ซึ่งจะสร้างประโยชน์ช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพการแข่งขันสูงขึ้น ลดต้นทุนธุรกิจ และสามารถปรับตัวเข้ากับกฎกติกาการค้าใหม่ระดับสากลได้ ควบคู่กับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ธรรมชาติ ภาคอุตสาหกรรมอยู่คู่ชุมชน เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้ นำไปสู่สังคมแห่งความสุข สร้างรากฐานแข็งแรงอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย 

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียว จำเป็นต้องใช้ความรู้ควบคู่เงินทุน เพื่อปรับเปลี่ยนระบบ อุปกรณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ทว่า ปัจจุบัน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระบบที่มีกว่า 3.2 ล้านราย มากกว่าครึ่งเข้าไม่ถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงินในระบบ จำเป็นที่รัฐบาลต้องมาช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งทุน ผ่านโครงการ 'สินเชื่อ SME Green Productivity' วงเงิน 15,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ รมว.อุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เป็นหน่วยงานหลัก ทำงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ ภาครัฐและเอกชน สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีจุดเด่นเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 10 ปี แถมปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือนแรก อีกทั้ง ผ่อนปรนเงื่อนไขและหลักทรัพย์ค้ำประกัน ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และมีระยะผ่อนชำระนานเพียงพอที่จะสามารถพัฒนายกระดับเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างราบรื่น

ตั้งเป้าจะสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนและเพิ่มผลิตภาพได้กว่า 1,500 ราย อีกทั้ง สร้างประโยชน์ เกิดการจ้างงานกว่า 24,000 อัตรา สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 68,700 ล้านบาท อีกทั้ง ช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจเอสเอ็มอีได้ประมาณ 345,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ด้าน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับเพิ่มผลิตภาพแก่เอสเอ็มอีให้เข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry ผ่านโครงการสินเชื่อ 'SME Green Productivity' โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เบื้องต้น 11 แห่ง ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, สถาบันยานยนต์, สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึง 'การพัฒนา' เติมทักษะความรู้ควบคู่กับพาเข้าถึง 'แหล่งทุน' ดอกเบี้ยต่ำ นำไปพัฒนา ปรับเปลี่ยนระบบ อุปกรณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีผลิตภาพสูงขึ้น พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมสีเขียว สร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนให้ประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายของรัฐบาล  

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ 'สินเชื่อ SME Green Productivity' แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ สาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top