Wednesday, 18 June 2025
NewsFeed

สตม.จับกุมนายหน้าผู้ประสานงานขบวนการขนคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุมนายฮาวาย (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดชุมพร ที่ จ.247/2567 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สลุย จว.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ริมถนนเทศบาล 4 ต.ระแหง อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานี

ตามที่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2566 เวลาประมาณ 06.30 น. ได้เกิดอุบัติเหตุรถกระบะ (ตู้ทึบ) ขนคนต่างด้าวชาวเมียนมาพลิกคว่ำบริเวณ ต.สลุย อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ที่เกิดเหตุพบคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวน 18 คน (ได้รับบาดเจ็บ) ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน คือ นายสิทธิศักดิ์ หรือบาส (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี ส่ง สภ.สลุย จ.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย นั้น
ต่อมา ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6 และ บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนขยายผลพบว่า ผู้ต้องหาได้รับการว่าจ้างให้ไปรับคนต่างด้าวชาวเมียนมา ที่ ต.ปากแพรก อ.เมือง จว.กาญจนบุรี เพื่อไปส่งยัง อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา โดยในครั้งนี้มีรถที่ไปรับคนต่างด้าวด้วยกันอีก 1 คัน คือ นายธีรพงษ์ (ได้ออกหมายจับดำเนินคดีไปแล้ว) จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า นายธีรพงษ์ ได้รับโอนเงินค่าน้ำมันมาจากนายฮาวาย จึงได้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับนายฮาวาย และจับกุมตัวนายฮาวายได้ในพื้นที่ จว.ปทุมธานี จากการขยายผล พบว่า นายฮาวาย ได้รับการประสานจากนายหน้าในพื้นที่ จว.กาญจนบุรี โดยนายฮาวาย ทำหน้าที่เป็นนายหน้าจัดหา  รถขนคนต่างด้าว จากพื้นที่ภาคกลางไปยังพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับนายอนุรักษ์ หรือบอย โดยจะได้ส่วนต่างจากการติดต่อจัดหารถหัวละ 1,000 บาท ซึ่งมีคดีที่พบความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับนายฮาวาย และนายอนุรักษ์ อีก 3 คดี ดังนี้

1. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.พัทลุง และ สภ.นาขยาด ร่วมกันจับกุมนายอนุรักษ์ และ น.ส.เพ็ญ (ภรรยา) พร้อมพวกรวม 6 คน พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 58 คน ตรวจยึดรถกระบะ (รั้วคอก 3 คัน) จากการขยายผลพบว่านายอนุรักษ์ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายหน้า ในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา โดยนายอนุรักษ์ได้รับงานขนคนต่างด้าว จากนายหน้ารายนี้มาแล้วหลายครั้ง (ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคล)
2. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, สภ.ท่าฉาง ร่วมกันจับกุม นายวีระพล พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 15 คน และรถกระบะรั้วคอก 1 คัน เมื่อสืบสวนขยายผลพบว่านายวีระพล/ผู้ต้องหา ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายอนุรักษ์ ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา ในราคา 15,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหาเคยติดต่อรับงานเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่องานสำเร็จจะได้รับเงินโอนค่าจ้างจากนายอนุรักษ์ โดยพบพยานหลักฐานต่าง ๆ ระหว่างผู้ต้องหากับนายอนุรักษ์ และนายหน้าในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ต่อมาศาลจังหวัด   ไชยา อนุมัติหมายจับนายอนุรักษ์ เจ้าหน้าที่สืบสวนติดตามจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2567 ในความผิดฐาน “ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นการจับกุม”
3. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2567 (วันเดียวกับคดีที่ สภ.ท่าฉาง) เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.นครศรีธรรมราช, สภ.ทุ่งสง ร่วมกันจับกุมนายอัสดา และภรรยา พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 11 คน ตรวจยึดระกระบะตู้ทึบ 1 คัน เมื่อสืบสวนขยายผลพบว่านายอัสดา/ผู้ต้องหา ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายอนุรักษ์ ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา ในราคา 15,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหาเคยติดต่อรับงานเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่องานสำเร็จจะได้รับเงินค่าจ้าง นอกจากนี้ยังพบพยานหลักฐานต่าง ๆ ระหว่างผู้ต้องหากับนายอนุรักษ์ และนายวีระพล ผู้ต้องหาในคดีที่ 3 ขณะนี้อยู่ในระหว่างพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำความผิดเพิ่มเติมในคดีนี้

จากการวิเคราะห์แผนประทุษกรรมในกลุ่มเครือข่ายนายอนุรักษ์ พบว่า กลุ่มเครือข่ายดังกล่าวมีความเคลื่อนไหว มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 จนถึงปัจจุบัน โดยนายอนุรักษ์ และนางเพ็ญ (ภรรยา) เป็นผู้ประสานงานกับนายหน้าชาวเมียนในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร และ นายฮาวาย ผู้ทำหน้าที่ประสานงานในพื้นที่ภาคกลาง โดยจะเป็นตัวกลางในการประสานงานทีมขนจาก จว.กาญจนบุรี หรือ จว.สมุทรสาคร มายังพื้นที่ จว.สงขลา ซึ่งนายอนุรักษ์จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมขน และจะได้รับค่าตอบแทนหัวละ 3,500 บาท ซึ่งจะประสานงานกับกลุ่มรถขนจาก จว.สงขลา ไปยัง จว.นราธิวาส เพื่อลักลอบข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย โดยพบความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายซัฟยัน และกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สรุปผลการปฏิบัติ พบการกระทำความผิดในเครือข่ายของนายอนุรักษ์ทั้งสิ้น 4 คดี จับกุมผู้ต้องหา 12 คนขยายผลออกหมายจับ 3 คน (จับกุมทั้งหมด) จำนวนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 102 คน ยึดยานพาหนะ 6 คัน จากการสืบสวนขยายผลยังพบว่าเครือข่ายนายอนุรักษ์ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่ สตม. ร่วมกับ บก.ทล., บก.ปคม. ภ.7, 8, 9 และหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกันสืบสวนขยายผลการลักลอบขนคนต่างด้าวที่ใช้เส้นทางด้าน อ.สังขละบุรี จว.กาญจนบุรี ได้แก่ เครือข่ายนายวิทยา จับกุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี, เครือข่ายซูก้า-นิตาเว จับกุมเมื่อวันที่ 4 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.ทุ่งตะโก จว.ชุมพร และเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.ทองผาภูมิ จว.กาญจนบุรี, เครือข่ายวุธ แม่กลอง จับกุมเมื่อวันที่ 7, 25 มิ.ย.2566 พื้นที่ สภ.รัตภูมิ จ.สงขลา และเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวที่ใช้เส้นทางผ่าน จว.ตาก ได้แก่ เครือข่ายซูซูมา จับกุมเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2566 พื้นที่  สภ.บางกล่ำ จ.สงขลา

โดยความเชื่อมโยงกับกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ มีการกระทำความผิดในลักษณะขบวนการ ที่มีการแบ่งหน้าที่กันทำ (นายหน้าประสานงานแนวชายแดน/นายหน้าประสานงานพื้นที่ชั้นใน จว.กาญจนบุรี-ปทุมธานี-สมุทรสาคร-สงขลา-จชต. (จัดหารถ)/ผู้ดูแลจุดพักคอย/หัวหน้าทีมขน-ทีมขน (ตอนบน/ตอนล่าง) ซึ่ง สตม. ได้ร่วมกับ ภ.7,8,9, บช.ก. เฝ้าระวังกลุ่มขบวนการดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนนำมาสู่การจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาของในเครือข่ายนายอนุรักษ์ ซึ่งชุดสืบสวน สตม. จะได้ดำเนินการขยายผลเพื่อนำผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีต่อไป สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘สว.พันธุ์ใหม่’ ยุติล่าชื่อค้าน ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ เหตุ!! ไม่น่ามีใครเห็นด้วย ขอปล่อยตามกระบวนการ

(6 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. เปิดเผยว่า กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ จะไม่ล่ารายชื่อร่างแถลงการณ์ แสดงจุดยืนและความเห็นต่อกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย คดียุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในวันที่ 7 สิงหาคมแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า หากทำวันนี้ (6 ส.ค.) คงไม่ทันเวลา เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย วันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) แล้ว

น.ส.นันทนา กล่าวว่า อีกทั้งเดิมที่จะมีการหารือ ในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมหลังแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด และศาลปกครอง แต่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเสียก่อน จึงไม่สามารถหยิบยกขึ้นหารือกับที่ประชุมได้

น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า เมื่อดูบรรยากาศแล้ว ก็คงไม่มีใครเห็นด้วย จึงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ และเห็นว่านานาประเทศก็ออกมาพูดแสดงความเห็นเรื่องนี้แล้ว นอกจากนี้ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ใช่หน้าที่ของ สว. ตนจึงคิดว่าการเป็น สว.ทำอะไรได้บ้าง

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ขอทุกฝ่าย 'หยุดชี้นำ-กดดันศาล' ปมยุบก้าวไกล ลั่น!! ต้องเคารพต่อคำพิพากษาของศาล เพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้

(6 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีวันนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ของพรรคก้าวไกล ว่า...

สำหรับกรณีการอ่านคำพิพากษาในคดียุบพรรคก้าวไกลนั้นตนขอเรียกร้องต่อทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บุคคล และองค์กรต่าง ๆ ให้ทุกฝ่ายหยุดให้ความเห็นในการชี้นำ หรือกดดันต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากในการพิจารณาตัดสินคดีในศาลล้วนเป็นไปตามข้อกฎหมาย ประกอบกับพยานหลักฐาน การใช้ดุลยพินิจของศาลล้วนไม่เกินกว่าขอบเขตกฎหมาย การกดดัน หรือชี้นำศาลนั้น มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมขึ้น 

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นใด ตนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในทุกกรณีโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะเมื่อมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นคำตัดสินของศาลย่อมชี้ขาด และระงับข้อพิพาทดังกล่าว กรณีการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน 

"หากทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลแล้ว เชื่อว่าสังคมไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้" นายอัครเดช กล่าว

เปิดยอดเงินอัดฉีด ‘วิว’ กระฉูดทะลุ 11 ล้าน ด้าน ‘คุณหญิงปัทมา’ ตบรางวัลพิเศษ 1.5 ล้าน

(6 ส.ค.67) คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC), รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ มอบรางวัลพิเศษ 1.5 ล้านบาทให้กับ ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เพื่อเป็นการชื่นชมในความสำเร็จสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการแบดมินตันของไทยในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ‘ปารีส 2024’

‘วิว-กุลวุฒิ’ จะได้รับเงินรางวัลจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) สูงสุด 7.2 ล้านบาท หากเลือกแบบผ่อนจ่าย อีกทั้งนักกีฬาเหรียญโอลิมปิก จะยังได้รับเงินเดือนจากคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยอีกเป็นระยะเวลา 20 ปี เดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท และอีก 1.5 ล้านบาท จากเงินส่วนตัวคุณหญิงปัทมา ทำให้ยอดเงินรางวัลสูงสุดพุ่งเกิน 11 ล้าน

คุณหญิงปัทมา เปิดเผยว่า ผลงานของนักแบดมินตันไทยในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้สร้างความประทับใจอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะการคว้าโควต้าแข่งขันครบทั้ง 5 ประเภทเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี นอกจากนี้ยังได้เห็นผลงานที่ยอดเยี่ยมจากนักกีฬาทุกคน หญิงเดี่ยว ‘เม’ ศุภนิดา เกตุทอง เข้าถึงรอบ 16 คนสุดท้าย และ ‘เมย์’ รัชนก อินทนนท์ เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย , ชายคู่ ‘เอ็ม’ สุภัค จอมเกาะ กับ ‘สกาย’ กิตตินุพงษ์ เกตุเรน เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ , คู่ผสม ‘บาส’ เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ‘ปอป้อ’ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ , หญิงคู่ ‘กิ๊ฟ’ จงกลพรรณ กิตติธรากุล กับ ‘วิว’ รวินดา ประจงใจ ถึงแม้จะไม่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มแต่ก็ต้องยอมรับว่าอยู่ในกลุ่มที่หนักและทำผลงานได้ดีเช่นกัน

“ประเภทชายเดี่ยวน่ายินดีที่สุด ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ที่ "คว้าเหรียญโอลิมปิกเป็นครั้งแรกสร้างประวัติศาสตร์แบดมินตันไทยหน้าใหม่" และ เป็นนักกีฬาคนแรกของไทยที่ขึ้นโพเดียมรับเหรียญรางวัลบนตารางเหรียญปารีส 2024 โอลิมปิกเกมส์อย่างเป็นทางการ จึงขอมอบรางวัลพิเศษ 1.5 ล้านบาทจากเงินส่วนตัวให้กับ วิว เป็นการแสดงความขอบคุณ"

คุณหญิงปัทมา กล่าวต่อไปว่า วิวได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับกีฬาแบดมินตันไทย และวิวทำให้คนไทยมีความสุขจากความสำเร็จของวิว ผลงานของวิวจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับเยาวชนไทยในการหันมาออกกำลังกายและเล่นกีฬามากขึ้นด้วยการเลือกเล่นแบดมินตัน

“นอกจากนี้ วิวเป็นพลังใจให้พวกเราคนสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ และสโมสรแบดมินตันทั่วประเทศให้ยิ่งอุทิศทุ่มเททำงานหนักร่วมกันต่อไป โดยเฉพาะในการค้นหา สร้าง ต่อยอด พัฒนานักกีฬารุ่นใหม่อย่างเป็นระบบให้เข้าสู่เส้นทางที่มุ่งสู่โอลิมปิกเกมส์ ลอสแอนเจลิส 2028 ต่อไป”

'รัดเกล้า' แนะ!! 'ปิยบุตร' ลดความหมกมุ่น-จับผิด 'ลุงตู่' พูดคุย 'นายกฯ-รทสช.' ชี้!! ผู้ใหญ่เขาคุยกันเรื่องประเทศชาติ ไม่ว่างฝักใฝ่ในพรรคการเมือง

(6 ส.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

#หมกมุ่น #ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง

จากกรณีที่ คุณ #ปิยบุตรแสงกนกกุล ออกมาแสดงความเห็น กรณีการไปร่วมงานศพคุณแม่ของ ท่านนายกเศรษฐา ทวีสิน โดยท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ซึ่งในระหว่างการเข้าร่วมพิธีนั้น ผู้นำทั้งสองท่านมีพูดคุยทักทายกัน และท่านประยุทธ์เองก็ได้ทักทายหลายคนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพราะแต่เดิมเคยสังกัดอยู่ในพรรคดังกล่าวจึงมีความคุ้นเคยกันดี รวมถึงมีการบอกให้คนใน รทสช. ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลว่าให้ช่วยนายกฯ อย่างตั้งใจ เนเน่ขอตอบกลับดังนี้...

1. ตาม #มารยาท ในสังคม การเจอคนที่รู้จักกัน การทักทายกัน ถ้าไม่คุยอะไรกันเลยสิแปลก ซึ่งโดยปกติแล้ว สิ่งที่ผู้ใหญ่ของบ้าน ของเมืองจะคุยกัน ก็ต้องเป็นเรื่องสารทุกข์สุกดิบของประเทศ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร...ถ้าจะมีอะไรที่แปลก ก็คงที่คุณปิยบุตรตีความว่าการทักทายเช่นนี้คือการ "ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง" นั่นแหละค่ะที่ #แปลก

2. คล้าย ๆ ข้อแรก...ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านประยุทธ์เคยเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งแม้ว่าตอนนี้ #ท่านไม่ใช่สมาชิกแล้ว ท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเลยตั้งแต่ท่านเป็นองคมนตรี การทักทายกันและบอกให้ รทสช. ช่วยท่านนายกทำงาน ก็ไม่ได้แปลกอะไร และก็เป็นกลางทางการเมืองด้วยค่ะ จริง ๆ แล้ว ระหว่างเดิน ท่านก็เจอคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็น รทสช. ท่านก็พูดเหมือนกัน นัยคือฝากฝังให้ทุกคนดูแลประเทศด้วยบทบาทหน้าที่ของตัวเอง สิ่งนี้ก็ไม่แปลกอะไรนะคะ...ถ้าจะมีอะไรที่แปลก ก็คงที่คุณปิยบุตรตีความว่าการทักทายเช่นนี้คือการ "ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง" นั่นแหละค่ะที่ #แปลก

3. ท่านนายกเศรษฐาเพิ่งสูญเสียมารดาไป ซึ่งในระหว่างห้วงเวลาของการสูญเสียนี้ ท่านยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีให้กับคนไทยอย่างเข้มแข็ง การที่คนระดับองคมนตรีจะร่วมไว้อาลัย ร่วมให้กำลังใจ เป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็น #ไมตรีจิต ที่สวยงามที่สุด ไม่ได้แปลกอะไรเลย...ซึ่งจริงๆ ในระบอบประชาธิปไตยที่เราอยู่นี้ การมีภราดรภาพต่อกัน การเห็นความเป็นพี่น้องกันสำคัญเหนือความแตกต่างทางการเมืองเป็นสิ่งที่ควรจะมี ตัวเนเน่เองก็อยากเห็นคุณปิยบุตรแสดงถึงวุฒิภาวะและเป็นแบบอย่างของการเมืองสร้างสรรค์บ้างนะคะ... คุณใช้โอกาสนี้ในการตีความทางการเมือง มันเหมาะสมแล้วเหรอคะ?

ที่แปลกใจคือ คนที่มีคนจำนวนหนึ่งนับถือเป็น ‘อาจารย์’ อย่างคุณปิยบุตร กลับมี #ตรรกะวิบัติ แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือกาลเทศะ อะไรควรไม่ควรทำค่ะ ก่อนหน้านี้เนเน่ก็มองว่าคุณเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง...วันนี้ ทั้งแปลกใจและผิดหวังจริง ๆ ค่ะ

...แต่เอาจริง ๆ พอเห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่พรรคที่คุณปิยบุตรคอยเห็นด้วยเออออห่อหมกมีตรรกะผิดเพี้ยนเหมือนกัน ที่ผ่านมา ‘สนับสนุนคนฝ่าฝืนกฎหมาย ม.112’ แต่แล้วก็ออกมาระดมกระแสว่า ‘กฎหมายสิผิด ศาลสิผิด คนทำผิดคือคนถูกรังแก’

สุดท้ายนี้ การที่คุณมานั่งจับผิดผู้ใหญ่ทั้ง 2 ท่าน มานั่งอ้างรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 12 ซะยืดยาว คุณทำเพื่ออะไร หากเป็นห่วงท่านประยุทธ์ เกรงว่าท่านจะทำผิดกฎหมาย ก็ขอขอบคุณในความหวังดี แต่คุณเอาเวลาไปให้กำลังใจ ‘พรรคการเมือง’ ที่คุณ ‘ฝักใฝ่’ ที่ตอนนี้อนาคตแขวนอยู่บนเส้นด้าย...จะดีกว่าไหมคะ?

หมายเหตุ: เป็นความเห็นส่วนตัวของเนเน่ไม่เกี่ยวข้องกับ คณะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือคณะโฆษกรัฐบาลแต่อย่างใด 

‘วิว กุลวุฒิ’ ขอบคุณทุกแรงสนับสนุน หลังคว้าเหรียญเงิน ชี้!! ประวัติศาสตร์เพิ่งเริ่มเขียน พร้อมลุยต่อโอลิมปิก 2028

(6 ส.ค.67) ‘วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ โพสต์เฟซบุ๊ก Kunlavut Vitidsarn - กุลวุฒิ วิทิตศานต์ หลังจบการแข่งขันโอลิมปิก 2024 คว้าเหรียญเงิน แบดมินตันชายเดี่ยว ถือว่าเป็นเหรียญแรกของประเทศไทย และเป็นเหรียญแรกของประวัติศาสตร์แบดมินตันไทยในโอลิมปิกด้วย 

โดยโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า  “Never Stop Believin'I'll come back stronger คนตีไม่เคยท้อ คนเชียร์อย่าเพิ่งทิ้ง ประวัติศาสตร์เพิ่งเริ่มเขียนครับ”

ส่วนในอินสตาแกรม ระบุว่า “Silver medalist???? THANK YOU FOR YOUR SUPPORT”

ทั้งนี้ 'วิว กุลวุฒิ' ยังโพสต์พร้อมลุยต่อ สำหรับการแข่งขันครั้งต่อไป โอลิมปิก 2028 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา

‘วราวุธ’ ประสานทุกหน่วยงานเร่งจัดระเบียบ ‘ขอทาน’ พร้อมปรับปรุงกฎหมายเพื่อควบคุม ก่อนจ่อชงเข้าครม.

(6 ส.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงสถานการณ์และการป้องกันแก้ไขปัญหาการขอทาน ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติสถานการณ์การขอทานทั่วประเทศ จากระบบฐานข้อมูลจัดระเบียบคนขอทาน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2557 - 31 กรกฎาคม 2567 พบว่า มีผู้ทำการขอทานทั้งสิ้น 7,635 ราย เป็นคนไทย 5,001 ราย (ร้อยละ 65) เป็นต่างด้าว 2,634 ราย (ร้อยละ 35) และในเฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พบว่ามีผู้ทำการขอทาน ทั้งสิ้น 506 ราย แบ่งเป็นคนไทย 331 ราย และต่างด้าว 175 ราย พื้นที่ที่พบผู้ทำการขอทานส่วนใหญ่มีลักษณะกระจุกตัวในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ และแหล่งท่องเที่ยว ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา และเชียงใหม่ และในปีงบประมาณ 2567 ยังพบขอทานมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต และลพบุรี

นายวราวุธ กล่าวว่า สาเหตุของการทำการขอทานนั้น ประกอบด้วย 1) ข้อจำกัดด้านร่างกาย / จิตใจ เกิดจากความพิการทางร่างกายหรือความบกพร่องทางสติปัญญา 2) ปัจจัยด้านการศึกษา ขาดโอกาสในการศึกษาที่จะไปประกอบอาชีพที่มั่นคง 3) อิทธิพลความเชื่อ การให้เงินขอทานเป็นการทำบุญ และ 4) ค่านิยมของชุมชนและแรงจูงใจว่าทำรายได้ดีโดยไม่ต้องลงทุน

ทั้งนี้กระทรวง พม. ได้ดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมขอทาน โดยการดำเนินการแก้ไขปัญหาการขอทาน กระทรวง พม. มีหน้าที่ในการคัดกรอง คุ้มครอง และส่งต่อ ดังนั้น การดำเนินการจึงเป็นการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ และองค์กร NGOs โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการป้องกัน และการควบคุม โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ ได้แก่ เทศกิจ ตำรวจ ตำรวจ ตม. ตำรวจ ปคม. เทศบาลนคร/เมืองพัทยา 31 แห่ง สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ องค์การเฟรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มูลนิธิเอ - ทเวนตี้วัน (A-21) มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และสถาบันการศึกษา ซึ่งในการลงพื้นที่จัดระเบียบขอทาน กระทรวง พม. จะประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงพื้นที่จัดระเบียบขอทาน หากพบขอทานผิดกฎหมาย นอกจากนี้ มีแผนอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ ประกอบด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่จาก พม. เทศกิจ อปท. และการพัฒนาหลักสูตรการอบรมให้กับตำรวจและฝ่ายปกครอง ถอดบทเรียนการดำเนินงานจังหวัดที่ไม่พบผู้ทำการขอทาน ต่อเนื่อง 3 ปี จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก เพชรบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี สตูล ลำปาง นครพนม น่าน และพังงา ซึ่งการจัดประชุมและทำแผนบูรณาการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดที่มีผู้ทำการขอทานเพิ่มขึ้น จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ ระยอง ภูเก็ต ลพบุรี กำแพงเพชร และนครปฐม

นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับแผนการจัดระเบียบผู้ทำการขอทานนั้น การดำเนินการเชิญตัวผู้ทำการขอทาน ถือเป็น ‘การควบคุมตัว’ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ต้องมีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวขณะเชิญตัวจนถึงการส่งตัวให้กับพนักงานสอบสวน จึงต้องมีตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงด้วยทุกครั้ง ดังนั้น ในการจัดระเบียบขอทานจึงต้องมีการจัดทำแผนการลงพื้นที่ โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เดือนสิงหาคม 2567 มีแผนจัดระเบียบในพื้นที่สำคัญ จำนวน 12 ครั้ง สำหรับในต่างจังหวัดมีแผนบูรณาการลงพื้นที่เดือนละอย่างน้อย 2 ครั้ง และในงานเทศกาลสำคัญ ตลอดจนเมื่อมีการรับแจ้งจากสายด่วน 1300 จะดำเนินการประสานตำรวจเพื่อลงพื้นที่ร่วมกัน  

“นอกจากนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร จะมีการรณรงค์สร้างความเข้าใจและสื่อสารมวลชน ในวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ณ หอศิลป์ กรุงเทพมหานคร จะมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับสังคม ภายใต้ธีม ‘ให้โอกาสเปลี่ยนชีวิต หยุดคิดก่อนให้ทาน’ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม ภายในงานมีวีดิทัศน์ประชาสัมพันธ์ สร้างการตระหนักรู้ด้านกฎหมาย เดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์ พร้อมแจก พัดโดยมีข้อความ ‘หยุดให้ = หยุดขอทาน’ 5 ภาษา และจัดระเบียบขอทานทั่วประเทศ” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. มีแนวทางในการพัฒนามาตรการกลไกในการควบคุม คุ้มครอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ทำการขอทาน โดยในส่วนของผู้ทำการขอทานไทย จะทบทวนแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ทำการขอทาน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ทำการขอทานรายบุคคลร่วมกับครอบครัวและชุมชน ส่งเสริมธุรกิจและเครือข่าย CSR ให้เข้ามามีส่วนร่วม และสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน และในส่วนของผู้ทำการขอทานต่างด้าวนั้น กระทรวง พม. จะบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน พม. และ ตม. เพื่อให้เห็นจำนวนครั้งของการขอทานซ้ำ และเสนอให้ ตม. ทบทวนขั้นตอนการส่งผู้ทำการขอทานต่างด้าวกลับประเทศ หารือกับกระทรวงการต่างประเทศ หรือสถานทูตกัมพูชา ในการสร้างความร่วมมือร่วมกัน นอกจากนี้ การคุ้มครองเด็กที่ติดตามผู้ทำการขอทานนั้น เสนอให้มีการทบทวนระเบียบที่เกี่ยวกับสถานที่พักพิงระหว่างรอผลตรวจสารพันธุกรรม (DNA) และที่สำคัญ คือการพัฒนาพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยให้มีการจัดทำหลักสูตรการอบรมตามกฎหมายเฉพาะให้กับตำรวจและฝ่ายปกครอง และเพิ่มเติมตำแหน่งพนักงานเจ้าหน้าที่ในประกาศกระทรวง

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีแนวทางในการทบทวนและปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 ได้แก่ 1.ประชุมคณะอนุกรรมการและปรับปรุงกฎหมาย เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อพิจารณา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ 2.พิจารณาปรับแก้ นิยามผู้ทำการขอทาน การกำหนดอัตราโทษสำหรับผู้ทำการขอทานและผู้แสวงหาประโยชน์จากผู้ทำการขอทาน การคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิต การกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ การเพิ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการควบคุมการขอทาน 3.การแยกผู้แสดงความสามารถออกจากผู้ทำการขอทาน (แยกกฎหมาย/แยกหมวดจากกฎหมายเดิม) กำหนดนิยาม และกำหนดอำนาจหน้าที่ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4.เสนอ (ร่าง) กฎหมายให้คณะกรรมการควบคุมการขอทานพิจารณา คาดว่ายกร่างได้ภายใน 6 เดือน 5.รับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุง (ร่าง) พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน ที่แก้ไข/ฉบับใหม่ 6.การพัฒนาร่างกฎหมาย 7.เสนอ ครม.

ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาขอทานและคนไร้บ้าน นับเป็น 1 ในยุทธศาสตร์ 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร ในมาตรการที่ 5 สร้างระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อความมั่นคงของครอบครัว นั่นคือการพัฒนาระบบสวัสดิการที่เหมาะสมและทั่วถึงโดยรัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเป็นหลักประกันในยามที่เผชิญกับวิกฤต ชุมชนน่าอยู่สำหรับประชากรทุกกลุ่มทุกวัย ‘ปลอดภัย ปลอดพิษ เป็นมิตรและเอื้ออาทรต่อทุกคน’ ซึ่งคนไทยทุกคนจะต้องมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และปลอดจากผู้ทำการขอทาน

‘อนุทิน’ ไม่ขอแสดงความคิดเห็น คดี ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่ควรก้าวล่วงศาล เชื่อ!! ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

(6 ส.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเดือนสิงหาคม มองเรื่องนี้อย่างไรเพราะมีทั้งคดียุบพรรคก้าวไกลและคดีของนายกฯ ว่า เรื่องที่เกี่ยวกับศาล คำพิพากษา เราต้องไม่ให้ความเห็นอะไรเลย เพราะพูดไปพูดมาเดี๋ยวจะไปก้าวล่วง อันนี้วุ่นเลย ละเมิดอำนาจของศาล มันไม่ได้ 

เมื่อถามว่าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความเป็นห่วงที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้เชิญทูต 18 ประเทศมาร่วมสังเกตการณ์ จะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ โดยนายอนุทินร้อง “อู๊ยย อย่าไปถามอย่างนั้น ทูตเชิญท่านมั้ง ไม่ใช่ท่านเชิญทูต”

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่านายพิธาได้เชิญทูตมาจับตาคดียุบพรรค นายอนุทินกล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ ถ้ามาได้ เหมือนสมัยก่อนที่มีการเชิญทูต มาที่สถานีตำรวจเพื่อสังเกตการณ์ ตนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็มีทูตไป  ตนว่าดีเสียอีก จะได้เกิดความมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอน มีความยุติธรรม 

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ จะทำให้ถูกมองว่าต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “แหม แค่คนมาจ้องแค่นี้ แล้วบอกว่าแทรกแซง ก็คงไม่ใช่”

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าเดี๋ยวจะเหมือนสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง นายอนุทินกล่าวว่า “จำไม่ได้ เกิดไม่ทัน”

ส่วนกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่าพรรคร่วมรัฐบาลมีความพยายามจะดึง สส.พรรคก้าวไกลไปร่วมพรรค นายอนุทินกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่พรรคตน ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย”

สตม.รวบแล้ว!! ขบวนการขนคนต่างด้าวขึ้นเหนือล่องใต้อ้างโปรไฟล์รับขนส่งทั่วไทย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

วันนี้ (5 ส.ค. 67) เวลา 11.00 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผบก.ตม.5, พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.ตม.จว.สงขลา, พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิเษก ปิศโน ผกก.ตม.จว.น่าน, พ.ต.ท.พิระวัตร์ วงศ์ศิริเมธีกุล สวญ.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สตม.รวบแล้ว!! ขบวนการขนคนต่างด้าวขึ้นเหนือล่องใต้อ้างโปรไฟล์รับขนส่งทั่วไทย
ตม.จว.น่าน ร่วมกับ ตม.จว.สุรินทร์ จับกุม นายหนูเรียง (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับของศาลจังหวัดน่าน ที่ จ.34/2567 ลงวันที่ 15 มี.ค.2567 ในความผิดฐาน ร่วมกันกระทำความผิดฐาน (ผู้ใช้) รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เวียงสา จว.น่าน ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณถนนสาธารณะคุ้มวัดกลาง หมู่ 9 ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จว.สุรินทร์

จากกรณี เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2567 เวลาประมาณ 20.00 น. ตม.จว.น่าน ร่วมกับ นปพ.กก.สส.ภ.จว.น่าน ประจำจุดตรวจห้วยน้ำอุ่น จับกุมนายจิระวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี พร้อมคนต่างด้าว สัญชาติกัมพูชา จำนวน 6 คน ในความผิดฐาน รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เวียงสา จว.น่าน ดำเนินคดีตามกฎหมายนั้น จากการสอบถาม นายจิระวัฒน์ ให้การรับสารภาพว่าได้รับงาน รับ-ส่ง คนต่างด้าวจากนายหนูเรียง ตกลงค่าจ้างไว้เป็นจำนวน 18,000 บาท ให้ไปส่งคนต่างด้าวจำนวน 6 คน จากต้นทาง อ.เชียงม่วน จว.พะเยา ปลายทางบริเวณชายแดนบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จว.จันทบุรี และจะได้รับค่าจ้างหลังจากส่งตัวคนต่างด้าวที่ปลายทางแล้ว โดยใช้แอพพลิเคชั่น Zello และ Line พูดคุยติดต่อกับนายหนูเรียง เพื่อนัดแนะถึงรายละเอียดในการ รับ-ส่ง คนต่างด้าวรวมถึงค่าตอบแทนจากนายหนูเรียง จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลพบว่านายหนูเรียง มีพฤติกรรมในการลักลอบรับ-ส่ง คนต่างด้าวไปทั่วราชอาณาจักร และได้ลักลอบขนส่งคนต่างด้าวไปยังพื้นที่ภาคใต้ นอกจากนี้ยังพบว่านายหนูเรียงเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดทุ่งสง ในข้อหา “ให้ที่พัก ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองมา โดยผิดกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุม” จำนวน 1 หมาย ตม.จว.น่าน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวน สภ.เวียงสา จว.น่าน

เพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดน่าน ออกหมายจับ นายหนูเรียงฯ ในข้อหา “ร่วมกันกระทำความผิด (ผู้ใช้) รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ช่อนเร้น หรือช่วย ด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม" ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่านายหนูเรียง ได้หลบหนีคดีไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ หมู่ 9 ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จว.สุรินทร์ จึงได้ไปประสานงานกับ ตม.จว.สุรินทร์ เข้าตรวจสอบและจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เวียงสา จว.น่าน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อีอีซี ผนึกกำลัง อบจ.ระยอง สถานศึกษา ภาคเอกชน ส่งเสริมการใช้ระบบสารสนเทศในการขนส่งสาธารณะ ในพื้นที่ อีอีซี

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2567 ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การสนับสนุนการใช้ระบบสารสนเทศสำหรับการขนส่งสาธารณะ ร่วมกับ ดร.ปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา รองศาสตราจารย์ ดร.สถาพร เชื้อเพ็ง รองอธิการบดีวิทยาเชตศรีราชามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายอินทัช มาศวงษ์ปกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านระบบแอปพลิเคชั่นให้บริการรถโดยสารสาธารณะ ผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานดังกล่าว ณ ห้อง Conference 1-2 สำนักงานอีอีซี ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือสำคัญ เพื่อสร้างต้นแบบการใช้ระบบสารสนเทศสำหรับการขนส่งสาธารณะในพื้นที่อีอีซี โดยนำระบบแอปพลิเคชั่น ViaBus ที่พัฒนาโดยบริษัทเอกชนมาใช้ประโยชน์ในการติดตามรถโดยสารสาธารณะ ในแบบเรียลไทม์ โดยจะนำร่องให้บริการในรถโดยสารสวัสดิการของ มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงรถโดยสารสาธารณะของ อบจ.ระยอง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ นักเรียน นักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ระบบฯ ดังกล่าว ซึ่งจะช่วยยกระดับการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ให้มีความทันสมัย ปลอดภัย อำนวยความสะดวกให้เกิดการบริหารเวลา รองรับการวางแผนเดินทางของประชาชนในพื้นที่อีอีซี

ทั้งนี้ ความร่วมมือตาม MOU จะเป็นการร่วมกันผลักดันให้เกิดการใช้ระบบสารสนเทศ สำหรับระบบขนส่ง สาธารณะในพื้นที่อีอีซี ให้เกิดการใช้อย่างแพร่หลายต่อไป โดยจะประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน และผู้ที่สนใจอื่น ๆ เพื่อยกระดับโครงข่ายการเดินทาง ระบบคมนาคมในพื้นที่อีอีซี ด้วยเทคโนโลยีที่ ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการเดินทางของประชาชนอย่างไร้รอยต่อ ยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนภายในพื้นที่อีอีซีอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ดร.ปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง กล่าวว่า การมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีสำหรับจังหวัดระยอง เป็นความฝันของคนระยอง และของผมที่อยากจะทำให้กับคนระยอง แต่จากการพูดคุยในหลายครั้ง หลายเวที การที่จะปฏิรูประบบขนส่งในจังหวัดระยองอย่างเต็มรูปแบบ มันมีข้อจำกัดในการดำเนินการอยู่หลายประเด็น ทั้งทางด้านภาระทางงบประมาณ ด้านกฎหมาย และด้านผลกระทบต่อระบบเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเด็น ละเอียดอ่อนและไม่ได้ขึ้นอยู่กับ อบจ.ระยอง แต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นภาพความฝันที่สมบูรณ์ของผมคงต้องใช้เวลา แต่ผมยังคงเชื่อว่ามันต้องเกิดขึ้นได้แน่นอน การร่วมมือกับ อีอีซี ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเติมความฝันของผมให้มีภาพชัดขึ้น ผมเชื่อว่าการนำแอปพลิเคชั่น ViaBus ไปประยุกต์ใช้ จะส่งประโยชน์ต่อคนระยอง ต่อ อบจ.ระยอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาโครงการ “รถสาธารณะไฟฟ้าวิ่งเลียบชายหาดแหลมเจริญ” ที่ อบจ.ระยอง กำลังดำเนินการอยู่ แอปพลิเคชั่น ViaBus นี้จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของโครงการ ที่จะสร้างความสะดวกให้แก่กลุ่มผู้ใช้บริการโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ และจะเป็นประโยชน์ในการต่อยอดสำหรับโครงการอื่นๆ ของ อบจ.ระยอง ต่อไปได้อย่างแน่นอน
รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยบูรพา มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในครั้งนี้ ในการร่วมกับ อีอีซี นำแอปพลิเคชั่น ViaBus มาใช้ประโยชน์เป็นระบบเพิ่มเติมจากแอปพลิเคชั่น BBUTransit ที่มหาวิทยาลัยได้พัฒนาและใช้ติดตามรถสวัสดิการของมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เพื่อขยายการอำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มนิสิต บุคลากร ประชาชน และผู้รับบริการภายในมหาวิทยาลัยให้กว้างขวางมากขึ้น ทั้งนี้จากเป้าหมายของมหาวิทยาลัยบูรพาที่ว่า “เราจะทำให้ ม.บูรพา ให้เป็นมหาวิทยาลัยแห่ง EEC” มหาวิทยาลัยบูรพาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ อีอีซี ผ่านแอปพลิเคชั่น ViaBus ในครั้งนี้ จะสามารถเป็นต้นแบบให้สามารถขยายผลการใช้ประโยชน์ไปยังพื้นที่อื่นๆ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ อีอีซี สามารถผลักดันการเชื่อมต่อโครงข่ายด้านคมนาคมขนส่งและยกระดับการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่ได้สำเร็จ ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความทันสมัย ปลอดภัย อำนวยความสะดวก ให้เกิดการบริหารเวลา รองรับการวางแผนการเดินทางของประชาชนในพื้นที่อีอีซีต่อไป
รองศาสตราจารย์ ดร.สถาพร เชื้อเพ็ง รองอธิการบดีวิทยาเชตศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือกับ อีอีซี นำแอปพลิเคชั่น ViaBus ไปใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการรถสวัสดิการของวิทยาเขตศรีราชาในปัจจุบัน ให้มีความมีความ ทันสมัยมากขึ้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ อีอีซี ในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์ต่อนิสิตบุคลากร รวมถึงประชาชนและผู้มาติดต่อ เพื่อการวางแผนการเดินทางในพื้นที่วิทยาเขตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทาง วิทยาเขตศรีราชาหวังว่า การร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถเป็นต้นแบบได้อย่างสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ และมีความยินดีให้การสนับสนุนในการขยายผลการใช้ประโยชน์ไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั้งในพื้นที่ อีอีซี และในวิทยาเขตอื่นของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต่อไป นายอินทัช มาศวงษ์ปกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทเวีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยยกระดับระบบขนส่งสาธารณะ อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารในการวางแผนและบริหารเวลาการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะประจำทางและรถโดยสารให้บริการของหน่วยงาน โดยนวัตกรรม ViaBus นั้นให้บริการด้านการติดตามและนำทางรถโดยสารแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงข้อมูลการเดินทางในระบบรถโดยสารได้ง่ายขึ้น เช่น ตำแหน่งรถ สถานี(ป้าย) เส้นทาง ทำให้ผู้โดยสารสามารถตัดสินใจในการเดินทาง รวมถึงบริหารเวลาและวางแผนการการเดินทางได้ดีขึ้นและไม่ใช่เพียงผู้โดยสารเท่านั้น นวัตกรรม ViaBus นี้ยังนำเทคโนโลยีระบบบริหารจัดการ มาช่วยเหลือผู้ประกอบการเดินรถให้สามารถบริหารจัดการการเดินรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความอัตโนมัติและตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสารมากขึ้นทั้งนี้ ความร่วมมือตาม MOU ในครั้งนี้จะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาการยกระดับการคมนาคมขนส่งแบบบูรณาการ ทำให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ช่วยให้เสริมสร้างเศรษฐกิจ เกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้เดินทางได้รับการเดินทางที่ทันสมัยและไร้รอยต่อ และสามารถยกระดับการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top