Wednesday, 18 June 2025
NewsFeed

FDI 101 เปิดอีกด้าน!! เงินลงทุนจากต่างประเทศใน 'จีน-อาเซียน' ตัวเลขสะสมจีนยังใหญ่กว่าอาเซียน 20 เท่า ส่วน ศก.ใหญ่กว่า 5 เท่า

(5 ส.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'FDI 101' ระบุว่า...

FDI ย่อมาจาก Foreign Direct Investment ซึ่งคือ เงินลงทุนจากต่างประเทศในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น สร้างโรงกลั่นนํ้ามัน โรงไฟฟ้า โรงงานอาหารกระป๋อง ฯลฯ

ถ้าบังเอิญไปเห็นข้อความในภาพปลากรอบ (https://www.facebook.com/share/p/Kb79wYUJj1FeA7AT/?mibextid=oFDknk) ที่ปั่นให้คนอ่านเข้าใจผิดว่า 'เศรษฐกิจจีนแย่แล้ว' ไม่มีใครสนใจหอบเงินไปลงทุนแล้ว จากตรงนี้ไปคือข้อเท็จจริงครับ

เป็นความจริงที่ ในปี 2022 กับ 2023 FDI ของอาเซียนพุ่งกระฉูดเป็น $229 bn ในขณะที่ของจีนลดลงจากที่พีคในปี 2021 ที่ $344 bn เหลือ $100+ ใน 2022 กะ 2023

แต่ถ้าเราเอาตัวเลข FDI สะสมของจีน กะ อาเซียน มาวางเทียบกัน จะตื่นตาตื่นใจเพราะ ตัวเลขของจีนใหญ่กว่าอาเซียนกว่า 20 เท่า 

ส่วนที่ว่าจะเติบโตนำจีนใน 10 ปี ผมไม่รู้จริงว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าอาเซียนเกือบ 5 เท่า คาดว่าเขาฝันไปมากกว่า

สิ่งที่ภาพปลากรอบบอกเรา ไม่ได้แปลกอะไรเพราะ...

1. ตอนนี้จีนมีทุนของตัวเองมากมหาศาลแล้ว ไม่ได้พยายามดึงเอา FDI เข้าประเทศ แถมตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีเรียบ ไม่เหลืออะไรแล้ว

2. จีนถูกฝรั่งควํ่าบาตร/กีดกันทางการค้าสารพัด แล้วทุนข้ามชาติที่ไหนจะขนเงินเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานโน่นนี่อย่างในอดีต

ถ้าผมเป็นสื่อเพื่อแสวงหากำไร ผมคงหากินกับคนโง่เหมือนกันเพราะง่ายดี 

แต่คงไม่สนุกเพราะจะทำให้ผมโง่ลง ๆ ทุกวัน 5555

‘นายกฯ’ สั่ง ‘สทนช.’ ทำแผนบริหารจัดการน้ำ 3 ปี จ่อชงครม.ภายในเดือนนี้ ยัน!! ไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 54

(5 ส.ค. 67) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) ชั้น 3 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน และคณะผู้บริหาร จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

เมื่อมาถึงนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ จากอธิบดีกรมชลประทาน โดยภาพรวมสถานการณ์ฝนในปีนี้ ณ ขณะนี้อยู่ที่ 56% ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกันที่ 4% ขณะที่นายกฯ กำชับให้ทางกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง และคาดการณ์ว่าจะเกิดน้ำท่วมให้ดูแลลงรายละเอียดเป็นรายอำเภอ 

นอกจากนี้อธิบดีกรมชลประทาน ยังรายงานถึงสถานการณ์ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก มีการระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 1-5 ส.ค.ในระดับคงที่ แต่เนื่องจากมีฝนตกลงมาท้ายเขื่อนจำนวนมาก จึงทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม แต่ขณะนี้ได้ปิดการระบายน้ำที่เขื่อนขุนด่านปราการชลแล้ว

ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุป นายกฯ ได้กำชับนายอนุทินว่า อยากฝากเรื่องของแม่น้ำโก-ลก จ.นราธิวาส หลังจากลงพื้นที่ร่วมกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พบว่าจำเป็นจะต้องมีการขุดลอกคลองเพื่อไม่ให้คลองตื้นเขินและระบายน้ำได้เร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังพอมีเวลาอยู่ เนื่องจากฤดูฝนของภาคใต้จะมาช้ากว่าภาคอื่น ๆ ประมาณ พ.ย. 

ขณะที่นายอนุทิน รายงานว่า เรื่องนี้มีแผนและอยู่ในแนวของผังเมือง ซึ่งกรมโยธาธิการจะประสานไปทางมาเลเซีย ทั้งนี้นายกฯ ยังได้เน้นย้ำ และกำชับอีกว่า ให้ดำเนินการโดยเร็วแม้ฝนจะมาช้าก็ตาม จะต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนฝนจะมา เพราะทางมาเลเซียเดือดร้อน เนื่องจากมีพื้นที่ต่ำกว่าประเทศไทย แต่ฝ่ายเราก็เดือดร้อนด้วยเช่นกัน อย่างปีที่แล้วก็เกิดปัญหาน้ำท่วมที่ จ.นราธิวาส หากดำเนินการตรงนี้ได้ก็จะบรรเทาความเดือดร้อนลงไปได้

จากนั้นนายกฯ เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ พร้อมมอบนโยบายว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วปัญหาเรื่องน้ำเราเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญทุกปี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง และน้ำไม่ได้คุณภาพ ซึ่งตนมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหานี้โดยเร่งด่วน เพราะส่งผลต่อความเสียหายอย่างหาค่ามิได้ต่อประชาชนคนไทยทุกคน ตนได้มอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องน้ำบูรณาการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะทำแผนงานและโครงการที่สามารถเร่งรัดดำเนินการในระยะเวลา 3 ปี และตลอดจนการพิจารณาโครงการสำคัญระยะยาว เพื่อให้น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ขอเน้นการเสริมประสิทธิภาพของโครงการที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ก่อนพิจารณาก่อสร้างโครงข่ายการบริหารจัดการน้ำ และระบบการกระจายน้ำเพิ่มเติมเพื่อการใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นไปได้อย่างเหมาะสม โดยในช่วงฤดูฝนนี้ตนมอบหมายให้กรมชลประทานและสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA นำเสนอพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากและแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จากนั้น เวลา 10.08 น. นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ ว่า ปัญหาเรื่องน้ำเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศไทยที่จะต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นภายในรัฐบาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ น้ำดื่ม น้ำใช้น้ำบริโภค ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานเรื่องน้ำเร่งทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดทำแผนงานด้านน้ำระยะ 3 ปี และแผนงานสำคัญระยะยาวเพื่อให้ “น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำ” อย่างยั่งยืน 

ซึ่งตนเน้นย้ำให้ปรับปรุงโครงการที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ตลอดจนก่อสร้างโครงข่ายการบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติม โดยพิจารณาถึงความเร่งด่วนและความเหมาะสมในการใช้จ่ายงบประมาณเป็นสำคัญ โดยที่ประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำได้พิจารณาและเห็นชอบแผน 3 ปี ด้านทรัพยากรน้ำและโครงการสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำกินน้ำใช้ ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ตลอดจนภัยพิบัติด้านน้ำอื่น ๆ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับประชาชน 6.22 ล้านครัวเรือน มีพื้นที่รับประโยชน์ 24.19 ล้านไร่ โดยประกอบด้วยแผนงาน 5 ด้าน ดังนี้ 1.การเพิ่มน้ำอุปโภคบริโภค 2.การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ 3.การพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน 4.การพัฒนาพื้นที่น้ำท่วมและป้องกันพื้นที่ชุมชนเมือง และ 5.การพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำ

นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนและรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยตนได้สั่งการให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เร่งจัดทำแผนงานด้านน้ำและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาภายในเดือนส.ค.นี้ และตนได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชน เน้นการสื่อสารและแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)  หรือ GISTDA ประเมินภาพถ่ายในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากร่วมกับกรมชลประทาน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ สทนช. ร่วมกัน ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ บริหารจัดการและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ตลอดจนแจ้งเตือนประชาชน เพื่อให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด

เมื่อถามว่าแผนระยะ 3 ปี ใช้งบประมาณเท่าไหร่ นายกฯ กล่าวว่า ขอให้คอยถึงสิ้นเดือนส.ค.ดีกว่า ให้สทนช. เตรียมเรื่องให้ครบก่อนวันนี้เป็นวันคลิกออฟ แล้วสิ้นเดือนส.ค.จะมีการแถลงใหญ่

เมื่อถามต่อว่ามีพื้นที่ไหนที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ นายกฯ กล่าวว่า เท่าที่ดูรายงานก็มีภาคตะวันออก ที่กำลังประสบปัญหาอยู่และภาคอีสานบางจุด ก็มีการสั่งการแล้วว่าให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ให้มีการปรับแผนตลอดเวลา ควบคู่ไปกับการรายงานผลของ GISTDA 

เมื่อถามอีกว่ามีการแจ้งเตือนประชาชนได้มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง  นายกฯ กล่าวว่า ให้ GISTDA  ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมชลประทานและกระทรวงมหาดไทย 

เมื่อถามต่อว่านายกฯเป็นห่วงและเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่  นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนเรียนอย่างนี้อาชีพกษตรเป็นอาชีพหลักของเราหลาย 10 ล้านคน เรื่องของน้ำดื่มน้ำใช้ พวกเราในกรุงเทพฯมีน้ำใช้กันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าลงไปต่างจังหวัดมีอีกหลายพื้นที่ที่น้ำใช้อุปโภคและบริโภคยังไม่มี และทุกปีเราใช้งบประมาณในการชดเชย เรื่องการช่วยเหลือจุนเจือเป็นปลายเหตุ ถ้าเราบริหารจัดการไม่ให้มีน้ำท่วมน้ำแล้ง ตนเชื่อว่าความเดือดร้อนของประชาชนจะหายไปเยอะ รวมถึงผลกระทบในเชิงบวกที่จะก่อให้เกิดผลผลิตทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเราเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหารสูง การที่เมืองโลกร้อนระอุ มีเรื่องการแย่งอาหารเยอะมาก จะทำให้ประเทศไทยมีจุดเด่นทางด้านนี้มาก เรื่องน้ำมีอยู่ 3-4 เรื่อง คือ น้ำในระบบนิเวศ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำที่ใช้ในการเกษตร และเรื่องสุดท้ายพูดกันน้อย คือ น้ำที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ต้องการน้ำเยอะ การที่เราไปเชิญต่างชาติให้เขามาลงทุน และให้มาตรการด้านภาษีสนับสนุน เขามาแล้วน้ำขาดก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้เราต้องบูรณาการครบทุกภาคส่วน ผู้บริหารทุกท่านเห็นพ้องต้องการ ถ้าเราบริหารจัดการน้ำได้ดีประเทศไทยก็เดินไปข้างหน้าได้

เมื่อถามย้ำว่ามั่นใจการบริหารจัดการน้ำจะไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 2554 ใช่หรือไม่ นายกฯ ยิ้มก่อนกล่าวว่า "ครับ"

มือเศรษฐกิจรุ่นใหม่ ดีกรี วิศวะ-เศรษฐศาสตร์-บริหาร อ๊อกซฟอร์ด

นาทีนี้ สื่อดังหลายสำนักตีข่าวไปในทางเดียวกันว่า คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ แสดงเจตจำนงว่า สำหรับโควตารัฐมนตรีของพรรค รทสช.ที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่งนั้น หากมีการปรับ ครม.พรรคขอเสนอชื่อของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า คุณขิงได้ทำผลงานในการเลือกตั้ง และงานสภาฯ ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด 

ถ้าข่าวนี้เป็นจริง ถือว่ารัฐบาลจะได้ รัฐมนตรี ที่เป็นคนรุ่นใหม่และมีคุณภาพคนหนึ่งมาร่วมทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมากเลยทีเดียว

สำหรับ 'ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' นักการเมืองหนุ่มไฟแรงวัยแค่ 38 ปี ตำแหน่งปัจจุบันเป็นเลขาธิการพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' จนถูกเรียกติดปากว่า 'เลขาขิง' มีดีกรีเป็นหนุ่มนักเรียนนอก จบปริญญาตรี ควบปริญญาโท ปริญญาตรี ควบปริญญาโทใน 2 สาขา EEM (Engineering, Economics and Management)จาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษ ซึ่งมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ตามการจัดอันดับปีล่าสุด 2024 ของ Times Higher Education (THE) World University Ranking

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงเส้นทางการเมืองของ 'เอกนัฏ' จะพบว่า เจ้าตัวเป็นคนที่ชอบติดตามการเมือง มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่เด็กชั้นประถม พูดง่าย ๆ คือ หากเปรียบชีวิตการเมือง ก็เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในสายเลือดไปแล้ว เพราะตอนเป็นเด็ก เจ้าตัวชอบไปยืนเกาะข้างเวทีปราศรัย ชอบคุยแต่เรื่องการเมืองกับแม่ และนั่นจึงเป็นเหตุผลตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ 'อ๊อกซฟอร์ด' ประเทศอังกฤษ เพราะเป็นสถาบันที่ผลิตนักการเมืองมาเยอะ 

หลักจากเรียนจบ 'เอกนัฏ' เข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว จากคำชักชวน ของ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปรียบเป็นรุ่นพี่ที่จบจากสถาบันเดียวกัน (อ๊อกซฟอร์ด) ชวนให้มาช่วยงานที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลขณะนั้น และเข้าไปช่วยงานรัฐบาลในตำแหน่ง เลขานุการส่วนตัวของ 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง

เอกนัฏ เล่าว่า สมัยที่เข้าไปช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ ทำทุกหน้าที่ ประสานงานทั้งคนในพรรค ทั้งคนในรัฐบาล และงานความมั่นคง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการเมือง กระทั่งเมื่อปี 2554 ลงสมัครรับเลือกตั้ง และชนะการเลือกตั้ง มีโอกาสได้เป็น สส.กทม. เขตทวีวัฒนา เมื่อตอนอายุ 25 ปี ถือว่าเป็น สส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในสภาขณะนั้น 

สำหรับการปักธงการเมืองไปกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น เพราะเขามองว่าพรรคนี้ มุ่งมั่นที่จะให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ เช่น ตนเองได้มาเป็นเลขาธิการพรรค ดังนั้นจะพิสูจน์ฝีมือทำให้ได้ เปิดพื้นที่ให้กับทุกคน ไม่แบ่งเพศ ไม่แบ่งรุ่น เอาคนที่ประสงค์ดีมาทำงาน มองการเมืองคือการแข่งขัน เพื่อเอาชนะใจของประชาชน แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตต้องสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง  

เอกนัฏ เล่าอีกว่า ที่มาที่ไปของพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันต้องการให้มีพรรคการเมือง มีการเปลี่ยนแปลง ใกล้ชิดประชาชน มีความยืดหยุ่นตอบสนองความต้องการประชาชน เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ยึดติดกับความแย้ง ในอดีต ไม่เอาความขัดแย้งมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน จึงเป็นที่มาในการตั้งพรรค 

ส่วนชื่อ 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจาก 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' หัวหน้าพรรค เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่เคยได้ยินประโยคนี้บ่อย ๆ และคำว่า 'รวมไทยสร้างชาติ' มีทั้งความหมายและฟังแล้วติดหู จึงนำมาตั้งเป็นชื่อพรรค    

เมื่อพูดถึง 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' ก็อดไม่ได้ที่ต้องขยายความช่วงหนึ่งของ รทสช. ที่มีกระแสข่าวว่าเกิดปัญหาภายในพรรค ซึ่งเรื่องนี้ เอกนัฏ ย้ำชัดอีกรอบ ว่า...

"สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ท่านหัวหน้าพรรคพีระพันธุ์กับผมยืนยันมาตลอดว่า คนสําคัญที่สุด ก็คือ โหวตเตอร์ของพรรค ไม่มีใครสำคัญกว่าประชาชนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีกรณีที่พยายามสั่นสะเทือนความมั่นคงของพรรค โดยเอาประเด็นมาโยง เราก็ต้องเรียนตรง ๆ ว่ามันไม่มีอะไรเชื่อมมาถึงปัญหาในพรรคเลย เพราะพรรคก็ต้องเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีเช่นเดิม โทรหากันเช่นเดิม...

"...ฉะนั้นกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมจึงมองว่าไร้สาระมาก และจริง ๆ แล้ว ตัวผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย แต่ก็ดันมีการจับแพะชนแกะกันเก่ง ถึงขนาดที่ว่า ผมไปนั่งคุยกับท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ ด้วยระยะเวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เสี้ยมกันออกมาว่า หัวหน้ากับผมแตกกัน มันไร้สาระมาก ... ถามหน่อยว่าผมไปที่ทําเนียบ ต้องพูดคุยข้อราชการกับท่านหัวหน้า จะให้ผมคุยกี่นาที ถึงจะไม่ประเด็นหรือไม่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง เพราะในความเป็นจริง เราคุยกันตลอดครับเราคุยกันตลอดไม่ใช่แค่ที่ทําเนียบ ผมกับท่านมีการโทรศัพท์ปรึกษากันแทบทั้งวัน เพื่อตกผลึกประเด็นต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "ท่านหัวหน้ากับผมร่วมกันสร้างรวมไทยสร้างชาติมากันสองคนตั้งแต่ไม่มีอะไร แล้วผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย ฉะนั้นเมื่อช่วงแรกที่ผมพูดตลอดเหมือนเสื่อผืนหมอนไป วันนั้นก็มีกันอยู่สองคน แล้วเมื่อมีคนเห็นความตั้งใจของเรา ก็มาร่วมงานอยู่เป็นจํานวนมาก จนเราสร้างระบบรากฐานให้พรรคได้อย่างมั่นคงถึงตอนนี้...

"หัวหน้ากับผมมีความตั้งใจมีความแน่วแน่ที่จะไม่ทําให้ประชาชนต้องผิดหวัง โดยการทำงานของเราสองคน เป็นการทำงานแบบแบ่งหน้าที่กัน ท่านหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นํา ก็ต้องสร้างกระแสให้กับพรรค สร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรค ส่วนผมก็เป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด คอยดูแลเอาใจใส่ สส. และเรื่องของประเด็นภายในต่าง ๆ เราแบ่งหน้าที่กันตามที่ประสาชาวบ้านเรียกว่า 'แบ่งบทกันเล่น'"

เมื่อถามว่า รทสช. ยังต้องมี 'บิ๊กตู่-ท่านพีและขิง เอกนัฏ' อยู่ด้วยกันแน่นอน? เอกนัฏ ยืนยันว่า "แน่นอนครับ ไม่ว่าวันไหนก็อยู่ด้วยกันครับ ถ้ามีหัวหน้าพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเลขาฯ เอกนัฏ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านหัวหน้าเป็นคนดีมาก ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็มีความแน่วแน่ในการทํางาน ผมเชื่อว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการมีผู้นําแบบท่านพีระพันธุ์ อย่างบทบาทของท่านในกระทรวงพลังงานวันนี้ ท่านกำลังทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราทุกคนต่างก็ให้กําลังใจแล้วก็ซัพพอร์ตท่านเต็มที่"

เมื่อถามถึงบริบทของคำว่า 'นักการเมือง'? เอกนัฏ มักพูดเสมอว่า ไม่อยากให้มองว่า อาชีพนักการเมืองมีแต่คนเลว ไม่ควรดูถูกอาชีพนักการเมือง ขอให้คนรุ่นใหม่ปรับมุมมอง อยากให้คนรุ่นใหม่สนใจอาชีพการเมือง เข้ามาลองทำอาชีพนี้ ช่วยทำการเมืองให้สร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้คนดีๆ มีความสามารถ เข้ามาช่วยทำการเมืองให้มันดี ตามที่ใจเราต้องการ แล้วมาช่วยกันพัฒนาประเทศ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่สามารถแยกแยะ เหตุและผลตามข้อเท็จจริงได้

สำหรับคติประจำใจในการทำงานการเมืองของ 'เอกนัฏ' นั้น เจ้าตัวบอกว่า ต้อง 'ขยัน-อึด-อดทน' ซึ่งแม้จะเป็นคำที่ฟังดูแล้วพื้น ๆ แต่มีความหมายใช้เตือนตัวเองอยู่ตลอดในการทำอาชีพนักการเมือง   

>> ขยัน คือ ทำแค่นี้ยังไม่พอ ต้องให้มากกว่าเดิม ต้องทำให้ละเอียดมากกว่านี้  
>> อึด คือ ต้องแข็งแรง แข็งแกร่ง ไม่ว่าเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนต้องก้าวต่อไปให้ได้
>> อดทน คือ อาชีพนักการเมือง ต้องรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถูกคำสบประมาท ถูกคำด่าทอ สาดเสียเทเสีย แต่ต้องผ่านไปให้ได้เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเอง

ก็คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ในห้วงเวลาจากนี้ ชื่อของ 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' จะถูกบรรจุเข้าสู่ทำเนียบรัฐมนตรีเลือดใหม่ของรัฐบาลนี้เมื่อใด และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็คงต้องแสดงความยินดีล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

ปูด 'ลุงป้อม' เตรียมดัน 'สามารถ' นั่งหัวหน้าพรรคพลังมหาชน ปั้นเกมรบตามทฤษฎีแตกแบงก์พัน รวมพลังรุ่นใหม่สู้ก้าวไกล

(5 ส.ค. 67) นายบุญรวี ยมจินดา หัวหน้าพรรครวมใจไทย (ร.จ.ท.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เตรียมตั้งพรรคคู่ขนานชื่อว่าพรรคพลังมหาชน โดยจะให้นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าพรรค เตรียมพร้อมที่จะสู้กับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคสำรองที่พรรคก้าวไกลไปเทกโอเวอร์มา หากในวันพุธที่ 7 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล

นายบุญรวี กล่าวต่อว่า เรื่องของพรรคพลังประชารัฐหรือ พล.อ.ประวิตร เป็นเรื่องสำคัญของการเมืองในระยะนี้ ตอนนี้ พล.อ.ประวิตรไม่อยู่ไปดูกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศฝรั่งเศส ก็เกิดศึกภายในพรรคระหว่างซีก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค กับนายสามารถ คนสนิทของพล.อ.ประวิตร จึงเป็นที่มาว่าจะมีการตั้งพรรครองรับคนรุ่นใหม่ที่นายสามารถ จะประสานเข้ามาร่วมพรรค ส่วนพล.อ.ประวิตร ก็จะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐต่อไป

“พล.ประวิตร มองว่านายสามารถ คือคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และจะนำพาคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานกับพรรคใหม่ได้แบบที่พานายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.พรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้เกิดทฤษฎีแตกแบงก์พันของ พล.อ.ประวิตร โดยหวังว่าจะเป็นพรรคตัวแทนของคนรุ่นใหม่เพื่อไปแข่งกับพรรคก้าวไกล ท่ามกลางกระแสข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เตรียมเขี่ยพรรคพลังประชารัฐของพล.อ.ประวิตร พ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล”ซึ่งความเป็นจริงแล้วนายทักษิณ ชินวัตร รู้ดีว่าถ้าเขี่ยพลังประชารัฐออกจากรัฐบาลนั้นจะยิ่งทำให้บ้านเมืองวุ่นวายถึงขั้นอาจมีการรัฐประหารอีกครั้งก็เป็นได้

'อัครเดช' ชี้!! 'รวมไทยสร้างชาติ' หนุน ‘เอกนัฏ’ นั่งโควตารัฐมนตรี ยัน!! เป็นคนทำงานทุ่มเท คุณสมบัติพร้อม แง้ม!! เจ้าตัวยังไม่ทราบเรื่อง

(5 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ได้ส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี แสดงเจตจำนงให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค รทสช. เป็นรัฐมนตรีแทนโควตาของพรรคที่ว่างอยู่ว่า นายเอกนัฏ ยังไม่ทราบเรื่องหนังสือ แต่เป็นไปได้ว่าหัวหน้าพรรค จะส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ยังไม่มีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรค เนื่องจากติดประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ทางพรรคได้พูดคุยเรื่องการเสนอชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า ทางพรรคยังเหลือโควตารัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง ดังนั้นข่าวที่ออกมาว่าจะเป็นนายเอกนัฏ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลุดจากคดีความแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี 

ฉะนั้น กรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรค คงไม่มีใครปฏิเสธ เนื่องจากนายเอกนัฏ ทำงานด้วยความทุ่มเท และที่ผ่านมาทั้งในช่วงหาเสียงและงานในสภาก็มีผลงานที่ชัดเจน ยืนยันว่า ทุกคนพร้อมสนับสนุนให้นายเอกนัฏ ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรค รทสช. ดังนั้นหนังสือไม่ใช่ใจความสำคัญ อย่างไรก็ตาม อำนาจการตัดสินใจสุดท้าย อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค

ส่อง 5 ประเทศผู้นำในการส่งออกข้าวของโลก ประจำปี 2024

จากข้อมูลของ USDA Foreign Agricultural Service ได้เก็บข้อมูลการส่งออกข้าวจากประเทศต่าง ๆของปี 2024 และมีการคาดว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวจะสามารถส่งออกข้าวได้เยอะกว่าปีที่แล้ว คือจาก 53.29 ล้านตันในปี 2023 ขยับมาเป็น 55.13 ล้านตันในปี 2024 โดย 5 ประเทศผู้นำที่ส่งออกข้าวมากที่สุดสามารถเรียงตามลำดับได้ดังนี้...

1.อินเดีย เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก โดยส่งออกสัดส่วนมากถึง 37% ของโลก และคาดการณ์ว่าปีนี้จะส่งออกได้ 17 ล้านตัน ซึ่งน้อยลงกว่าปีที่แล้วที่ส่งออกได้ถึง 17.73 ล้านตัน

2.ไทย ประเทศไทยครองสัดส่วน 16% ของโลก โดยไทยส่งออกข้าว 8.5 ล้านตันโดยลดลงจากปีที่แล้วที่ 8.74 ล้านตัน

3.เวียดนาม มีการเติบโตแบบมีนัยสำคัญจนพลิกมาเป็นอันดับ 2 ตอนปี 2023 โดยมีลูกค้าเป็น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และหลายประเทศในแอฟริกา จะสามารถส่งออกข้าวเพิ่มได้จาก 8.23 ล้านตันเป็น 8.3 ล้านตัน

4.ปากีสถาน ส่งออกข้าวประมาณ 4.53 ล้านตันในปีที่แล้ว และจะขยับขึ้นมาเป็น 6.10 ล้านตันในปี 2024 คิดเป็น 7% ของโลก

5.สหรัฐอเมริกา ที่ปีที่แล้วอยู่อันดับ 6 แต่ในปีนี้สามารถแซงหน้ากัมพูชาขึ้นมาได้ โดยมีตัวเลขส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นจาก 2.40 ล้านตันไปเป็น 3.13 ล้านตัน ในปีนี้

ฟังบอสใหญ่ 'WHA' เปิดอีกมุมเจ็บจาก Startup ไทย ไปไม่รอด เพราะฝันล้น พยายามต่ำ นำเงินไปใช้ผิดๆ

เรียกได้ว่าเป็นประเด็นร้อนไม่น้อย หลังจาก 'คุณจูน จรีพร จารุกรสกุล' ประธานกรรมการบริหารของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ที่ได้ให้สัมภาษณ์ช่องยูทูบ ‘BT beartai’ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.67 โดยหนึ่งในเรื่องที่ให้สัมภาษณ์เป็นประสบการณ์เจ็บ ๆ เมื่อได้ร่วมลงทุนใน Startup ไทย ซึ่งมีเนื้อหาที่ดุเดือด ดังนี้…

พี่มักพูดเสมอว่า สมัยที่ทําธุรกิจตั้งแต่แรกเริ่ม ต้องหาทุนจากการกู้แบงก์ เพราะไม่มีทุนสนับสนุนใด

แบบปัจจุบัน โดยตัวแปรสำคัญที่ช่วยทำให้ธุรกิจเบ่งบานได้เช่นทุกวันนี้ ก็คือ เครดิต 

ถามว่าเครดิตเกิดจากอะไร?

เครดิตไม่ได้เกิดจากมีนามสกุลใหญ่โต ไม่ได้เกิดจากการที่มีเงินมากมาย แต่มันเกิดจากคําพูดของเรา หรือก็คือ เราต้องไม่ผิดคําพูดกับใครแม้แต่คําเดียว

อย่างการทำธุรกิจ ถ้าหากจะต้องพึ่งเงินทุนจากแบงก์ หรือต้องไปกู้เงิน เราต้องมีเครดิต เราต้องมีสินทรัพย์ค้ำ มีผลประกอบการ มีผลกำไรค้ำ แบงก์ถึงจะยอมให้กู้ พี่จึงต้องทําทุกอย่างด้วยความระมัดระวังทั้งหมดเลย หรือแม้แต่การใช้เงินทุกอย่างอย่างก็ต้องใช้อย่างมีคุณค่า เพื่อให้เครดิตตรงนี้เกิดขึ้น เหนื่อยมาก พยายามมาก และใช้เวลานานมาก

ดังนั้นภาพที่ว่ามาเหล่านี้ จึงแตกต่างกับการดำเนินธุรกิจแบบ Startup ในปัจจุบัน ซึ่งมีโอกาสได้เงินทุนจากนักลงทุนที่แค่เห็นโอกาส ภายใต้ภาพโมเดลธุรกิจในอนาคตที่ฉายออกมาให้เห็นถึงกําไร และความสำเร็จ เพียงแต่ก็ต้องไม่คิดว่านักลงทุนเหล่านี้ คือ มูลนิธิ

เพราะอันที่จริงบริษัทใหญ่ ๆ เฉกเช่นเดียวกันกับ WHA นั้น ล้วนสามารถทำ Startup เองได้ทั้งสิ้น แต่เหตุผลที่ไม่ทำเพราะเราอยากให้โอกาสธุรกิจที่เกิดจากไอเดียของคนรุ่นใหม่จริง ๆ ได้ฉายแสง เพราะพวกเขาจะเป็นอนาคตของประเทศต่อไป

นั่นคือ ความตั้งใจจากผู้ใหญ่ที่มีแต่โรยรา แต่ประเด็นคือ เมื่อสิ่งที่เราลงทุนไป และได้กลับมา มันสวนทาง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก เช่น กรณีหนึ่งที่เราสนับสนุน คือ ได้เงินพี่ไปแล้ว และพี่ดันไปเห็นในเฟซบุ๊ก เขาไปเที่ยวต่างประเทศ ไปซื้อรถสปอร์ต โดยที่เราแทบไม่เห็นมุมการทำงานผ่านโลกโซเชียลเหล่านั้น ทำให้เราผิดหวังมาก

ตรงนี้มันจึงย้อนกลับมาเรื่องเครดิต การที่คุณได้เงินไป เพราะเราเชื่อใจคุณ เชื่อว่าคุณจะสร้างผลประกอบการ สร้างกําไรในอนาคต เพราะว่ากันตามตรง จะเงินกู้ หรือเงินทุนที่ได้รับนั้น ผู้ให้ย่อมคาดหวัง ซึ่งอาจจะไม่ใช่หวังเงินที่ให้ไปคืน แต่หวังที่จะเห็นความตั้งใจของ Startup นั้น ๆ ก้าวไปสู่ความสำเร็จ

ทั้งนี้ คุณจูนเล่าด้วยว่า ตนได้มีการให้ทุนไป 60 ล้านบาท ใน Startup 5 รายที่มีความเกี่ยวเนื่องในการต่อยอดธุรกิจของ WHA ได้ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ลงเงินไป อาจจะดูผิดหวังพอสมควร เนื่องจากบางรายตอนมาขอทุน มาพร้อมคำมั่นสัญญามากมาย แต่สุดท้าย บางรายพอทำไม่สำเร็จ ก็ถอนตัว แถมบางรายก่อนถอนตัวก็มีการขอระดมทุนอีก บางรายตั้งทีมงานเพื่อมาทำงานแทนตน ทั้ง ๆ ที่หากต้องการได้ทีมหรือได้คำปรึกษา ขอจากตนได้ทันที นั่นจึงให้คุณจูนอดเกิดคำถามไม่ได้ว่า ได้ทุนไป สุดท้ายทำตัวลอย ๆ ทั้ง ๆ ที่ผู้ให้ทุนเชื่อใจ แบบนั้นเท่ากับอะไร หรือบางคนทำแล้วไม่มีความอดทนจะต่อยอดมันต่อไป แบบนั้นหมายถึงอะไร

คุณต้องเข้าใจถ้าคุณคิดจะโต คุณต้องมองภาพธุรกิจให้ได้ว่ามันคืออะไร มันต้องสู้ มันต้องอึด มันต้องอดทน ใคร ๆ ก็อยากรวยใช่ไหม แต่จะถึงจุดนั้นมีกี่คน มันไม่ได้ฟลุ้ก ตอนพี่เริ่มธุรกิจก็ต้องลงแรงอย่างมากเป็นหลายสิบปี ทำงานแบบที่เรียกว่า มุทะลุ เลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกที่ตรงนี้จะเป็นความรู้สึกผิดหวังในมุมผู้ลงทุน ที่เห็นผู้รับทุนไม่มีความผิดชอบเงินในเงินของพี่ 

อย่างไรก็ตาม คุณจูนก็ยังคงให้โอกาสกับ Startup ทุกคน แม้จะเกิดความรู้สึกที่ย่ำแย่ไปบ้าง แต่ก็ยังให้คำปรึกษา และชี้มุมมองที่ถูกต้องแก่ Startup ที่รับทุน ซึ่งใครที่รับไม่ได้ ก็จำใจต้องปล่อยมือ ส่วนบางรายที่เข้าใจ ก็ขอบคุณในการเตือนสติด้วยความเต็มใจ และกลับลำสร้างเครดิต สร้างความเชื่อมั่นผ่านการทำงานให้โมเดล Startup นั้น ๆ เดินหน้าต่อไป

>> เมื่อถามถึงนิยามของ Satrtup หรือผู้ที่จะการมาขอเงินลงทุนจาก WHA นั้น จะต้องไม่ขาดทุนเลยใช่หรือไม่? คุณจูน เผยว่า...

ขาดทุนได้ พี่ไม่ได้บอกว่าพี่ลงทุนพี่ต้องได้ผลกําไรเสมอ แต่พี่ต้องดูสิ่งที่คุณทํา ว่าเป็นการทำที่สุดความสามารถแค่ไหน ทำอย่างมีสติไหม ไม่ใช่ได้เงินไปแล้ว ก็ไปเพิ่มคนนู่นนี่ เอามานั่งทำงานแทนตัวเอง แล้วสุดท้ายอีกภายในไม่กี่เดือนคุณต้องลดคน เพราะไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจ เงินทุนเริ่มหาย ซึ่งพี่ก็งงกับการทํางานแบบนี้ ว่ามันคืออะไร 

เพราะอย่างที่บอก พี่ดูที่ประสิทธิภาพของธุรกิจ พี่กล้าลงทุนโดยมองกำไรเป็นเรื่องหลัง แล้วถ้าตั้งใจมุ่งมั่นทำ แต่ติดขัด เราก็พร้อมเข้าไปช่วยด้วยความเต็มใจ

>> เมื่อถามถึง Startup ไทยมักจะมองภาพความสำเร็จของอเมริกาโมเดล โดยเฉพาะเรื่องของการได้เงินทุนที่ง่ายดาย? คุณจูน มองว่า...

บางทีเรามองภาพความสําเร็จของอเมริกา ประเภทได้เงินทุนแล้วสามารถเบิร์นทิ้งได้ ทำแคมเปญ แจกนั่นนี่ ฟรีนั่นโน่น แต่สําหรับตลาดประเทศไทย

เมื่อหลายปีก่อนพี่ไปซิลิคอนวัลเลย์ ก็เห็นเด็กหนุ่ม ๆ Startup รุ่นใหม่ ๆ เขียน White Paper มาแผ่นหนึ่งแล้วก็ไปขอเงินทุนหลักร้อยล้าน แล้วก็ให้กันได้ง่าย ๆ ด้วย แม้บางรายจะไม่ได้สร้างโอกาสที่ดีเลยก็ตาม แต่คำถามคือ ระบบนิเวศของไทยเต็มไปด้วย Deep Technology หรือเต็มไปด้วยความคิดเชิงนวัตกรรมและสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ขนาดเขาหรือไม่?

แน่นอน!! ผู้ใหญ่ทุกคน อยากจะให้โอกาสอยู่แล้ว แต่ประเทศไทยเรามีคนแบบนี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งกลับกันกับที่นั่น มันคือความไว้ใจที่คนของเขา สภาพแวดล้อมของเขา สร้างขึ้นมาไว้มากมาย จนเกิดเป็นความเชื่อใจ แต่ไทยเราไม่ได้เป็นแบบนั้น

>> เมื่อถามถึงแนวทางในการ Set up มุมคิดที่ควรจะเป็นแก่ Startup ไทยต่อจากนี้? คุณจูน เผยว่า... 

วงการ Startup ต้องมองเงินลงทุนของนักลงทุนเป็นภารกิจในการที่จะทําให้ธุรกิจของคุณเข้าใกล้ความสําเร็จ ไม่ใช่มองเป็นเงินรางวัล และพยายามอย่าไปมองชัยชนะของคนที่นำเสนองานบนเวทีต่าง ๆ มาเป็นต้นแบบจนเกินไป เพราะชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า Start และต้อง Up คุณต้องมองไปให้ไกลถึงตอนที่ลงสนามจริง ว่ามันจะมีความยากแค่ไหน อย่าขายไอเดียแล้วสุดท้ายเมื่อถึงเวลากลับปฏิบัติไม่ได้

คุณจูน เสริมอีกว่า เอาจริง ๆ พี่เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเด็ก ๆ นะ แล้วพี่ก็เป็นคนเชื่อมั่นในเด็กไทย แล้วพี่เป็นคนเชื่อมั่นในคนไทย พี่เชื่อมั่นว่าคนเราสามารถคว้าทุกโอกาสที่มาถึงเราได้ อย่างพี่เองก็เติบโตจากที่ไม่มีอะไร แต่พี่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ของพี่ที่ต้องการสร้างธุรกิจตามความฝัน เพียงแต่ความฝันของพี่อยู่บนความเป็นจริง ไม่ใช่ไปนั่งดูหนังไทยแล้วเจอเจ้าชายได้แต่งงานแล้วก็เลยรวยคือพี่ไม่เพ้อฝัน

ฉะนั้น สิ่งที่อยากฝากสำหรับคนที่ต้องการลุย Startup จริง ๆ คือ คุณต้องวางแผนชีวิตของคุณ บนพื้นฐาน 3 สิ่ง...

สิ่งแรก ต้องรู้ตัวคุณเองให้ได้ก่อนรู้ว่าคุณมีความสามารถกับอะไรและมากขนาดไหน

สิ่งที่สอง คุณมีความชอบอะไร เพราะพี่ขอบอกเลยว่า คนเราต้องทํางานด้วยความสุข ด้วยความรัก หากคุณทํางานทั้งวันแล้วคุณทุกข์กับมัน จะทําไปทำไม 

สุดท้าย เติมจุดอ่อนจากความสามารถและความชอบที่คุณมี หากมันยังไม่ดีพอ ก็เติมมัน เรียนรู้มัน ไม่รู้ก็ถาม ไม่รู้ก็ฝึก ยุคนี้ความรู้เข้าถึงง่ายมากกว่ายุคพี่ ข้อมูลทั่วโลกถูกเชื่อมมาอยู่ในมือเราแค่ค้นหา

‘โค้ชเป้’ พูดกับ ‘วิว กุลวุฒิ’ ระหว่างแข่งรอบชิงฯ แบดโอลิมปิก 2024

(6 ส.ค.67) ความเคลื่อนไหวหลังจากที่ ‘วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ นักแบดมินตันทีมชาติไทย แพ้ ‘วิคเตอร์ แอ็กเซลเซน’ จากเดนมาร์ก ไป 0-2 เกม 11-21 และ 11-21 ในศึกแบดมินตันโอลิมปิก 2024 ประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ คว้าเหรียญเงินมาครอง

ทั้งนี้ โลกออนไลน์ มีการแชร์คลิป ‘โค้ชเป้’ ภัททพล เงินศรีสุข ผู้ฝึกสอนของ กุลวุฒิ พูดให้กำลังใจกับ เจ้าวิว ระหว่างแข่งขัน โดยที่ไม่ได้กดดันนักกีฬาแม้แต่น้อย ทำให้ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก

“พี่บอกแล้วไง เอ็งจะหาประสบการณ์อย่างนี้ไม่ได้แล้ว เอ็งจะแพ้ชนะไม่เป็นไร เอ็งเอาความรู้ ความรู้สึก วิธีคิดวิธีเล่นเอาไปใช้ เรียนรู้จากเขา เขาคือสุดยอด”

ทั้งนี้ จากผลการแข่งขันดังกล่าวทำให้ วิว กุลวุฒิ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักแบดมินตันไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้เหรียญจากโอลิมปิกเกมส์ในระดับเหรียญเงินอีกด้วย

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ผนึก CEO คิงส์ แพ็ค อินดัสเตรียล มอบทุนการศึกษา แก่เยาวชนพิจิตร

เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.67) เวลา 13.00 น. นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ลงพื้นที่มอบทุนการศึกษาให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมตามโครงการ เพิ่มทักษะด้านอาชีพ แก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยเป็นโครงการที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนโครงการ ฯ เพื่อเป็นการฝึกทักษะด้านอาชีพให้เป็นแรงงานมีฝีมือเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน  โดยมีนางสาวน้อยหน่า บางสีองค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพิจิตร ให้การต้อนรับและได้รับเกียรติจากนายสิงหราช วงษ์เสงี่ยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ร่วมในพิธีในครั้งนี้

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ รู้สึกยินดีและขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่นายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกชนิดอ่อนแบรนด์ “ฮีโร่” ได้เห็นความสำคัญของการฝึกอาชีพของเยาวชนไทย โดยได้มอบทุนการศึกษา ทุนละ 6,000 บาท จำนวน 5 ทุน รวมเป็นเงิน 30,000 บาท ให้กับเยาวชนที่ผ่านการฝึกอบรมตามโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพ แก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน 5 คนประกอบด้วย ผู้ที่ได้รับทุนสาขาช่างเชื่อมอารค์โลหะด้วยมือ 3 คน คือ นายวุฒิชัย ใจเอื้อ อายุ 21ปี นายพิพัฒน์ โก่งสอน อายุ 19ปี  นายวุฒิพงศ์ เพ็ชรอำไพ อายุ 19 ปี และผู้ที่ได้รับทุนสาขาช่างตรวจเช็คระยะรถยนต์ 2 คน คือ นายวุฒิคุณ อุกา อายุ 22ปี นายพีรพัฒน์ เมินไธสง อายุ 17 ปี

นางเธียรรัตน์ กล่าวต่อว่า เยาวชนทั้ง 5 คน มีฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน แต่มีความตั้งใจที่จะฝึกทักษะฝีมือ เพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพ เลี้ยงตนเองและครอบครัวโดยกิจกรรมในวันนี้ได้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน  ซึ่งเยาวชนเหล่านี้จะเติบโตและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

สตม.ตามรวบบังหยันหัวโจกขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองข้ามชาติ

ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ ตม.จว.ปัตตานี จับกุมนายซัฟยัน หรือบังหยัน (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.455/2567 ลงวันที่ 5 ก.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหมู่บ้านปาแดลางา ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จว.ปัตตานี

สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 19 คน พร้อมผู้ให้การช่วยเหลือ 2 คน เหตุเกิดที่ถนนสายเอเชียหมายเลข 2 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จว.สงขลา หลังจากนั้นได้ขยายผลการจับกุมพบว่านายซัฟยันหรือบังหยันผู้อยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดครั้งนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันให้ที่พักพิง ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาสืบทราบว่านายซัฟยันฯ มาหลบอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.หนองจิก จว.ปัตตานี จึงประสาน ตม.จว.ปัตตานี บูรณาการกำลังร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.สส.จชต. และ สภ.หนองจิก ไปร่วมตรวจสอบและจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว
สำหรับนายซัฟยันฯ หรือบังหยัน ถือเป็นกลไกสำคัญระดับสั่งการในการลำเลียงแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศจากประเทศกัมพูชาผิดกฎหมายผ่านประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียทางช่องทางธรรมชาติ มีหมายจับจากการกระทำความผิดข้างต้นติดตัวจำนวน 2 หมายจับ จะทำหน้าที่สั่งการประสานงานกับนายหน้าประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดหารถขนแรงงานต่างด้าวครั้งละ 15-20 คน จากพื้นที่ตอนบนมายังภาคใต้ตลอดเส้นทางจนถึงมือนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานหลายเดือนถึงจะพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเคยจับกุมมาแล้ว 3 คดี ในการทลายเครือข่ายครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญในการขนแรงงานผ่านประเทศไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้ถึง 62 คน เป็นคนไทย 10 คน คนต่างด้าว 52 คน ตรวจยึดยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ 8 คัน หลังจากนี้จะควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรัตภูมิเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

2. สตม.ตามรวบบังหยันหัวโจกขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองข้ามชาติ
ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ ตม.จว.ปัตตานี จับกุมนายซัฟยัน หรือบังหยัน (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.455/2567 ลงวันที่ 5 ก.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหมู่บ้านปาแดลางา ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จว.ปัตตานี สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 19 คน พร้อมผู้ให้การช่วยเหลือ 2 คน เหตุเกิดที่ถนนสายเอเชียหมายเลข 2 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จว.สงขลา หลังจากนั้นได้ขยายผลการจับกุมพบว่านายซัฟยันหรือบังหยันผู้อยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดครั้งนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันให้ที่พักพิง ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาสืบทราบว่า นายซัฟยันฯ มาหลบอยู่ที่บ้านพักในเขต อ.หนองจิก จว.ปัตตานี จึงประสาน ตม.จว.ปัตตานี บูรณาการกำลังร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.สส.จชต. และ สภ.หนองจิก ไปร่วมตรวจสอบและจับกุมได้ที่บ้านหลังดังกล่าว

สำหรับนายซัฟยันฯ หรือบังหยัน ถือเป็นกลไกสำคัญระดับสั่งการในการลำเลียงแรงงานต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศจากประเทศกัมพูชาผิดกฎหมายผ่านประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียทางช่องทางธรรมชาติ มีหมายจับจากการกระทำความผิดข้างต้นติดตัวจำนวน 2 หมายจับ จะทำหน้าที่สั่งการประสานงานกับนายหน้าประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดหารถขนแรงงานต่างด้าวครั้งละ 15-20 คน จากพื้นที่ตอนบนมายังภาคใต้ตลอดเส้นทางจนถึงมือนายจ้าง ที่ต้องการใช้แรงงานผิดกฎหมายในประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานหลายเดือนถึงจะพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเคยจับกุมมาแล้ว 3 คดี  ในการทลายเครือข่ายครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญในการขนแรงงานผ่านประเทศไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้ถึง 62 คน เป็นคนไทย 10 คน คนต่างด้าว 52 คน ตรวจยึดยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ 8 คัน หลังจากนี้จะควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรัตภูมิเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top