Monday, 1 July 2024
NewsFeed

รู้จัก 'เจียง ผิง' สาวน้อยมหัศจรรย์แห่งเจียงซู จากเด็กสายอาชีพสู่ตัวท็อปงานแข่งคณิตศาสตร์โลก

(28 มิ.ย.67) วิชาคณิตศาสตร์ อาจเป็นยาขมของใครหลาย ๆ คน ไม่ต่างจากภาษาต่างดาว ที่คุยกันให้ตายก็ไม่เข้าใจ และมักจะคิดว่าคนที่เก่งคณิตศาสตร์ มักเป็นเรื่องของเด็กอัจฉริยะที่เรียนอยู่ในสถาบันชื่อดัง ที่อยู่คนละโลกกับเราแน่ ๆ

แต่ความเชื่อเช่นนี้อาจไม่จริงเสมอไป เพราะยังมีเด็กอัจฉริยะหลังเขาอีกมากมาย ที่สปอร์ตไลท์ส่องไม่ถึง 

แต่ล่าสุดวันนี้ แสงไฟแห่งแวดวงคณิตศาสตร์ต้องจับตามอง เจียง ผิง สาวน้อยวัยเพียง 17 ปี จากมณฑลเจียงซู ผู้สามารถทะลุเข้าสู่รอบไฟนอลการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลก The Alibaba Global Mathematics Competition 2024 

และสามารถจบที่อันดับท็อป 12 จากในบรรดาผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลกที่คัดมาแล้วอย่างเข้มข้นถึง 800 คน ที่ล้วนมาจากสถาบันดัง ๆ ทั้งนั้น อาทิ MIT, Cambridge, ปักกิ่ง. ชิงหวา ไม่เว้นแม้แต่ทีม AI 

ซึ่งในจำนวนผู้เข้าแข่งขันโปรไฟล์ระดับพระกาฬ มี เจียง ผิง คนเดียว ที่ไม่ได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยชื่อเสียงใหญ่โต และที่สำคัญคือ เธอเป็นคนเดียวที่เรียนสายอาชีพด้านการออกแบบแฟชัน ในโรงเรียนมัธยมโนเนมเล็ก ๆ แทบไม่มีใครรู้จัก ในมณฑลเจียงซูเท่านั้น 

Alibaba Global Math Competition จัดโดยบริษัท Alibaba ตั้งแต่ปี 2018 เพื่อเฟ้นหาหัวกะทิด้านคณิตศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 แล้ว เป็นงานแข่งขันทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นงานแข่งขันระดับโลก ที่มีเงินรางวัลสูง และไม่ได้ให้รางวัลสูงสุดแค่ที่ 1 คนเดียว แต่แบ่งเป็นหลายระดับ ได้แก่...

- Gold Award: มีผู้ชนะ 5 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $30,000 

- Silver Award: ผู้ชนะ 10 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $15,000

- Bronze Award: ผู้ชนะ 20 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $8,000

- Honorable Mention: ผู้ชนะ 50 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $2,000 

และยังเปิดโอกาสให้ทีม AI ลงแข่งขันได้ด้วย โดยจะแบ่งการแข่งขันเป็นรอบคัดเลือก ที่จะคัดผู้เข้าแข่งขันเพียง 800 คน เข้าสู่รอบไฟนอล โดยในปีนี้รองไฟนอลแข่งกันเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา

หลังจบการแข่งขัน ทางผู้จัดได้ประกาศผลผู้ชนะอย่างเป็นทางการ ก็ปรากฏชื่อ เจียง ผิง เด็กสาววัย 17 ปี จากโรงเรียนอาชีวะ เหลียนชุย เมืองเล็ก ๆ ในมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน เข้ามาติดในอันดับ Top 12 ของกลุ่มผู้ชนะในรายการปีนี้ 

โดย เจียง ผิง เป็นผู้เข้าแข่งขันคนเดียวในรายการปีนี้ ที่ไม่ได้เรียนสายสามัญ ไม่เคยไปเรียนเมืองนอก ไม่เคยเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ไหนมาก่อน เธอเป็นเด็กสาวจากโรงเรียนอาชีวะธรรมดา ๆ ที่รักในวิชาคณิตศาสตร์ และศึกษามันเป็นงานอดิเรกเท่านั้น แต่สามารถเอาชนะผู้เข้าแข่งขันที่มาจากสถาบันระดับโลกเป็นร้อย เป็นพัน จนติดอันดับ 12 เป็นหนึ่งในผู้ชนะของรายการปีนี้ได้สำเร็จ 

จากความสำเร็จของเจียง ผิง ในรายการนี้ นอกจากที่เธอจะได้รับเงินรางวัล อย่างน้อย 15,000 ดอลลาร์ (มากกว่า 5.4 แสนบาท) แล้ว ยังส่งให้เธอกลายเป็นคนดังในแวดวงวิชาการจีนในทันที และยังได้รับเสียงชื่นชมจากชาวจีนเป็นจำนวนมาก

เนื่องจากในสังคมจีนมักมีค่านิยมว่าเด็กเก่ง ต้องเรียนสายสามัญ ต้องได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง ส่วนเด็กที่เรียนไม่เก่ง หรือสอบเข้าที่ไหนไม่ได้ มักต้องไปเรียนในโรงเรียนอาชีวะ ดังนั้นเรื่องการแข่งขันด้านคณิตศาสตร์รายการใหญ่ระดับนี้ กับเด็กสายอาชีวะ อาจเป็นแค่เรื่องเหมือนฝัน ตัวอยู่ประจวบคีรีขันธ์ แต่ฝันไกลถึงแม่สาย 

แต่กับเจียง ผิง เธอเลือกเรียนสายอาชีวะ ด้านการออกแบบแฟชั่นในโรงเรียนแถวบ้าน เพราะพี่สาว และเพื่อน ๆ ที่สนิทเรียนอยู่ที่นั่น และไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดอะไร จนกระทั่ง หวาง หลันฉิว อาจารย์สอนคณิตศาสตร์ประจำโรงเรียนค้นพบพรสวรรค์ของเธอ เมื่อเขาให้นักเรียนในชั้นทำข้อสอบเลข จำนวน 150 ข้อ ซึ่งนักเรียนในชั้นทำคะแนนได้แค่ค่าเฉลี่ย 50-60 คะแนนเท่านั้น มีเพียง เจียง ผิง คนเดียว ที่สามารถทำได้เกิน 140 คะแนน 

ความสามารถของเจียง ผิง จุดประกายครูผู้สอนให้เขาฝึกฝน เจียง ผิง ด้วยโจทย์คณิตศาสตร์ขั้นสูงที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ นานถึง 2 ปี และยอมรับว่าเธอเป็นคนมีวินัยสูงมาก ในขณะที่เพื่อน ๆ ของเธอได้พัก ได้เล่นเมื่อเรียนจบคาบ แต่เจียง ผิง ต้องมาเรียนเสริมคณิตศาสตร์ ต้องมานั่งแก้โจทย์ยาก ๆ อย่างไม่ย่อท้อ และไม่เคยบ่นสักคำ

เจียง ผิง บอกว่า เธอชอบคณิตศาสตร์ ถึงบางครั้งมันจะยาก แต่ยิ่งยาก ก็ยิ่งมันส์ และอยากเรียนวิชานี้เรื่อย ๆ ไม่เลิกล้มความตั้งใจแน่นอน ส่วนอนาคตเธอจะไปทำงานอะไรหลังเรียนจบนั้นเธอยังไม่ได้คิด แค่ตั้งใจทำเรื่องนี้ให้เต็มที่

แต่ก็ไม่วาย มีหลายคนกังขาถึงความสามารถที่แท้จริงของเจียง ผิง และจับผิดว่า เธอยังใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ไม่ถูกต้อง คลิปการแก้โจทย์คณิตศาสตร์บนกระดานของเธอไม่น่าเชื่อถือ และคนที่อยู่เบื้องหลังอาจเป็น หวัง หลันฉิว อาจารย์เลขของเธอต่างหาก พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความสามารถที่แท้จริงของเจียง ผิง ให้เป็นที่กระจ่าง 

แต่ก็มีชาวเน็ตจีนจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงความคิดเห็นว่า เป็นเพราะคนจีนมีอคติว่าเด็กอาชีวะ ไม่เก่งเลข และในบางครั้งการตีโจทย์คณิตศาสตร์การใช้ สัญชาตญาณ อาจสำคัญกว่าทฤษฎี ซึ่งเจียง ผิง ก็เพิ่งมาฝึกแก้โจทย์คณิตศาสตร์ขั้นสูงกับครูเลขแค่ 2 ปี ดังนั้นก็ไม่ควรคาดหวังว่าเธอจะต้องเขียนสมการตามกฎ ทฤษฎี ออกมาได้อย่างเป๊ะปัง สมบูรณ์ เหมือนคนที่เรียนตรงด้านคณิตศาสตร์ชั้นสูงในสถาบันอุดมศึกษา

ที่สำคัญ ไม่อยากให้เจียง ผิง รู้สึกท้อจากคำวิจารณ์ในโลกออนไลน์ แต่อยากให้ส่งเสริมพรสวรรค์ของเธอให้เติบโต ประดับแวดวงคณิตศาสตร์ในอนาคต 

และยังเชื่อด้วยว่า น่าจะมีอัจฉริยะหลังเขาอย่างเจียง ผิง ตกหล่นอยู่ในเมืองชนบทจีนอีกมากมาย หากรัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ เราจะพบเจอ 'เจียง ผิง' คนต่อ ๆ ไป มากมายขนาดไหน

เช่นเดียวกับ รามานุจัน เด็กทมิฬในครอบครัวยากจนของอินเดีย ที่เริ่มเรียนวิชาเลขในโรงเรียนประถมเล็ก ๆ ห่างไกลความเจริญเมื่อตอน 10 ขวบ จากหนังสือตรีโกณมิติพื้นฐาน ที่จุดประกายความอัจฉริยะจนกลายเป็นนักคณิตศาสตร์ระดับโลกในเวลาต่อมานั่นเอง

'อัษฎางค์' มอง 'LISA-Rockstar' วางแผนมาดี ตี 3 ตลาดหลักของโลก 'ชาวจีนนับพันล้านคน-ตลาดเพลงญี่ปุ่น-ตลาดเพลงภาษาอังกฤษ'

(28 มิ.ย. 67) เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิเคราะห์การเปิดตัวเพลงล่าสุดของ 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล กับ เพลง Rockstar โดยระบุว่า...

เปิดมาแค่เพลงเดียว 'กินเรียบทั่วโลก'

เริ่มจากไทย กับท่อนที่ว่า...
"My BKK so pretty!"
(กรุงเทพฯ ของหนูสวยงามบานฉ่ำ)

อย่าลืมภาพจากเยาวราช China Town 
โกยหัวใจตี๋หมวยกว่าพันล้านคน

กระโดดต่อไปที่ญี่ปุ่น กับท่อนที่ว่า 
"Lisa, can you teach me Japanese? I said,はい, はい" 
(ลิซ่าสอนพูดภาษาญี่ปุ่นให้หน่อย ลิซ่าตอบ ได้สิ ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น)

แต่อย่าลืมว่า เนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ ภาษากลางที่คนทั้งโลกรู้จัก 
“Every city that I go is my city”
(ทุกที่ที่หนูไปคือบ้านของหนู) กวาดใจไปทั้งโลกเรียบร้อย

แถมยังไม่ลืมหวานใจสปอนเซอร์หัวใจ
”Tight dress, LV sent it“
(ชุดสวย ๆ ของหนู LV เขาส่งมาให้น่ะ)

“That's my life, life, baby, I'm a rockstar” 
นี่แหละคือชีวิตของหนู หนูคือร็อกสตาร์

ตลาดเพลงไทยไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เป็นกำลังที่ยิ่งใหญ่ให้น้องลิซ่า
ตลาดแฟนเพลงชาวจีนนับพันล้านคน
ตลาดเพลงญี่ปุ่น ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก
ตลาดเพลงภาษาอังกฤษ ใหญ่ที่สุดในโลก
คิดดูว่า เธอวางแผนมากดีขนาดไหน กินเรียบไปทั้งโลก

เปลี่ยนความ 'เป็นรอง' ให้ 'เป็นพลัง'
เปลี่ยน 'ศัตรูที่แข็งแกร่ง' ให้ 'เป็นพลังขับเคลื่อน'
เปลี่ยน 'ใจ' ของผู้คน ด้วย 'ความดี'
เปลี่ยนชะตาชีวิตได้ ด้วย 'ความเป็นไทย'

และนี่คือ 'Lisa The Rockstar'

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' แนะ!! ให้ สว. ชุดใหม่พิสูจน์ผลงานก่อน ส่วนปมร้องเรียนการทุจริต ขอให้เป็นหน้าที่ กกต. เร่งหาความชัดเจน

(28 มิ.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า ต้องให้โอกาส สว. ที่ได้รับการคัดเลือกมาทั้งหมดได้ทำงานก่อน เพราะได้รับการคัดเลือกมาตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้นคงต้องให้โอกาส สว.ทั้ง 200 คนได้ทำงานก่อน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของ สว. ชุดนี้ก็จะเป็นตัวชี้วัดว่ากระบวนการคัดเลือกด้วยวิธีนี้เหมาะสมหรือไม่ ถ้าผลงานไม่ดีก็อาจจะต้องนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้าผลงานออกมาดีก็ไม่จำเป็นต้องแก้

ส่วนกรณีที่มีบางจังหวัดไม่มี สว. นั้น นายอัครเดช กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่า สว.ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนตั้งแต่แรกมาอยู่แล้ว เพราะเจตนารมณ์ของอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องการให้ สว. เป็นตัวแทนของกลุ่มสาขาอาชีพ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย และต้องการให้ สว. ปลอดการเมือง ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมี สว. ทุกจังหวัด 

“เมื่อเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องการให้ สว. เป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพทุกกลุ่ม การที่บางจังหวัดไม่มี สว. ก็ไม่แปลกอะไร เพราะในทุกจังหวัดก็มีทุกอาชีพ ดังนั้น สว. ที่เข้าไปทำงานก็เป็นตัวแทนของทุกอาชีพในทุกจังหวัดอยู่แล้ว” นายอัครเดช กล่าว 

นายอัครเดช กล่าวต่อถึงกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการคัดเลือก สว. ว่า เป็นหน้าที่ของ กกต. ที่ต้องชี้แจงให้ได้ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. และทุกประเด็นที่เป็นข่าวที่สังคมมีความเคลือบแคลงใจ รวมถึงต้องเร่งสืบสวนสอบสวนให้เกิดความชัดเจน เพื่อความโปร่งใสของ กกต. และเพื่อให้ภาพลักษณ์ของ สว. ที่ผ่านการคัดเลือกมาจะได้มีความสง่างาม

‘พล.ท.นันทเดช’ มอง!! ‘ประเทศไทย’ ไปได้ไกลกว่านี้ แต่กลับถูกบอนไซ ด้วยการปกครองแบบที่คณะราษฎรตั้งใจ

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 67 พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ผลจากการปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475 ทำให้ประเทศไทยไม่ก้าวหน้า (ตอนที่ 2)’ โดยระบุว่า…

1️⃣ จากกรณีที่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงยอมชะลอการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ตามคำท้วงติงว่า “ประชาชนยังไม่พร้อม“ แต่คณะราษฎรได้ชิงตัดหน้าทำการปฏิวัติไปก่อน ทั้งที่ พ.อ.พระยาพหล หัวหน้าคณะราษฎร ก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่บอกให้สมาชิกคณะราษฎรรู้ด้วย ขอให้มาดูที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่ง อ.ปรีดี เป็นผู้ร่างเองนั้นได้มีการตัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ออกไปทั้งหมด โดยระบุไว้ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน แต่กลับมีที่มาของ สส. ที่จะเข้ามาใช้อำนาจแทนประชาชนไม่ได้มาจากประชาชน โดยให้คณะราษฎรแต่งตั้งเองทั้งหมด และวาระการดำรงตำแหน่งก็ถูกขยายยาวไปถึง 10 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลาดังนี้

▪️ช่วงแรก▪️ คณะราษฎร ตั้ง สส. เองทั้งหมด ตามเนื้อความใน รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ระบุว่า “นับตั้งแต่วันใช้รัฐธรรมนูญ จนกว่าจะถึงเวลาที่สมาชิกในสมัยที่ 2 จะเข้ารับตำแหน่งให้คณะราษฎร ซึ่งมีคณะผู้รักษาพระนคร ฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทน จัดตั้ง สส.ชั่วคราวขึ้นมา 70 นาย”

▪️ช่วงที่ 2▪️ ภายใน 6 เดือน หรือจนกว่า ‘การจัดประเทศเป็นปกติเรียบร้อย’ (92 ปีผ่านมาบ้านเมืองก็ยังไม่เรียบร้อย) สมาชิกสภาจะต้องมีบุคคล 2 ประเภท ทำกิจกรรมร่วมกัน คือ ‘ประเภทที่ 1’ ให้ราษฎรเลือกผู้แทนขึ้นมาจังหวัดละ 1 คน (เกินแสนคนได้อีก 1 คน ) ‘ประเภทที่ 2’ ให้สมาชิกในช่วงแรกที่คณะราษฎรแต่งตั้งไว้ เลือกกันเองมีจำนวนเท่ากับ ส.ส.ประเภทที่ 1 

▪️ช่วงที่ 3▪️ เมื่อราษฎรทั่วประเทศสอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาเกินครึ่ง และไม่เกิน 10 ปี ให้มีแต่ สส.ที่ราษฎรเลือกเข้ามาทั้งหมด

รัฐธรรมนูญที่ อ.ปรีดีเขียนนั้น เห็นได้ว่ามีเจตนาถ่วงเวลาที่ประชาชนจะต้องมีความรู้ไว้นานถึง 10 ปี ซึ่งก็แสดงว่าคณะราษฎรเอง ก็ทราบดีว่าถ้าประชาชนยังไม่พร้อม ประชาธิปไตยเละแน่ ซึ่งก็ตรงกับเหตุผลที่รัชกาลที่ 7 ทรงยอมชะลอการพระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ก่อน แต่ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็จะทำให้คณะราษฎร มี สส.เสียงข้างมากอยู่ในสภาตลอดมา จึงอ้างอิงมติของสภา ทำอะไรก็ได้ทุกเรื่อง 
อย่างไรก็ตาม อ.ปรีดี ได้พูดถึงเรื่องนี้ในรายงานสภาครั้งที่ 40/2475, ลง 27 พ.ย. 2475 เหมือนกัน ดังนี้ครับ 

“การที่มีสมาชิกผสมในสมัยที่ 2 นั้น ไม่ใช่ประสงค์ที่จะหวงอำนาจ ความข้อนี้มีผู้เข้าใจไปต่างๆ  สุดแต่เขาจะกล่าวหาว่า ประสงค์จะเป็นดิกเตเตอร์ (เผด็จการ) บ้าง อะไรบ้าง ความจริงไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย การที่เราจำเป็นต้องมีสมาชิกประเภทที่ 2ไว้กึ่งหนึ่ง ก็เพื่อช่วยเหลือ ส.ส.ในขณะนั้นที่เพิ่งเริ่มมีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ เราย่อมทราบอยู่แล้วว่า มีราษฎรอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอที่จะจัดการปกครองป้องกันผลประโยชน์ของตนเองได้บริบูรณ์ ถ้าขืนปล่อยมือให้ราษฎรเลือกผู้แทนโดยลำพังในเวลานี้แล้ว ผลร้ายก็จะตกอยู่กับราษฎรเอง…” 

▪️หลังการปฏิวัติ คณะราษฎรไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนมากนัก จึงพยายามหาทางประนีประนอม กับสถาบันฯ ซึ่งคาดเดาได้ 2 ทาง 

(1) ในทางที่ดี คณะราษฎรเห็นพ้องกับในหลวงรัชกาลที่ 7 ว่าประชาชนยังไม่พร้อมจริง ซึ่งกรณีนี้ เป็นแนวคิดของคณะราษฎรสายทหารเกือบทั้งหมด รวมทั้ง อ.ปรีดีด้วย 

และ (2) ในทางไม่ดี คณะราษฎรเห็นว่าอำนาจของฝ่ายตน ยังไม่มั่นคง เพราะคณะราษฎรในสายทหารส่วนหนึ่งหันกลับมาสนับสนุนการคืนบทบาทให้พระมหากษัตริย์จึงควรหาทางประนีประนอมชะลอเวลาไว้ก่อน 

ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับถาวร จึงมีการประนีประนอม ถวายพระเกียรติแก่องค์พระมหากษัตริย์เพิ่มขึ้น เช่น มีการทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษ ของคณะราษฎรอย่างเต็มรูปแบบขึ้น, รัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะราษฎร ใช้คำว่า ‘กษัตริย์’ เฉย ๆ แต่ฉบับถาวรใช้คำว่า ‘พระมหากษัตริย์’, การให้สิทธิคัดค้านของพระมหากษัตริย์ (สิทธิ VETO) ถ้าพระองค์ไม่เห็นด้วยกับ พระราชบัญญัติ และ เมื่อครบ 10 ปีแล้ว จะมีการเลือกตั้ง สส.ใหม่ทั้งหมด โดยแบ่ง สส.ออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) สส.ประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้งของราษฎร และ (2) สส.ประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ 

▪️ สรุป การปฏิวัติของคณะราษฎร จึงเป็นการกระทำที่นักวิชาการหลายคนเรียกว่า ‘ชิงสุกก่อนห่าม’ เมื่อประชาชนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ความสับสนวุ่นวายจึงเกิดขึ้นเกือบทุกปี จนกลายเป็นเรื่องที่ผลักดันให้ คณะราษฎร แตกแยกกันอย่างรุนแรง จนต้องแก้ไขปัญหา โดยการ ‘ใช้อำนาจจากกระบอกปืนแทนอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย’ เป็นวงล้อหมุนเวียนกันไปมาตลอด 25 ปี ที่สมาชิกคณะราษฎร ครอบครองอำนาจอยู่ 

ตามข้อเท็จจริงแล้ว คณะราษฎรเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 100 คน ไม่ใช่องค์กรการต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพ แบบประเทศเพื่อนบ้าน เพราะประเทศไทยเป็นเอกราชเจริญรุ่งเรืองคู่กันมากับญี่ปุ่น จึงทำให้คณะราษฎร มีฐานการสนับสนุนจากประชาชนอย่างจำกัดมาก การเร่งร้อนออกมาจัดตั้งสมาชิกของคณะราษฎรจึงล้มเหลว รวมไปถึงการโหมโฆษณาเรื่องความดีของรัฐธรรมนูญด้วย การเอารถถังไปวิ่งที่ รร.สวนกุหลาบ หรือที่จุฬา การฟ้องร้องกลุ่มเจ้าฯ ยาวไปถึงองค์ในหลวงรัชกาลที่ 7 ฯลฯ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะคนไทยชอบอยู่กันอย่างสงบ ๆ สบาย ๆ ไม่ได้วิตกกังวลว่าจะปกครองระบอบอะไร และไม่ชอบให้ใครมาข่มขู่อีกด้วย ดังนั้นการสูญเสียเวลาไปเกือบ 25 ปีของคณะราษฎร ก็เท่ากับการชะลอความก้าวหน้าของประเทศไทยไว้ด้วย 

▪️ผมอ่านประวัติศาสตร์ที่ อ.ชาญวิทย์ เขียนไว้ ตั้งแต่มียศร้อยเอก ก็นิยมชมชื่นว่า อ.เป็นนักวิชาการที่ทรงความรู้ แต่ปัจจุบัน เมื่อ 18 พ.ค. 67 นี้ไปอ่านเรื่องที่ อ.ชาญวิทย์ไปพูดไว้ที่ฝรั่งเศส พบว่า ก็อ่อมแอ่มพูดไป ข้ามข้อมูล ที่เป็นเรื่องสมควรจะนำมาพิจารณาในส่วนที่ดีไปแยะ น่าจะเป็น เพราะเกรงใจคนจัด (คุณธนาธร) เรื่องนี้ คงเก็บไว้เขียนถึงในตอนที่ 3 นะครับ ตอนนี้ขอให้ชวนกันไปดูภาพยนตร์ ‘แอนิเมชั่น 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ตามยูทูปต่าง ๆ กันไปก่อนนะครับ เพื่อประกอบการทบทวนความจริงแบบย่อ ๆ น่ะครับ

ร้อยเอ็ด..นายกฯ เศรษฐา ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ติดตามการแก้ปัญหายาเสพติด ในพื้นที่อำเภอธวัชบุรี

วันนี้( 28 มิถุนายน 2567 ) เวลา 13.20 น. ที่ วัดโกศลรังสฤษฎี ตำบล อุ่มเม้า อำเภอธวัชบุรี ร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดศึกษาต้นแบบ การบูรณาการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ อำเภอธวัชบุรี

โดยมี นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พรอ้มด้วย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชน เข้าร่วมติดตาม โดยจังหวัดร้อยเอ็ด บูรณาการร่วมกับ ทหาร ตำรวจ สาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดพื้นที่อำเภอธวัชบุรี เป็นพื้นที่ต้นแบบในจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งผลจากการ Re x-ray พื้นที่ 12 ตำบล 147 หมู่บ้าน มีจำนวน 26,72 คน มีผลปัสสาวะเป็นบวก 1,538 คน เป็นสีแดง 8 คน สีส้ม 3 คน สีเหลือง 63 คน และสีเขียว 1,464 คน ซึ่งผู้ที่ตรวจพบจะได้รับการบำบัดรักษาฟื้นฟู

โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน มีการวางระบบบริหารจัดการผู้เสพยาเสพติดตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ไปจนถึงการติดตามช่วยเหลือฟื้นฟูสภาพทางสังคม ที่คำนึงถึงความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้บำบัดให้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ดังเดิม รวมทั้งมีแนวทางที่จะขยายหน่วยบริการบำบัดให้ครอบคลุมในทุกอำเภอ

จากนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยัง โรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม ตำบลนิเวศน์ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเยี่ยมชมการเรียนการสอน และได้พบปะกับน้องๆนักเรียน พร้อมบอกว่า เยาวชนซึ่งกำลังเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของชาติ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงจรของยาเสพติด ซึ่งผู้ปรกครองและครูต้องดูแลและอธิบายให้เด็กเข้าใจ และรับรู้ถึงโทษจากการใช้ยาเสพติด

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ให้ทำงานด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้ผลการจับกุมจะมียอดที่สูง แต่ปัญหานี้ยังไม่หมดสิ้น ขอให้พยายามมุ่งมั่นทำงานต่อไป และเน้นย้ำว่ารัฐบาลทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ได้พูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นประจำ ขอให้ส่วนราชการร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการ รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าเกิดติดปัญหาขาดแคลนเรื่องใด ขอให้บอกมารัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่

โกสิทธิ์/ร้อยเอ็ด(ห)
081-377-2689

‘เดโมแครต’ เครียด!! ‘ไบเดน’ สภาพแย่ ‘ดีเบตรอบแรก’ ทั้ง ‘ไอ-เสียงแหบ-พูดซ้ำคำเดิม’ ส่ง ‘ทรัมป์’ ชนะใส

(28 มิ.ย. 67) บลูมเบิร์กของสหรัฐฯ รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแสดงความผิดพลาดมากมายระหว่างการดีเบตรอบแรก ยิ่งเป็นแรงส่งให้เกิดความวิตกมากขึ้นถึงอายุที่สูงวัยของเขาและการที่เขาจะทำให้การหาเสียงประสบความสำเร็จและเอาชนะในการเลือกตั้งปลายปีได้อย่างไร

บนเวทีบลูมเบิร์กชี้ว่า ไบเดนนั้นทั้งไอ เสียงแหบ พูดซ้ำประโยคเดิม หยุดนิ่งไม่ไหวติง และเขายังพูดติด ๆ ขัด ๆ เมื่อกล่าวถึงตัวเลขเป็นต้นว่า จำนวนของงานที่สร้างใหม่ในสมัยของเขา การจำกัดเพดานจำนวนเงินสูงสุดที่ประชาชนอเมริกันต้องจ่ายสำหรับค่ายารักษาโรคและอินซูลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของไบเดนในการให้ได้รับเลือกกลับเข้ามา ซึ่งในสหรัฐฯ ดินแดนเสรีนิยมที่มีค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูง

การแสดงออกของไบเดนซึ่งเป็นที่น่าผิดหวังของไบเดนยิ่งทำให้ฝ่ายพรรครีพับลิกันลิงโลด และกระพือไฟโหมความอ่อนแรงและชราภาพของไบเดนให้ปรากฏ

ทรัมป์ฮุกหมัดใส่ไบเดนระหว่างเขาพลาดในประเด็นผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ

ทรัมป์กล่าวว่า “ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขาได้พูดอะไรออกมาในสิ่งนี้ และผมไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าถึงในสิ่งที่เขาได้เอ่ย”

บลูมเบิร์กรายงานว่า แต่ใช่ว่าทรัมป์จะทำผลงานดี เพราะเมื่อผู้จัด CNN ถามเขาเกี่ยวกับปัญหาโอปิออยด์ (opioid) ที่กำลังทำร้ายอเมริกันชน อดีตผู้นำสหรัฐฯ โบ้ยตอบเรื่องนักข่าววอลล์สตรีทเจอร์นัลถูกรัสเซียควบคุมตัวแทน และโกหกคำโตด้วยการกล่าวอ้างบรรดาผู้สนับสนุนกบฏบุกรัฐสภา 6 ม.ค. ปี 2021 นั้นได้รับเชิญให้เดินเข้าไปภายในรัฐสภาสหรัฐฯ

โพลด่วนของ CNN จัดทำโดย SSRS ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ชมการดีเบตส่วนใหญ่ลงความเห็นให้ทรัมป์ชนะเหนือไบเดน

โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ลงทะเบียนและได้ชมการดีเบตรอบแรกคืนวันพฤหัสบดี (27) 67% ต่อ 33% ชี้ว่า ทรัมป์แสดงความสามารถในการดีเบตได้ดีกว่า

ซึ่งก่อนการดีเบต พบว่ากลุ่มผู้ร่วมแบบสอบถามคนเดิมกล่าวว่า 55% ต่อ 45% ที่คาดว่าทรัมป์จะแสดงความสามารถในการดีเบตได้ดีกว่าไบเดน

และโพลด่วนของ CNN พบว่าผู้ชม 8 ใน 10 หรือราว 81% ต่างชี้ว่า การดีเบตไม่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ส่วนอีก 14% ชี้ว่าการดีเบตทำให้คนเหล่านี้กลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้งแต่ไม่เปลี่ยนใจ ส่วนอีก 5% กล่าวว่าเปลี่ยนใจจากผู้สมัครที่ตั้งใจจะเลือกก่อนหน้า

เดอะการ์เดียนชี้ว่า อดีตผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของไบเดน เคท เบดิงฟิลด์ (Kate Bedingfield) แสดงความเห็นต่อผลงานของไบเดนว่า ‘มันเป็นการแสดงความสามารถดีเบตที่น่าผิดหวังของประธานาธิบดีโจ ไบเดน’

ขณะที่อดีตนักวางแผนทางยุทธศาสตร์ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เดวิด แอ็กเซิลร็อด (David Axlerod) กล่าวว่า พวกเดโมแครตพากันวิตกเป็นอย่างมากและกำลังสงสัยว่าประธานาธิบดีไบเดนสมควรไปต่อในการเดินหน้าหาเสียงเลือกตั้ง

‘พีระพันธุ์’ ตรึงราคา LPG 3 เดือน ก.ค. - ก.ย. 67 พร้อมชงช่วยค่าน้ำมันบัตรคนจน 120 บ./ด. นาน 3 เดือน

เมื่อวานนี้ (27 มิ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 2/2567 (ครั้งที่ 66) ซึ่งเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting) โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านพลังงาน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย และเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตการณ์ราคาพลังงานในอนาคต

นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการบริหารจัดการด้านพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน และมีการสรุปบทเรียนที่ได้จากการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาที่ผ่านมา รวมทั้งข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินงานต่อไป

โดยที่ประชุมเห็นควรให้มีการจัดทำเป็นแผนงาน/ข้อริเริ่มโครงการ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบให้มีความยืดหยุ่นในการบังคับใช้ช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบัน ทางคณะทำงานฯ กำลังเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการเตรียมพร้อมและมาตรการบริหารวิกฤตการณ์พลังงาน (พ.ศ. 2566 - 2570) โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 เพื่อกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนแผนงาน/ข้อริเริ่มโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรตั้งแต่ภาวะปกติ แนวทางการบูรณาการที่จำเป็นของประเทศ และการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน และได้มีมติให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีกรอบเป้าหมายเพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) พิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซ LPG ต่อไป

นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวถึง ความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้เปราะบางในช่วงที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องตลอดปี 2567 เนื่องจากปัจจัยด้านราคาในตลาดโลก โดยที่ประชุมได้พิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาน้ำมันสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 13,570,169 ราย และเป็นประชาชนกลุ่มเปราะบางที่แท้จริง

โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ ‘มาตรการบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ซึ่งจะให้สิทธิเพิ่มวงเงินช่วยเหลือค่าน้ำมัน (กลุ่มเบนซิน และกลุ่มดีเซล โดยให้ใช้กับยานพาหนะ) แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 120 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานหารือ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สถาบันการเงิน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอเรื่องขออนุมัติหลักการจากคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มสถานีบริการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ และช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

‘สุริยะ’ อัปเดตความคืบหน้า ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ ปักธง!! เข็น ‘ทุกสี-ทุกสาย’ เข้าร่วมภายในเดือน ก.ย.68

(28 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ยืนยันว่านโยบายนี้จะแล้วเสร็จ รถไฟฟ้าทุกสีทุกสายจะมีค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสายตามเป้าหมายในเดือน ก.ย. 2568

ทั้งนี้ในปัจจุบันกระทรวงฯ อยู่ระหว่างเจรจากับเอกชนคู่สัญญา และผลักดันพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เพื่อให้มีผลในการปรับโครงสร้างและบูรณาการรถไฟฟ้าทุกโครงการ

"การปรับลดราคาค่าโดยสารนั้น รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อสัญญาสัมปทาน เพราะรัฐบาลจะจัดหาวงเงินชดเชยรายได้ที่หายไป" นายสุริยะ กล่าว

ขณะเดียวกันในปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางจัดหาเงินชดเชย คาดว่าจะจัดตั้งเป็นกองทุนตั๋วร่วมที่นำเงินมาจากหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน การสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล และรายได้ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)

ส่วนผลการศึกษาเบื้องต้น คาดว่าจะจัดใช้วงเงินชดเชยประมาณ 8 พันล้านบาทต่อปี โดยหากปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ปริมาณจ่ายเงินชดเชยก็จะลดลงอย่างต่อเนื่อง 

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกเส้นทางให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายในปี 2568

จากข้อมูลการศึกษาล่าสุด มั่นใจว่าในช่วงกลางปี 2568 จะสามารถนำรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว 3 สายในปัจจุบัน เข้าร่วมนโยบายดังกล่าว ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง
เนื่องจากทั้ง 3 โครงการดังกล่าว อยู่ภายใต้การดูแลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สามารถเจรจากับเอกชนคู่สัญญาและปรับลดราคาค่าโดยสารได้ ซึ่งทางภาครัฐจะจัดหาเงินชดเชยรายได้ที่หายไป โดยไม่ให้กระทบต่อสัญญาสัมปทาน

“ขณะนี้รถไฟฟ้าที่พร้อมจะปรับราคาตามนโยบาย 20 บาทตลอดสาย จะเป็นรถไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การกำกับของ รฟม. ส่วนรถไฟฟ้าสายอื่นที่มีสัญญาสัมปทาน เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็คงต้องรอให้ พรบ.ตั๋วร่วมมีผลบังคับใช้ จะมีผลในการปรับโครงสร้างราคาค่าโดยสาร ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลภายในปี 2568” นายสุริยะ กล่าว

สำหรับปัจจุบันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่มใช้ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยจากข้อมูลตั้งแต่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2566 จนถึงวันที่ 31 พ.ค.2567 หรือประมาณ 7 เดือนครึ่ง พบว่า ปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยรวม 2 สาย 20.86 ล้านคน เพิ่มขึ้น 17.94%

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 66 (16 ต.ค.2565-31 พ.ค.2566) ซึ่งผู้โดยสารอยู่ที่ 17.68 ล้านคน โดยสายสีแดง ผู้โดยสาร 6.21 ล้านคน เพิ่มขึ้น 27.61%

นอกจากนี้สายสีม่วง ผู้โดยสาร 14.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.53% ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้บริการ ส่งผลให้การสูญเสียรายได้ของทั้ง 2 สายลดลงจากที่คาดการณ์ว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี

‘อัญยา เมดิเทค’ ผนึกกำลัง ‘เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง’ ต่อยอด ‘DoCare’ ใช้ติดตาม-วิเคราะห์-แก้ปัญหาการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

(28 มิ.ย. 67) บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันระบบงานวิศวกรรม อาคารแบบครบวงจรในรูปแบบ System Integrator และ บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด ผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ ที่จะนำนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลมายกระดับของการให้บริการแก้ปัญหาการนอนหลับให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

ความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกันในครั้งนี้ บริษัท Nexter Living ได้นำเอาระบบ DoCare - Smart Technology for Healthy Living ซึ่งเป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่ช่วยให้คนไข้สามารถได้รับการดูแลที่ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บ้าน มาใช้งานร่วมกับการให้บริการทางการพยาบาลและการแพทย์ของ บริษัท อัญยา เมดิเทค

นางสาวทักษอร คงคาประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด เปิดเผยว่า อัญยา เมดิเทค เป็นผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ที่มีจุดเริ่มต้นจากการอยากให้ทุกคนได้รับการช่วยเหลือให้นอนหลับได้ดีขึ้น และมีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ อัลไซเมอร์ และโรคร้ายต่าง ๆ การนอนไม่มีคุณภาพจึงเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม ซึ่งตลอดการดำเนินงานร่วม 4 ปี อัญยา เมดิเทค ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านยอดจำหน่าย และผู้ที่เข้ารับการรักษา โดยความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท Nexter Living ในครั้งนี้จะช่วยในเรื่องการปรับปรุงรูปแบบการให้บริการลูกค้าของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ดีที่สุด

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัท Nexter Living ที่เป็นกลุ่มธุรกิจในเครือของเอสซีจี บริษัทชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลและให้บริการของเราให้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ยังทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย” นางสาวทักษอร กล่าวทิ้งท้าย

ระบบ DoCare - Smart Technology for Healthy Living เป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่พัฒนาโดย บริษัท Nexter Living ที่จะช่วยให้คนไข้ได้รับการดูแลที่ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บ้านของตัวเอง ช่วยลดเวลาการเดินทางไปศูนย์ให้บริการในกรณีที่ไม่จำเป็น ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถเก็บข้อมูลสุขภาพแบบอัตโนมัติ แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดไปที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลได้ในทันที ซึ่งระบบ DoCare มีเทคโนโลยีการตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับที่แม่นยำสูงสามารถส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ผู้ติดตามผลได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเรื่องการดูแลสุขภาพและช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น

นายดุสิต ชัยรัตน์ Smart Home Living Solution Director บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด เปิดเผยว่า ระบบ DoCare เป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่มีความแม่นยำสูงสามารถติดตามและดูแลสุขภาพคนไข้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากเทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับแล้ว ระบบ DoCare ยังมีเทคโนโลยีตรวจจับการล้ม และการขอความช่วยเหลือฉุกเฉินแบบไร้สาย ที่ช่วยยกระดับด้านการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยจากที่บ้านอีกด้วย ซึ่งระบบ DoCare จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการดูแลติดตามคุณภาพการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น 

นายดุสิต ชัยรัตน์ กล่าวต่อว่า “เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง เป็นผู้ให้บริการโซลูชันระบบงานวิศวกรรม อาคารแบบครบวงจรที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผสมผสานกับงานบริการ เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาวะที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยความร่วมมือทางธุรกิจกับ อัญยา เมดิเทค เป็นโอกาสที่ดีในการนำเอานวัตกรรม DoCare ของบริษัทมาช่วยให้เกิดประโยชน์ต่องานบริการด้านสุขภาพให้กับผู้คน”

ความร่วมมือทางธุรกิจของ บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด และ บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด ในครั้งนี้ได้นำนวัตกรรม DoCare ระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่ช่วยให้คนไข้ได้รับการตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับอย่างแม่นยำและต่อเนื่องจากที่บ้าน มาผสานการให้บริการจากผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประสบปัญหาการนอนไม่มีคุณภาพไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่หลับ การนอนละเมอ รวมถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มีอันตรายค่อนข้างมาก ให้สามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วโดยที่ไม่จำเป็นเดินทางไปโรงพยาบาลในกรณีที่ไม่จำเป็นอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ อัญยา เมดิเทค (Anya Meditec) โทรศัพท์ 061-271-1477 Facebook https://www.facebook.com/AnyaMeditec/ หรือ https://anyameditec.com

ไทยเล็งเก็บ ‘Carbon Tax’ เป็นชาติที่ 2 ในอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ กำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนฯ คาด!! ดีเดย์ปลายปี 68

(28 มิ.ย. 67) Business Tomorrow รายงานว่า กรมสรรพสามิตไทย ได้เปิดเผยถึงการเตรียมใช้ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกภาคบังคับเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หวังให้ผู้ส่งออกใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM

ทั้งนี้ การกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนในรูปแบบภาคบังคับจะสามารถนำไปนำไปใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ที่อียูจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าไปยังอียูในปี 2569 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกในระยะแรก

คาดว่าภาษีคาร์บอนของไทยสามารถบังคับใช้อย่างเร็วสุดภายในปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567) เพื่อให้ทันการเก็บค่าธรรมเนียม CBAM ในปี 2569 ขณะที่ พ.ร.บ. Climate Change ที่จะเป็นกฎหมายเพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับในรูปแบบ ระบบ Emission Trading Scheme (ETS) น่าจะบังคับใช้ได้ในปี 2572

>> ค่าธรรมเนียม Carbon Tax ของไทยจะอยู่ที่เท่าไหร่ ?

ดังนั้น ในระยะแรกจึงเป็นเรื่องที่ดี หากมีการปรับใช้ภาษีคาร์บอนโดยใช้หลักการแปลงภาษีสรรพสามิตที่เดิมมีการผูกกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ภาษีน้ำมัน ภาษีรถยนต์ ให้อยู่ในรูปของภาษีคาร์บอน เพื่อไม่สร้างภาระทางภาษีเพิ่มแก่ประชาชน และสามารถให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์ในระหว่างรอกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับจาก พ.ร.บ. Climate Change ในภายหลัง 

ทั้งนี้ประเทศไทยอาจกำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งน้อยกว่าราคาคาร์บอนของอียู (EU ETS) หรือ Carbon Tax ของสิงคโปร์ที่อยู่ที่ประมาณ 2,700 และ 700 ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การมีกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในรูปแบบภาคบังคับจะช่วยผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปยัง EU หรือประเทศที่มีการใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ลดหย่อนค่าธรรมเนียมที่จะต้องจ่ายให้แก่ประเทศที่บังคับใช้ได้

ทั้งนี้ ผลกระทบอาจแบ่งเป็น 2 ระยะ

- ระยะแรก ผู้ส่งออกใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM โดยไม่มีภาระภาษีภายในประเทศเพิ่ม เนื่องจากใช้ภาษีสรรพสามิตแปลงมาเป็นภาษีคาร์บอน ในช่วงก่อนมี พ.ร.บ. Climate Change ทั้งนี้ภาครัฐควรจัดหากลไกกองทุนเพื่อนำรายได้ดังกล่าวสนับสนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดด้วย

- ระยะหลังจากที่ พ.ร.บ. Climate Change บังคับใช้ จะมีกลไก Emission Trading Scheme และการกำหนดพิกัดอัตราภาษีคาร์บอนที่ยังไม่เก็บอยู่เดิม จะส่งผลต่อต้นทุนของผู้ผลิตในอุตสาหกรรมภายในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นไปตามบริบทของการดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top