Monday, 24 June 2024
NewsFeed

'ปราชญ์ สามสี' ตั้งข้อสังเกต 2567 คืนชีพขบวนการล้มเจ้าด้วยทริกใหม่ 'ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้-สิ่งที่เสียหาย-ควบคุมไม่ได้' ออกจากขบวนการ

(21 พ.ค.67) เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

จับได้สถานการณ์หลังจากนี้นะครับ

เราจะเห็นได้ว่าแม้ว่าตัวแปรทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง จะย้ายค่ายย้ายสี

แต่จะเห็นชัดในปี 2567 นี้คือการก่อร่างสร้างตัวของขบวนการโจมตีสถาบัน ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

"มีการโอนถ่ายอำนาจเปลี่ยนจากผู้นำทำความคิดรุ่นเก่าไปสู่ผู้นำทางความคิดรุ่นใหม่..."

ถ้าเปรียบเป็นบ้านก็คือมีการเดินสายไฟใหม่
เปลี่ยนหม้อแปลงจ่ายไฟ...หันมาใช้เงินภาษีมากขึ้น

"ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้ สิ่งที่เสียหาย หรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้...ออกไปจากขบวนการ"

ทั้งในเรื่องการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ และการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูซ้ำรอยด้านประวัติศาสตร์จะมีให้เห็น

โดยมีฐานเชิงสัญลักษณ์อยู่ที่ฝรั่งเศสนั่นแหละ

‘ญี่ปุ่น’ ติดฉากกั้นสีดำบังวิว ‘ภูเขาไฟฟูจิ’  อวสานจุดเช็กอิน นักท่องเที่ยว ‘ไร้วินัย’

(21 พ.ค.67) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่าการได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิถึงจะเรียกได้ว่าเดินทางถึงญี่ปุ่นจริง ๆ และเมืองฟูจิคาวากุจิโกะก็เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่ได้รับความนิยมมากจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงร้องเรียนจากคนท้องถิ่นว่าแขกผู้มาเยือนเหล่านี้มักจะทิ้งขยะเรี่ยราด รุกล้ำพื้นที่ หรือแม้กระทั่งฝ่าฝืนกฎจราจร เพื่อที่จะได้รูปในมุมที่สวยที่สุดเอาไปแชร์ลงโซเชียลมีเดีย

ชาวเมืองเล่าว่า นักท่องเที่ยวบางคนจอดรถในที่ห้ามจอด ไม่สนป้ายคำเตือนห้ามสูบบุหรี่ และไปยืนออกันอยู่บนบาทวิถี เพื่อจะถ่ายรูปกับร้านสะดวกซื้อซึ่งมีวิวยอดภูเขาไฟที่มีหิมะปกคลุมเป็นฉากหลัง

ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่ของเมืองเริ่มนำฉากตาข่ายสีดำขนาดกว้าง 2.5 เมตร ยาว 20 เมตร มาติดตั้งตรงจุดเช็กอินถ่ายรูปจนแล้วเสร็จเมื่อช่วงสาย ๆ ที่ผ่านมา ตามรายงานของผู้สื่อข่าวเอเอฟพี

“ฉันหวังว่าตาข่ายนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มีใครทำกิจกรรมอันตรายบริเวณนี้อีก” มิจิเอะ โมโตโมจิ วัย 41 ปี เจ้าของร้านขนมหวานพื้นบ้านญี่ปุ่นในพื้นที่บอกกับเอเอฟพี

ด้าน คริสตินา รอยส์ นักท่องเที่ยวชาวนิวซีแลนด์ วัย 36 ปี ออกมาบ่นด้วยความเสียดายว่า “ฉันรู้สึกผิดหวังที่พวกเขาเอาตาข่ายมาติดตั้ง ตรงนี้มันเป็นจุดถ่ายรูปที่เยี่ยมมาก แต่ก็เข้าใจได้ พวกเรามาถึงตั้งแต่คืนวานนี้ และได้ถ่ายรูปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะมีการติดตั้งฉาก และมีคนจำนวนมากที่ทำแบบเรา”

“จะว่าไปมันก็อันตรายอยู่ เพราะมีรถยนต์ขับไปมาบนถนน ยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่พวกคุณสามารถถ่ายภาพกับภูเขาไฟฟูจิได้”

ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเยือนมากเป็นประวัติการณ์ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่งทะลุ 3 ล้านคนต่อเดือนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และอีกครั้งในเดือน เม.ย.

นักท่องเที่ยวที่จะใช้เส้นทางยอดนิยมปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิในฤดูร้อนปีนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 2,000 เยนต่อคน โดยทางการยังได้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยววันละไม่เกิน 4,000 คนเพื่อลดปัญหาความแออัด

‘สภ.นิคมพัฒนา’ โปรโมตห้องพักหลุดจอง ขนาดไม่เล็ก-แต่งมินิมอล พร้อมติดโปรฯ เด็ด ‘ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม’

(21 พ.ค. 67) กลายเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อเพจ ‘สถานีตำรวจภูธรนิคมพัฒนา’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ด่วน!! ห้องว่างหลุดจอง สภ.นิคมพัฒนาตามสโลแกน “ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม” 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ขนาด 56 ตร.ม. (ไม่เล็กนะครับ) ห้องสวย พื้นทาสีเขียวลงมัน อากาศถ่ายเทดี มีมุ้งลวด เหล็กดัด พัดลมแบบบิ้วอิน มีความมั่นคงแข็งแรง

มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชม. แต่งครบจบสไตล์แบบวินเทจแอนด์มินิมอล์ ข้างนอกกะทัดรัดแบบมินิมอล์ ข้างในโอ่โถงอลังการแบบลัคชูรี่ “ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม” ครับ”

พร้อมภาพห้องขังขนาดกะทัดรัด มีตำรวจ 3 นายยืนอยู่ โดยโพสต์ดังกล่าวมีคนกดไลก์กว่า 5.3 หมื่น คอมเมนต์อีก 4 พัน และยอดแชร์ 1 หมื่นครั้ง 

'อัครเดช' ห่วงไทยไร้มาตรฐานดับเพลิงไหม้จากแบตฯ รถ EV เตรียมตั้งคณะกรรมเร่งศึกษาเรื่องนี้ต่อรัฐบาลโดยเร็ว

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงมาตรการในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้จากยานยนต์ไฟฟ้าและโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ว่า...

จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน ทำให้พบว่ามาตรการระงับเพลิงไหม้และการควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ของประเทศไทยยังต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับรูปแบบของการประกอบอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ตั้งเป้าเป็นประเทศของศูนย์กลางในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกพบว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ที่ประมาณ 170,000 คัน สถานีชาร์จไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 2,500 แห่ง กระจายทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีสถานีชาร์จไฟฟ้าในอาคารบ้านเรือน และตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจรวมถึงมาตรการอุปกรณ์ในการระงับเพลิงไหม้และควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ในลิเทียมไออน ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้านั้น ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจมาตรการการควบคุมอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการดำเนินการระงับเหตุเพลิงที่เกิดจากการลุกไหม้ของ ลิเทียมไอออน 

ด้วยเหตุนี้ กมธ.อุตสาหกรรมจึงได้ประสานงานและ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของไฟที่ลุกไหม้จากลิเทียมไอออนหรือแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งวิธีการระงับเหตุเพลิงไหม้และผลกระทบจากเพลิงไหม้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงคู่มือและฝึกอบรมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงของเหตุเพลิงไหม้ และความปลอดภัยในด้านอื่นๆ พร้อมผลักดันให้มีการทดสอบสารเคมีที่สามารถช่วยในการระงับเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ ทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้แนะให้หน่วยงานภาครัฐเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุเพลิงไหม้และการควบคุมเพลิงไหม้จากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ทำมาจากลิเธียมไอออน รวมถึงเพลิงไหม้โรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวและโรงงานผลิตรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมเป็นอุปกรณ์ติดรถยนต์อีกด้วย โดยกรรมาธิการอุตสาหกรรมจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวนำเสนอรัฐบาลเป็นวาระเร่งด่วนต่อไป

‘เศรษฐกิจสีชมพู’ โอกาสที่ ‘ไทย’ ไม่ควรมองข้าม ดึงกลุ่ม ‘LGBTQ+’ ผู้มีกำลังซื้อมหาศาลเข้าประเทศ

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ก่อนจะถึงเดือนมิถุนายน เดือน Pride Month ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปิดรับความหลากหลายทางเพศที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดเดิม ๆ อยากพาทุกคนมารู้จักกับ ‘เศรษฐกิจสีชมพู’ หรือ ‘Pink Economy’ อีกหนึ่งโอกาสของ ‘ประเทศไทย’ ที่จะใช้ความโดดเด่นของพื้นที่ที่เปิดกว้างและมอบอิสระให้ชาว LGBTQ+ ในการสร้างธุรกิจที่โดนใจกลุ่มคนเหล่านี้

โดยในปี 2566 ข้อมูลจาก LGBT Capital ระบุว่า ประเทศไทย ติดอันดับ 4 ของโลก ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBT สูงที่สุด อีกทั้งแนวโน้มการจัดอันดับระดับสากล ในแง่ประเทศที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+ มากที่สุด ซึ่งไทยก็มีคะแนนไต่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพดินแดนที่เปิดกว้างพร้อมโอบอุ้มความหลากหลายทางเพศ จนนี่อาจกลายมาเป็นจุดขายใหม่ทางเศรษฐกิจได้

บทความจาก สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในแต่ละปีของเทศกาลไพรด์ หรือ Pride Month ในเดือนมิถุนายน การจัดงานนี้ที่ประเทศไทยได้รับการกล่าวถึงในกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลก เพราะมีสีสันและน่าตื่นตาตื่นใจมาก

และการรวมตัวหรือรวมกลุ่มของชาว LGBTQ+ นี่เอง ที่ทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่สามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลของคนเหล่านั้นได้เช่นกัน ซึ่งภาษาในทางการตลาด เรียกว่า PINK ECONOMY หรือเศรษฐกิจสีชมพู ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสหรัฐฯ ช่วงกลางทศวรรษ 1960 เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มมองเห็น ‘กำลังซื้อ’ และการใช้จ่ายที่หนักและหลากหลายของกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งมากกว่ากลุ่มเพศตรงข้าม และกลุ่มครอบครัวที่มีลูก แม้จะไม่ได้มีรายได้สูงกว่าก็ตาม

แต่ด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่ต่างออกไป ไม่มีลูก ไม่มีภาระทางครอบครัวมากนัก จึงมีเงินในกระเป๋าเหลือสูงกว่า มีความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย และบริการระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมักจะเลือกซื้อด้วยราคาที่แพงกว่าผู้บริโภคกลุ่มครอบครัว

ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ส่วนตัว แม้กระทั่งการท่องเที่ยวที่เน้นความหรูหรา และหากกลุ่ม LGBTQ+ เลือกใช้ชีวิตคู่ ก็ยิ่งมีกำลังซื้อสูงขึ้นแบบทวีคูณไปอีก เรียกว่า DINK หรือ Double Income, No Kids มีรายได้สองเท่า ไม่มีลูกเป็นเงื่อนไข และใช้จ่ายได้อิสระ

โดย PINK ECONOMY ในสหรัฐนั้น อาจสูงถึง 780,000 ล้านดอลลาร์จากการประเมินของ Witeck Communication บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ธุรกิจของสหรัฐ ขณะที่ประมาณการกำลังซื้อของคนกลุ่มนี้ทั่วโลกอาจจะสูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ขณะที่หนังสือพิมพ์ China Daily ของทางการจีน ได้เคยระบุถึงเม็ดเงิน Pink economy ในประเทศเมื่อหลายปีก่อนที่มีขนาดตลาดสูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ จากจำนวน LGBTQ+ ที่มีอยู่ในจีนถึง 70 ล้านคน พูดง่าย ๆ แค่ตลาดคนกลุ่มนี้ในจีนประเทศเดียว ก็เท่ากับประชากรไทยทั้งประเทศแล้ว

ดังนั้น ด้วยโอกาสต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ทำให้ประเทศไทยไม่ควรมองข้ามความน่าสนใจของ เศรษฐกิจสีชมพู หรือ PINK ECONOMY ด้วยประการทั้งปวง

สำหรับโอกาสของตลาด พลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ ภายใต้ข้อมูล กลุ่มเกย์ และเลสเบี้ยน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงกว่าเพศหญิงและชาย มูลค่าตลาดถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะไทย ซึ่งกวาดเม็ดเงินจากคนกลุ่มนี้ได้เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยจะตั้งเป้า เป็นฮับ LGBTQ+ Destination และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ ระดับสากล เช่นเดียวกับ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ และออสเตรเลีย อีกด้วย โดยจะเดินหน้าพัฒนาการเดินทางมาเยือนให้เข้าถึงได้ง่าย สะดวก ปลอดภัย และมีที่พักโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว สถานบริการเฉพาะกลุ่ม ตลอดจนคลินิกสุขภาพเพศหลากหลายอย่างครบครัน ผลักดัน ซีรีส์วายไทยให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ไปในตัว

โดยล่าสุดได้มีการวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดผ่าน เศรษฐกิจสีชมพู หรือ PINK ECNOMY ที่เกิดขึ้นจากพลังซื้อ กลุ่ม LGBTQ+ ทั้งนี้ โอกาสของธุรกิจ และกิจกรรมที่มีศักยภาพ ซึ่งรัฐและเอกชนต้องช่วยขับเคลื่อน มีดังนี้

1. ส่งเสริม เทศกาล Pride Month ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ และ ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ สร้างความพร้อมของพื้นที่เพื่อเสนอตัว เป็นเจ้าภาพ จัด WorldPride เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาร่วมงานมากขึ้น และสนับสนุนแบรนด์สินค้าให้ใช้ในเทศกาล ชูธงสีรุ้ง แสดงสัญลักษณ์ของการเป็นส่วนหนึ่งบนแพลตฟอร์มและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย

2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย อาศัยจุดแข็งของไทย ที่ติดอันดับประเทศน่าเที่ยวของชาว LGBTQ+ ดึงแหล่งท่องเที่ยวและเทศกาลท้องถิ่นมาเป็นจุดขาย ใช้โอกาสพัฒนาสินค้าชุมชนให้น่าสนใจ เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มาเที่ยวและใช้จ่ายมากขึ้น

3. ส่งเสริมธุรกิจด้านความบันเทิง คลับ บาร์ ราตรีสถาน หรือการประกวด LGBTQ+ เพื่อให้เป็นฮับของการมาผ่อนคลายและสนุกสนาน

4. ส่งเสริมธุรกิจด้านสุขภาวะและอสังหาริมทรัพย์สำหรับเพศหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่ม LGBTQ+ ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพเฉพาะ การผ่าตัดแปลงเพศ และการจัดสรรบ้านพักอาศัยสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน

‘เนทันยาฮู-ผู้นำฮามาส’ โดนคู่!! ‘ไอซีซี’ โร่ขอหมายจับ ข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม-อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

(21 พ.ค.67) คาริม ข่าน อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) กล่าวว่า เขาได้ขอหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล นายยูอาฟ กัลลันท์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล และผู้นำฮามาสอีก 3 คน ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม

แถลงการณ์ของข่านถูกเผยแพร่หลังสงครามในฉนวนกาซายืดเยื้อมานานกว่า 7 เดือน โดยระบุว่า เขามีเหตุผลอันสมควรที่ทำให้เชื่อว่า ชายทั้ง 5 คนนี้ต้องรับผิดทางอาญาต่อข้อกล่าวหาว่าได้ก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

ข่านกล่าวด้วยว่า เขาได้ยื่นขอหมายจับเนทันยาฮูและกัลลันท์ ที่ดูแลการรุกรานของอิสราเอลต่อกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา หลังจากกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน

ขณะเดียวกันก็ยังได้ยื่นขอหมายจับยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส โมฮัมเหม็ด อัล-มาสรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เดอีฟ และอิสมาอิล ฮานีเยห์ หัวหน้าสำนักการเมืองของกลุ่มฮามาสด้วย

ข่านระบุว่า อิสราเอลก็เหมือนรัฐอื่น ๆ ที่มีสิทธิที่จะดำเนินการเพื่อปกป้องพลเมืองของตน แต่สิทธิดังกล่าวไม่ทำให้อิสราเอลหรือรัฐใด ๆ พ้นจากพันธกรณีในการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

“อาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ถูกกล่าวหาว่าดำเนินการโดยอิสราเอลนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีพลเรือนชาวปาเลสไตน์อย่างกว้างขวางและเป็นระบบตามนโยบายของรัฐ และจากการประเมินของเรา อาชญากรรมเหล่านี้ยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้” ข่านกล่าว

หลักฐานที่สำนักงานของเขารวบรวมมาได้แสดงให้เห็นว่า อิสราเอลได้กีดกันพลเรือนจากสิ่งของที่ขาดไม่ได้สำหรับการอยู่รอดของมนุษย์อย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงอาหาร ยารักษาโรค และพลังงาน ซึ่งเนทันยาฮูและกัลลันท์ต้องรับผิดชอบ เพราะอิสราเอลจงใจก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวง และการสังหารซึ่งเป็นอาชญากรรมสงคราม

ขณะที่ผู้นำกลุ่มฮามาสเผชิญข้อกล่าวหาว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่กลุ่มฮามาสก่อขึ้น รวมถึงการทำลายล้างและฆาตกรรม การจับตัวประกัน การทรมาน การข่มขืน และการกระทำรุนแรงทางเพศอื่น ๆ

หลังจากนี้องค์คณะผู้พิพากษาก่อนพิจารณาคดีจะตัดสินว่า หลักฐานที่อัยการได้นำเสนอนั้นเพียงพอที่จะให้ไอซีซีออกหมายจับหรือไม่ อย่างไรก็ดี ไอซีซีไม่มีอำนาจให้การบังคับให้มีการดำเนินการตามหมายจับแต่อย่างใด

การสอบสวนในกรณีสงครามฉนวนกาซาโดยไอซีซีถูกต่อต้านจากทั้งสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ขณะที่ผู้นำของทั้งสองประเทศได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงคราม และยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของข่านอีกด้วย

เนทันยาฮู กล่าวว่า การตัดสินใจของข่านเป็นการบิดเบือนความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับปฏิเสธการที่อัยการไอซีซีนำเอาอิสราเอลที่เป็นประชาธิปไตยไปเปรียบเทียบกับกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นฆาตกรสังหารหมู่

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ เรียกการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นเรื่องรับไม่ได้ พร้อมกับย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ไบเดนกล่าวว่า การสนับสนุนของสหรัฐต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของอิสราเอลนั้นแข็งแกร่ง เรายืนหยัดร่วมกับอิสราเอลเพื่อกำจัดฮามาส เราต้องการให้ฮามาสพ่ายแพ้ และเรากำลังทำงานร่วมกับอิสราเอลเพื่อทำให้มันเกิดขึ้น

ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า การดำเนินการนี้ถือเป็นอันตรายต่อการเจรจาข้อตกลงตัวประกันและการหยุดยิง

ซามี อาบู ซูห์รี เจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มฮามาส กล่าวว่า การตัดสินใจของอัยการในการออกหมายจับผู้นำฮามาสทั้ง 3 คน ก็เท่ากับว่าเหยื่อมีสถานะเป็นผู้ประหัตประหาร พร้อมกับเรียกร้องให้มีการยกเลิกหมายจับผู้นำของตนด้วย

ด้านเบนนี เกนต์ซ สมาชิกคณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอล กล่าวว่า การเปรียบเทียบผู้นำประเทศประชาธิปไตยที่มุ่งมั่นจะปกป้องตนเองจากความหวาดกลัวอันน่ารังเกียจต่ผู้นำองค์การก่อการร้ายกระหายเลือด ถือเป็นการบิดเบือนความยุติธรรมอย่างลึกซึ้ง และเป็นการล้มละลายทางศีลธรรมอย่างโจ่งแจ้ง

‘ลิซ่า’ ทำว้าวุ่น!! หลังโพสต์อวดชุดน้องเป็ดลาบูบู้ ราคาพุ่งไกลจากหลักร้อยถึงหลักพัน ไม่ถึง 24 ชม.

(21 พ.ค.67) เรียกว่างานเข้าคนรักอาร์ตทอย โดยเฉพาะติ่งลาบูบู้ หลังจากที่ ‘ลิซ่า Blackpink’ หรือ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ เจ้าแม่ sold out ขอเป็นสาวกรันวงการลาบูบู้อีกคน ได้ทำการโพสต์ภาพคู่น้องลาบูบู้ ก็ทำเอาลาบูบู้ราคาสูงขึ้นไปหลายเท่า แถมหายากจนบางรุ่นกลายเป็นแรร์ไอเทม กลายเป็นของหายากที่หลายคนพยายามตามหา ราคารีเซลล์จากหลักร้อยพุ่งไปถึงหลักสองพันบาทเป็นที่เรียบร้อย

ล่าสุด ลิซ่า ได้โพสต์ภาพไอจีสตอรี่ กระเป๋าพร้อมลาบูบู้ อวดชุดเป็ดลาบูบู้ ก็ทำเอาวงการร้อนฉ่า จาก accessory ชุดเป็ดลาบูบู้จากราคาตามท้องตลาด ไม่ถึง 500 บาท ไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่ลิซ่าโพสต์ ราคาดีดไปถึง 2,600 บาท แถมตอนนี้ยังต้องพรีออเดอร์ในบางร้านเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า 

ราคาชุดเป็ดลาบูบู้ไปไกลทำเอาชาวเน็ตหลายคนถึงกับอุทานว่า ราคาไปไกลมาก! บางคนก็บอกว่า แพงจนแทบขยี้ตาไม่ทัน บางคนก็ครีเอตไม่สนราคา เปิดรับถักชุดเป็ดให้น้องลาบูบู้ สร้างรายได้อีกด้วย

‘กลุ่มสมาพันธ์กัญชาฯ’ ค้าน!! ดึง ‘กัญชา’ กลับเป็นยาเสพติด ชี้!! มีการลงทุนแล้วจำนวนมาก อาจกระทบถึงการท่องเที่ยว

(21 พ.ค. 67) ที่พรรคเพื่อไทย นายชัชปัฐวี อัฏฐพรเมธา ตัวแทนสมาพันธ์กัญชาเพื่อประชาชน พร้อมผู้ประกอบการร้านค้า และผู้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับกัญชา เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้าน ‘กัญชา ไม่ใช่ยาเสพติดประเภท 5’ โดยมี น.ส.กิตธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย พร้อม สส.พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนรับฟังปัญหาและข้อเรียกร้องต่าง ๆ พร้อมรับหนังสือคัดค้านการออกกฎหมายให้กัญชาเป็นยาเสพติด

ตัวแทนสมาพันธ์กัญชาเพื่อประชาชน แสดงความคิดเห็นและผลกระทบ ว่า ขณะนี้มีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบอาชีพตามที่กฎหมายอนุญาตประมาณกว่า 1 หมื่นร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละร้านมีการลงทุนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้รวมแล้วนับหมื่นล้านบาท และแต่ละร้านค้ามีการจ้างงาน ยังมีงานที่ผลิตและแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกมากมาย รวม ๆ แล้วมีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ประมาณ 6 หมื่นคน ดังนั้นหากรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด ก็จะเกิดผลกระทบ มีคนตกงานและส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จึงได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือเรียกร้องและคัดค้านการพิจารณาให้กัญชาเป็นยาเสพติด

น.ส.กิตธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในนามของ สส.พรรคเพื่อไทย ขอรับหนังสือข้อเรียกร้องนี้ไว้ เพื่อนำเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อไทยพิจารณาว่าจะแก้ไขสนับสนุนข้อเรียกร้องนี้ได้อย่างไรต่อไป เราจะพยายามช่วยกันแก้ไขให้อยู่ตรงกลางและเป็นประโยชน์ต่อประเทศให้ได้มากที่สุด

ด้านนายชัชปัฐวี กล่าวว่า จากที่ได้เข้าไปพบและพูดคุยชี้แจงทำความเข้าใจกับ สส.พรรคเพื่อไทย ถึงกรณีประชาชนไม่เห็นด้วยที่จะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด เพราะถ้านำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดอีก จะทำให้ประเทศไทยตามหลังอีกหลายประเทศอย่างแน่นอน ที่สำคัญปัจจุบันมีผู้ปลูก ผู้ใช้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมกัญชาค่อนข้างมาก หากนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แม้กระทั่งผู้ปลูกใช้ตามบ้าน หรือในเรื่องผลประโยชน์ของทางการแพทย์ และคนที่ใช้เพื่อรักษาตนเองก็ไม่สามารถปลูกได้ ที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกัญชาไม่สามารถดำเนินการต่อได้

“จากที่ได้พูดคุยเบื้องต้นกับ สส.พรรคเพื่อไทย ก็มีการตอบรับที่ดีว่าจะนำข้อเรียกร้องคัดค้านการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดไปพิจารณาในที่ประชุมของพรรค เพื่อหาทางออกให้ดีที่สุด ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร หากพรรคเพื่อไทยยังไม่ดำเนินการใดๆ เราก็จะมาชุมนุมใหญ่ต่อไป ซึ่งวางไทม์ไลน์ไว้ก่อนถึงวันที่ 9 มิ.ย.นี้ เพราะมีคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับกัญชามีค่อนข้างมาก และมีผู้ป่วยที่ต้องอาศัยกัญชาในการรักษาตนเองจะได้รับผลกระทบด้วย” นายชัชปัฐวี กล่าว

นายชัชปัฐวี กล่าวว่า หลังจากยื่นข้อเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยแล้ว จะเดินทางไปประชุมร่วมกับพรรคภูมิใจไทย และยื่นหนังสือคัดค้านกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดประเภท 5 ต่อไปด้วย

แสบทรวง!! พริกขี้หนูสวนราคาพุ่ง 1 กิโลกรัม 800 จาก 250 บาท ปัจจัย 'ภัยแล้ง-ค่าแรงพุ่ง' ดันราคาสูงเป็นประวัติการณ์

(21 พ.ค.67) Business Tomorrow รายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ตลาดสดเทศบาลจังหวัดชัยนาทได้ออกมาเปิดเผยถึงราคาพริกขี้หนูสวนที่แพงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของตลาดที่กำลังมากขึ้นในปัจจุบัน

โดยราคาพริกขี้หนูสวนได้พุ่งขึ้นจากกิโลกรัมละ 250 บาท สู่กิโลกกรัมละ 800 บาท นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สิ่งนี้ทำให้ลูกค้าบางรายต้องเปลี่ยนพฤติกรรมจากการสั่งพริกขี้หนู 1 กิโลกรัมเป็นครึ่งกิโลกกรัมแทน

ทั้งนี้ราคาพริกขี้หนูที่พุ่งขึ้นแตะ 800 บาทต่อกิโลกรัมได้กลายเป็นราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ส่งผลให้ลูกค้าบางรายเลือกที่จะไม่ซื้อพริกขี้หนูสวนเลยทีเดียว

ปัจจัยที่ทำให้พริกขี้หนูสวนราคาแพงเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยใหญ่ ได้แก่...

1. ภัยแล้งที่ประเทศไทยเผชิญหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยพริกเป็นพืชที่ต้องการน้ำอย่างมากส่งผลให้ผลผลิตลดลงอย่างรวดเร็วจนดันราคาให้พุ่งขึ้น 

และ 2. จากค่าแรงที่กำลังเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี ทำให้ต้นทุนการผลิตมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ราคาพริกจำเป็นต้องสูงขึ้นตามมาด้วย

เรียกได้ว่า นอกจากโกโก้ในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมากกว่า +200% ในช่วงที่ผ่านมา ก็มีราคาพริกขี้หนูสวนที่ราคาพุ่งขึ้นแล้วมากกว่า +200% เช่นเดียวกัน

‘มาคาเลียส’ เผย ‘Staycation-Sleep Tourism’ กำลังฮิต แนะผู้ประกอบการปรับตัว รับกลุ่มคนรุ่นใหม่สายรักสุขภาพ

(21 พ.ค. 67) มาคาเลียส แหล่งรวม อี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย เผยเทรนด์การเที่ยวแบบ Staycation และ Sleep Tourism การท่องเที่ยวที่เน้นการพักผ่อน การชาร์จพลัง และการนอน มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพหลังยุคโควิด-19 ด้านผู้ประกอบการโรงแรมที่พักควรปรับแผนการตลาดรับโอกาสที่จะมาในอนาคต  

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส (MAKALIUS) ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ แหล่งรวม อี-วอเชอร์ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว กล่าวว่า “เทรนด์การท่องเที่ยวในรูปแบบ Staycation การท่องเที่ยวในละแวกจังหวัดที่ไม่ไกลมาก เน้นการทำกิจกรรมในโรงแรมที่พัก เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน นวดสปา เป็นต้น และรูปแบบ Sleep Tourism หรือการท่องเที่ยวเพื่อการนอนพักผ่อน ย้ายที่นอน ชาร์จพลังให้กับร่างกายและจิตใจให้กับตัวเอง ถือเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพหลังยุคโควิด-19 ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะมองหาโรงแรม ที่พัก ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เน้นท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น เพราะต้องการความสงบ

ดังนั้น ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก จำเป็นต้องปรับรูปแบบการให้บริการเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ ห้องพัก (Room) ถือเป็นส่วนสำคัญมากที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการการพักผ่อนที่แท้จริง ดังนั้น ห้องพักต้องสะอาด แสงไฟพอดี อุณหภูมิในห้องต้องเหมาะสม ชุดเครื่องนอนต้องมีคุณภาพ หรืออาจเสริมด้วยอุปกรณ์สมาร์ตไอทีที่จะช่วยให้การนอนหลับสบายขึ้น บรรยากาศต้องเงียบสงบ ถ้าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ต้องมีการแบ่งโซนห้องพักเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน เช่น แบ่งโซนห้องพักแบบครอบครัว ห้องพักที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เป็นต้น โดยห้องพักขนาดกลางและขนาดใหญ่ตั้งแต่ 35 ตารางเมตรขึ้นไป รวมถึงห้องพักแบบ Private Pool Villa จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ

ต่อมาคือ กิจกรรม (Activity) นอกเหนือจากการพักผ่อนแล้วกิจกรรมภายในโรงแรมที่พักก็เป็นส่วนสำคัญที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย ช่วยให้หลับง่าย และช่วยแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม อย่างการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การสอนโยคะ คลื่นเสียงบำบัด (Sound Healing) ธาราบำบัด Sub Board พายเรือ ต่อยมวย เป็นต้น รวมถึงกิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว อย่างเช่น ห้องสมุด ห้องชมภาพยนตร์ กิจกรรมทำอาหาร ก็เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเข้าเลือกใช้บริการ

สุดท้ายคือ อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมที่พักตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เดินทางไปท่องเที่ยวหรือรับประทานอาหารภายนอกโรงแรม ดังนั้น การให้บริการอาหารและเครื่องดื่มจึงเป็นส่วนสำคัญ รูปแบบอาหารควรมีให้เลือกหลากหลายทั้งอาหารจานเดียวไปจนถึงบุฟเฟต์ และขยายเวลาการให้บริการ Room service ที่ยาวขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สั่งอาหารรับประทานที่ห้องพัก ในส่วนของเครื่องดื่มควรมีน้ำเปล่าและน้ำให้แข็งให้บริการตลอดเวลาไม่จำกัดจำนวน ในจุดนี้แม้จะมองเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถือว่าเป็นเซอร์วิสมายที่ลูกค้าให้คะแนนสูงที่สุด

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “นอกเหนือจากการปรับรูปแบบของเซอร์วิสแล้ว แผนการสื่อสารการตลาดก็เป็นส่วนสำคัญที่จะต้องทำให้นักท่องเที่ยวรับรู้และเข้าใจ รวมถึงการทำโปรโมชันต่าง ๆ ที่สอดรับกับรูปแบบบริการ อย่างการจัดทำเป็นแพ็กเกจห้องพักรวมอาหารเช้า กลางวัน และเย็น หรือแพ็กเกจห้องพักรวมกิจกรรม เป็นต้น เช่นเดียวกับมาคาเลียส ที่ได้ร่วมมือกับโรงแรมที่พักร่วมจัดทำแพ็กเกจพิเศษ ห้องพักรวมบริการด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้ากลุ่ม Staycation และ Sleep Tourism ได้มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น”

สำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาแพ็กเกจโรงแรมที่พักแบบส่วนตัว พร้อมกิจกรรมต่าง ๆ และโปรโมชันสุดพิเศษ สามารถแวะมาชมได้ที่ www.makalius.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Line Official @makalius


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top