Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

'ทรัมป์' ลุยหาเสียง-ขึ้นเวทีปราศรัยในรัฐโอไฮโอ กร้าว!! หากตนพ่ายแพ้ 'สหรัฐฯ จะต้องนองเลือด'

(18 มี.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ปราศรัยหาเสียงให้กับเบอร์นี โมเรโน ผู้ลงสมัครวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ในเมืองแวนดาเลีย รัฐโอไฮโอ และอ้างว่า ตนจะปกป้องความมั่นคงทางสังคม พร้อมเตือนว่า ประเทศจะนองเลือดถ้าเขาพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งเดือน พ.ย. นี้

ทั้งนี้ ในการปราศรัย ทรัมป์ได้กล่าวยกย่องโมเรโนว่าเป็น ‘แชมป์คนแรกของอเมริกา’ และเป็น ‘นักการเมืองคนนอก’ ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตพัฒนาชุมชนในโอไฮโอ

“เขาจะเป็นนักรบในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าว

ขณะเดียวกันทรัมป์ก็ใช้เวทีนี้ในการเผยแพร่คำกล่าวปราศรัยที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายและดูหมิ่นตามสไตล์ของเขา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า ประเทศจะล่มสลายอีกครั้ง หากปธน.ไบเดนชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2

“ถ้าผมไม่ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ประเทศจะต้องนองเลือด" ทรัมป์เตือน ขณะที่พูดถึงผลกระทบภายนอกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และได้เผยแผนจ่อเพิ่มภาษีรถยนต์แบรนด์ต่างชาติ

หลังจากนั้น ทรัมป์ก็อ้างว่า “ถ้าผมไม่ชนะเลือกตั้งครั้งนี้ ผมไม่มั่นใจว่าพวกคุณจะมีโอกาสได้เลือกตั้งอีกครั้งในประเทศนี้หรือเปล่า”

ด้านรอยเตอร์ได้ถามเจมส์ ซิงเกอร์ โฆษกหาเสียงของไบเดน ถึงคำปราศรัยดังกล่าวของทรัมป์ ซิงเกอร์จึงประณาม ‘ลัทธิหัวรุนแรง’ ของทรัมป์ และว่านั่นเป็น ‘ความกระหายอยากแก้แค้น’ และเป็น ‘ภัยคุกคามจากความรุนแรงทางการเมือง’

'ดร.สุวินัย' เลคเชอร์ความเชื่อเรื่อง 'สมมติเทพ' ของ 'พุทธ-พราหมณ์' ผู้ประกอบแต่คุณงามความดี ภายใต้ทศพิธราชธรรม

(18 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'สมมติเทพ' ระบุว่า...

สถาบันกษัตริย์ในภูมิภาคนี้ ผูกพันกับพระวิษณุนารายณ์ (มหาเทพผู้ปกป้อง) และบูชาพระวิษณุนารายณ์

ในตำนาน พระวิษณุนารายณ์ อวตารลงมาเป็นพระรามเพื่อปราบอธรรมใน 'รามเกียรติ์' ซึ่งเป็นวรรณคดีประจำชาติ...พระรามเป็นกษัตริย์

พระวิษณุนารายณ์ยังอวตารลงมาเป็น พระกฤษณะเพื่อปราบอธรรม ใน 'มหาภารตะยุทธ' ...ซึ่งเป็นวรรณคดีประจำชาติของอินเดีย...พระกฤษณะก็เป็นกษัตริย์

'สมมติเทพ' คือคติความเชื่อเรื่องกษัตริย์ทรงเป็นเทพลงมาจุติเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประกอบคุณความดี (ทศพิธราชธรรม) และสะสมบารมี เมื่อเสด็จสวรรคตก็กลับขึ้นสรวงสวรรค์

เมืองไทยได้รับคติพราหมณ์นี้มาจากขอม โดยที่ขอมก็รับมาจากอินเดียใต้อีกทอดหนึ่ง คติความเชื่อนี้แยกไม่ออกจากโลกทัศน์แบบไตรภูมิ ซึ่งเป็นโลกทัศน์ของพุทธศาสนาด้วย

ในพระไตรปิฎกคำว่า 'เทพ' มี 3 อย่างคือ...

(1) อุบัติเทพ : เทพโดยกำเนิด ได้แก่เทวดาที่อยู่ในสวรรค์
(2) สมมติเทพ : เทพโดยสมมติ คือบุคคลที่เป็นเทวดาเดินดินโดยการยอมรับหรือตกลงร่วมกันของมนุษย์ในเชิงสถาบัน ได้แก่ พระมหากษัตริย์ (ถ้าในประเทศญี่ปุ่น คือพระจักรพรรดิที่ถือเป็นสมมติเทพของญี่ปุ่น)
(3) วิสุทธิเทพ : เทพโดยความบริสุทธิ์ของจิต ได้แก่ พระอรหันต์

จะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งอยู่บนคติและรากฐานความเชื่อแต่โบราณของสองศาสนาผสมผสานกัน คือ พราหมณ์ กับ พุทธ

โดยที่พราหมณ์จะเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ เป็นอวตารปางหนึ่งที่ลงมาดับทุกข์เข็ญให้ประชาชนของพระองค์ ส่วนพุทธก็จะเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงมีภาระบำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้เข้าสู่พุทธภูมิในกาลข้างหน้า

พระครูสมุห์ วิษุวัตร วรกิจจฺโจ 
เจ้าอาวาสวัดฝายหิน 

“เขาเป็นสมมติเทพ ชาวบ้านในประเทศไทยเคารพนับถือแต่ไหนแต่ไรมา อาตมาเสียดาย ติดตามข่าวทำไมถึงไป คิดถึงขั้นนั้น แล้วถ้าโยมไม่คิด บริวารเขาคิด"

4 ผู้บัญชาการทหารเรือ ประชุมมูลนิธิ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5

วันนี้ 18 มีนาคม 2567 มีการประชุม คณะกรรมการมูลนิธิ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ณป้อมพระจุลจอมเกล้า ที่ห้องวุฒิชัยเฉลิมลาภ ชั้นที่ 1 อาคารราชนาวิกสภา โดยมี พลเรือเอกทวีศักดิ์ โสมาภา อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธาน พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอกสมประสงค์ นิลสมัย อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ และพลเรือเอกอะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เข้าร่วมประชุม 

โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมประชุม มีวาระการประชุม ที่สำคัญ ได้แก่ การพิจารณาแผนการดำเนินงาน ประจำปี 2567 ตลอดจนแนวทาง การมอบทุนการศึกษา ประจำปี 2567
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

'รทสช.' จัดทัพ 18 สส. ถกงบประมาณปี 67 วาระ 2-3 กำชับ 'สส.-กมธ.งบประมาณฯ' ยึดประโยชน์ 'ชาติ-ปชช.'

เมื่อวานนี้ (18 มี.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เผยว่า พรรครวมไทยชาติได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วาระ 2 และ 3 ในวันที่ 20-22 มีนาคมนี้ ทั้งในส่วนของสส.ของพรรคที่ได้สงวนคำแปรญัตติไว้ และในส่วนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่พรรคส่งไปเป็นกมธ. ทั้งสส.และกมธ.ที่เตรียมข้อมูลอภิปรายมี 18 คน

ทั้งนี้ กมธ.ของพรรคจะมีการชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่มีรัฐมนตรีของพรรคดูแลอยู่ ถึงเหตุผลในการพิจารณางบประมาณของแต่ละกระทรวงที่ไม่ได้ปรับลดงบประมาณลงว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ขณะที่สส.จะอภิปรายถึงเหตุผลในการสงวนคำแปรญัตติในการขอปรับลดงบประมาณโดยมีเป้าหมายที่ประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สส. และกมธ.ที่พรรคได้ส่งไปทำงาน

ส่องราคาน้ำมันเฉลี่ยในประเทศอาเซียน (18 มี.ค. 67)

รายงานราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 67 โดยราคาขายน้ำมันแต่ละประเทศ มีปัจจัยทางด้านราคา ดังนี้

1.แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน

2.ในหลายประเทศเพื่อนบ้านยังมีการอุดหนุนราคากันอยู่

3.ประเทศไทยสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ให้การอุดหนุนราคาโดยกองทุนน้ำมันฯ จึงทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซิน

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน (อัตรากลาง) ณ วันที่ 15 มี.ค. 67 และประเทศไทย อ้างอิงราคาจาก ปตท. และ บางจาก และเป็นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95E10 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด

ทั้งนี้สามารถดูราคาย้อนหลังได้ที่ EPPO - Energy Data Visualization หรือคลิกที่ https://public.tableau.com/app/profile/epposite/viz/EPPO_Inter_OilPrice/SUMMARYOILPRICING 

'พระองค์หริภา' ตามแนวพระราชดำริในการช่วยเหลือราษฎร ประทานภาพถ่ายคู่กระเป๋าเสื่อกก ประชาสัมพันธ์สานโอกาสแก่ชุมชน

(19 มี.ค.67) เพจกองทุนพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ได้โพสต์ข้อความว่า...

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ หรือ 'พระองค์หริภา' โปรดประทานภาพถ่ายคู่กับกระเป๋าเสื่อกก รุ่น Ombre Bucket ทั้งนี้เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับโครงการภัทรพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา (โดยวางจำหน่าย) ชั้น 7 โซน Living ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แอด เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ และ ชั้น 7 เซ็นทรัลชิดลม

โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชดำริให้โครงการภัทรพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา ส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมเสื่อกก ของกลุ่มเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 พระราชทาน 'เพื่อนช่วยเพื่อน' จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งกลุ่มได้ทอเสื่อกกเป็นอาชีพเสริมหลังจากการทำนา เพื่อหารายได้ให้แก่ครอบครัว โดยวางขายในชุมชนตนเอง

โครงการภัทรพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา ได้ร่วมกับ ภาควิชาศิลปอุตสาหกรรม คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และบริษัท แทงโก้ เลเธอร์ จำกัด พัฒนาเรื่องการออกแบบเสื่อกก ทั้งลวดลายและผลิตภัณฑ์ ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น และยังช่วยสนับสนุนเรื่องช่องทางการจำหน่าย 

ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากบริษัท กลุ่ม เซ็นทรัลกรุ๊ป จำกัด ช่วยสนับสนุนผลิตภัณฑ์แปรรูปเสื่อกกภายใต้ตราสินค้า 'ภัทรพัฒน์' ของมูลนิธิชัยพัฒนา โดยนำกระเป๋าเสื่อกก ที่ออกแบบเป็นพิเศษนำไปวางจำหน่าย ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เพื่อสานต่อภูมิปัญญาและสร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ผู้ทรงก่อตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา

สำหรับ 'ภัทรพัฒน์' เป็นชื่อพระราชทาน จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้เป็นตราผลิตภัณฑ์ จากโครงการของมูลนิธิชัยพัฒนา รวมทั้งผลิตภัณฑ์ของชุมชนที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐาน เพื่อช่วยส่งเสริมในด้านการตลาดให้กว้างขวางออกไป

ผลิตภัณฑ์ของภัทรพัฒน์ มีความหลากหลาย และแสดงถึงการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป และงานหัตถกรรม ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์อยู่ที่เรื่องราว และแนวทางการพัฒนา เพื่อให้ราษฎรที่เป็นผู้ผลิต ได้เกิดความภาคภูมิใจและผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์เกิดความพอใจ ควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นไปตามแนวพระราชดำริในการช่วยเหลือราษฎร ให้มีความกินดีอยู่ดี เป็น 'ชัยชนะแห่งการพัฒนา' อย่างแท้จริง

‘ดร.เอ้’ ติง ‘นายกฯ’ ไปเชียงใหม่ แต่ไร้วิสัยทัศน์แก้ฝุ่น PM2.5 แนะ 3 ข้อ ‘ขจัดผลประโยชน์ทับซ้อน-กระจายอำนาจ-ใช้เทคโนโลยี’

(19 มี.ค. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแล กทม. โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เชียงใหม่ แก้ได้ด้วยภาวะผู้นำโดยวิพากษ์วิจารณ์การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า นายกฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ แต่ไม่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน และนักวิชาการ ไม่แสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งที่นายกฯ มีอำนาจหน้าที่ มีพลัง แก้ไขวิกฤติฝุ่นพิษได้

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า มั่นใจว่าบทบาทของนายกฯ สามารถแก้ปัญหาทุกข์เรื้อรัง ของชาวเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงได้ หากท่าน เอาจริงเอาจัง กับ 3 เรื่องนี้ 

1.จัดการกับผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะการเผา เป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของราชการกันเอง ทั้งระหว่างหน่วยงาน ที่ต่างฝ่ายต้องการงบประมาณลงหน่วยงานของตนให้มากที่สุด และปัญหาผลประโยชน์ของเอกชน มีหลายคนได้ผลประโยชน์จากการที่ป่าหรือไร่ถูกเผา นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุด ถ้าแก้เรื่อง ประโยชน์ทับซ้อน ได้การเผาจะลดลง ฝุ่นก็ลดลง

2.กระจายอำนาจ และงบประมาณการแก้ปัญหาระยะสั้น เพื่อบรรเทาทุกข์ อาจถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญหาด้วย เงิน เพราะการให้เงินโบนัสหมู่บ้านไม่เผา โดยกระจายอำนาจหน้าที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ดำเนินการได้กับหมู่บ้านที่ไม่เผา เราอาจไม่ถูกใจเรื่องแจกเงิน แต่คุ้มค่ากว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและทางสุขภาพที่เกิดจากฝุ่นพิษ PM 2.5 อีกทั้งยังประหยัดงบประมาณในการดับไฟ และรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ที่ต้องเสี่ยงกับการเข้าไปดับไฟ 

และ 3. ต้องใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา เพราะเทคโนโลยีดาวเทียม ไม่โกหก เพราะภาพถ่ายจากดาวเทียมธีออส-2 ที่โคจรต่ำ ผ่านประเทศไทย 4 รอบต่อวัน จะรู้ทันที ใครเผา และที่ดินใคร สามารถใช้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการใด ๆ ได้อย่างเป็นธรรม ของดีมี ต้องใช้

“วิกฤตฝุ่น PM2.5 เป็นวิกฤตชาติที่รอไม่ได้อีกต่อไป อย่าปล่อยให้เป็นแบบไฟไหม้ฟาง คือ มาดู แล้วจากไป” นายสุชัชวีร์ ระบุ

ลือสะพัด”อลงกรณ์จะย้ายพรรคไปเพื่อไทยหลังพบชัชชาติ” เจ้าตัวแจงสร้างมิติใหม่ ”การเมืองไร้รอยต่อ“

นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีต รัฐมนตรีและอดีต ส.ส.6สมัย พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวกรณีมีคำถามเรื่องการย้ายพรรคไปเพื่อไทยหลังจากมีข่าวไปพบหารือนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยนายอลงกรณ์เขียนชี้แจงเรื่องนี้เกี่ยวกับ“การเมืองที่ไร้รอยต่อ”ไว้อย่างน่าสนใจดังต่อไปนี้

“การเมืองที่ไร้รอยต่อ“ Seamless politics กรณีมีข่าว”อลงกรณ์-ชัชชาติ“ผนึกความร่วมมือ“กทม.-จีน”ด้านพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟัาโดยฝ่ายหนึ่งนำโดยนายอลงกรณ์ พลบุตร (พรรคประชาธิปัตย์)กับอีกฝ่ายหนึ่งนำโดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พรรคเพื่อไทย) ทำให้เพื่อนๆและสื่อมวลชนหลายคนสอบถามด้วยความกังขาว่าคุยกันรู้เรื่องหรือ??? บางคนตีความไปว่าผมจะย้ายพรรคไปเพื่อไทยใช่ไหม??? ผมถามกลับไปว่า ทำไมถึงคิดเช่นนั้นก่อนจะถามต่อไปว่า เข้าใจคำว่า “การเมืองที่ไร้รอยต่อ”(seamless politics)ไหม???  ย้อนถามแบบนี้ก็งงกันสิครับ

ผมอธิบายสั้นๆว่า “การเมืองที่ไร้รอยต่อ” หมายถึงวัฒนธรรมทางการเมืองที่พรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่อยู่คนละพรรคทำงานร่วมมือกันได้ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม โดยก้าวความความแตกต่างทางการเมืองหรือการแข่งขันทางการเมือง ผมเชื่อว่าท่านผู้ว่าชัชชาติก็มีแนวความคิดความเชื่อเช่นเดียวกับผมในเรื่องการเมืองที่ไร้รอยต่อ ท่านให้เกียรติและแสดงออกอย่างกระตือรือร้นในระหว่างการประชุมหารือ และแสวงหาความร่วมมือที่เป็นไปได้ในทุกมิติ โดยปราศจากร่องรอยการแบ่งพรรค แบ่งฝ่าย ยิ่งกว่านั้นเรายังได้พูดถึงความร่วมมือในการยกระดับการศึกษาด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆเช่น เยเนอเรทีฟ เอไอ(Generative AI-ปัญญาประดิษฐ์) ในระบบ AI Classroom และความร่วมมือในโครงการกรุงเทพสีเขียว 2030( Green Bangkok 2030)เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและคุณภาพของเมืองหลวงของประเทศ เป็นต้น

ความร่วมมือระหว่างท่านผู้ว่าชัชชาติและผมคือหนึ่งในตัวอย่างของการเมืองที่ไร้รอยต่อ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างความกันขาให้กับเพื่อนๆ และสื่อมวลชน ผมเข้าใจดีว่า การเมืองบ้านเรา เคยชินกับวัฒนธรรมทางการเมืองที่มุ่งต่อสู้แข่งขันแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายหมายเอาชนะคะคานกัน ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง แต่สำหรับผมคิดว่า เหรียญมีสองด้านเสมอ ด้านหนึ่งคือการแข่งขันอีกด้านหนึ่งคือความร่วมมือ การเมืองจึงไม่ได้มีแค่เรื่องการแข่งขันหรือการต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น แต่การเมืองสามารถร่วมมือกันได้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติและนี่คือวิถีของการเมืองสร้างสรรค์ที่ผมยึดถือเชื่อมั่นมาโดยตลอดและอยากเห็นวัฒนธรรมทางการเมืองไทยแบบนี้เป็นรากฐานใหม่ของการเมืองไทย สรุปคือไม่มีการย้ายพรรคครับ”

"Seamless politics" is a concept that refers to a political environment or system where different political parties or entities work together smoothly and effectively without experiencing significant disagreements, conflicts, or disruptions. In a seamless politics scenario, there is a high level of cooperation, collaboration, and communication among different stakeholders in the political arena. This leads to more efficient governance, better decision-making processes, and potentially improved outcomes for society as a whole.

‘TikTok’ อ่วม!! โดน ‘อิตาลี’ ปรับเงิน 10 ล้านยูโร เหตุไม่ควบคุม ‘เนื้อหาอันตราย’ ต่อเยาวชน

(19 มี.ค.67) TikTok กำลังเผชิญกับปัญหาจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นคำถามจากการให้บริการในสหรัฐอเมริกา และล่าสุดทางการอิตาลีสั่งปรับเป็นเงิน 10 ล้านยูโร เนื่องจากไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ที่อายุน้อยหรือผู้ใช้งานอื่นๆ อย่างเหมาะสม

แพลตฟอร์มที่มี ByteDance บริษัทแม่สัญชาติจีนเป็นเจ้าของกำลังเผชิญกับความล้มเหลวในการสร้างมาตรการปลอดภัยต่อและการปกป้องผู้เยาว์ที่ยังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่เหมาะสมได้ และอาจได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรมการโน้มน้าวชักจูงจากกระแสไวรัล ตามรายงานของหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดด้านการแข่งขันของอิตาลีหรือ AGCM

ทั้งนี้ หน่วยงานเฝ้าระวังดังกล่าวได้จับตามอง และกล่าวถึงวิดีโอไวรัลที่กำลังเป็นปัญหา โดยมีเนื้อหาในการท้าให้ผู้เข้าร่วมทำภารกิจที่เรียกว่า ‘French scar’ โดยเฉพาะ ผู้ใช้งานเยาวชน ด้วยการหยิกแก้มตัวเองเพื่อสร้างรอยช้ำบนโหนกแก้ม ในเนื้อหานี้ TikTok ไม่ได้มี ‘มาตรการที่เพียงพอ’ ในการควบคุมและจัดการ เพื่อให้แพลตฟอร์มเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน AGCM กล่าว หลังจากการสอบสวนในเรื่องนี้ที่เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลของอิตาลีเรียกร้องให้ TikTok ระงับวิดีโอดังกล่าวออกจากแพลตฟอร์ม หลังจากภารกิจ ‘French scar’ ดังกล่าวส่งผลที่เป็นอันตรายและกลายเป็นประเด็นสำคัญที่สร้างความกังวลใจ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ TikTok ถูกพิจารณาว่าไม่ปลอดภัย และถูกปรับจากการขาดประสิทธิภาพในมาตรการรักษาความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา อังกฤษได้ปรับ TikTok เป็นเงินจำนวน เกือบ 16 ล้านเหรียญฐานใช้ข้อมูลของผู้ใช้งานที่เป็นเยาวชนในทางที่ไม่เหมาะสม และละเมิดข้อจำกัดอายุของผู้ใช้แพลตฟอร์ม

ด้านองค์กรอิสระดังกล่าวยังพบว่า ฟีเจอร์ ‘For you’ ของ TikTok สามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้ที่เป็นเด็กเข้าสู่เนื้อหาที่เป็นอันตรายได้ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ Eric Adams นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กฟ้อง TikTok พร้อมด้วยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น Meta ในข้อหาเป็นต้นเหตุของวิกฤติสุขภาพจิตของเยาวชน

ผู้แทนจาก TikTok ออกมาให้ความเห็นว่า แม้ว่าจะมีหลายกรณีที่ TikTok ล้มเหลวในการทำให้แอปโซเชียลมีเดียปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ทุกคน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของ AGCM ในอิตาลี

“เนื้อหาที่เรียกว่า 'French scar' มีการค้นหาเฉลี่ยเพียง 100 ครั้งต่อวันในอิตาลีก่อนที่จะมีการประกาศของ AGCM เมื่อปีที่แล้ว และทาง TikTok จำกัดการเปิดเผยเนื้อหานี้ไว้นานแล้วโดยกำหนดให้ผู้เข้าถึงเนื้อหาต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี” โฆษกของ TikTok กล่าวกับ Fortune

TikTok กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งคือ สหรัฐฯ ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติลงมติเห็นชอบร่างกฎหมาย ที่มีอำนาจสั่งห้ามแพลตฟอร์มให้บริการในสหรัฐฯ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้ผ่านการอนุมัติ และกำลังถูกพิจารณาจากวุฒิสภา โดยที่ผลลัพธ์ยังคงไม่แน่นอน

ในบรรดาข้อกังวลหลายประการนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน ซึ่ง TikTok ได้ปฏิเสธมาตลอด ความกังวลดังกล่าวทำให้รัฐบาลหลายแห่งสั่งห้ามให้มีการติดตั้งแพลตฟอร์มบนอุปกรณ์ของรัฐบาล

แม้ว่าอนาคตของ TikTok จะแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ TikTok ก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทรงอิทธิพลที่สุดโดยมีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย วิธีที่แพลตฟอร์มจะรับมือกับข้อร้องเรียนจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการขาดความปลอดภัยอาจชี้ให้เห็นทิศทางในอนาคตของการดำเนินงานของแพลตฟอร์ม

‘หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง’ เปิดภารกิจลดฝุ่นพิษภาคเหนือ เน้นช่วยพื้นที่การเกษตร-ไฟป่า เรียกฝนตกกลางดึกสำเร็จ

เมื่อวานนี้ (18 มี.ค. 67) หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.แพร่ และ จ.เชียงใหม่ มีภารกิจปฏิบัติการฝนหลวงบรรเทาหมอกควันและสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM10 และ PM2.5) โดยใช้เครื่องบิน CASA จำนวน 2 ลำ เครื่องบิน CN จำนวน 1 ลำ ช่วยเหลือพื้นที่ จ.พะเยา แพร่ น่าน

ทั้งนี้ แผนการปฏิบัติการฝนหลวงในช่วงนี้ จะเน้นช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรและพื้นที่ประสบปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางจำนวน 14 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และมีนโยบายถึงการบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ภาคเหนือ โดยใช้เทคนิคการดัดแปรสภาพอากาศด้วยการโปรยน้ำแข็งแห้ง เพื่อเพิ่มการดูดซับฝุ่นละอองของเมฆให้มากขึ้น

ผลปรากฏว่า วันนี้ (19 มี.ค.67) ฝนที่ตรวจวัดได้จากเรดาร์ บริเวณ จ.พะเยา ในช่วงกลางคืน ในตัวเมืองพะเยาบางแห่งมีฝนตกปานกลาง ถึงหนัก โดยจากการปฏิบัติการฝนหลวง พบมีกลุ่มฝนที่เกิดจากการปฏิบัติการฝนหลวงที่ตกหนักมากที่สุดบริเวณ อ.สอง จ.แพร่ โดยวัดได้จากเรดาร์ มากกว่า 50 มิลลิเมตร ยอดสูงมากกว่า 30,000 ฟุต เส้นผ่านศูนย์กลางกลุ่มฝนมากสุดประมาณ 16 กิโลเมตร และมีอาสาสมัครฝนหลวงส่งภาพฝนตกบริเวณ หมู่ 6 ต.บ้านหนุน อ.สอง จ.แพร่ เพื่อยืนยันฝนตก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top