Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

ย้อนส่อง!! 'ค่าไฟฟ้า-ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน' ในรอบ 1 ปี ขยับแค่ไหน

ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ‘ค่าไฟฟ้า-ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน’ ในไทยมีการขยับปรับราคาอยู่ตลอดเวลา 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ให้แล้ว หากอยากรู้ว่าราคาขยับมาก-น้อยแค่ไหน มาดูกันเลย!! ✨✨

หนุ่มตั้งกระทู้ถาม ‘KFC’ กินแล้วต้องเก็บถาดเองหรือไม่ ชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น ควรเก็บเอง เพราะเป็นมารยาท

เมื่อวานนี้ (8 มี.ค.67) ผู้ใช้พันทิปรายหนึ่ง ได้ตั้งกระทู้ถามว่า “นั่งกิน KFC ในร้านต้องเก็บถาดอาหารเองไหมครับ” ระบุว่า “โดยปกติผมชอบทานไก่ KFC โดยปกติพนักงานจะเรียกคิวให้เราเดินไปเอาไก่เองใช่ไหมครับ แล้วทีนี้พอเราทานเสร็จเราก็ต้องเอาถาดไปเก็บเองใช่ไหมครับหรือทิ้งไว้ให้พนักงานมาเก็บ

เพราะเวลาผมมานั่งทานทีไรชอบเห็นถาดอาหารพร้อมเศษกระดูกไก่บ้างแก้วน้ำบ้างในถาด ถ้วยกระดาษบ้างวางเต็มโต๊ะไปหมดเลย ผมเลยสงสัยว่าเราต้องเก็บเองหรือวางทิ้งไว้ให้พนักงานมาเก็บ เพราะเวลาผมทานเสร็จแล้วผมเอาไปเก็บตลอด ผมทำถูกไหมครับ”

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังโพสต์ภาพของโต๊ะที่เต็มไปด้วยถาดอาหารที่กินเสร็จแล้วบนโต๊ะที่ว่างเปล่า เป็นภาพที่ไม่น่ามองสักเท่าไหร่

หลังจากตั้งกระทู้ออกไป ก็ทำเอาชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น กลายเป็นข้อถกเถียงกันว่า สรุปแล้วต้องเก็บเองหรือให้พนักงานเก็บให้

หลายคนมองว่า ต้องเก็บถาดอาหารเอง ปกติตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่ ให้บริการแบบบริการตัวเอง ทั้งการเสิร์ฟและการเก็บ

รวมถึงมักจะทำถาดอาหารเป็นกระดาษ ช้อนส้อมพลาสติก ใช้ครั้งเดียวแล้วเทลงถังขยะได้เลย ไม่ต้องรอให้พนักงานมาเก็บจานไปล้างข้างหลังดังนั้น เมื่อทานอาหารเสร็จ ลูกค้าควรเอาถาดไปเททิ้งตรงถังขยะตรงจุดที่เตรียมไว้

บางส่วนก็มองว่า หากว่ากันตามมารยาทก็ควรจะเก็บเอง โดยเฉพาะในต่างประเทศที่ทานฟาสต์ฟู้ดต้องเก็บเองทุกครั้ง ถ้าไม่เก็บอาจถึงขั้นถ่ายรูปประจาน

แม้ KFC จะเคยตอบคำถามนี้เมื่อ 10 ปีก่อน บอกว่า มีพนักงานคอยบริการตรงจุดนี้ให้ แต่ปัจจุบันรูปแบบการบริการได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างชัดเจน ดังนั้น แม้จะไม่มีการประกาศหรือออกกฎชัดเจน แต่ลูกค้าก็ควรเก็บถาดเอง

‘ฮูพ BNK48’ โดนจวกแรง เต้นในรพ. แฟนคลับงง ผิดตรงไหน เพราะเต้นในห้องพิเศษ

(9 มี.ค.67) ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย หรือ ‘ฮูพ สมาชิกรุ่นที่ 3 ของ BNK48’ กลายเป็นดราม่า หลังเจ้าตัวโพสต์คลิปวิดีโอเต้นเพลงใหม่ของหนุ่มธามไทขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

คลิปวิดีโอของ ฮูพ กลายเป็นไวรัล มียอดเข้าชมนับล้านครั้ง เพราะความมีเสน่ห์เฉพาะตัวและความสวยเป๊ะแม้จะอยู่โรงพยาบาล

แต่ไม่วายกลับมีดราม่าจนได้ เมื่อชาวเน็ตส่วนหนึ่งมองว่า พฤติกรรมนี้อาจเป็นอันตรายเพราะ ฮูพ เต้นขณะที่ยังคงใส่สายน้ำเกลือ จะทำให้เลือดย้อนขึ้นรึเปล่า บางคนก็ตั้งคำถามว่าไม่รบกวนคนไข้คนอื่นเหรอ หรือ ทำไมเด็กรุ่นใหม่ต้องทำคอนเทนต์ตลอดเวลา

เป็นการจุดชนวนให้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่าก็ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรออกมาตอบโต้ บอกว่า ไม่รบกวนใครหรอก จากคลิปวิดีโอก็เห็นว่าอยู่ห้องพิเศษ ส่วนเรื่องอันตรายก็ไม่ต้องห่วงเพราะเขาใส่เครื่อง Infusion pump เรียบร้อย ที่เขาออกมาเต้นอาจจะเพราะว่าใกล้หายดีแล้วก็ได้

อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในการดูแลของแพทย์ แล้วไม่รบกวนคนอื่น การเต้นในห้องพักก็อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดที่จะต้องดราม่ากันใหญ่โต

‘ตาหลอย’ วัย 70 ปี ปลื้มสุดขีด วิ่งลงเล่นน้ำทะเล ที่เกาะช้าง เผย ประทับใจ หาดสวย-น้ำใส เกิดมาเพิ่งเคยเห็น

(9 มี.ค.67) เวลา 08.30 น. คุณตาหลอย ทาพิลา อายุ 70 ปี ชาว อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เดินทางถึงเกาะช้าง จ.ตราด แล้ว โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด เป็นเจ้าภาพในการดูแลการเดินทาง ที่พักและอาหารทั้งหมด โดยจุดแรก เจ้าหน้าที่พาตาหลอยมาเข้าที่พักเช็กอินโรงแรม มารีน่า แซน โรงแรมหรู 5 ดาว บ้านคลองสน จ.ตราด หลังจากนั้นพนักงานโรงแรมได้พานั่งรถกอล์ฟไปยังชายหาดทันที

เมื่อคุณตาหลอยลงจากรถกอล์ฟ ได้รีบเดินไปยังชายหาดด้วยท่าทางดีใจ วิ่งไปเล่นน้ำอย่างสมใจอยาก ได้เล่นน้ำตามความฝันที่ไม่เคยได้สัมผัสตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 70 ปี ซึ่งคุณตาหลอยใช้เวลาเล่นน้ำประมาณ 15 นาทีเท่านั้น เพราะเกรงว่าจะมีอาการป่วย

คุณตาหลอยบอกความรู้สึกว่า วันนี้ได้เห็นเกาะช้าง ได้เห็นน้ำทะเล ได้เล่นน้ำทะเลอย่างที่ตั้งใจไว้ และเกินฝันที่คาดไว้ เพราะแรกตั้งเป้าหมายไว้ว่าแค่อยากจะขี่ซาเล้งมาให้เห็นแค่เกาะช้าง เห็นน้ำทะเลเท่านั้น แต่ไม่ได้ข้ามฝั่งไปเกาะช้าง แต่วันนี้ชาวตราดให้การต้อนรับและช่วยเหลืออย่างดี จนทำให้ได้มาเล่นน้ำทะเลเกาะช้างในวันนี้ ประทับใจน้ำทะเลสวยเหมือนมรกต น้ำทะเลใส ไม่มีขยะ วันนี้ต้องขอบคุณสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด ที่ดูแลที่พัก อาหาร และขอบคุณท่าเรือเฟอร์รี่เกาะช้างที่ให้นั่งเรือข้ามฟากฟรี

อย่างไรก็ตาม สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตราดจะพาคุณตาหลอยไปบ้านสลักคอก พายเรือมาด รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านแสงอรุณ และมื้อเย็นที่โรงแรมอัยยะปุระ

'ดร. โสฬส' รองอธิการบดี มจธ. บางขุนเทียน ต้อนรับ กระทรวงศึกษาธิการเยี่ยมชม ห้องปฏิบัติการไฟฟ้ากำลังธนบุรี ศูนย์ทดสอบสถานศึกษาแห่งแรกในอาเซียน

นายปรีดา บุญศิลป์ ประธานอนุกรรมการ คณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ) กลุ่มอาชีพพลังงานและพลังงานทดแทน กล่าว ขอขอบคุณรศ. ดร. โสฬส สุวรรณยืน รองอธิการบดี มจธ. บางขุนเทียนและทีมงานทุกท่าน ที่ให้การต้อนรับทาง (อ.กรอ.อศ) เป็นอย่างดีและได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการทดสอบขั้นสูงเป็นศูนย์ทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้าแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อลดความสูญเสียด้านค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ให้กับผู้ประกอบการและยกระดับความสามารถด้านการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของหม้อแปลงไฟฟ้าไทย สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาประเทศ Thailand 4.0 ของทางรัฐบาลที่มุ่งเน้นในการขับเคลื่อนประเทศด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ นวัตกรรม อีกด้วย 

โดย กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสำคัญกับการจัดการอาชีวศึกษาร่วมกับสถานประกอบการเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการพัฒนาประเทศ โดยการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับสถานประกอบการ ซึ่ง อ.กรอ.อศ. เป็นภาคีเครือข่ายที่สำคัญในการจัดการอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะวิชาชีพ และอุปกรณ์ที่เป็น สื่อการเรียนการสอน เน้นรูปแบบการเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริง (Learning by Doing) เพื่อสร้างสมรรถนะอาชีพและทักษะชีวิตให้ผู้สำเร็จอาชีวศึกษา มีความพร้อมเข้าสู่โลกอาชีพได้ทันต่อความต้องการกำลังคนของประเทศ หรือเป็นผู้ประกอบการได้ มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ (Learn to Earn) และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานอย่างแท้จริง

"ผมขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการสร้างพลังร่วมกันในการขับเคลื่อนและพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาให้เกิดผลสำเร็จในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศสู่ประเทศ ตอบสนองนโยบาย "เรียนดี มีความสุข" ต่อไป"

รศ. ดร. โสฬส สุวรรณยืน รองอธิการบดี มจธ. บางขุนเทียน ต้อนรับ ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ) กลุ่มอาชีพพลังงานและพลังงานทดแทน และได้แนะนำถึงที่มาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน ว่าจุดเริ่มต้นนั้นต้องการสร้างมจธ.วิทยาเขตบางขุนเทียนเพื่อเป็นสวนอุตสาหกรรม จึงมีการจัดตั้งแยกออกมาจากตัวของวิทยาเขตบางมด 

ในปัจจุบันนี้นอกเหนือจากการที่ทางมจธ.วิทยาเขตบางขุนเทียนได้มีความร่วมมือกับบริษัท    เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ในส่วนของห้องปฏิบัติการไฟฟ้าธนบุรี ที่ใช้ทดสอบการทนการลัดวงจรของหม้อแปลงไฟฟ้าแล้วนั้น ทางวิทยาเขตเองยังมีศูนย์พัฒนามาตรฐานและทดสอบระบบเซลล์แสงอาทิตย์ CES Solar Cells Testing Center (CSSC) ที่เป็นศูนย์ทดสอบระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่ได้มาตรฐานที่สุดในประเทศไทยด้วย ซึ่งถ้าทางตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ) กลุ่มอาชีพพลังงานและพลังงานทดแทน มีความสนใจที่จะเข้าเยี่ยมชมในอนาคตทางมหาวิทยาลัยก็มีความยินดี

ผศ. ดร. ศุภกิตติ์ โชติโก หัวหน้าภาคประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้กล่าวแนะนำถึงห้องปฏิบัติการไฟฟ้ากำลังธนบุรีห้องทดสอบการทนต่อการลัดวงจรของหม้อแปลงไฟฟ้าในระบบจำหน่ายที่ทำการทดสอบตามกระบวนการในมาตรฐาน IEC 60076-5 รวมถึงได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อใช้ทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้าซึ่งทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มีการจัดซื้อและกำหนดให้มีการทดสอบการทนต่อการลัดวงจร โดยห้องปฏิบัติการนี้เป็นห้องปฏิบัติการแห่งเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในมหาวิทยาลัย โดยกระบวนการทดสอบนั้นสามารถทำได้โดยการลัดวงจรขดลวดทุติยภูมิของหม้อแปลงไฟฟ้าที่จะทำการทดสอบและป้อนแรงดันพิกัดจ่อรอไว้ที่ด้านขดลวดปฐมภูมิของหม้อแปลง หลังจากนั้นก็สับสวิตช์ในตำแหน่งที่แรงดันเป็นศูนย์(zero crossing) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดกระแสลัดวงจรสูงสุด โดยกรณีที่เกิดการกระแสลัดวงจรไหลไหนหม้อแปลงนี้จะทำให้เกิดแรงทางกลขึ้น โดยแรงทางกลนี้มีการแปรผันตามค่าของ I2 ซึ่งในกรณีที่ทำการทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้า 3 เฟสจะมีการทดสอบทั้งหมด 9 ครั้ง โดยเป็นการทดสอบแต่ละเฟส 3 ครั้ง และต้องควบคุมค่าต่างๆให้เป็นไปตามมาตรฐาน IEC 60076-5

สนามสอบเตรียมอุดมฯ คึกคัก มีนร.เข้าสอบทะลุหมื่น หลายบ้าน มาตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อความหวัง เปิดเส้นทางสร้างอนาคต

อ่านหนังสือทั้งปี เพื่อวันนี้วันเดียว!! 

สนามสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี คึกคัก!! มีนักเรียนร่วมเข้าสอบกว่า 11,607 คน โดยบางครอบครัวได้เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ จากทั่วทุกสารทิศ เพื่อพาบุตรหลานมาเข้าสอบ หวังเปิดเส้นทางอนาคตให้ตัวเอง

เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านหนึ่งที่เดินทางจากจังหวัดปัตตานี พาลูกมาสอบแข่งขันในสนามระดับประเทศ และได้ให้สัมภาษณ์กับเพจอีจันว่า "หลายครอบครัวมาตั้งแต่ตี 3 บางบ้านเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งขับรถ ขึ้นเครื่อง เหนือจรดใต้ เพื่อพาลูกมาสานฝันในวันนี้...วันนี้สอบไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกทำให้เต็มที่ แค่นี้แม่ก็ดีใจแล้ว"

ทั้งนี้ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มีแผนรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2567 รวมทั้งสิ้น 1,520 คน แบ่งเป็นกลุ่มโควตาจังหวัด 306 คน กลุ่มโควตาโอลิมปิกวิชาการ 35 คน ความสามารถพิเศษและมีเงื่อนไขพิเศษ 69 คน และสอบคัดเลือกทั่วไป 1,110 คน

ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนค่ะ

‘เอแบค’ โพลชี้ ชาวเจน Z กว่า 73.2% ชอบการไหว้ขอพร เผย ทำแล้วสบายใจ-ได้ผลทันตาเห็น

(9 มี.ค.67) Business Tomorrow สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ทำการสำรวจ AU Poll เรื่อง 'เส้นทางสายมูของ GEN Z' จากนักศึกษาปริญญาตรีทั่วประเทศ จำนวน 950 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2023 พบว่า ชาวเจน Z ถึง 73.2% เป็นชาวสายมู หรือชื่นชอบการขอพรหรือเสริมดวง โดยพบอีกว่า 77.4 % ชอบดูดวง ลายมือ ไพ่ยิปซี 72.5 % ชอบการอธิษฐานขอพร และ69.6 % ชอบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่าง ๆ

การมูเตลูสำหรับคนรุ่นใหม่ถือเป็นสิ่งที่พบเห็นและเข้าถึงง่ายเพราะ 37.0% เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการมูเตลูจากแหล่งต่าง ๆ อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเห็นทางช่องทางโซเชียลมากที่สุดถึง 86.2%

ทั้งนี้ยังเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนได้ดี เพราะ ส่วนใหญ่ที่เข้าวงการมูเตลู 60.0 % เพราะเพื่อนพามู โดยเรื่องที่ชาวเจน Z จะขอพรนั้น เรื่องการเรียนมีมากถึง 73.7% รองลงมาคือ เรื่องการเงิน 60.7%

จำนวนเม็ดเงินรายหัวต่อครั้งอยู่ที่ 300-400 บาท โดยตลาดการมูเตลูของชาวเจน Z ส่วนใหญ่นั้น พบว่า 28.2% จะมูอย่างน้อยปีละครั้ง ในขณะที่ 20.7% มู 2-3 เดือนต่อครั้ง และ 16.4% ที่มูอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทำให้ถือเป็นตลาดที่มีการเข้ามาใช้จ่ายได้ในทุก ๆ เดือน ทั้งนี้ เหตุผลที่ต้องมูนั้นคือ ความสบายใจที่ได้รับถึง 66.7% ในขณะที่ 20.1% ที่เห็นผลในทางบวก เช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง!! Carbon Pricing กุญแจสำคัญสู่ Net Zero ตอบโจทย์ธุรกิจในโลกยุคใหม่ ช่วยต่อลมหายใจให้โลกใบเก่า

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'Carbon Pricing กุญแจสู่ Net Zero' เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงสุดเป็นอันดับ 9 ของโลก ที่จะได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่มากับภาวะโลกร้อน 

ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาเราต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า ที่รุนแรงที่สุดดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 และฝุ่น PM 2.5 ซึ่งยังคงหลอกหลอนเราอยู่ในปัจจุบัน

แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก แต่ก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความกดดันที่จะต้องมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ได้ 

แรงกดดันดังกล่าวมาจากทั้งองค์การระหว่างประเทศ ตลาดเงินตลาดทุน Supply Chains ในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนผู้บริโภคและ NGO ต่าง ๆ

นายกรัฐมนตรีไทยได้ประกาศในที่การประชุม COP 26 ที่ Glasgow สหราชอาณาจักร ว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 ซึ่งแม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ก็ยังล่าช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ รวมทั้ง มาเลเซีย, ลาว และกัมพูชา

เป้าหมายดังกล่าว กอปรกับแรงกดดันจากทุกภาคส่วน ยังคงความจำเป็นให้ต้องมี Roadmap ที่ชัดเจนและเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดในด้านทรัพยากรและขีดความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย 

ดังนั้น การใช้กลไกตลาด จึงน่าจะเป็นกุญแจสำคัญของเส้นทางไปสู่เป้าหมาย Net Zero การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) อาจกระทำโดยการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และการจัดระบบซื้อขายคาร์บอนผ่านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต

ประการแรก การจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่สะท้อนต้นทุนทางสังคม เป็นทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ กรมสรรพสามิตเป็นหน่วยงานที่มีประสบการณ์จัดเก็บภาษีบาป (Sin Tax) อยู่ในปัจจุบัน ทั้งจากสุรา, ยาสูบ และน้ำตาล จึงไม่มีปัญหาในการเพิ่มคาร์บอนเข้าไปในรายการสินค้าบาปแต่อย่างใด แต่ปัญหาอยู่ที่ช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อประชาชนในระยะสั้น, ความสามารถในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีสู่พลังงานสะอาด และที่สำคัญที่สุดความกล้าหาญทางการเมืองของรัฐบาล

ประการที่สอง การซื้อขายคาร์บอนผ่านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะในยุโรป สำหรับในประเทศไทยก็มีพัฒนาการในระดับที่น่าพอใจ แต่ยังต้องกระตุ้นให้เกิดสภาพคล่องมากกว่านี้ 

กฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับใหม่ ซึ่งกำลังจะออกมาบังคับใช้ในเร็ววันนี้ จะมีการกำหนดระดับการปล่อยคาร์บอนภาคบังคับของธุรกิจขนาดใหญ่ในบางสาขาอุตสาหกรรม และน่าจะช่วยให้ตลาดคาร์บอนของไทยมีความคึกคักมากขึ้นทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง รวมทั้งยกระดับคาร์บอนเครดิตของไทยให้เป็นมาตรฐานสากล 

ดังนั้น จึงเชื่อมั่นได้ว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ประเทศไทยน่าจะสามารถเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนในระดับภูมิภาคได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการกำหนดราคาคาร์บอนจะเป็นหัวใจของเส้นทางเดินสู่ Net Zero ก็ตาม แต่คงไม่เพียงพอที่จะยับยั้งความเสื่อมโทรมของสภาพภูมิอากาศได้ 

ฉะนั้น ประเทศไทย จำเป็นต้องระดมทรัพยากรและสรรพกำลังทุกภาคส่วนมาร่วมกันแก้ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติในวันนี้ และก็จำเป็นที่ต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนเป้าหมายเดิมที่ประกาศไว้ด้วย

8 ปัญหาที่ทำให้ 'ฟิลิปปินส์' 'ไม่พัฒนา' แม้คนพูดอังกฤษเก่งและเคยรวยกว่าไทย 3 เท่า!!

เมื่อวานนี้ (8 มี.ค.67) ผู้ใช้ติ๊กต๊อก ที่ชื่อว่า nickiiz_iizz ได้โพสต์คลิปเผยแพร่ ในเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์ โดยระบุว่า

8 ปัญหาที่ทำให้ 'ฟิลิปปินส์' 'ไม่พัฒนา'

1. การเรียนในโรงเรียนรัฐแออัดเกินไป เกิดปัญหาครูไม่พอ ห้องเรียนไม่พอ การศึกษาไม่ทั่วถึง แล้วก็ไม่ได้คุณภาพ 

2. ประชากรล้นประเทศ ชาวฟิลิปปินส์กว่า 95 % นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีความเชื่อว่า ไม่ควรมีการคุมกำเนิด เด็กทุกคนคือของขวัญจากพระเจ้า ทุกคนควรมีสิทธิ์เกิด จึงทำให้ประชากรล้นประเทศ

3. คนเก่งไหลออกนอกประเทศ เนื่องจากมีเงินเดือน มีรายได้ต่อหัวที่น้อยมาก จึงต้องออกไปทำงานนอกประเทศ ส่งผลให้ในประเทศขาดแคลนคนเก่งที่มีคุณภาพ

4. แรงงานส่งเงินกลับประเทศเยอะมาก ทำให้รัฐบาลไม่กล้าที่จะรื้อโครงสร้างการปกครองระบบแบบนี้ เพราะถ้ารื้อระบบใหม่ รัฐบาลจะสูญเสียรายได้ 

5. ขาดแคลนอาหาร ประเทศฟิลิปปินส์ต้องนำเข้าข้าว เพราะว่าการเพาะปลูกภายในประเทศนั้นไม่เพียงพอ รวมทั้งไม่มีคุณภาพ

6. ภัยพิบัติธรรมชาติ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเกาะเยอะมาก ดังนั้นจึงต้องเจอกับภัยธรรมชาติ อยู่เป็นประจำ

7. อาชญากรรมสูง สาธารณูปโภคย่ำแย่ ประเทศนี้มีคนจนอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากร อัตราการเกิดอาชญากรรมก็จึงสูงตามมา  ค่าน้ำค่าไฟ ก็มีราคาแพงมาก

8. คอร์รัปชัน ที่ประเทศนี้มีการคอร์รัปชันกันสูงมาก จึงทำให้ประเทศไม่มีการพัฒนา

‘บาส-ปอป้อ’ รวมพลัง ตบลูกขนไก่ เอาชนะ นักตบจีน 2-1 เกม เน้นความอดทน-แน่นอน สร้างความสะใจ ให้ชาวไทย

เมื่อวานนี้ (8 มี.ค.67) การแข่งขันแบดมินตันรายการ โยเน็กซ์ เฟรนช์ โอเพ่น 2024 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,600,000 บาท ที่อาดิดาส อารีน่า ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นการแข่งขันในรอบก่อนรองชนะเลิศ

ประเภทคู่ผสม รอบก่อนรองชนะเลิศ 'บาส' เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ 'ปอป้อ' ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 6 ของโลก พบกับ เจิ้ง ซีเว่ย กับ หวง หย่าเฉียง คู่มืออันดับ 1 ของโลกจากจีน 

เกมแรก คู่ เจิ้ง ซีเว่ย กับ หวง หย่าเฉียง เป็นฝ่ายที่คุมเกมและวางเกมได้เหนือกว่าเอาชนะไปได้ก่อน 21-15 จากนั้น เกมสอง บาส กับ ปอป้อ แก้เกมการเล่นและเปลี่ยนจังหวะเกมได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะไปได้ที่ 21-16 เกมตัดสิน ทั้งสองฝั่งเปิดเกมแลกกันอย่างสุสีแต้มต่อแต้ม แล้วเป็นคู่บาส กับ ปอป้อ เอาชนะไปได้ในที่สุดที่ 26-24 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-1 เกม 'บาส' เดชาพล กับ 'ปอป้อ' ทรัพย์สิรี ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปรอพบผู้ชนะหว่าง แช ยูจุง กับ โซว ซอนแจ คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ คู่มืออันดับ 3 ของโลกจากเกาหลีใต้ หรือ ทอม กีเซล กับ เดลฟิน แดร์รูร์ คู่มืออันดับ 13 ของโลกจากฝรั่งเศส 

ด้าน ประเภทชายเดี่ยว รอบก่อนรองชนะเลิศ 'วิว' กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลก พบกับ หวัง ซื่อเว่ย มืออันดับ 27 ของโลกจากไต้หวัน 

เกมแรก วิว กุลวุฒิ เป็นฝ่ายควบคุมเกมได้เหนียวแน่น ตลอดถึงแม้ช่วงปลายเกมแรกมีสะดุดบ้างแต่สามารถปิดเกมแรกไปได้ที่ 21-18 แล้วในเกมที่สอง วิว กุลวุฒิ มาโชว์พลังแกร่งและอาศัยความนิ่งที่แน่นอนกว่ามาปิดแมตช์เอาชนะไปอีกด้วยสกอร์ 21-16 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-0 เกม วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปรอพบผู้ชนะระหว่าง ลัคย่าห์ เซ็น มืออันดับ 19 ของโลกจากอินเดีย หรือ โลว เคียงยิว มืออันดับ 12 ของโลกจากสิงคโปร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top