Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

6 เดือน 6 งานเด่น 'รมว.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ' แห่งคมนาคม ครบทุกมิติ 'บก - น้ำ - อากาศ'

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินหน้าพัฒนาคมนาคมของไทย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้ง 'บก - น้ำ - อากาศ' โดยมี 6 ผลงานเด่นที่เห็นเป็นรูปธรรมดังนี้

📌มาตรการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา นำร่อง 2 โครงการ คือ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - คลองบางไผ่ และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน และต่อมาได้ขยายใช้ในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างสายสีแดงและสายสีม่วงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นนโยบาย Quick Win นโยบายแรกของรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนและจูงใจให้เปลี่ยนมาใช้ระบบรางในการเดินทาง

ทั้งนี้จะเร่งขยายมาตรการค่าโดยสาร 20 บาท ในรถไฟฟ้าเส้นทางอื่น ๆ ภายใน 2 ปี โดยขณะนี้ กระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างการหารือและพิจารณาร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเมินทั้งโครงข่ายทุกสาย กรณีลดค่าโดยสารเหลือไม่เกิน 20 บาท รายได้ของผู้ให้บริการจะลดลง ซึ่งจะต้องมีเงินอุดหนุนประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท/ปี

📌การเปิดใช้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินในปัจจุบัน และกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้โดยสารของสนามบินเชียงใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปัจจุบันที่มีผู้โดยสารระหว่างประเทศเฉลี่ย 4,800 คน/วัน จำนวน 20 เส้นทาง ปริมาณเที่ยวบิน 36 เที่ยวบิน/วัน วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม รวมถึงรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 (SAT-1) พร้อมทั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติเชื่อมต่อระหว่างอาคาร SAT-1 กับอาคารผู้โดยสารหลัก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 โดยทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคน/ปี เป็น 60 ล้านคน/ปี รองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวบิน/ชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบิน/ชั่วโมง เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และนโยบายวีซ่าฟรี ตามนโยบายรัฐบาล

📌เร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) และ สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81) รวมถึงการเปิดให้ใช้ฟรี 2 เส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 โดย M6 ช่วงปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. M81 ช่วงนครปฐม ฝั่งตะวันตก - กาญจนบุรี ระยะทาง 51 กม. เปิดทดลองใช้ฟรีปีใหม่ ตั้งแต่ 28 ธ.ค.66 - 3 ม.ค. 67 ซึ่งจะเปิดให้บริการใช้งานฟรีตั้งแต่ 28 ธ.ค.66 ต่อเนื่องจนกว่าด่านเก็บค่าผ่านทางจะแล้วเสร็จ ส่วน เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง

ขณะเดียวกัน ยังได้เร่งรัดโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ เส้นทางนครปฐม - ชุมพร และได้เปิดให้บริการช่วงสถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นถึง 1 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทางของประชาชน รวมทั้งการขนส่งสินค้า โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถอีกต่อไป

📌การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ โดยการยกมาตรฐานและปลอดภัยท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นโดยการให้บริการด้วยระบบตั๋วร่วม พร้อมทั้งออกแบบรองรับผู้ใช้บริการทุกประเภท โดยมีแผนพัฒนาท่าเรือเป็นสถานีเรือ (ระบบปิด) ทั้งหมด 29 ท่า ซึ่งขณะนี้ปรับปรุงเสร็จแล้ว จำนวน 9 ท่า อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงและก่อสร้าง จำนวน 5 ท่า และในส่วนที่เหลืออีกจำนวน 15 ท่า จะมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อลดความคับคั่งในการเดินทางขนส่งทางบก รวมถึงพัฒนาท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ในอ่าวไทยและอันดามัน สร้างรายได้ท่องเที่ยวทางน้ำ

📌เดินหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Landbridge) ผลักดันการพัฒนาท่าเรือชุมพรและระนอง รวมถึงรถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ เพื่อเชื่อมขนส่งระหว่าง 2 ท่าเรือ ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อพลิกโฉมพื้นที่ภาคใต้เป็นศูนย์กล่างโลจิสติกส์ระดับโลก ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้เริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) โดยล่าสุดได้ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ Landbridge ในการประชุมเอเปค ครั้งที่ 30 ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - ญี่ปุ่น ซึ่ง มีนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นสนใจเป็นจำนวนมากกว่า 30 บริษัท จากเดิมที่คาดว่าจะมีประมาณ 20 บริษัท และหลังจากนี้ จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารับฟังข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมอย่างต่อเนื่อง

‘มาดามแป้ง’ จัดให้!! จ่ายเงินหนุนสโมสร ‘ไทยลีก 2 - 3’ ย้ำ!! เว้นทีมที่มีข้อพิพาท หากเคลียร์ปัญหาจบขอรับได้เลย

(7 มี.ค.67) ‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ สั่งอนุมัติจ่ายเงินสนับสนุนสโมสร สมาชิกไทยลีก 2 และ ไทยลีก 3 ประจำฤดูกาล 2566/67 เป็นที่เรียบร้อย หลังเพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภากรรมการ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567

โดยไทยลีก 2 จ่ายเพิ่มงวดที่ 2-3 แก่ 18 สโมสร ทีมละ 750,000 บาท เป็นเงิน 13,500,000 บาท โดยยังเหลืออีก 1 งวด และ ไทยลีก 3 จ่ายอีก 3 งวดให้ครบ แก่ 72 สโมสร ทีมละ 375,000 บาท เป็นเงิน 27,000,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ภายใน 2 วัน ล่าสุด ‘มาดามแป้ง’ ส่งทีมงานติดต่อตรงทุกสโมสรเพื่อยืนยันการรับเงิน โดยปรับเกณฑ์เป็นการเฉพาะกิจ เพื่อให้ทุกสโมสรได้เงินสนับสนุนอย่างรวดเร็ว ซึ่งฝ่ายบัญชีได้ดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เหลือเพียงบางสโมสร ที่ยังมีข้อพิพาททั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งหากสโมสรยุติข้อพิพาทได้แล้ว สามารถยื่นหลักฐานขอรับเงินสนับสนุนจำนวนนี้ได้ทันที

ปัจจุบัน การแข่งขันฟุตบอลไทยลีก 2 เหลืออีก 7 นัด ในฤดูกาลปกติ ส่วน ไทยลีก 3 กำลังเข้าสู่รอบแชมเปี้ยนส์ลีก เพื่อหา 3 ทีม เลื่อนชั้นสู่ไทยลีก 2 โดยเตรียมเริ่มทำการแข่งขัน วันที่ 9 มีนาคม 2567

ย้อนวลีเด็ด ‘เลขาฯ ขิง’ ต่อกรณี ‘มาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ’

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 67 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จว่า “ที่ตัดสินใจเสนอญัตติด่วนในวันนี้สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งมีการเผยแพร่มีการรบกวนก่อกวนขบวนเสด็จ สร้างความสะเทือนใจให้กับคนไทย เพราะจากที่เห็นคลิปซึ่งมีการเผยแพร่ รู้สึกตกใจเนื่องจากขบวนเสด็จที่ใช้เป็นทางสัญจรเป็นขบวนที่สั้นมาก เห็นได้ชัดว่าการถวายความปลอดภัยในวันนั้นดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบกับการจราจรของพี่น้องประชาชน และไม่ปรากฏว่ามีลักษณะการปิดถนนปิดกั้นการสัญจรของพี่น้องคนไทย มีการกัน เป็นจังหวะ เป็นช่วง เป็นตอน ให้การจราจรไหลไปตามปกติ แต่ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งของผู้ก่อเหตุ วิ่งมาด้วยความเร็วเจตนาชัดเจน โดยขบวนเสด็จผ่านไปแล้วยังพยายามวิ่งไล่ขบวนเสด็จ จนรถที่ปิดท้ายต้องมากันรถผู้ก่อเหตุออกไป และหลังจากนั้นปรากฏขึ้นอีกคลิปหนึ่งทำให้เห็นเจตนาของผู้ก่อเหตุในวันนั้นว่าคืออะไร”

นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า “หลังจากเห็นคลิปแล้ว เชื่อว่าความรู้สึกของตนเหมือนกับ สส. หลายคนในห้องนี้ และรู้สึกเช่นเดียวกับประชาชนหลายคน ซึ่งตนรู้สึกโกรธมากว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนี้ แต่มีประโยคหนึ่งที่แว่วทำให้ตนรู้สึกลดโทสะลงคือพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ท่านทรงตรัสไว้ว่า Thailand is the Land of compromise หรือประเทศไทย คือดินแดนแห่งการประนีประนอม ทำให้ดึงสติตนลดความโกรธลดลงมา เพราะความจริงแล้วพฤติกรรมแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับขบวนเสด็จ แค่มารยาททางสังคม เวลาเดินจะเข้าลิฟต์ยังต้องหลีกทางให้กันและกัน แม้กระทั่งบนถนนที่ใช้ก็มีมารยาทในการสัญจรการจราจรบนถนน สิ่งที่ตนคาดหวังหลังเกิดเหตุ คือเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. รอมาเกือบสัปดาห์ปรากฏว่าท่าทียังไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 10 ก.พ. ผู้ก่อเหตุยังเหิมเกริมไปทำโพลที่บีทีเอสสยาม จนเกิดการกระทบกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างประชาชนที่ไม่พอใจกับผู้ก่อเหตุ”

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า การเสนอญัตติครั้งนี้ไม่มีความตั้งใจที่จะมาพูดเพื่อซ้ำเติมความร้าวฉาน ความแตกแยกที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในความรู้สึกของทั้งสองฝั่ง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ควรเกิดขึ้นอีก และถ้าเราปล่อยปละละเลยในที่สุดสถานการณ์ตามที่เราได้เห็นวันที่ 10 ก.พ. เริ่มมีการประท้วงมีการปะทะกันในหมู่ประชาชน ถ้าเราไม่รีบบริหารจัดการจะบานปลายไปสู่ความแตกแยกความรุนแรงที่อาจจะปะทุ บานปลายถึงความขัดแย้งระดับประเทศ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยบังคับกฎหมายในทันที เพื่อความสงบเรียบร้อยเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือกฎหมาย การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบชัดเจนว่าต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่น และต้องไม่กระทำความผิดกฎหมายตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นายเอกนัฏ ยังเสนอให้ทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ รวมถึงแผนการถวายการอารักขาความปลอดภัยแก่ขบวนเสด็จ แม้ปัจจุบันกฎหมายที่ใช้ ถือว่ามีความทันสมัย ตามพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย แต่ในความเห็นของตนเนื่องจากภารกิจนี้มีความสำคัญ และเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จนทำให้ตนกังวลว่าหากเราไม่ทบทวนมาตรการเข้มงวดจะเป็นการปล่อยปละละเลยจนกระทั่งการกระทำในลักษณะแบบนี้เป็นแฟชั่น เป็นค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้น และไม่อยากจินตนาการเลย ถ้าหากปล่อยให้บานปลายมากไปกว่านี้ 

ดังนั้นจึงควรต้องมีการปรับปรุง ระเบียบ และแผนในการปฏิบัติที่ยังใช้ของเดิมตั้งแต่ปี 2548 ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งและบริบททางสังคมเปลี่ยนไปเยอะ ใน 10 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งนิยามของภัยคุกคามหรือความพยายามที่จะก่อกวนขบวนเสด็จหรือก่อเหตุให้เกิดอันตรายก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะไม่สามารถจินตนาการว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นหากกฎหมายอัปเดตแล้วระเบียบแผนมาตรการจะต้องอัปเดตตามกฎหมายด้วย จะต้องมีความกระชับ มีความชัดเจน มีเจ้าภาพ มีขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจน ไม่อยากให้เกิดข้อถกเถียงในการปฏิบัติหน้าที่ว่า เหตุเกิดขึ้นแล้วเป็นของใคร เรื่องของการถวายความปลอดภัยการถวายพระเกียรติถือเป็นภารกิจสำคัญมาก ๆ ต้องมีความชัดเจนและสิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกซ้อม

"เห็นไหมครับก่อเหตุปุ๊บถ่ายคลิปทันทีแบบนี้เจ้าหน้าที่จะต้องมีการฝึกซ้อม แผนรองรับ อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรที่ประชาชนผู้ก่อเหตุไม่สามารถทำได้ เมื่อเกิดเหตุสิ่งแรกที่จะต้องสื่อสารกับผู้ก่อเหตุคืออะไร เพราะประโยคนั้นเป็นประโยคที่สำคัญที่สุดถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการดำเนินการตามกฎหมายแล้ว แต่ผมไปดูคลิป ผมขอไม่วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มากไปกว่านี้ เพราะเข้าใจว่าในส่วนของแผนมาตรการต่าง ๆ อาจจะลงไม่ชัดเจน ไม่มีการฝึกซ้อม ไม่มีคู่มือการปฏิบัติหน้าที่ แต่ผมหวังว่าหลังจากเหตุการณ์นี้จะไม่มีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นอีก" นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวด้วยว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสารกับประชาชน เพราะต้องยอมรับว่าในภารกิจการถวายความปลอดภัย ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเลย แต่เชื่อว่า พี่น้องประชาชนเข้าใจ และถือว่าเป็นความปลอดภัยต่อสาธารณะด้วย”

"ขอส่งสัญญาณผ่านรัฐบาลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปรับปรุงสื่อสารถึงหน่วยงานต่าง ๆ เพราะกังวลว่าถ้าปล่อยผ่านละเลย และเราไม่เข้มงวดเหตุการณ์แบบนี้จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่นำไปสู่ความวุ่นวาย เกิดการปะทะกันในหมู่ประชาชนเกิดความแตกแยก และขอย้ำว่าพวกเราอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขไม่อยากให้มีพฤติกรรมหรือค่านิยมแฟชั่นที่ออกมาบั่นทอนสถาบัน ที่เป็นสถาบันหลักของประเทศ จึงเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจขอเสนอเป็นญัตติด่วน เพื่อให้ สส. ได้พิจารณา ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บังคับใช้กฎหมายทบทวนระเบียบ แผน และมาตรการการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัยมีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์กับประชาชน ถือเป็นความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ" นายเอกนัฎ กล่าว

นิสิตเก่าจุฬาฯ ร่อนหนังสือถึงอธิการบดีฯ จุฬาฯ ถาม 6 ข้อคืบหน้าถอดถอนวิทยานิพนธ์ 'ณัฐพล ใจจริง'

(8 มี.ค. 67) นางวิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ ในฐานะนิสิตเก่าคณะรัฐศาสตร์ รุ่น 30 ทำหนังสือถึง นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเนื้อหาดังนี้…

เรียน อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์  

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2567 ศาลอาญายกฟ้อง ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีนายณัฐพล ใจจริง ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท เรื่องที่ ศ.ดร.ไชยันต์ ได้วิพากษ์วิจารณ์นายณัฐพล ว่าใช้ข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริงมาอ้างอิงเป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ และพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อสร้างกระแสความรู้สึกให้ผู้อ่านเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์

ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่าคณะกรรมการสอบสวนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน ได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญและเป็นกลาง ขึ้นมาตรวจสอบวิทยานิพนธ์ดังกล่าวตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 โดยผู้ทรงคุณวุฒิได้ส่งผลการสอบสวนให้ท่านประธานคณะกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว เรื่องดังกล่าวได้ถูกนำเข้าสู่สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภาฯ ได้มีมติรับรองผลการสอบสวนวิทยานิพนธ์แล้ว

บัดนี้เวลาได้ผ่านไป 3 ปี จนศาลอาญายกฟ้อง ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร แล้ว แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังไม่มีการประกาศผลการสอบสวนออกมาเพื่อเปิดเผยให้สังคมที่กำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากได้รับทราบ ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญเนื่องจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศ การเก็บเรื่องที่สำคัญมากเช่นนี้อย่างเงียบโดยไม่ชี้แจงแสดงผล และการที่มีข่าวลือว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีอำนาจถอดถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตของนายณัฐพล ใจจริง เนื่องจากไม่มีระเบียบให้ถอดถอนปริญญาในกรณีตกแต่งข้อมูลเท็จ ทำให้มีผู้กล่าวถึงผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในทางที่เสียหาย ข้าพเจ้าในนามนิสิตเก่า คณะรัฐศาสตร์ รุ่น 30 รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเรื่องนี้ไม่เพียงทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง และผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถูกติฉินนินทา แต่เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนของชาติเข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์ผิด ซึ่งจะมีผลลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของชาติ จึงเป็นเรื่องที่ผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยควรสำเหนียกให้มาก

เพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเพื่อสืบสานพระปณิธานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงประดิษฐานให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาทางวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง และเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2551 ซึ่งระบุถึงภารกิจหลักของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า เพื่อให้บัณฑิตของมหาวิทยาลัยมี "คุณธรรมกำกับความรู้ เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและจริยธรรม ใฝ่รู้ กอปรด้วยวิจารณญาณ จิตใจเสียสละ และความสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงต้องดำเนินการโดยยึดหลัก ความมีคุณธรรมควบคู่ไปกับความเป็นเลิศทางวิชาการ มาตรฐานและคุณภาพทางวิชาการอันเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ การนําความรู้ที่ถูกต้องสู่สังคม ความรับผิดชอบต่อรัฐและสังคม ตลอดจนประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารที่โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนได้รับทราบและสามารถตรวจสอบได้ตามนโยบายการบริหารงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภายใต้แนวคิด ‘Open to Transparency’

ข้าพเจ้าจึงขอกราบเรียนท่านอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนี้ :

1. ขอให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยมติของคณะกรรมการสอบสวนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ของนายณัฐพล ใจจริง เรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491 - 2500)’ ให้ข้าพเจ้าและสาธารณชนทราบ

2. ขอทราบว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการอย่างไรแล้วบ้าง หลังสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับรองมติดังกล่าว

3. ถ้ายังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ขอทราบว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะดำเนินการเมื่อใด และอย่างไร

4. ถ้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีอำนาจถอดถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตของนายณัฐพล ใจจริง เนื่องจากไม่มีระเบียบให้ถอดถอนปริญญาในกรณีตกแต่งข้อมูลเท็จ ข้าพเจ้าขอทราบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะ ‘ถอดถอนวิทยานิพนธ์’ ของนายณัฐพล ใจจริง แทนได้หรือไม่ เนื่องจากการถอดถอนวิทยานิพนธ์ก็น่าจะมีผลต่อวิทยฐานะของของนายณัฐพล ใจจริง โดยไม่ต้องถอดถอนปริญญา ข้าพเจ้าจึงขอร้องเรียนให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ‘ถอดถอนวิทยานิพนธ์’ นั้นโดยเร็วที่สุด แล้วแจ้งให้ข้าพเจ้าและสาธารณชนรับทราบด้วย 

5. ถ้าข่าวลือว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่สามารถถอดถอนปริญญาดุษฎีบัณฑิตของนายณัฐพล ใจจริง เนื่องจากไม่มีระเบียบในเรื่องนี้ เป็นความจริง ข้าพเจ้าขอร้องเรียนให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปรับปรุงระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้รัดกุมและครอบคลุมบทลงโทษเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต

6. ขอทราบนามอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของนายณัฐพล ใจจริง

จึงกราบเรียนมาเพื่อขอคำตอบทุกข้อภายใน 15 วัน ตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารทางราชการ พ.ศ. 2540

ขอแสดงความนับถือ
นางวิรังรอง ทัพพะรังสี            
นิสิตเก่าคณะรัฐศาสตร์ รุ่น 30
หมายเหตุ : หนังสือนี้ทำ 2 ฉบับ
ส่งถึงอธิการบดี 1 ฉบับ
และสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1 ฉบับ
มีเนื้อหาข้อความตรงกัน

'รทสช.' ซัด กทม. ลอยแพ 'คลองโอ่งอ่าง' ไม่เหลือเค้า 'แลนด์มาร์ก' แห่งเมืองกรุง

เมื่อวานนี้ (7 มี.ค.67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้หารือระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรฝากถึงกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงการเสียโอกาสของ ‘คลองโอ่งอ่าง’ ว่า ปัจจุบันพื้นที่คลองโอ่งอ่างได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง กลายเป็นพื้นที่ให้คนเร่ร่อนมาหลับนอน สร้างความไม่ปลอดภัยให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง

ทั้งนี้การพัฒนาคลองโอ่งอ่าง ซึ่งเริ่มต้นจากปี 2558 กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มีโครงการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ พร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์ดูแลความสะอาดคลองโอ่งอ่าง แล้วนำมาทำเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว ทำโครงการถนนคนเดิน พัฒนาทำน้ำดำที่เคยเน่าเสียให้เป็นน้ำใส มีการวางระบบท่อระบายน้ำเสียที่อยู่ริมคลองโอ่งอ่าง พัฒนาพื้นที่ 2 ข้างทางให้คนใช้ประโยชน์ร่วมกันจนกลายเป็น Landmark แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

อีกทั้งยังมีการจัดทำโครงการถนนคนเดินทุกวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ แต่ปัจจุบันพื้นที่เหล่านี้ ได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง โดยที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการหลายรายที่ค้าขายในบริเวณดังกล่าวว่า ปัจจุบัน กทม. ไม่ได้ให้ความสำคัญจัดกิจกรรมถนนคนเดินเหมือนในอดีตอีกแล้ว และน้ำในคลองโอ่งอ่างเริ่มเน่าเสียอีกครั้ง น้ำในคลองที่เคยใสกลายเป็นน้ำดำ

“ขอหารือ ผ่านไปยังกทม. ว่า เพราะเหตุใดถึงไม่มีการพัฒนาจัดกิจกรรมและสิ่งดี ๆ ที่เคยทำมาให้ต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างประโยชน์ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ และยังสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ รวมทั้งไม่ทำให้เกิดปัญหากับประชาชนในพื้นที่”

สำหรับ ‘คลองโอ่งอ่าง’ นั้น เป็นคลองที่มีความสำคัญกับกรุงเทพฯ มาตั้งแต่สมัยอดีต โดยเป็นช่วงหนึ่งของคลองรอบกรุง มีขอบเขตจากปากคลองมหานาคไปถึงปากคลองทางแม่น้ำเจ้าพระยาทางตอนใต้ มีระยะทางรวมประมาณ 750 เมตร และคลองโอ่งอ่าง ยังทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตปกครองระหว่าง เขตพระนคร กับ เขตสัมพันธวงศ์ ด้วย

โดยในอดีต ‘คลองโอ่งอ่าง’ เป็นหนึ่งเส้นทางการค้าขายและเดินทางทางเรือมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนเมื่อผ่านกาลเวลามาถึงปี 2526 กรุงเทพมหานครได้เปิดสัมปทานเปิดพื้นที่ให้เช่า บนคลองโอ่งอ่าง เพื่อย้ายผู้ค้าจากคลองถมเดิมมาที่คลองโอ่งอ่างนี้แทน จนกลายเป็นย่านสะพานเหล็กทับคลอง เป็นแหล่งขายเกม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชื่อดังของวัยรุ่นยุค 80-90 

ต่อมาในเดือนตุลาคม 2558 รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้ามาจัดระเบียบ กทม. โดยมติของรัฐบาลได้ทำการรื้อถอนอาคารร้านค้าต่าง ๆ บริเวณริมคลองโอ่งอ่างที่ถูกบดบังทัศนียภาพมานานกว่า 40 ปี เพื่อทำการปรับภูมิทัศน์ให้เป็นถนนคนเดินที่ร่มรื่นรวมถึงมีร้านค้าและมีความสวยงามทางศิลปะ เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ คล้ายกับคลองช็องกเยช็อน ในประเทศเกาหลีใต้

มัดรวม!! 6 บิ๊กโปรเจกต์ ‘รมช.อนุชา นาคาศัย’ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

‘อนุชา นาคาศัย’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ มุ่ง ‘สาน-สร้าง’ งานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวคิด ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ โดยมี 6 โปรเจกต์ใหญ่ ดังนี้ 

 📌ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคคณิตศาสตร์ บนพื้นที่ต้นแบบจังหวัดสุโขทัย ให้คำแนะนำติดตาม ให้ความช่วยเหลือ ระยะที่ 1 ผ่านกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง

 📌วางนโยบายขับเคลื่อนงานองค์การสะพานปลา (อสป.) กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมอาชีพประมง และเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอาชีพ

📌สนับสนุนเกษตรกรให้ประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ นอกจากการเพาะปลูกพืชเพียงอย่างเดียว ตลอดจนการบริหารจัดการทรัพยากรดิน และพัฒนาแหล่งน้ำ

📌ส่งเสริมชาวนาด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในพื้นที่เขตชลประทานภาคกลาง เพื่อเพิ่มรายได้และปรับตัวจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

📌บริหารจัดการทรัพยากรดิน พัฒนาแหล่งน้ำ เช่น ธนาคารน้ำใต้ดิน เทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้าน
การเกษตรมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนต่อไร่ให้สูงขึ้น ผ่าน 'ชัยนาทโมเดล'

📌แถลงการณ์ "พลิกโฉมระบบเกษตร และอาหารของประเทศไทยให้ยั่งยืน ยืดหยุ่น และเป็นธรรม" ต่อสมัชชาองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิค ครั้งที่ 37 ณ กรุงโคลัมโบ สารารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา

อัปเดตแผนที่สัญญาณ 5G ในอาเซียน ประเทศไทยครอบคลุมที่สุดในย่านนี้

เมื่อไม่นานมานี้ ookla.com ได้เปิดเผยแผนที่ 5G ภูมิภาค แสดงให้เห็นชัดเจน ประเทศไทย สัญญาณแรงชัด และครอบคลุมทุกภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างมาก ด้วยความเร็วและประสิทธิภาพในการสื่อสารที่สูงกว่าสร้างโอกาสให้ประเทศไทยในหลาย ๆ ด้านดังนี้

1.เพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการสื่อสาร โดย 5G มีความเร็วสูงถึง 100 เท่าของเครือข่าย 4G ซึ่งช่วยให้การสื่อสารและการส่งข้อมูลเร็วขึ้นมากขึ้น ทำให้ธุรกิจสามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ 5G เปิดโอกาสให้ธุรกิจและผู้สร้างเทคโนโลยีใหม่ได้ใช้งานเครือข่ายที่มีความเร็วสูง เช่น รถยนต์ไร้คนขับ (self-driving cars) หรือการใช้งาน Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

3. สร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจ เครือข่าย 5G เปิดโอกาสให้ธุรกิจใหม่ๆ และธุรกิจเดิมสามารถพัฒนาและขยายธุรกิจได้ในรูปแบบใหม่ เช่น การให้บริการ Internet of Things (IoT) หรือการพัฒนา Smart Cities

4.สร้างงาน การพัฒนาเครือข่าย 5G ต้องการความชำนาญและแรงงานที่มีความรู้ความสามารถที่สูง ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ในการจ้างงานและสร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เผยแพร่ประกาศพร้อมภาพวาด 'นางมโหธรเทวี' นางสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๗

วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗ นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำภาพวาดนางสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๗ พร้อมเผยแพร่ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ จากฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ดังนี้

ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ ปีมะโรง (เทวดาผู้ชาย ธาตุทอง) ฉอศก จุลศักราช ๑๓๘๖ ทางจันทรคติ เป็น ปกติ มาสวาร ทางสุริยคติ เป็น อธิกสุรทิน

วันที่ ๑๓ เมษายน เป็น วันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๒๒ นาฬิกา ๒๔ นาที นางสงกรานต์ ทรงนามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จไสยาสน์ลืมเนตรมาเหนือหลัง มยุรา (นกยูง) เป็นพาหนะ

วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๐๒ นาฬิกา ๑๕ นาที ๐๐ วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่เป็น ๑๓๘๖ ปีนี้ วันอังคาร เป็น ธงชัย , วันพฤหัสบดี เป็น อธิบดี , วันจันทร์ เป็น อุบาทว์ , วันเสาร์ เป็น โลกาวินาศ

ปีนี้ วันอังคาร เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๓๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๓๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๖๐ ห่า ตกในป่าหิมพานต์ ๙๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๑๒๐ ห่า นาคให้น้ำ ๗ ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๕ ชื่อ วิบัติ ข้าวกล้าในภูมินาจะเกิดกิมิชาติ จะได้ผลกึ่ง เสียกึ่ง เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย

‘สื่อ UK’ ชี้ รถยนต์ไฟฟ้า ‘จีน’ ยอดขายดีกว่า ‘สหรัฐฯ’ เหตุ ‘ราคาย่อมเยา - ประสิทธิภาพดี’ ถูกใจผู้ซื้อ

เมื่อวานนี้ (7 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส (Financial Times) ของสหราชอาณาจักร อ้างอิงมาเธียส เมเดรช ซีอีโอของยูมิคอร์ (Umicore) ผู้ผลิตวัสดุแบตเตอรี่ระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เบลเยียม รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้าของจีนมียอดจำหน่ายดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ ‘ด้อยกว่า’ ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและมีราคาย่อมเยา ทำให้รถจีนเป็น ‘รถยนต์ที่ดีและผู้คนเลือกซื้อ’

ด้าน เมเดรช ซีอีโอของยูมิคอร์ ให้สัมภาษณ์ว่าผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันหลายราย ‘พยายามนำยานยนต์ไฟฟ้าที่ดี’ เข้าสู่ตลาด ซึ่งขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนกำลังเพิ่มสูง แต่ตลาดในสหรัฐฯ กลับยังมีขนาดเล็ก และผู้ผลิตยานยนต์ของสหรัฐฯ หลายรายยังได้ระงับแผนการขยายโรงงานยานยนต์ไฟฟ้าเนื่องจากอุปสงค์อ่อนตัว

ทั้งนี้ ตลาดยานยนต์พลังงานใหม่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในจีนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากการผลักดันการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเติบโตของตลาดรถยนต์อย่างรวดเร็วของประเทศ โดยในปี 2023 รถยนต์โดยสารไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 69 ของยอดจำหน่ายทั้งประเทศ ขณะรถไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดครองสัดส่วนร้อยละ 31

สิ้น ‘อากิระ โทริยามะ’ ผู้ให้กำเนิด ‘ดราก้อนบอล’ ลาโลกในวัย 68 ปี หลังเกิดภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง

(8 มี.ค.67) DRAGON BALL OFFICIAL ได้เปิดเผยข่าวเศร้าผ่านทวิตเตอร์ ว่า ‘อากิระ โทริยามะ’ ผู้ให้กำเนิด ‘ดราก้อนบอล’ เสียชีวิตแล้ว ในวัย 68 ปี

โดยประกาศดังกล่าว เปิดเผยว่า ‘อากิระ’ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 มีนาคม จากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง

เราเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่เขายังมีผลงานอีกหลายชิ้นที่อยู่ระหว่างการสร้างสรรค์อย่างยิ่งใหญ่ และกระตือรือร้น นอกจากนี้ เขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เขาได้ทิ้งมังงะ และผลงานศิลปะไว้มากมายให้กับโลกนี้ ด้วยการสนับสนุนจากผู้คนมากมายทั่วโลก เขาจึงสามารถสานต่ออาชีพของเขาต่อไปได้มาตลอดเวลา 45 ปี

เราหวังว่าโลกแห่งการสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของ ‘อากิระ’ ยังคงเป็นที่รักของทุกคน

เราขอแจ้งข่าวเศร้านี้แก่ทุกคนด้วยความซาบซึ้งในความมีน้ำใจตลอดชีวิตของเขา สำหรับพิธีศพ จะจัดขึ้นกับครอบครัวและพี่น้องไม่กี่คน ตามความปรารถนาของเขา และจะไม่รับดอกไม้หรือของขวัญแสดงความเสียใจ การเยี่ยมเยียน นอกจากนี้ยังขอให้งดสัมภาษณ์ครอบครัว

โดยมีแฟนการ์ตูนต่างเข้าไปแสดงความเสียใจต่อการจากไปครั้งนี้จำนวนมาก

ทั้งนี้ อากิระ โทริยามะ เป็นนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดัง มีชื่อเสียงจากการ์ตูน เรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ ในปี พ.ศ. 2521 ได้ตีพิมพ์ในหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ โชเนนจัมป์ และได้เป็นที่รู้จักกันดีจากเรื่อง ‘ดราก้อนบอล’ ซึ่งตีพิมพ์เป็นเวลา 11 ปี จากปี พ.ศ. 2527 ถึง 2538 รวมทั้งหมด 42 เล่ม นอกจากนี้ ยังมีผลงานจำนวนมาก อาทิ Go! Go! Ackman


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top