Friday, 4 July 2025
NewsFeed

‘วราวุธ’ เปิดงานวันเด็ก ปี 67 หนุนลูกหลานใช้ชีวิตในวัยเด็กให้เต็มที่ พร้อมย้ำ!! หน้าที่ผู้ใหญ่คือการสร้างสังคมที่ดีให้กับอนาคตของชาติ

(13 ม.ค.67) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวเปิดงานวันเด็ก ที่จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และมีการจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ 2567 ภายใต้หัวข้อ ‘ให้ทุกวันเป็นวันของเด็ก’ ว่า…

“ความจริงทุกวันเป็นวันเด็กไม่เฉพาะเพียงวันนี้ และไม่เพียงแค่เป็นวันที่ผู้ใหญ่ทุกคนทำอะไรเพื่อเด็กๆ ในวันนี้ ผู้ใหญ่ทุกคนได้เปิดโอกาสและเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ แสดงศักยภาพ

และนอกจากเราคิดถึงอนาคตของประเทศไทยแล้ว บทบาทของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยากให้ผู้ใหญ่ทุกคนคิดถึงตัวเองในสมัยที่เป็นเด็กๆ หลาย 10 ปีก่อนมาจนถึงวันนี้อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เราจะนำมาดูแลลูกหลานอนาคตของประเทศไทยจากนี้ไปอย่างไร เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้เตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพสังคมและเศรษฐกิจอย่างไร”

นายวราวุธ กล่าวว่า อนาคตประเทศไทยจากนี้ไปมีความท้าทายมาก และเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกคนที่จะจะต้องเตรียมอนาคตของชาติให้เด็กทุกคน ให้พร้อมสิ่งที่ที่จะเปลี่ยนแปลงซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต ความท้าทายมีมากมาย แต่ขณะเดียวกันการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ความสนุกสนานในวัยเด็กของทุกคนนั้น เป็นสิ่งมีค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีแสนล้าน สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถทำได้คือดึงเวลากลับไปแล้วเอาเวลาของเด็กๆ กลับคืนมา ดังนั้น วันนี้ขอให้ลูกหลานทุกคนใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องกังวล ภาระหน้าที่ทั้งหลายผู้ใหญ่อย่างพวกเราจะมีหน้าที่แบกรับเอาไว้เพื่อที่จะสร้างสังคมให้ดีขึ้นให้กับลูกหลานและอนาคตของประเทศไทย

นายวราวุธ กล่าวว่า “คำขวัญวันเด็กปีนี้ “มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง และร่วมกันสร้างประชาธิปไตย” ซึ่งสมัยพ่อบรรหารเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีคำขวัญวันเด็กเช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลาย 10 ปี ไม่รู้ว่าได้ถูกนำไปใช้มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญคืออยากให้เด็กทุกคนได้เป็นตัวของตัวเองของตัวเอง เพราะคำขวัญที่ดีที่สุดคือคำขวัญที่มาจากพ่อและแม่ แต่ในขณะเดียวกันเด็กบางคนไม่มีความสุขสบาย ดังนั้น คำว่า ‘ครอบครัว’ ในวันนี้ ไม่ได้แปลว่า มีพ่อแม่ลูก เพราะสำหรับบางคนครอบครัวคือการที่มีคนที่รักเราอยู่ การมีเพื่อนเปรียบเสมือนพี่น้องนั่นก็คือครอบครัว อย่าได้คิดน้อยใจว่าพ่อแม่เราคือใคร แต่สถาบันครอบครัวไม่ได้จำเป็นจะต้องประกอบด้วยพ่อแม่ลูกเสมอไป แต่ประกอบไปด้วยคนที่รักและห่วงใยเรา อยากเห็นเราเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ดีมีคุณค่าต่อสังคม นั่นคือความหมายของคำว่าครอบครัวในมิติของกระทรวงพม.”

นายวราวุธ กล่าวว่า อยากขอเป็นกำลังใจให้กับลูกหลานทุกคน เป็นกำลังใจให้อนาคตของประเทศไทย เพราะจากนี้ไปในเวลาไม่กี่ 10 ปี ประเทศไทยจะเป็นของลูกหลานทุกคน ดังนั้น ในวันเด็กทุกปี เป็นวันที่เราจะมาคำนึงถึงอนาคตของประเทศไทย และเลี้ยงดูพวกเขาเหล่านั้นให้เติบโตขึ้นมาเป็นต้นกล้า ต้นไม้ที่สามารถแผ่ขยายกิ่งก้านสาขา และดูแลประเทศไทยต่อจากพวกเรา 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศในช่วงเช้า ของานวันเด็กที่กระทรวงพม. เป็นไปด้วยความคึกคัก ทุกหน่วยงานในสังกัด พม. พร้อมด้วยภาคเอกชนได้จัดบูทกิจกรรมการละเล่น พร้อมแจกของรางวัลให้กับเด็กๆ ในสถานรองรับและสถานสงเคราะห์สังกัด พม.

อย่างไรก็ตามที่สะดุดตา คือ มีการแต่งกายเลียนแบบ ‘ไอ้ไข่’ มาร่วมในงาน ซึ่งเรียกความสนใจจากเด็กๆและผู้ปกครองมาขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก รวมทั้งนายวราวุธเองก็ได้รวมทั้งถ่ายภาพด้วย ขณะที่เด็กๆ ผู้ปกครอง ต่างทยอยกันมาร่วมงานกันอย่างสนุกสนาน

โดยก่อนพิธีอย่างเป็นทางการจะเริ่มในเวลา 08.30 น.ได้มีเยาวชนนักกิจกรรม ‘กลุ่มนักเรียนเลว’ ประกอบด้วย น.ส.อันนา อันนานนท์ และนายชาญชัย น้อยวงศ์ มาเฝ้ารอพร้อมยื่นหนังสือต่อนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม.เพื่อทวงถามความคืบหน้า กรณีที่เคยยื่นร้องขอเยียวยาในฐานะผู้เสียหายจากการถูกเจ้าหน้าที่ พม.คุกคาม เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2565 โดย น.ส.อันนา กล่าวว่า ได้แจ้งเรื่องไปหลายรอบได้ติดตามเรื่องจากกระทรวงมา 2 ปี แล้ว กรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ พม.คุกคาม แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทางด้าน นายวราวุธ ก็ได้รับหนังสือจากนายชาญชัยด้วยตัวเอง และได้กล่าวกับน.ส.อันนา ว่า รับทราบและยินดีรับหนังสือมาพิจารณาให้

‘หยก ทะลุวัง’ บุกทำเนียบ ร่วมแจมงานวันเด็ก ปี 67 อ้าง อยากพบนายกฯ ปฏิเสธนั่งเก้าอี้ พร้อมเดินรอบงาน 

(13 ม.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศงานวันเด็กที่ทำเนียรัฐบาลว่า เป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เช้า บรรดาผู้ปกครองได้พาเด็กมารอร่วมกิจกรรมวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่เวลาก่อน 08.00 น. โดยทันทีที่เจ้าหน้าที่ได้เปิดรั้วทำเนียบรัฐบาล เด็กและผู้ปกครองต่างกรูเข้ามา ภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เด็กๆต่างวิ่งไปต่อแถวทำกิจกรรมซุ้มต่างๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไฮไลต์สำคัญคือการนั่งเก้าอี้ทำงานของนายกรัฐมนตรี โดยในปีนี้เด็กที่มาเข้าแถวรอนั่งเก้าอี้นายกฯ ​คนแรก ชื่อเด็กชาย​ ชนะโชติ แสนงบ อายุ​ 14 ปี​ โรงเรียนวัดชมนิมิตร​ เดิน​ทางมาจาก อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่เวลา 05.00 น.​ และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เด็กๆ สนใจ คือการขุดซากไดโนเสาร์ จากกรมธรณีวิทยากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ และได้รับแจก ตุ๊กตา​ โมเดล​ ไดโนเสาร์รวมไปถึงสติ๊กเกอร์ สร้างความพึงพอใจให้กับเด็กๆ แม้ว่าจะไม่มีไดโนเสาร์จำลองเหมือนปีที่ผ่านมา

โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาถึงทำเนียบเพื่อเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ทันทีที่นายเศรษฐา มาถึง ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงข้อสั่งการวันที่ 12 ม.ค. กับเจ้าหน้าที่ในเรื่องการเพิ่มพัดลมและถังไอศครีมว่าได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วหรือยังซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตอบว่าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ขึ้นไปยังห้องสีม่วงตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อร่วมถ่ายรูปกับเด็กและเยาวชน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พามา​ โดยเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีความสามารถ​ และผู้ด้อยโอกาสจำนวน​ 10 คน​

โดยคนแรกที่ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและถ่ายรูปร่วมกับนายเศรษฐา​ คือ เด็กหญิงอิ่มบุญ​ คุ้มครอง​ อายุ​ 5 ปี​ จากสถานสงเคราะห์โรงเรียนปากเกร็ด​ จังหวัดนนทบุรี​ โดยน้องอิ่มบุญเปิดเผยความรู้สึกว่าดีใจ​ และตั้งใจอยากมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี​ แต่เมื่อได้นั่งแล้วรู้สึกตื่นเต้น​ ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้ทักทายเด็กที่มีสามารถด้านทักษะด้านกีฬาฟุตบอลด้วย

จากนั้น นายเศรษฐา พร้อมด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมาร่วมกิจกรรมวันเด็กด้วย ได้เดินไปยังตึกสันติไมตรีเพื่อเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล

นายเศรษฐา กล่าวเปิดงานวันเด็กตอนหนึ่งว่า “สุขสันต์วันเด็กครับ เด็กๆ และเยาวชนทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง เป็นผู้กำหนดอนาคตของประเทศชาติของเรา ความปราถนาสูงสุดของตนคืออยากให้เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับการส่งเสริมการเรียนรู้ ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถนั้นให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อการดำรงชีวิตในมิติทางเศรษฐกิจและมิติของการสร้างความสุขให้กับตัวเองและผู้อื่น รัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริมให้เด็กทุกคนเข้าถึงระบบการศึกษา โดยตั้งเป้าหมาย Zero Dropout คือจะไม่มีเด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษาในประเทศนี้ เราจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนนักเรียนรายบุคคลที่หลุดออกจากระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่ระบบ เพิ่มทางเลือกการเรียนให้ตรงตามความต้องการและวิถีชีวิตของผู้เรียน มุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะ ทักษะอาชีพ และทักษะชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้เด็ก และเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษาซ้ำซาก”

นายกฯ กล่าวว่า เราอยากเห็นเด็กของเรามีชีวิตอยู่ด้วยความรัก ความเข้าใจในความแตกต่างของผู้คนที่อยู่ร่วมกับเราในสังคม ท้ายที่สุดจะก่อรูปเป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่อยู่ร่วมกันบนฐานของความรัก ความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนมนุษย์ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เป็นเด็กที่มีโลกทัศน์กว้างไกล เปิดรับเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตนอกเหนือจากในตำราเรียน

ตนขอฝากไปยังผู้ปกครองและคุณครู ต้องช่วยกันเสริมสร้างประสบการณ์และทักษะ เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตให้ทันโลก ทันสมัยแห่งปัจจุบัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมอย่างเป็นสากล ซึ่งหมายถึงการเคารพในสิทธิ เสรีภาพของกันและกัน เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต และ ขอขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมฉลองวันเด็กแห่งชาติให้แก่เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมกันเรียนรู้และมีความทรงจำดีๆ ในวันเด็กแห่งชาตินี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังกล่าวเปิดงานเสร็จสิ้น นายเศรษฐา ได้เดินเยี่ยมชมบูทกิจกรรมต่างๆภายในทำเนียบรัฐบาล อาทิ รับชมการแสดงของ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ นักมวยชื่อดัง ที่มาร่วมกิจกรรมด้วย จากนั้น นายกฯเดินไปยังตึกภักดีบดินทร์  ตึกนารีสโมสร และตึกบัญชาการ โดยตลอดเส้นทางได้รับความสนใจจากเด็กๆ และผู้ปกครองเข้ามาขอถ่ายภาพและเซลฟี่เป็นจำนวนมาก  โดยนายกฯ ได้เดินทักทาย พูดคุยกับบรรดาเด็กๆ อย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินทางกลับในช่วงบ่าย

อย่างไรก็ตาม นอกจากเยาวชนที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมแล้วยังมี ‘หยก ทะลุวัง’ เยาวชนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง กลุ่มทะลุวัง เดินทางมาร่วมงานด้วย โดยอ้างว่า อยากพบนายกรัฐมนตรี​ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่า หากต้องการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ลงทะเบียน และต่อแถวกับเด็กๆ แต่ทางหยก ปฏิเสธและได้เดินดูรอบงาน ก่อนที่จะออกจากทำเนียบรัฐบาลไปในเวลาประมาณ 09.22 น.

‘ธนกร’ ฟาด!! ‘4 สส.ก้าวไกล’ จงใจสร้างดรามา ลาออก ‘กมธ.แลนด์บริดจ์’ ติง จ้องจะเล่นแต่เกมการเมือง ชี้!! ประโยชน์ของชาติ-ปชช.ต้องมาก่อน

(13 ม.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีที่ 4 สส.พรรคก้าวไกล มี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล, นายจุลพงศ์ อยู่เกษ, นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ และนายสมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์ ได้แถลงลาออกจากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย และอันดามัน หรือ ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ นั้น โดยอ้างว่าสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบศึกษาโครงการตอบคำถามไม่ครบถ้วนชัดเจน และอ้างว่าโครงการไม่เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุน อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศนั้น ตนจึงมองว่า สส.พรรคก้าวไกล จงใจสร้างดราม่า เล่นแต่เกมการเมือง ให้ข้อมูลผิดๆ ทำให้ประชาชนสับสน ทั้งที่กรรมาธิการส่วนใหญ่ได้ออกมาชี้แจงแล้ว ว่าในคณะกรรมาธิการมีระดับรองผู้อำนวยการ สนข. อยู่ในที่ประชุมคอยตอบคำถามอย่างครบถ้วนชัดเจนมาโดยตลอด เพราะมีเอกสารข้อมูลยืนยันทุกเรื่องที่ กรรมาธิการยังมีข้อสงสัย

ทั้งนี้ ในชั้นการทำงานของกรรมาธิการเป็นเพียงการศึกษาให้เกิดความครบถ้วนรอบด้าน ไม่ได้เป็นการเห็นชอบโครงการแลนบริดจ์ แต่เป็นรายงานที่จะประกอบการตัดสินใจให้กับรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหาร ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เองก็ชูเมกกะโปรเจกต์นี้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในบ้านเรา ให้เกิดการสร้างโอกาส สร้างงานสร้างรายได้ ขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่พี่น้องชาวใต้รอคอย การพัฒนาพื้นที่ให้เกิดความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการวางรากฐานตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของไทย ให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของโลก เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้านการขนส่งสินค้าและบริการการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม และยังกระจายความเจริญไปสู่ภาคใต้และภาพรวมของประเทศ

เมื่อถามว่า โครงการแลนด์บริดจ์หากเปิดใช้ระยะแรกในปี 73 จะสร้างเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน นายธนกร กล่าวว่า คาดการณ์ไว้ว่าโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้ง 2 ระยะ (เฟส) แค่ระยะที่ 1 ประมาณมูลค่าการลงทุน รวมทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านล้านบาท รองรับสินค้า 20 ล้านทีอียู จะส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ทั้งท่าเรือ รถไฟ และมอเตอร์เวย์ กระจายสินค้าในภูมิภาค เปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ ของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก เพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินเรือ และการขนส่งสินค้าทางน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดระยะทางและเวลาขนส่งลงได้ 4 วัน เมื่อเทียบจากช่องแคบมะละกา จึงมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง โดยเน้นรับเรือฟีดเดอร์ ขนาด 8,000-9,000 ทีอียู สินค้าประเภทถ่ายลำ เพื่อเป็นเกตุเวย์ เชื่อมการขนส่งสินค้า จากยุโรป-แลนด์บริดจ์-จีน กลายเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ สามารถดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา สร้างรายได้ให้กับพื้นที่และประเทศอย่างมหาศาล

โดยในโครงการแลนด์บริดจ์ ยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนอง โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกชุมพร โครงการระบบรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-ระนอง และโครงการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงชุมพร-ระนอง รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นไปตามอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วย

“การออกมาแถลงข่าวลาออกจากคณะกรรมาธิการของ 4 สส.พรรคก้าวไกล จึงถือว่าเป็นการเล่นเกมการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์ เอาแต่ช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองตลอดเวลา แต่ไม่มองถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนที่จะได้รับมาก่อน อยากให้พรรคการเมืองรุ่นใหม่ทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติเป็นที่ตั้งมากกว่า” นายธนกร ระบุ

‘RCEP’ หนุน ‘ไทย-จีน’ เสริมความร่วมมือด้าน ‘งานแสดงสินค้า’ เปิดประตูเชื่อมการค้า 2 ประเทศ แบ่งปันโอกาสเติบโตทางธุรกิจ

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, หนานชาง รายงานว่า เมื่อไม่นานนี้ นายดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมงานจัดแสดงสินค้าเพื่อความร่วมมือระดับนานาชาติ (CEFCO) ครั้งที่ 19 ในนครหนานชาง มณฑลเจียงซีทางตะวันออกของจีน

นายดวงเด็ด กล่าวว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่มีผลบังคับใช้สองปีแล้ว ได้ช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างจีนกับไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการจัดแสดงสินค้า และนำพาโอกาสการพัฒนาใหม่ๆ มาสู่ 2 ประเทศ ซึ่งไทยพร้อมเดินหน้าทำงานกับทุกฝ่ายอย่างรอบด้านเพื่อสร้างผลประโยชน์จากความตกลงฯ เพิ่มขึ้น

ไทยนั้นอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน ทำให้เป็นทำเลทองของการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ โดยมีระบบขนส่งที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างโดดเด่น การเดินทางจากไทยไปยังตลาดอื่นๆ ในอาเซียนมีความสะดวกง่ายดาย จึงเกื้อหนุนการดำเนินงานของเหล่าผู้จัดแสดงสินค้าให้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันไทยมีการจัดงานแสดงสินค้าที่โดดเด่นในด้านการผลิตอัจฉริยะ เทคโนโลยีอัจฉริยะ และอุตสาหกรรมอัญมณี ซึ่งนายดวงเด็ดหวังว่า จีนและไทยจะร่วมมือกันในด้านเหล่านี้เพิ่มขึ้น พร้อมต้อนรับจีนเข้ามาจัดงานแสดงสินค้าใหม่ๆ โดยไทยจะให้การสนับสนุนทางนโยบายสิทธิพิเศษ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีเฉพาะทาง

นายดวงเด็ด เสริมว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทยในปี 2023 ด้วยปริมาณการค้าทวิภาคีสูงถึง 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.73 ล้านล้านบาท) โดยจีนนำเข้าสินค้าจากไทยสูงถึง 5.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.98 ล้านล้านบาท) ขณะไทยนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 7.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.75 ล้านล้านบาท)

อนึ่ง การประชุมงานจัดแสดงสินค้าเพื่อความร่วมมือระดับนานาชาติ ครั้งที่ 19 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10-12 ม.ค. 67 ภายใต้หัวข้อ ‘แบ่งปันอย่างเปิดกว้าง เชื่อมโยงสู่ทั่วโลก’ โดยมีตัวแทนจากกว่า 10 ประเทศและภูมิภาค อาทิ ไทย, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ เข้าร่วมมากกว่า 500 คน

‘รมว.ปุ้ย’ ร่วมเปิดสายการผลิตรถไฟฟ้า ‘New GWM ORA Good Cat’ มุ่งดัน ‘ไทย’ สู่ฐานการผลิตยานยนต์-ชิ้นส่วนรายใหญ่แห่งอาเซียน

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 ‘เกรท วอลล์ มอเตอร์’ จัดพิธีเฉลิมฉลองเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ‘New GWM ORA Good Cat’ จาก โรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จังหวัดระยอง พร้อมเปิดตัวและประกาศราคา New GWM ORA Good Cat ทั้ง 3 รุ่น อย่างเป็นทางการ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 799,000 บาท ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในไทย และฉลองความสำเร็จในการเป็นแบรนด์แรกในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อชดเชยตามนโยบายการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ หรือ ‘ZEV 3.0’ พร้อมส่งมอบให้กับผู้ขับขี่ชาวไทยภายในเดือนมกราคมนี้

โดยพิธีเปิดสายการผลิต ‘New GWM ORA Good Cat’ ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ พิมภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ‘รมว.ปุ้ย’ ในการกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงข้าราชการระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันเป็นสักขีพยานในการส่งรถยนต์ New GWM ORA Good Cat คันแรกออกจากสายการผลิตจากโรงงานอัจฉริยะ เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) เตรียมพร้อมส่งมอบให้กับแฟนๆ ชาวไทย โดยมีคณะผู้บริหารของเกรท วอลล์ มอเตอร์ นำโดย มร. ไคล์ด เฉิง ประธาน, นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียน และ นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ, มร.ไมเคิล ฉง ผู้จัดการทั่วไป เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย), มร.เกร็ก ลี รองประธานบริหาร ฝ่ายการผลิตในโรงงาน ภูมิภาคอาเซียน และ นายอำนาจ แสงจันทร์ รองประธานฝ่ายการผลิต เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ร่วมให้การต้อนรับ

ฯพณฯ พิมภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ BEV มูลค่าการลงทุนรวม 39,579 ล้านบาท มีผู้ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนผลิตชิ้นส่วน BEV มูลค่าการลงทุนรวม 16,055 ล้านบาท และมีผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า มูลค่าการลงทุนรวม 5,106 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของนโยบายและมาตรการส่งเสริมรวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

ทั้งนี้ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์หลากหลายรุ่นและได้รับความนิยมอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยเฉพาะรุ่น ORA Good Cat ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง การเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า New GWM ORA Good Cat คันแรกในประเทศไทยในครั้งนี้ จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริษัทฯ จะขยายการลงทุนในการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ และสนับสนุนการใช้ห่วงโซ่การผลิตในประเทศ เพื่อรักษาและต่อยอดการเป็นหนึ่งในฐานการผลิตยานยนต์พวงมาลัยขวา สำหรับจำหน่ายในประเทศและส่งออกในภูมิภาคอย่างยั่งยืน”

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถือเป็นเบรนด์ยานยนต์จีนรายแรกที่เข้ามาริเริ่มในประเทศไทยพร้อมแผนการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไม่เพียงแต่เป็นแบรนด์ยานยนต์พลังงานใหม่จากประเทศจีนที่เป็นผู้เข้ามาบุกเบิก พร้อมขยายการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกเซ็กเมนต์ในตลาดประเทศไทย แต่เรายังเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มยานยนต์พลังงานใหม่ ที่ได้มีส่วนริเริ่มและพัฒนาสังคมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด นับตั้งแต่วันแรกของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เรายึดมั่นพันธกิจหลัก คือ ‘In Thailand For Thailand’ หรือ การเติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาประเทศไทยและเพื่อคนไทย ด้วยความมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เพื่อเติบโตเคียงคู่ไปกับสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ในวันนี้รถยนต์ New GWM ORA Good Cat ได้เริ่มการผลิตจากสายการผลิตในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่ยุคใหม่ของอุตสหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยในรอบ 60 ปี และทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในตลาดต่างประเทศของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ และถือเป็นก้าวสำคัญของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะผู้มีส่วนสนับสนุนนโยบาย 30@30 ของภาครัฐ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทยที่มีต่อกลยุทธ์ระดับโลกของเกรท วอลล์ มอเตอร์”

การเปิดตัว New GWM ORA Good Cat จากสายการผลิตจากโรงงานภายในประเทศถือเป็นการดำเนินธุรกิจตามหนึ่งในพันธกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบายการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้ากับทางภาครัฐ หรือ ‘ZEV 3.0’ ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ทำการลงนามกับภาครัฐเป็นแบรนด์แรกๆ ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2565

นอกจากนี้ ยังถือเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทฯ ในการผลิต New GWM ORA Good Cat ภายนอกประเทศจีนเป็นครั้งแรก ตามกลยุทธ์ ‘Ecological Go-Abroad’ ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยการนำระบบนิเวศทางด้านยานยนต์ที่ครอบคลุม เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในภาพรวมอย่างรอบด้าน ตอกย้ำความพร้อมในการเดินหน้าผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของการใช้ และการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงสนับสนุนการลงทุนและการจ้างงานให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ยกระดับการแข่งขัน พัฒนาศักยภาพแรงงานไทย สร้างความคึกคักให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป บริษัทฯ ยังวางแผนที่จะใช้ชุดแบตเตอรี่ ที่ผลิตจากโรงงานผลิตแบตเตอรี่ SVOLT ที่ได้เข้ามาลงทุนและตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2566 อีกด้วย

‘New GWM ORA Good Cat’ รุ่นผลิตภายในประเทศ พร้อมจะเข้ามาครองใจแฟนๆ ชาวไทยอีกครั้ง ด้วยตัวเลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น PRO ในราคา 799,000 บาท และ รุ่น ULTRA ในราคา 899,000 บาท โดยทั้งรุ่น PRO และรุ่น ULTRA ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 210 นิวตันเมตร ระยะทางวิ่งสูงสุด 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC Standard) และรุ่น GT เอาใจสายสปอร์ต มาในราคา 1,099,000 บาท ให้กำลังสูงสุด 171 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 250 นิวตันเมตร ระยะทางวิ่งสูงสุด 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC Standard)

New GWM ORA Good Cat รุ่น PRO และ ULTRA มีเฉดสีภายนอกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาว (Hamilton White) สีขาวหลังคาสีดำ (Hamilton White with Black Roof) ซึ่งทั้งสองสีนี้จับคู่กับภายในสีดำ, สีเขียวหลังคาสีขาว (Verdant Green with White Roof) พร้อมสีภายในสีเขียวและเทา, สีเบจหลังคาสีน้ำตาล (Hazel Wood Beige with Brown Roof) พร้อมสีภายในสีเบจและน้ำตาล และสีเขียวพิสตาชิโอ (Pistachio Green) พร้อมสีภายในสีเขียวและเบจ ในขณะที่รุ่น GT มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ (Sun Black) และสีเทา (Aqua Grey) ซึ่งทั้งสองสีนี้จับคู่กับภายในสีดำและเหลือง พร้อมอุปกรณ์แต่งสปอร์ตสีเหลือง

New GWM ORA Good Cat ยังคงเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะอันล้ำสมัย ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการขับขี่ มากถึง 31 รายการ พร้อมเพิ่มระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 เข้ามา และจากการรับฟังเสียงของผู้บริโภค เกรท วอลล์ มอเตอร์ได้นำฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) หรือระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถยนต์ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าเข้ามาในรุ่น ULTRA และรุ่น GT อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเตรียมมอบความสุขให้ชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรม มอบของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ขับขี่ชาวไทย ช่วยการเป็นเจ้าของยานยนต์ไฟฟ้า GWM สุขใจยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้นโยบาย ZEV 3.0 มอบข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย อาทิ ยืดระยะเวลาแคมเปญสุดพิเศษมอบข้อเสนอเดียวกับในงาน Motor Expo 2023 อาทิ อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง ให้กับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์คอมแพ็คเอสยูวียอดนิยม HAVAL H6, เจ้าสิงโตอารมณ์ดี HAVAL JOLION และรถยนต์พรีเมียมออฟโรดเอสยูวี All New GWM TANK 300 HEV และ All New GWM TANK 500 HEV อีกด้วย

เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ปลอดภัย และส่งเสริมการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการยึดถือผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง โดยการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อเดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ตลอดจนยกระดับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สู่ระดับสากลได้อย่างยั่งยืน

‘อนุทิน’ สอน ‘ก้าวไกล’ ปม 4 สส.ลาออกจาก กมธ.แลนด์บริดจ์ หากมองทุกอย่างเป็นการเมือง ประเทศคงเดินหน้าต่อไปไม่ได้

(13 ม.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ กรณีคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ของพรรคก้าวไกล ลาออกจากการเป็นกรรมาธิการ 4 คน ว่า เรื่องแลนด์บริดจ์เรามองในมิติที่เป็นบวก เพราะไม่ใช่เรื่องของการคุ้มทุน หรือไม่คุ้มทุนจากการก่อสร้างโครงการ แต่เรามองไปถึงเศรษฐกิจในประเทศ การจ้างงาน การผลิตวัสดุต่างๆ ในประเทศ รวมถึงเรื่องของโอกาสต่างๆ เราต้องมองภาพรวมของประเทศในฐานศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน มันไม่ใช่แค่เชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยเท่านั้น แต่เราสามารถใช้โครงการแลนด์บริดจ์กระจายสินค้าต่างๆ ไปยังทุกภูมิภาคของประเทศรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อถามว่า มองการลาออกวันสุดท้ายในการลงมติเห็นชอบรายงานการ ส่งผลการศึกษาไปยังสภาฯ อย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละคน คนที่เข้าใจเขาก็จะต้องช่วยกันผลักดัน ตอนนี้ยังไม่มีตัวเลขออกมาชี้ชัดเลยว่าจะเป็นอย่างไร มันจะไปด่วนสรุปแบบนี้ไม่ได้ ความจริงการลาออกไปของพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้ทำให้ผลการพิจารณาล่ม มันก็เดินต่อไป ตนมองว่า แทนที่จะอยู่ช่วยกัน อย่าไปเล่นอะไรที่เป็นเกมการเมืองไปหมด ถ้าทุกอย่างเป็นเกมการเมืองไปหมด ประเทศมันไปไหนไม่ได้

‘แอมเนสตี้’ เรียกร้อง ‘รัฐไทย’ หยุดคุกคาม-ปล่อยตัว-แก้กฎหมาย เปิดทางให้เด็กมีเสรีภาพในการแสดงออก-ชุมนุมประท้วงโดยสงบ

(13 ม.ค.67) ‘วันเด็กแห่งชาติ’ (Children’s Day) ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี ‘แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย’ จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่ด้านหน้าทำเนียบ ประตู 5 ฝั่งกระทรวงศึกษาธิการและหน้ารัฐสภาไทย กรุงเทพมหานคร ใช้ชื่อกิจกรรมในครั้งนี้ว่า ‘ปล่อยผ้าเรียกร้องรัฐไทยหยุดคุกคามสิทธิเสรีภาพเด็ก’ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสียงเรียกร้องถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และทุกฝ่ายที่เกี่ยวให้หยุดข่มขู่คุกคาม หยุดติดตาม และยุติการดำเนินคดีอาญากับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ ในช่วงปี 2563 จนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่า ปัจจุบันมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและชุมนุมประท้วงโดยสงบมากกว่า 286 คน รวม 215 คดี ในจำนวนนี้มีเด็กที่ถูกดำเนินคดีที่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ คดี ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์’ มากกว่า 20 คน รวม 23 คดี และมีเด็กประมาณ 2 คน ต้องมีชีวิตที่ไร้อิสรภาพเพราะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากคดีนี้

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2563 – 2566 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่กระบวนการยุติธรรม ดำเนินคดีอาญากับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ หากมองตามหลักสิทธิมนุษยชนระดับสากล สะท้อนให้เห็นว่าทางการไทยกำลังลิดรอนสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกของเด็กอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2532 (UNCRC) ระบุว่า เด็กทุกคนมีสิทธิมนุษยชนเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ทั้งการใช้สิทธิในการพูดและแสดงความคิดเห็น รวมถึงสิทธิการได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย เข้าถึงการศึกษา และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่การที่รัฐไทยดำเนินคดีอาญากับเด็กที่มาร่วมชุมนุมช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เหมือนการลดมาตรฐานเกินกว่าที่ประชาสังคมโลกจะยอมรับได้ เพราะเด็กทุกคนไม่เพียงแต่เป็นอนาคตของชาติ แต่พวกเขาคือปัจจุบันที่จะนำภาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้

“วันเด็กไม่ควรเป็นเพียงแค่วันที่ผู้ใหญ่ให้คำสอนว่าเด็กควรปฏิบัติตัวอย่างไร แต่เป็นวันที่ผู้ใหญ่ และรัฐควรคำนึงถึงความสำคัญ และสิทธิต่างๆ ของพวกเขา ตามสิทธิที่ถูกเขียนเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศและในประเทศ วันเด็กแห่งชาติปี 2567 นี้ แอมเนสตี้เรียกร้องให้ทางการไทยหยุดข่มขู่และดำเนินคดีอาญาต่อเด็ก”

ปิยนุชอธิบายเกี่ยวกับการทำกิจกรรม ‘ปล่อยผ้าเรียกร้องรัฐไทยหยุดคุกคามสิทธิเสรีภาพเด็ก’ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้ว่า มีจุดเริ่มต้นจากการที่ เมื่อช่วงต้นปี 2566 แอมเนสตี้ จึดทำรายงานเรื่อง ‘ขอทวงคืนอนาคตของพวกเรา สิทธิเด็กที่จะชุมนุมประท้วงโดยสงบในประเทศไทย’ ขึ้นมา ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพตั้งแต่เดือนมิถุนายน - พฤศจิกายน 2565 สัมภาษณ์เชิงลึกกับเด็กนักกิจกรรมทั้งหมด 30 คน พบว่า มีเด็กที่ถูกดำเนินคดีอาญาจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกถูกข่มขู่คุกคามและติดตามตัวเวลาไปสถานที่ต่างๆ เช่น บ้าน โรงเรียน หรือสถานที่อื่นๆ นอกจากนั้น ยังพบว่าเด็กบางคนถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคนนอกเครื่องแบบ นำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ปิดกั้นและสกัดไม่ให้ใช้สิทธิในการพูดหรือแสดงความคิดเห็น โดยใช้ยุทธวิธีกดดันคนรอบข้าง เช่น ครอบครัว เพื่อน และโรงเรียน จนทำให้เด็กบางคนต้องเจอความรุนแรงในครอบครัว หลุดจากระบบการศึกษา ที่ร้ายแรงสุดคือ การที่เด็กได้รับผลกระทบทางสุขภาพจิตอย่างหนัก หลังถูกสลายการชุมนุมและถูกดำเนินคดี

“ทางการไทยมักตอบโต้ต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงที่เป็นเด็ก ผ่านการดำเนินคดี ข่มขู่คุกคาม และคุมขังเด็กที่ออกมาใช้สิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการปราบปรามสิทธิเด็กโดยทางอ้อม เช่น เจ้าหน้าที่รัฐใช้วิธีการกดดันผ่านผู้ปกครองและโรงเรียน ให้เด็กอยู่ห่างจากการชุมนุมประท้วง ทั้งที่ประเทศไทยมีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศฉบับต่างๆ รวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กตั้งแต่ พ.ศ.2535 ที่จะต้องเคารพ คุ้มครอง และประกันสิทธิของเด็ก ที่จะมีสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ เพื่อให้พวกเขาใช้สิทธิเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกตอบโต้ สิทธิเหล่านี้ช่วยให้เด็กขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชน และประเด็นปัญหาอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองได้”

เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปี 2567 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เรียกร้องไปถึงรัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตาม 3 ข้อ ดังนี้

1.) ปล่อยตัวเด็กทุกคนที่ถูกกักขังเพียงเพราะการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบโดยทันที อย่างไม่มีเงื่อนไข

2.) ยุติการดำเนินคดีทั้งหมด ถอนคำพิพากษาเอาผิด และหยุดการข่มขู่คุกคามต่อเด็กที่ใช้สิทธิมนุษยชนโดยสงบ

3.) แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ รับรองให้มีวิธีปฏิบัติระดับชาติที่สอดคล้องกับการคุ้มครอง การเคารพ และส่งเสริมสิทธิของเด็กในการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ โดยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

วันเด็กแห่งชาติปีนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ชวนทุกคนติดแฮชแท็ก #WhatsHappeninginThailand #ThailandChildrenDay #วันเด็ก เพื่อทำให้ข้อเรียกร้องของเราส่งเสียงถึงรัฐบาลไทย ฝ่ายที่เกี่ยวข้องและคนทั่วโลก เพื่อทำให้รัฐไทยหยุดข่มขู่ ยุติการดำเนินคดีอาญาต่อเด็กที่ออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ

‘เพจดัง’ ฟาด!! กลุ่มคนชังชาติ ทักหา ‘บ่าวนัท’ จ้างทำคลิปด่าไทย ชี้!! อคติบังตา มัวเมาในความเกลียดชังจนถึงกับด้อยค่าชาติตัวเอง

(13 ม.ค.67) จากกรณีที่มี ‘ยูทูบเบอร์ชาวลาว’ ชื่อ ‘บ่าวนัท’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านช่องยูทูบ ‘บ่าวผู้ไทขาเลาะ BaoPhutai on tour’ ของตน เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 โดยระบุว่า…

“ขออภัย FC บางท่านที่อยากให้บ่าวนัททำคลิปด้านลบของไทย หรือถ้าพูดตรงๆ ก็คือด่าไทย ด้อยค่าไทยบ้าง

บ่าวนัทจึงขอโอกาสใช้พื้นที่นี้ตอบให้ FC ได้รับทราบโดยทั่วกันนะครับ

1.) เป้าหมายหลักในการทำยูทูบของบ่าวนัทไม่ได้มาทำเพื่อเงินนะครับ แต่ทำเพื่อต้องการทำให้คนไทยรักประเทศไทย ในวันที่คนไทยมีหลากหลายความคิดและความเชื่อ บ่าวนัทจึงขอเป็นตัวกลางนำเสนอให้คนไทยและคนทั้งโลก ได้เห็นว่าเมืองไทยนี่ล่ะน่าอยู่ที่สุดแล้ว

2.) ก่อนทำยูทูบบ่าวนัทก็ได้ไปสาบาน (ขอพร) ต่อพระแก้วมรกต และพระธาตุพนม ว่าจะทำคลิปด้านดีของไทยเท่านั้น ไม่มีวันที่จะเนรคุณแผ่นดินไทยเป็นอันขาด

3.) รายได้จากค่าโฆษณาในยูทูบ ทุก 10,000 บาท บ่าวนัทจะขอถวายวัด 1,000 บาท จนกว่าจะเลิกทำยูทูบครับ

ดังนั้น ถ้าจะให้บ่าวนัททำคลิปด้านลบของไทย คงทำไม่ได้ครับ บางท่านอาจจะชอบดูคลิปที่ช่องอื่นทำคลิปด่าประเทศตนเอง แต่การทำแบบนั้นมันทำร้ายจิตใจของคนที่เขารักประเทศของเขาอย่างยิ่งครับ

ทั้งนี้ ไม่มีประเทศใดดีที่สุดหรอกครับ ทุกประเทศมีด้านลบทั้งนั้นครับ

จึงแจ้งมาเพื่อรับทราบนะครับ”

ล่าสุด เพจ ‘Jo Montanee’ ได้โพสต์ข้อความ ถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า…

นี่คนไทยชังชาติบางคนไปรบกวน #บ่าวคนลาว ที่มุ่งมั่นนำเสนอสิ่งดีงามของประเทศไทย จนบ่าวเจ้าของช่องเขาต้องออกมาประกาศให้รู้แบบเป็นทางการ ผ่านช่องของเขาแล้วหรือนี่

‘บ่าวผู้ไทขาเลาะ’ คือ ‘คนลาวภูไท’ ที่ไม่เพียงมีใจรักประเทศไทย แต่ยังมุ่งมั่นปกป้องชื่อเสียงชาติไทยอย่างเข้มข้นตลอดมาค่ะ

‘บ่าวนัท’ ประกาศชัดว่า…

1.) ให้นำเสนอเรื่องไม่ดีของไทย บ่าวไม่ทำ เพราะบ่าวนัททำช่องนี้ขึ้นมาเพื่อสมานความแตกแยกของชาติไทยค่ะ

2.) รายได้ยูทูบทุก 1 หมื่นบาท บ่าวนัทแบ่งทำบุญทุกครั้ง 10%

พี่โจสะท้อนใจทุกครั้งที่มีคนไทยใจแคบบางจำพวก ด่าเหมารวมยูทูบคนลาวว่ามาหลอกเงินคนไทยบ้าง แสร้งอวยไทยเอายอดวิวบ้าง คนไทยโง่เชื่อบ้าง

คนไทยประเภทนี้ก็ความคิดอคติ คิดลบ เป็นมนุษย์พิษไม่ต่างกันกับคนไทยที่มากดดันบ่าวนัทให้ด้อยค่าชาติตัวเอง (ดูประวัติกาคอมเมนต์พวกนี้แล้ว ไม่ใช่ลาวค่ะ ไทยแท้เลย)

ปกติพี่โจดูช่องบ่าวนัทตลอด เพราะเขาพาไปชมที่ดีๆ ทุกที่ทั่วไทย และอัปเดตไวแบบไปวันนี้ ลงวันนี้ แต่ไม่เคยกดติดตามเลย

เพราะโพสต์นี้ของเขาทำให้พี่โจกดติดตามโดยไม่ลังเลเลยค่ะ เขามีค่าคู่ควรอย่างมากจริงๆ ❤️🇹🇭🙏🙏

ไปให้กำลังใจบ่าวนัทที่ช่องเขาได้นะคะ >> https://youtube.com/@baophutai?si=awnu

‘Citigroup’ จ่อปลดพนักงาน 20,000 คน ภายใน 2 ปีหน้า หลังเผชิญวิกฤตขาดทุนหนัก เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี!!

(13 ม.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ‘ซิตี้กรุ๊ป’ จะเลิกจ้างพนักงาน 20,000 คน ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดย ‘มาร์ค มาสัน’ กล่าวว่า การลดจำนวนลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทรายงานผลการขาดทุนสุทธิ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 62,900 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ซึ่งเป็นไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี

ธนาคารคาดว่าการลดจำนวนพนักงานจะช่วยประหยัดเงินได้ 2.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะยาว หรือราว 87,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารรายงานการสูญเสียกำไรมหาศาล ที่ 1.16 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งต่ำกว่าประมาณการที่ขาดทุน 11 เซนต์ต่อหุ้น

ซิตี้กล่าวว่า มีค่าใช้จ่ายประเภทครั้งเดียวหลายครั้งที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่าย 1.7 พันล้านดอลลาร์ ที่ธนาคารต้องจ่าย เกี่ยวข้องกับวิกฤตธนาคารในภูมิภาค เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว การสูญเสีย 880 ล้านดอลลาร์ในอาร์เจนตินา และ 800 ล้านดอลลาร์ ในต้นทุนการปรับโครงสร้าง ที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง ประมาณ 7,000 คนในปี 2566

นอกเหนือจากการลดพนักงาน 20,000 ตำแหน่ง ในส่วนการดำเนินงานของบริษัทแล้ว ธนาคารยังจะปลดพนักงาน 40,000 คน ในเม็กซิโก ผ่านการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งจะทำให้จำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัทเหลือประมาณ 180,000 คนจาก 240,000 คน

บริษัทยังกล่าวว่า คาดว่าจะจ่ายเงินชดเชยและค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์

ด้านโฆษกของผู้ให้กู้ยืมรายหนึ่งในสหรัฐฯ เผยว่า การปลดพนักงานจะเกิดขึ้นทั่วโลก และปฏิเสธที่จะแจกแจงตัวเลขตามภูมิภาค

ทั้งนี้ ‘เจน เฟรเซอร์’ ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ป ได้ประกาศความพยายามในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ครั้งแรกเมื่อกันยายนปีที่แล้ว โดยวางแผนที่จะจัดความเป็นผู้นำของธนาคารใหม่ เพิ่มความับผิดชอบ และว่าจะต้องมีพนักงานที่น้อยลง

อาลัย ‘ดร.ชัปนะ ปิ่นเงิน’ ผู้เชี่ยวชาญจารึกและเอกสารโบราณล้านนา เสียชีวิตอย่างสงบแล้ว ฌาปนกิจวันนี้ ที่วัดสันป่าสักวรอุไรธรรมาราม

(13 ม.ค. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ดร.ชัปนะ ปิ่นเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกและเอกสารโบราณล้านนา อดีตนักวิจัย สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสียชีวิตแล้ว โดยมีพิธีสวดพระอภิธรรม วันที่ 10-12 มกราคมที่ผ่านมา ที่วัดสันป่าสักวรอุไรธรรมาราม อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่

สำหรับพิธีฌาปนกิจจะมีขึ้นในวันนี้ เวลา 14.30 น.

ทั้งนี้ ดร.ชัปนะ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกมอญโบราณ จารึกล้านนา และเอกสารโบราณล้านนา จบการศึกษาจากภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร มีผลงานอาทิ การศึกษาเชิงวิเคราะห์วรรณกรรมชาดกลานนาเรื่องโวหารมโหสถ, คุรุธรรม (ปริวรรต คัมภีร์ใบลาน คุรุธรรม ฉบับวัดธงสัจจะ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน-ร่วมกับพัชราภรณ์ นักเทศน์), ประชุมจารึกล้านนา เล่ม 7 จารึกในจังหวัดลำปาง (ร่วมกับ เพ็ญพรรณ เครือไทย), การศึกษาพุทธสัญลักษณ์ล้านนา (ร่วมกับสุวิภา จำปาวัลย์) เป็นต้น

เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ดร.ชัปนะยังเข้าร่วมงาน 100 ปี อาจารย์สงวน โชติสุรัตน์ ที่สถาบันวิจัยสังคม มช. โดย ดร.เพ็ญสุภา สุคตะ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์โบราณคดีล้านนาได้ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขณะหารือประเด็นจารึกเวียงห้าว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

ดร.ชัปนะ ได้รับพระราชทานเข็มเกียรติคุณวันอนุรักษ์มรดกไทยในฐานะผู้อนุรักษ์มรดกไทยดีเด่นและผู้สนับสนุนการดำเนินงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ พุทธศักราช 2562 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top