Friday, 4 July 2025
NewsFeed

ตร. เผย สถิติอายัดเงินทัน สูงขึ้น 6 เท่า! อายัดได้รวม 1,789 ล้านบาท หลัง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้

วันนี้ (12 มกราคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยการออกกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จากการถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกฎหมายได้ให้อำนาจธนาคารในการอายัดเงินชั่วคราวเป็นระยะเวลา 72 ชั่วโมง ทันทีที่มีผู้เสียหายแจ้งว่าถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก่อนที่ผู้เสียหายจะไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีและพนักงานสอบสวนจะแจ้งให้ธนาคารทราบเพื่ออายัดเงินจำนวนดังกล่าวต่อไป ซึ่งปัจจุบันผู้เสียหายสามารถแจ้งเหตุเบื้องต้นเพื่อให้ดำเนินการอายัดบัญชีชั่วคราวได้ที่สายด่วน 1441 นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า สถิติการอายัดเงินที่ผู้เสียหายโอนให้กับกลุ่มมิจฉาชีพสูงขึ้นจากเดิมกว่า 6 เท่า โดยก่อนหน้าที่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้ (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 16 มีนาคม 2566) สถิติการขออายัดเงินรวม 1,346 ล้านบาท อายัดเงินได้ทันเพียง 53 ล้านบาท “คิดเป็นร้อยละ 3.9” ของจำนวนเงินที่ขออายัด

ส่วนสถิติหลังจากที่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้ (ระหว่างวันที่ 17 มีนาคม - 31 ธันวาคม 2566) มีสถิติการขออายัดเงินรวม 7,496 ล้านบาท อายัดเงินได้ทัน 1,789 ล้านบาท “คิดเป็นร้อยละ 23.9” ของจำนวนเงินที่ขออายัด ซึ่งสูงกว่าเดิมถึง 6 เท่า

อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนว่า แม้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินที่ผู้เสียหายโอนให้กลุ่มมิจฉาชีพได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีเงินอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถอายัดได้ทัน จึงขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังไม่หลงเชื่อสิ่งที่เห็น หรือได้ยินบนโลกออนไลน์ ตามหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘คำผกา’ แนะนักโทษคนไหนไม่ได้สิทธิแบบ ‘ทักษิณ’ ลิสต์รายชื่อมาให้ราชทัณฑ์ตรวจสอบ พร้อม 5 ข้อแนะ

(12 ม.ค. 67) น.ส.ลักขณา ปันวิชัย หรือ แขก คำผกา พิธีกรชื่อดัง โพสต์ทวิตเตอร์ X ‘Kam Phaka’ ระบุว่า…

อาการทักษิณโฟเบียกำเริบ 

คำแนะนำ
1. ถ้าคิดว่านักโทษคนไหนไม่ได้รับสิทธิเหมือนทักษิณทั้ง ๆ ที่เข้าเกณฑ์เหมือนกันตามกฎหมาย ก็ลิสต์รายชื่อมาให้กรมราชทัณฑ์ตรวจสอบ
2. ถ้าคิดว่ากฎหมายนี้ไม่ดี -> ไปแก้กฎหมายตามกระบวนการ
3. มีตรงไหนที่ส่อให้เห็นว่าการมีอยู่ของทักษิณส่งผลต่อการทำงานของรบ.? จนต้องเอามาตั้งกระทู้ในสภาฯ?
4. ถ้าคิดว่าพิธาไม่ได้เป็นนายกฯ กก. ไม่ได้เป็นรบ. เพราะ พท. ไปรวมกับ ขั้วรบ. เดิม ตั้งรบ. จงกลับไปถามตัวเองว่า เพื่อไทยยกมือให้ 141 เสียงแล้วทั้ง 2 ครั้ง
5. ทักษิณเลือกเวลากลับมาเข้าสู่กระบวนยุติธรรมตอนเพื่อไทยเป็นรัฐบาล -> ใช่ค่ะ -> จะให้เขากลับมาตอนประยุทธ์เป็นนายกฯ หรือประวิตรเป็นนายกฯ เหรอ?

‘พีระพันธุ์’ ยังไม่พอใจ!! มองราคาค่าไฟยังลดได้อีก ยัน!! แผนรื้อโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิด ไม่เงียบ

(12 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ปี 67 จะดำเนินการรื้อ ลด ปลด สร้าง จะแก้กฎหมายกฎระเบียบ หรือการเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่ เพื่อให้โครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิด ไม่ใช่แค่เฉพาะไฟฟ้าให้มีความเป็นธรรม โดยมองว่าประชาชนต้องไม่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาพลังงาน และจะต้องมีความยั่งยืน

"ในอนาคตจะมีการรื้อโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้า โดยพยายามหามาตรการ เช่น การหาแหล่งเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำ การรื้อสัญญาโรงไฟฟ้าที่มีข้อผูกพันในระยะยาว การเข้าไปดูแลการนำเข้า Spot LNG"

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานพยายามหามาตรการในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งในส่วนของค่าไฟฟ้า จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ บ้านที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน จะจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราเดิมคือ 3.99 บาทต่อหน่วย

ส่วนบ้านที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 300 หน่วยต่อเดือน จากเดิมที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้ประกาศไว้ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย แต่ด้วยความร่วมมือจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ,การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ลดค่าไฟฟ้าเหลือเพียง 4.18 บาทต่อหน่วย หรือลดลงอีก 50 สตางค์ต่อหน่วยจากที่ กกพ. ประกาศ

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า กระทรวงพลังงานได้ดำเนินทุกมาตรการที่สามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาที่จำกัด แต่เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิง โดยเฉพาะค่าก๊าซธรรมชาตินำเข้าหรือ LNG แม้จะเริ่มมีราคาลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าค่าไฟฟ้าในงวด พ.ค.-ส.ค. 67 จะมีแนวโน้มไปในทางที่ดี เนื่องจากก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในอ่าวไทยจะสามารถผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ที่ 800 ล้านลูกบาศ์กฟุตต่อวัน รวมถึงการปรับโครงสร้างราคาที่กำลังดำเนินการอยู่ ก็คาดว่าจะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงจากราคาปัจจุบันได้อีก

นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงพลังงานให้แต่ละหน่วยงานหามาตรการ เพื่อให้สามารถลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้มากที่สุด โดยตัวอย่างที่ดำเนินการแล้ว เช่น การให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติมาใช้ราคา Pool Gas (ราคาเฉลี่ยรวมก๊าซธรรมชาติจากทุกแหล่ง) ก็เป็นส่วนหนี่งที่ทำให้ราคาค่าไฟลดลงมาได้ และที่สำคัญคือเป็นการลดแบบถาวร

นอกจากนี้ ยังได้ความร่วมมือจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการขยายหนี้ออกไปอีก 1 งวด และ ปตท. ในการกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติ

'หลวงพี่' อดีตกู้ภัย ออกบิณฑบาต พบผู้หญิงถูกรถชนนอนเจ็บ รีบเข้าช่วย บอกญาติโยมที่มาใส่บาตรให้ "รอแปบ" ลั่น!! ชีวิตคนสำคัญกว่าอาบัติ

(12 ม.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิการกุศลสมุทรสาคร เข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ บริเวณปากซอยยิ่งเจริญ ถนนเลียบคลองสี่วาตากล่อม หมู่ที่ 8 ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยในภาพดังกล่าวมีพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ปฐมพยาบาลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ พร้อมกับมีข้อความว่า “เช้านี้ ญาติโยมที่จะใส่บาตรรอแปป หลวงพี่ขอช่วยคนเจ็บแปป เสร็จแล้วจะรีบไปรับบาตร” ซึ่งก็มีผู้เข้าไปคอมเมนต์ชื่นชมพระสงฆ์รูปดังกล่าว และแชร์ ต่อๆ กันไปด้วยนั้น

ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 11 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดสุวรรณรัตนาราม (วัดแคราย) ต.แคราย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นวัดที่พระลูกวัดรูปนี้อยู่ พบกับพระมาย หรือ พระจิตตฺสีโล หรือ นายบุญชัย ทองเรืองรอง อายุ 32 ปี บวชที่วัดแห่งนี้มาเป็นเวลา 6 เดือนกว่าแล้ว โดยพระมายเล่าให้ฟังว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2567 ซึ่งตนผ่านไปพบในช่วงเช้าเวลาราว 06.40 น. ขณะที่กำลังออกไปบิณฑบาต ตอนนั้นเห็นมีคนมุง จึงได้เดินย้อนกลับไปแล้วก็เห็นว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์เก๋งชนกับรถจักรยานยนต์ มีคนเจ็บอยู่ตรงที่พักรอรถข้างทางจำนวน 2 คน เป็นผู้หญิงวัยกลางคน 1 คน กับ เด็กผู้ชาย อีก 1 คน พอตนเข้าไปถึงชาวบ้านก็บอกว่า “อย่าจับ อย่าจับ โทรเรียกรถพยาบาลแล้ว แต่ผมก็บอกกลับไปว่า ไม่เป็นไร ตอนนี้รถพยาบาลยังไม่มา ขอผมดูคนเจ็บเพื่อประเมินอาการก่อน เพราะตอนที่ยังไม่ได้บวชนั้น ผมเคยเป็นเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัย (มูลนิธิร่วมกตัญญู) สามารถช่วยผู้บาดเจ็บและประเมินคนเจ็บได้”

ซึ่งพอเห็นอาการของน้องผู้ชายนั้นมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ผู้บาดเจ็บอีกรายที่เป็นหญิงนั้น บาดเจ็บค่อนข้างสาหัส มีกระดูกโผล่ที่หัวเข่าและข้อเท้าขวา พอดีกับที่ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิการกุศลสมุทรสาครมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งน้องมาคนเดียวนั้น ตนจึงขอน้องกู้ภัยฯ อาสาที่จะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บร่วมกัน เพราะต้องดามขา และใส่บอร์ดก่อนรีบนำส่งโรงพยาบาล โดยตอนนั้นทีแรกผมก็รู้สึกลังเลเรื่องความไม่เหมาะสม ที่จะถูกตัวคนเจ็บที่เป็นผู้หญิง แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่า ชีวิตคนสำคัญกว่าอื่นใด จึงได้เข้าไปช่วยเหลือ ทั้งนี้พอช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนก็เดินกลับไปรับบิณฑบาตจากญาติโยมที่รอใส่บาตรอยู่

ขณะที่ ‘นายเอกสิทธิ์ พรอยศรี’ เจ้าหน้าที่กู้ภัยของมูลนิธิการกุศลสมุทรสาคร เล่าว่า วันนั้นตนได้รับแจ้งให้เข้าตรวจสอบและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนกัน เมื่อไปถึงก็พบพระรูปหนึ่ง อยู่ข้างๆ ผู้บาดเจ็บ 2 คน โดยเด็กผู้ชายมีอาการเล็กน้อย แต่ผู้หญิงค่อนข้างหนัก พระรูปนั้นได้บอกว่า เคยเป็นเจ้าหน้าที่อาสาฯ มาก่อน จึงขอช่วยผู้บาดเจ็บด้วย จะได้รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล

ตอนแรกตนก็ถามพระว่า “ไม่กลัวอาบัติเหรอ แต่พระก็บอกว่า ไม่เป็นไรชีวิตคนต้องมาก่อน หลวงพี่ขอช่วยด้วยอีกแรง เพราะคนเจ็บรอไม่ได้” จากนั้นก็ได้ช่วยกันให้การปฐมพยาบาลแล้วนำผู้บาดเจ็บส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ผมมองว่า พระรูปนี้น่าชื่นชม เพราะไม่ว่าคนเราจะอยู่ในฐานะอะไร แต่ชีวิตของเพื่อนมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด

'สมาคมตลกฯ' ชนะคดีละเมิดลิขสิทธิ์เพลง 'ทูลกระหม่อมแก้ว' หลังถูกคู่กรณีเรียก 500 ล้าน เผย!! อีกฝ่ายฟ้องไปทั่วแต่ไม่เคยชนะ

(12 ม.ค. 67) สมาคมตลกฯ ชนะคดีละเมิดลิขสิทธิ์เพลง ‘ทูลกระหม่อมแก้ว’ หลังโดนคู่กรณีเรียก 500 ล้าน รับงงมากต้องมาสู้กับอะไร เสียเวลายืดเยื้อมา 4 ปี จะฟ้องกลับไหมขอหารือกันก่อน คาดอีกฝ่ายขออุทธรณ์แน่นอน เพราะตอนศาลยกฟ้องก็ยกมือคัดค้าน ลั่นอยากยุติ ไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรมต่อ รู้อีกฝ่ายฟ้องไปทั่วแต่ไม่เคยชนะ ‘ครูสลา’ ยังโดน

ทำเอาสมาคมศิลปินตลก (ประเทศไทย) ถึงกับกุมขมับกันเลยทีเดียว หลังถูก ‘นางสาวฟ้า เมืองไทย’ หรือ ‘ดารณี เจริญศิริ’ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์เพลง ‘ทูลกระหม่อมแก้ว เรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 500 ล้านบาท คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2562-2563 โดยทางสมาคมศิลปินตลกฯ ยืนยันว่ามีหลักฐานในการถือครองลิขสิทธิ์ชัดเจน ซึ่งคนที่แต่งคำร้องและทำนอง คือ ‘ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก (ปรีดา แก้วกนก)’ เรียบเรียงโดย ‘สมชาย เทียนชัย’ แต่ทางฝ่ายโจทก์อ้างว่าตนเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จึงนำมาสู่การฟ้องร้องดำเนินคดี โดยฝ่ายจำเลยประกอบด้วย สมาคมศิลปินตลก (ประเทศไทย), ถั่วแระ เชิญยิ้ม (นายศรสุทธา กลั่นมาลี) อดีตนายกสมาคมฯ, สมชาย เทียนชัย, นายปรีดา แก้วกนก (ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก), บูม ชญาภา พงศ์สุภาชาคริต (ศิลปินขับร้อง), นายศุภมิตต์ ระจิตดำรงค์ และ นางสาวพิมพ์ลักษณ์ ระจิตดำรง

หลังจากต่อสู้มายาวนานหลายปีจนสมาคมศิลปินตลก (ประเทศไทย) เปลี่ยนนายกสมาคมฯ ถึง 3 คน ตั้งแต่ยุคของ ‘ถั่วแระ เชิญยิ้ม’ มาถึง ‘หยอง ลูกหยี’ และปัจจุบันคือ ‘โอบะ เสียงเหน่อ (นายกิตติ ปักษี)’ ในที่สุดเมื่อวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ก็ได้พิจารณายกฟ้องสมาคมศิลปินตลก (ประเทศไทย) ทำเอาคนทั้งสมาคมตลกฯ เฮกันยกใหญ่ที่ชนะคดีและพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของสมาคมฯ กลับคืนมาได้

โดยเวลา 10.00 น. วันนี้พุธที่ผ่านมา ได้มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดทั้งหมด ที่โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จ.นนทบุรี นำทีมโดย โอบะ เสียงเหน่อ, ถั่วแระ เชิญยิ้ม, หยอง ลูกหยี, ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก, บูม ชญาภา พงศ์สุภาชาคริต พร้อมด้วยตัวแทนทีมทนายความ ทนายมะลิพรรล บิลหร่อหีม, ทนายทองเยี่ยม สรรพสอน และ ทนายศราวุธ เทพศร พร้อมเผยว่าเพลง ‘ทูลกระหม่อมแก้ว’ เป็นฝีมือปลายปากกาของ ‘ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก’ ที่แต่งขึ้นเพื่อถวายความอาลัย ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ในคราวเสด็จสู่สวรรคาลัย ภายใต้การดำเนินการและร่วมมือร่วมใจของคนในสมาคมศิลปินตลก (ประเทศไทย) ซัดคู่กรณีไล่ฟ้องแบบนี้มาหลายคนแล้ว ขนาด ‘ครูสลา คุณวุฒิ’ ยังโดน

โอบะ เสียงเหน่อ : “ผมโอบะ เสียงเหน่อ นายกสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ต้องกราบขอบพระคุณสื่อทุกท่านด้วย ตลอดระยะเวลาที่สมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทยของเรา ได้ยกสถานะจากชมรมมาเป็นสมาคม โดยท่าน ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร หรือ เป็ด เชิญยิ้ม เป็นนายกสมาคมจดทะเบียนถูกต้องเป็นท่านแรก กิจกรรมของสมาคมฯ ท่านนายกทุกท่าน ตลอดจนที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคมตลกฯ พวกเราตระหนักเสมอ ว่าเรารักและเชิดชูสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปฏิบัติต่อเนื่องกันมา ตัวอย่างเช่น ปีพ.ศ. 2538 สมเด็จย่าฯ ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย ในยุคนั้นตลกของเราเฟื่องฟูสุดขีด มีงานทำการแสดงตลกทุกคาเฟ่ แต่เราก็รักสถาบันมหากษัตริย์

โดยท่ายนายกเป็ด ได้รวมหมู่มวลสมาชิกในขณะนั้น 119 ชีวิต เพื่ออุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศล นั่นบ่งบอกว่าสมาคมตลกฯ เรา ไม่เคยละทิ้งในการปฏิบัติหน้าที่เป็นคนไทย รักสถาบัน พระมหากษัตริย์ ปฏิบัติแบบนี้กันมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมจิตอาสา ในการช่วยสังคมต่างๆ ในโครงการต่างๆ เราก็ปฏิบัติกันเรื่อยมา ตลอดระยะเวลาหลาย 10 ปี จนถึงยุคของนายกถั่วแระ เชิญยิ้ม เราก็ปฏิบัติเช่นกัน ในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านสวรรคตสู่สวรรคาลัย เราก็ทำกิจกรรมกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกคนตั้งใจให้คนไทยร่วมรักสามัคคีกัน

นี่คือหนึ่งในกิจกรรมเล็กๆ ที่เราไม่ได้ละทิ้งว่าเป็นสิ่งเล็ก แต่เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่คนไทยเราสมควรที่จะยึดถือปฏิบัติ แต่เราก็มาเจอเหตุการณ์ ที่พวกเราทั้งหมด ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศก็ต้องคิดลักษณะเหมือนกับสมาคมตลกฯ เรา ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น ในขณะที่พวกเรามีความจงรักภักดีต่อชาติ แต่ไม่เป็นไรครับ ในเมื่อเขาใช้สิทธิ์ของเขา พวกเราก็ต้องปกป้องสิทธิ์ของเราตามความถูกต้อง”

หยอง ลูกหยี : “อย่างที่ท่านนายกโอบะได้บอกไป ว่าสมาคมหรือองค์กรตลกของพวกเรา เราอยู่คู่กับสังคมไทย เราจะต้องแสดงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เมื่อปี พ.ศ. 2559 ขอย้อนไปนิดหนึ่ง ว่าหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้สวรรคต ทางพี่ถั่วแระ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมในยุคนั้น วันที่ 13 วันที่ 15 ตุลาคม ก็ได้รวบรวม ได้เชิญบุคลากรในสมาคมเพื่อจะจัดทำเพลงถวายความจงรักภักดี และทำถวายความอาลัยให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้จัดทำกันขึ้นมา ผมอยากจะให้พี่น้องสื่อได้เห็นเมื่อสักครู่ ว่าองค์กรของเราตั้งใจขนาดไหน เรารวบรวมทั้งนักแต่ง นักดนตรี ทำกันจนสำเร็จ แล้วมันเป็นที่พอใจของพวกเรามาก พวกเราภูมิใจมากที่ได้ทำ แล้วต่อมาก็เป็นเพลงของสมาคมอย่างถูกต้อง เราไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เข้าสมาคม ก็ออกไปตามสื่อต่างๆ

ต่อมาเราขอกล่าวถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏจังหวัดลพบุรี ได้นำเพลงของพวกเราไปดัดแปลง ผมและพี่ถั่วแระในฐานะนายกและอุปนายก ก็ได้ทักท้วงไป ว่าคุณละเมิดผมนะครับ เขาก็ขอโทษเราลงสื่อ ว่าเขาไปดัดแปลง เอาระนาด เอานักศึกษามาร้อง เขาก็เชิญเราทานข้าว เชิญสื่อ แล้วก็ขอโทษเรา ต่อมาผมมารับตำแหน่ง ผมเป็นนายกที่ใช้เวลาสั้นมาก ดำรงตำแหน่งอยู่ 1 ปี 1 เดือน ผมเจองานหนัก งานใหญ่เลยครับ สมาคมโดนฟ้อง ว่าเราละเมิดลิขสิทธิ์เพลงนี้ ฟ้องเรา 500 ล้าน ผมยังขำอยู่เลยว่าจริงเหรอครับพี่ถั่วแระ พี่ถั่วแระบอกหยองอย่าขำนะ มันเป็นความเป็นความตายนะ เราโดนฟ้องทั้งหมด 5 คน หนึ่งคือสมาคม คือผมผู้นำองค์กร สองเป็นพี่ถั่วแระ สามเป็นอาจารย์สมชาย สี่เป็นอาจารย์ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก ผู้แต่งเพลง ห้าน้องบูม เป็นผู้ร้อง

ผมเลยไปปรึกษาป๋าพยัพ คำพันธุ์ ป๋าก็เลยส่งทนายมาช่วยผม ก็ต้องขอบคุณทนายทั้ง 3 ท่าน ที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับผมตลอด มันเหนื่อยมากครับ การต่อสู้นั้นใช้เวลายาวนานมาก แล้วผมแทบจะไม่ได้ทำมาหากินเลย เดี๋ยวมาศาล เดี๋ยวขึ้นศาล ผมอยู่ต่างประเทศ อยู่ต่างจังหวัด ก็ต้องมาครับ มันเหนื่อย แล้วใครมาจากไหนก็ไม่รู้ เขาเป็นใครมาจากไหน มาฟ้องเรา ผมก็สอบถามไปทางอาจารย์ทองเปีย ว่าพูดความจริงกับผมมา ไปลอกใครมาหรือเปล่า ไปจำใครมาไหม อาจารย์ก็ถามผมว่านายกไม่เชื่อผมเหรอ ถ้างั้นสู้ ไม่เป็นไร ก็สู้กันมา เราก็หาหลักฐานกัน จนถึงที่สุดศาลยกฟ้องพวกเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ครับ

ผมอยากจะให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน เข้าไปดูเพลงทูลกระหม่อมแก้ว ที่นายกถั่วแระทำไว้ และองค์กรของพวกเราช่วยกันเทใจให้กับสมาคม ในมิวสิกวิดีโอ ผมอยู่ในงานนั้นด้วย แต่ไม่มีหน้าผมเลย เพราะว่าผมอยากให้น้อง ให้พี่อยู่ข้างหน้ากัน ผมอยู่ข้างหลังครับ แล้ววันหนึ่งผมต้องมาแบกภาระใหญ่โต ผมก็รู้สึกภูมิใจนะ ผมเป็นพระเอกแล้ว ผมหล่อมาก ผมแอบสู้โดยไม่มีใครรู้ ผมสู้กันอยู่กับพี่ถั่วแระกับทีมทนาย ดีใจครับ ที่ศาลท่านเห็น และเรามีหลักฐานพอ องค์กรของเรามีความพร้อมที่สุด เราทำได้ยิ่งใหญ่มากครับ”

ถั่วแระ เชิญยิ้ม : “ในนามของศิลปินตลก ซึ่งเป็นอดีตนายกสมาคม 6 สมัย 12 ปี อยู่ดูแลสมาคมมาโดยตลอด ด้วยภาระที่หนักหน่วง ประสบความสำเร็จบ้าง ไม่ประสบความสำเร็จบ้าง  มันก็ถึงวาระเวลาที่ผมจะต้องถอนตัว หาผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ที่ดีพอที่จะทำให้สมาคมของเราอยู่รอดได้ ก็ต้องถอนตัวออกมาตามกาลเวลาอันสมควร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นอะไรที่ส่อให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรม มันจำเป็นที่เราจะต้องสู้ หาความจริงให้ได้ เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อหรอกครับ ว่าผู้แต่งเพลงที่ชื่อว่า ฟ้าเมืองไทย จะมีความสามารถแต่งเพลงที่ใช้ราชาศัพท์ภายใน 2 นาทีได้ ในรถที่เขาขับ มือหนึ่งจับพวงมาลัย มือหนึ่งถือโทรศัพท์”

หยอง ลูกหยี : “ไปเอ่ยชื่อเขาทำไม เดี๋ยวเขาฟ้องอีกคดี นายกรับผิดชอบนะ”

ถั่วแระ เชิญยิ้ม : “ไม่เป็นไร เขาชื่อ ฟ้าเมืองไทย แต่ชื่อจริงชื่ออะไร เดี๋ยวทนายรับผิดชอบ ก็เหตุการณ์นี่แหละครับ เราก็เลยว่าทำอย่างไรดี ก็อย่างที่คุณหยองพูดไป ว่าผมควรจะไม่พูดอะไรมาก ก็อย่างว่า เดี๋ยวจะโดนเอาอีกสักรอบหนึ่ง ก็ไม่กล้า เพราะฉะนั้นสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ เราทำมาด้วยความเต็มใจ ทำมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา แล้วคนอื่นก็แต่งเพลงกันเยอะแยะไปหมด ในวันนั้น ในเวลานั้น แต่ทำไมสมาคมเราไม่คิดจะทำอะไรขึ้นมา ก็เลยเริ่มปรึกษากัน แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ ก่อนอื่นผมต้องกราบขอบคุณศาลที่เคารพอย่างสูง ที่มีความเมตตา ตัดสินด้วยความยุติธรรมมาก ให้เราได้ผ่านพ้นวิกฤตที่ร้ายแรงมาก เงิน 500 ล้านผมคงติดคุก ออกมานอกคุกไม่ได้เพราะหัวโต เหตุนี้ก็เลยต้องสู้กันไปให้ถึงที่สุด เกือบ 4 ปีนะครับ ที่เราคร่ำหวอดกันมา สมาชิกศิลปินตลกบางคนยังไม่รู้เรื่องเลย ว่าการที่มีสมาคมขึ้นมา มันต้องอดทน วิริยะ อุตสาหะ มากน้อยขนาดไหน สำหรับผู้บริหาร ก็อยากจะฝากให้สมาชิกทุกท่าน รักแล้วก็ให้กำลังใจกับผู้ที่ดูแลสมาคมด้วย ขอบคุณพี่ทนายทั้ง 3 ท่านครับ ที่สู้รบกันมาโดยตลอด ขอบคุณมากครับ”

ทนายมะลิพรรล : “ผมเป็นหนึ่งในทีมทนาย ที่ร่วมต่อสู้คดีนี้มาพร้อมกัน นอกจากผม 3 ท่านแล้ว ยังมีทนายอีก 2 ท่าน ที่ติดภารกิจไม่ได้มาในวันนี้ ตามที่พี่ถั่วแระกับพี่หยองได้กล่าวข้างต้น เรื่องของคดีมันมีที่มา สรุปความเป็นสาระสำคัญว่า เราถูกกล่าวหาละเมิดลิขสิทธิ์งานเพลง ชื่อเพลง ทูลกระหม่อมแก้ว โดยเรียกค่าเสียหายมาประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจำเลยทุกคนในคดีนี้ ประกอบด้วยสมาคม พี่ถั่วแระ พี่ปรีดา น้องบูม คุณสมชาย และจำเลยอื่นอีก 2 ท่าน ที่ผมไม่เอ่ยนาม การกล่าวหาของโจทก์ในคดีนี้ มีการกล่าวหาทั้งเรื่องเนื้อเพลง ทำนองเพลง โดยอ้างว่าเราทำบันทึกเทปวิดีโอ ที่สื่อมวลชนได้เห็นไปแล้วข้างต้น ในชั้นพิจารณาของศาล โจทก์ในคดีนี้ได้นำพยานหลักฐานทุกชนิดเข้าสืบ ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุ ส่วนจำเลยก็เช่นเดียวกัน โต้แย้งให้การต่อสู้มาเสมอ ว่าเราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ไม่ใช้โจทก์ในคดีนี้

นอกจากนี้ตัวจำเลยทั้งหมด โดยเฉพาะบนเวทีแห่งนี้ ได้นำพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของทุกๆ คน ว่าเพลงพิพาทดังกล่าวที่เกิดขึ้น เป็นเพลงของสมาคม โดยสมาคม และผู้แต่งเป็นหนึ่งในคณะตลก ที่ปรากฏอยู่ในสมาคมครับ ท้ายที่สุดเพลงดังกล่าว ในทางพิจารณาของศาล ศาลพิจารณาจากวัตถุพยาน โดยเฉพาะที่โจทก์เขากล่าวอ้าง ว่าเพลงดังกล่าวได้แต่งขึ้นภายใน 2-3 นาที โดยบันทึกไว้ในโทรศัพท์ แต่ในทางพิจารณา ตัวโจทก์ในคดีนี้ ไม่กล้าหรือไม่สามารถจะนำโทรศัพท์ ที่เขากล่าวอ้าง ว่าบันทึกเพลงดังกล่าวไว้ ไปตรวจพิสูจน์ ทำให้ศาลเชื่อเต็มประการหนึ่ง ว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ การกล่าวอ้างว่าเพลงดังกล่าวเป็นของโจทก์

ฉะนั้นในทางกฎหมาย ถ้าภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับโจทก์ เป็นการแสดงให้เห็น ว่าโจทก์ไม่ใช่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานเพลงดังกล่าวที่แท้จริง เมื่อประเด็นข้อวินิจฉัยเป็นอย่างนี้ โจทก์ในคดีนี้ จึงไม่สามารถจะพิสูจน์ภาระหน้าที่ ตามกฎหมายของตัวเองได้ ว่าโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ในขณะเดียวกัน ตัวจำเลยทั้งหมดได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบ เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ความปรากฏว่าพี่ปรีดา (ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก) ได้ส่งเอกสารเป็นลายมือเขียน ที่เป็นบทเพลงดังกล่าว พร้อมกับในวันทำสตูดิโอ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ความปรากฏว่าพี่ปรีดา ได้แต่งเพลงดังกล่าวจริง ข้อสนับสนุนหักล้างเพียงแค่นี้ เป็นข้อสาระสำคัญความหนึ่ง ตอนที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จริงหรือไม่ และโจทก์เป็นผู้สร้างสรรค์จริงหรือไม่ สองประเด็นดังกล่าว จำเลยมีพยานหลักฐานครบถ้วน จึงทำให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญา มีคำพิพากษายกฟ้องคดีนี้

นี่คือความตอนที่เป็นสาระสำคัญอีกตอนหนึ่งครับ ที่ส่งสามารถเห็นเป็นประจักษ์ได้ ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ผ่านมา นอกจากนี้ในประการสุดท้าย รูปเรื่องของคดีนี้ มันหาใช่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ไม่ แต่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปี 2566 และมาจนถึงปัจจุบันนี้ เหตุไฉนว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2566 ล่ะ โจทก์ในคดีนี้ก็ไปแจ้งความร้องทุกข์ ที่สภอ.หนองขาม จังหวัดชลบุรี โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า สมาคมก็ดี นายปรีดาก็ดี เป็นคนทำละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเอางานเพลงดังกล่าว ไปทำซ้ำเผยแพร่ต่อสาธารณชน ท้ายที่สุดแล้วเท่าที่จำได้ ตำรวจสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว นั่นคือความเป็นมาของรูปเรื่องคดีทั้งหมด ในคดีนี้ที่เกิดขึ้น

ประการสุดท้ายในคดีนี้ จำเลยทุกคนไปศาล ไม่ได้ไปด้วยความมีความสุข แต่ไปศาลเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แสวงหาความบริสุทธิ์ เพื่อปกป้องตนเอง และที่สำคัญกว่านั้น คือเพื่อปกป้องสมาคม รักษาศักดิ์ศรีของสมาคมตลก ว่าสิ่งที่เราทำไปทั้งหมด ไม่ได้ลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง มาจากบุคคลใดทั้สิ้น ความยุติธรรมจึงบังเกิดขึ้น ผมในฐานะตัวแทนทนายความ ขอบคุณพี่ถั่วแระ พี่หยอง และสมาคม ณ เวลานี้ด้วยครับ”

รับงงมาก โจทก์ที่ฟ้อง 500 ล้านบาทเป็นใคร ทั้งที่ทำเพื่อถวายความอาลัย ไม่ได้มีรายได้เข้าสมาคม

หยอง ลูกหยี : “ผมบอกตรงๆ ว่าผมงงมาก ว่าผมสู้กับอะไรอยู่ เขามาจากไหน เขาเป็นใคร มันตลกสิ้นดี มันตลกที่ไม่ตลกเลย พี่ถั่วแระ ผม และทีมทนายเหนื่อยมาก ต้องต่อสู้ ต้องหาหลักฐานมาหักล้าง มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทั้งๆ ที่สมาคมเรา ทำเพื่อถวายความอาลัย ถวายความจงรักภักดี เราไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ไม่มีรายได้ใดๆ เข้าสมาคมครับ มีแต่เสียนะครับ ลงทุนเสียเงินเสียทองทำ เขาฟ้องเพื่ออะไรผมก็งง ผมจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปกล่าวอ้างถึงเขานะครับ ผมไม่ให้ค่าครับ วันนั้นเขายกมือขึ้นมาคัดค้านการตัดสินด้วยนะครับ”

ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก : “ก่อนอื่นต้องขอบคุณท่านทนายทั้ง 3 ท่าน ถ้าไม่ได้ความอนุเคราะห์จากท่านทั้ง 3 ผมก็ไม่รู้ว่าตัวผมจะไปยังไง ชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ ไม่เคยขึ้นศาล ไม่เคยมีคดีความอะไร มีแต่ให้ความช่วยเหลือตลอด แต่พอโดนเขามาแบบนี้ปุ๊บ คนเราไม่เคยก็ทำอะไรไม่ถูก ก็ได้คุณทนายและคุณถั่วแระนี่แหละ แกเดินหน้าให้ตลอดเลย แกพูดมาคำหนึ่งผมซึ้ง พี่เปียไม่ต้องห่วง ผมอยู่ข้างพี่ ผมช่วยพี่ตลอด ผมก็เลยซึ้งใจ แต่ยังไงสมาคมศิลปินตลกต้องอยู่ต่อไป ถ้าตราบใดยังมีชื่อนายกโอบะ เสียงเหน่อ ขอบคุณครับ”

ลิขสิทธิ์เพลงนี้เป็นของ “ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก” และสมาคมศิลปินตลกแห่งชาติ

ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก : “ครับ แต่งเองครับ ใช้เวลา 3 วัน แต่งเพื่อถวายความอาลัยรัชกาลที่ ๙ ทีแรกไม่ได้คิดจะแต่ง แต่ท่านนายกถั่วแระเป็นคนดำริมา ว่าสมาคมอื่นๆ เขาแต่งเพลงถวายความอาลัยกัน แล้วทำไมสมาคมเราไม่ทำ ก็เลยโทร.บอกให้ผมแต่ง ที่จริงเพลงมันยาวกว่านี้อีก แต่นายกถั่วแระให้ตัดออก เลยออกมาตามที่เห็น มีเอกสารยืนยันถูกต้องครับว่าเป็นผู้แต่ง ผมแต่งในสมุด เขียนแล้วแก้ๆ มันมีคำที่ผิดเยอะ พวกคำราชาศัพท์แต่งลำบากครับ”

ทนายมะลิพรรล : “ผมขอเสริมประเด็นของพี่ปรีดา ว่ามีหลักฐานชิ้นไหน ประการใดบ้าง ที่บ่งชี้ให้เห็นเป็นประจักษ์ ว่าพี่ปรีดาเป็นคนแต่งเพลงดังกล่าว โดยเอกสารดังกล่าวที่พี่ปรีดาพูดถึงนั้น ทีมทนายทุกท่านได้นำเสนอส่งศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เชื่อ ว่าพี่ปรีดาเป็นคนแต่งเพลงดังกล่าว ให้กับสมาคมจริง”

ทองเปีย ซุปเปอร์โจ๊ก : “เพลงนี้จริงๆ ไม่มีลิขสิทธิ์นะครับ เพราะเป็นเพลงถวายความอาลัย คือประชาชนทั่วไปสามารถนำไปเผยแพร่ได้หมด สมาคมไม่ได้จดลิขสิทธิ์ครับ”

โอบะ เสียงเหน่อ : “คือต้องบอกว่าเป็นการจัดสร้าง ของสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย ในยุคของท่านถั่วแระ เป็นรอยต่อของนายกถั่วแระกับพี่หยอง แต่เราไม่ได้จดลิขสิทธิ์ ว่าห้ามบุคคลใดเอาไปร้อง เพราะถือว่าเป็นการทำเพื่อพระราชกุศล ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙”

หยอง ลูกหยี : “เราโดนฟ้องทั้งหมด 7 คน มีอีก 2 พ่อลูกน่าเห็นใจมาก ที่ถูกกล่าวหาว่านำเพลงนี้มาให้กับสมาคม เขาก็เหนื่อยเหมือนกัน ทั้งที่เขาอยู่จังหวัดชลบุรีโน่น เขาก็มาขึ้นศาลกับเราตลอด แต่เขาหาหลักฐานมายืนยันไม่ได้ อยู่บนศาลผมก็บอก ว่าคุณร้องเพลงใส่โทรศัพท์ คุณแต่งเพลงนี้ใช้เวลาแต่งแค่ 2 นาที คุณไม่ใช่คนแล้วครับ คุณเป็นเทวดาแน่นอน”

ทนายมะลิพรรล : “ผมขอเพิ่มเติมสนับสนุนข้อเท็จจริง ที่พี่ปรีดาและนายกโอบะพูด ในปัญหาข้อกฎหมาย เพลงดังกล่าวเป็นงานเพลงที่มีลิขสิทธิ์ ไม่ใช่เพลงที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นคนคิดสร้างสรรค์ทำนองเพลงดังกล่าว ด้วยความคิดริเริ่มของนายปรีดาเอง แล้วนายปรีดานำเพลงดังกล่าวมาให้กับสมาคม ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้เพลงดังกล่าว เป็นงานลิขสิทธิ์โดยสมาคม แต่ไม่หวงห้ามที่จะให้บุคคลทั่วไปหรือสาธารณชน นำไปเพื่อเผยแพร่ตามวัตถุประสงค์ นอกจากนี้การจดแจ้งความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ดี ในเรื่องดังกล่าวนี้ พรบ.ลิขสิทธิ์ไม่ได้ห้าม ว่าต้องไปจดแจ้ง หากไม่จดแจ้ง ไม่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ ขอเรียนย้อนหลังเพื่อให้เข้าใจตรงกันในปัญหาข้อกฎหมายครับ”

ถั่วแระ เชิญยิ้ม : “ขอเชิญพี่สมชายครับ หลักฐานที่เราชนะส่วนหนึ่ง คือหลักฐานของอาจารย์สมชาย เทียนชัย วันที่เราไปอัดเนี่ย ท่านได้เก็บข้อมูลต่างๆ ไว้ มันเป็นหลักฐานสำคัญมาก มันแจ้งวันเวลา การแก้ไข ทั้งอักษรและสำเนียง ท่านเก็บไว้หมด เราก็เลยให้อาจารย์สมชาย เป็นไพ่ใบสุดท้าย ที่นำไปสู้กับเขา เลยถือว่าอาจารย์สมชายได้ข้อมูลที่สามารถอ้างอิงให้กับศาล เราถึงได้ถูกยกฟ้องครับ”

คาดจากประสบการณ์ที่เจอโจทก์มา คิดว่าเขาจะสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์แน่นอน

หยอง ลูกหยี : “ผมคาดว่านะ เขาจะกล้าหรือไม่กล้าก็แล้วแต่เขา แต่พอศาลยกฟ้องเสร็จ เขายกมือคัดค้าน ว่าขอคัดค้านการตัดสิน ฉะนั้นแล้วเราไม่มีอะไรจะปฏิเสธ เขามาเราก็ไป เราก็ต้องปกป้องเพื่อศักดิ์ศรีของสมาคมของเรา ทุกขั้นตอนที่เราทำ มันไม่ได้ทำง่ายๆ นะครับ คนในองค์กรของเราเทใจมาทำกัน โชคดีที่อาจารย์สมชายเก็บรายละเอียดไว้ พวกเราตั้งใจทำกันขนาดนี้ คุณเป็นใครมาจากไหน จะมาฟ้องพวกเราง่ายๆ มันก็ยากอยู่นะ เราก็ต้องปกป้ององค์ของเราครับ”

ทนายมะลิพรรล : “ถ้าตอบให้ตรงประเด็น ว่าโจทก์จะใช้สิทธิ์ทางศาล ในการอุทธรณ์ต่อไปอีกหรือไม่ โดยบริบทและประสบการณ์ ที่อยู่กับโจทก์ในคดีนี้มาตั้งแต่ปี 2563 - 2566 ทำให้มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า โจทก์น่าจะใช้สิทธิ์ตามกฎหมายที่จะอุทธรณ์แน่นอนครับ”

หยอง ลูกหยี : “ผมว่าเขาสู้เพื่อให้รอดพ้นมากกว่า ตัวเขาเองก็หนีศาลอยู่หลายที่ ผมไม่แคร์หรอกครับ ฟ้าเมืองไทย คือหนังสือฉบับหนึ่ง ในอดีตวัยรุ่นผมเคยอ่าน ไม่ใช่นามปากกาของผู้ใดครับ ผมจะบอกให้รู้ ผมอยู่วงการบันเทิง อยู่วงการลูกทุ่งมา 30 กว่าปี ผมรู้ครับ นักแต่งในประเทศไทยผมรู้จักหมดครับ”

เรื่องการฟ้องกลับ ต้องไปปรึกษากันอีกที โดยพิจารณาจาก 2 ประเด็น ว่าเกิดประโยชน์กับสมาคม และสาธารณชนหรือไม่

ทนายมะลิพรรล : “จริงอยู่ที่มีความเสียหายเกิดขึ้น แล้วความเสียหายมันไม่สามารถจะลบล้างด้วยคำพิพากษา เพราะมันเป็นความเสียหายที่ผ่านมาในอดีต ส่วนประเด็นว่าสมควรจะฟ้องโจทก์ในคดีนี้อีกหรือไม่ ในเรื่องดังกล่าวโดยสมาคม ก็จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือกับทนายอีกที ว่าการฟ้องร้องกลับ มันทำให้เกิดประโยชน์กับสมาคมหรือไม่ หรือเกิดประโยชน์กับสาธารณชนหรือไม่ หาก 2 ประเด็นนี้มันไม่เกิด จริงอยู่ถึงแม้มีสิทธิ์ตามกฎหมาย ด้วยความเคารพ ก็ไม่สมควรจะฟ้องเป็นคดีความขึ้นมา แต่สาระสำคัญพิจารณา 2 ประเด็นเป็นเรื่องหลักครับ”

หยอง ลูกหยี : “จริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรมต่อ ฟ้องแล้วจะได้อะไร เสียเวลาเปล่าๆ พูดแบบชาวบ้านนะ”

บูม ชญาภา : “ตอนที่รู้ว่าโดนฟ้องก็ตกใจค่ะ แต่ก็พยายามสืบดูว่าเขาเป็นใคร พอได้ข้อมูลก็ปรึกษากับทางลุงถั่วแระ ทางลุงเปีย เพราะหนูเชื่ออยู่แล้ว ว่าลุงเปียเป็นคนแต่ง ก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมงานในเพลงที่ลุงเปียแต่งอยู่แล้ว ด้วยหลักฐานต่างๆ เราเชื่อว่าเราสู้ได้ เราไม่แพ้แน่นอนค่ะ หาหลักฐานเยอะเหมือนกัน กลัวค่ะ ไม่มีตังค์ (หัวเราะ)”

ทางโจทก์มีหลักฐานมากล่าวอ้าง 3 อย่าง แต่น้ำหนักไม่น่าเชื่อถือ

ทนายมะลิพรรล : “มีคำกล่าวอ้าง ไม่มีโทรศัพท์มาให้ดูครับ นอกจากพยานหลักฐานดังกล่าว โจทก์มีพยานบุคคลอีกสองคน ซึ่งพยานบุคคลทั้งสองท่านนั้น ความหนึ่งในคำพิพากษา กล่าวว่าเป็นพี่น้องกัน ทำให้น้ำหนักการรับฟังพยานบุคคลมีน้ำหนักน้อย นอกจากนี้โจทก์ก็ยังมีพยานเอกสารอื่นๆ และพยานวัตถุที่นำส่งอีกหลายประการ ฉะนั้นพยานบุคคลก็ดี พยานวัตถุก็ดี พยานเอกสารก็ดี ทั้ง 3 อย่างนี้มันทำให้ไม่น่าเชื่อถือ เป็นข้อสนับสนุนว่า โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การเพลงดังกล่าวจริงหรือไม่”

เผยอยากยุติ ไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรมต่อ

หยอง ลูกหยี : “ไม่หรอกครับ จริงๆ เราได้เปรียบด้วยซ้ำที่เราจะเอากลับ แต่เราไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรม แล้วก็กลัวไม่ได้อะไรด้วย อยากยุติครับ (เขามีอาชีพเป็นนักแต่งเพลงไหม?) ไม่ครับ ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก และเขาก็ฟ้องมาหลายคนแล้วด้วย แล้วก็ไม่เคยชนะใครด้วย ฟ้องในรูปแบบเดียวกันเลย ครูสลา คุณวุฒิก็โดน เพลงประกอบละครก็โดน”

พิษณุโลก  กอ.รมน.จังหวัดพิษณุโลก จัดโครงการสานเสวนาส่งเสริมการมีส่วนร่วมและปรึกษาหารือส่งเสริมรายได้

วันที่ 12 มกราคม 2567 เวลา 09.00 นาฬิกา พันเอก กฤติ  พันธะสา  รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดพิษณุโลก (รอง ผอ.รมน.จังหวัด พ.ล.(ท.))
เป็นประธานเปิดโครงการสานเสวนาส่งเสริมการมีส่วนร่วมและปรึกษาหารือ ประจำปีงบประมาณ 2567 ณ อาคารเอนกประสงค์การศึกษานอกโรงเรียน ประจำตำบลวัดพริก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก   
โครงการสานเสวนาส่งเสริมการมีส่วนร่วมและปรึกษาหารือ เพื่อส่งเสริมกลุ่มอาชีพให้มีรายได้เสริมหลังจากฤดูการทำเกษตรกรรม และร่วมระดมความคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น ให้มีคุณภาพดีขึ้นและมีความต้องการของตลาด  ตลอดจนเป็นการสร้างจิตอาสา ช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติ ให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน และความสงบเรียบร้อยต่อไป                                   

นอกจากนั้นเมื่อวันที่  11 มกราคม 2567 เวลา 09.00 นาฬิกา พันเอก กฤติ  พันธะสา  รองผู้อำนวยการจังหวัดพิษณุโลก (รอง ผอ.รมน.จังหวัด พ.ล.(ท.))  มอบหมายให้พันเอก วันปิย แก้วเกษ หัวหน้ากลุ่มงานกิจการมวลชน กอ.รมน.จังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานเปิดโครงการสานเสวนาส่งเสริมการมีส่วนร่วมและปรึกษาหารือ ประจำปีงบประมาณ 2567 ณ อาคารเอนกประสงค์การศึกษานอกโรงเรียน ประจำตำบลงิ้วงาม อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

'ศิริกัญญา' นำทีม 'สส.ก้าวไกล' ลาออก 'กมธ.แลนด์บริดจ์' ซัด!! ถามถึงความคุ้มค่าไปแค่ไหน ก็ยังไม่เคยได้คำตอบ

(12 ม.ค.67) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้มีการซักถามค้างอยู่กับทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และที่ปรึกษาที่จัดทำรายงานโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า คุ้มค่ามากน้อยแค่ไหนทั้งปริมาณสินค้า เส้นทางการเดินเรือ ซึ่งยังไม่ได้คำตอบ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในการพิจารณารายงาน แต่ยังได้คำตอบไม่ครบถ้วน และประธานพยายามลงมติเพื่อรับรายงานจึงขอออกจากคณะกรรมาธิการแลนด์บริดจ์เพื่อไม่ให้เป็นตรายางในการอนุมัติรายงานฉบับนี้

ด้านนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ยังมีเรื่องท่อส่งน้ำมันที่ไม่ชัดเจน เรื่องการเปลี่ยนแปลงแผนการศึกษาสิ่งแวดล้อม 2-3 ปีนี้รัฐบาลใช้งบศึกษาดูงาน 68 ล้านบาทแต่ยังไม่เห็นอะไร และรายงานที่ยังไม่สมบูรณ์

ซึ่งคณะกรรมาธิการที่ลาออกมี 5 คน เป็น สส.พรรคก้าวไกล 4 คนและเป็นอาจารย์จากภายนอกอีกหนึ่งคน คือ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล, ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์, นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์, และนายจุลพงษ์ อยู่เกษ

ด้านนายศุภณัฐ กล่าวว่า ในรายงานเลือกใช้ตัวเลขจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรหรือ (สนข.)เพียงตัวเดียว  ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้ประเทศเพราะการที่นำข้อมูลด้านเดียวไปขายให้ต่างประเทศ หากต่างประเทศย้อนมาว่าศึกษาแล้วไม่คุ้มทุน ตามที่รัฐบาลพยายามไปขายจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อถามว่า หากไม่ได้อยู่ในคณะกมธ.แลนด์บริดจ์แล้วจะสามารถตรวจสอบโครงการได้อย่างไร นายศุภณัฐ กล่าวว่า หากรายงานเข้าสู่สภาฯ ทางพรรคก้าวไกลจะใช้การอภิปรายในสภาแทน

'ชัยชนะ' ขึ้นชั้น 14 ยัน!! วันนี้ได้ทำหน้าที่ชัดเจนครบถ้วนแล้ว ส่วนภาพการรักษาที่ให้ไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

(12 ม.ค. 67) ที่โรงพยาบาลตำรวจ หลังจากที่ นายชัยชนะ เดชเดโช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ (กมธ.ตร.) สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะทำงาน เข้าศึกษาดูงาน ที่อาคารศรียานนท์ กองบังคับการอำนวยการ โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ (สบ7) โรงพยาบาลตำรวจ และคณะร่วมชี้แจงรายละเอียด ข้อซักถามต่างๆ

ต่อมา นายชัยชนะ พร้อม นางทิพา ปวีณาเสถียร ส.ส.ลำปาง พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ.ตร. และทีมแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เดินทางไปที่อาคารภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ซึ่งเป็นอาคารพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนเดินทาง นายชัยชนะ กล่าวเพียงว่าขออนุญาตไปตรวจดูตามหน้าที่จะกลับมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง โดยทั้งหมดขึ้นรถกอล์ฟ ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ

จากนั้นมีรายงานว่านายชัยชนะ และคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นไปถึงชั้น 14 และพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล บริเวณหน้าเคาน์เตอร์พยาบาลของสถานที่พักของผู้ป่วย แต่ไม่ได้เข้าไปในห้องพักของผู้ป่วย ซึ่งใช้เวลาพูดคุยประมาณ 10 นาที จากนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ ได้นำคณะกรรมาธิการฯ ไปเยี่ยมนักโทษที่รักษาตัวอยู่บริเวณชั้น 7 ของอาคารแห่งนี้ต่อด้วย

ต่อมา นายชัยชนะ เปิดเผยว่า มีผู้ต้องขังมารักษาที่โรงพยาบาลค้างคืนท่านเดียว คือ นายทักษิณ รายอื่นเป็นผู้ต้องขังมารักษาแบบเช้าเย็นกลับ ทั้งนี้ตนได้หารือตามกรอบระเบียบกับทางโรงพยาบาลตำรวจ จึงอนุญาตให้ขึ้นไปชั้น 14 เพื่อไปดูขั้นตอนวิธีการคุมขัง

พบทั้งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ตำรวจในท้องที่รวม 8 นาย ส่วนที่ถามว่าได้เจอตัวนักโทษหรือไม่ เรื่องนี้เป็นความเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ส่วนบุคคลฯ ที่อนุญาตให้ได้เท่านี้ ฉะนั้นสิ่งที่อนุญาตตามกฎหมายคือได้พบเจ้าหน้าที่ประจำชั้น

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า ส่วนจะยืนยันว่านายทักษิณ พักอยู่ที่โรงพยาบาลหรือไม่เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งก็แจ้งมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นพ.ร.บ.ส่วนบุคคล ทั้งนี้เรายืนยันว่าไม่ได้มาขอเยี่ยมใครคนใดคนหนึ่ง เพียงมาดูว่าวิธีปฏิบัติเท่าเทียมหรือไม่ ส่วนวิธีการรักษาก็ชี้แจงไม่ได้

ตนขอย้ำว่ามาดูขั้นตอน วิธีการ เจ้าหน้าที่ควบคุมอย่างไรเมื่อมีผู้ต้องหามาค้างคืน โดยจากที่ได้พูดคุย คือทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะมีการผลัดเปลี่ยนเวรเพื่อดูแล 24 ชั่วโมง และต้องมีการรายงานผู้บังคับบัญชาทุก 2 ชั่วโมง เป็นการถ่ายภาพในห้องที่ผู้ต้องขังที่เป็นผู้ป่วยพักอยู่ ห้องพักไม่ได้มีการล็อกผู้คุมจะเดินเข้าออกได้ทุกเวลา

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า ตนไม่ก้าวล่วงในการรักษาของแพทย์ จากนี้ต้องไปถามทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าเอกสารที่ กมธ.ตร.ขอไปว่าแต่ละวันผู้คุมคนไหนที่มาเข้าเวร ผลัดเปลี่ยนเวรอย่างไร ลงชื่ออย่างไร และส่วนของเอกสารค่ารักษาพยาบาล ที่แจ้งว่าใช้สิทธิ์ สปสช.และถ้าเกินจะใช้เงินส่วนตัวได้ ได้เตรียมให้ตามที่ขอไปแล้วหรือไม่

ตนยืนยันว่าส่วนของโรงพยาบาลตำรวจวันนี้ได้ทำชัดเจนครบถ้วนแล้ว ภาพการรักษาที่ให้ไม่ได้เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้ากรมราชทัณฑ์ไม่ต้องการเป็นจำเลยสังคมนี้ ต้องชี้แจงกับสังคมให้เข้าใจ เมื่อไรที่ชี้แจงไม่เข้าใจจำไว้เลยว่าจำเลยของสังคมก็คือกรมราชทัณฑ์ ส่วนโรงพยาบาลตำรวจ

ต้องยอมรับว่าสิ่งที่โรงพยาบาลทำวันนี้ถูกต้องที่สุดให้ความร่วมมือให้ข้อเท็จจริง การจะยืนยันว่านายทักษิณ อยู่หรือไม่เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ตนขอยืนยันว่ามาดูกระบวนการขั้นตอนเท่านั้น“ นายชัยชนะ กล่าว

นายชัยชนะ กล่าวถึงประเด็นที่กล้องวงจรปิดของอาคารรักษาตัวของนายทักษิณ เสียทั้งอาคาร โดยฝากข้อความไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าขอให้ใช้งบประมาณจำนวน 2 ล้านบาทที่นำไปท่องเที่ยวต่างประเทศมาซ่อมแซมกล้องวงจรปิดให้ใช้งานได้ นอกจากภายในอาคารแล้ว บริเวณรอบข้างก็พบว่าก็วงจรปิดเสียด้วยเช่นกันและเสียมาหลายปีแล้ว

สำหรับการมาศึกษาดูงานของกมธ.ตร.นั้น เพื่อสอบถาม ขั้นตอนการปฏิบัติผู้ต้องขังที่ส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ว่ามีวิธี รูปแบบขั้นตอนอย่างไร ปฏิบัติกับผู้ต้องขังทุกคนเท่าเทียมหรือไม่

รวมถึงมาสอบถาม กรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยและให้ความสนใจ คือการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้ต้องขังที่รักษาตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.2566 ว่ามีการปฏิบัติอย่างไร รักษาตัวอยู่ที่ชั้นไหน อย่างไรบ้าง

เปิดประวัติ 3 ผู้สมัคร ชิง 'ประธานาธิบดี' ไต้หวัน

‘ไต้หวัน’ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งสมาชิกสภาในวันที่ 13 ม.ค.นี้ และจะได้ผู้นำคนใหม่ต่อจากประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินที่ดำรงตำแหน่งมา 2 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2559 จึงไม่สามารถลงเลือกตั้งได้อีกตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันโดยตรงครั้งที่ 8 ในวันเสาร์นี้ (13 ม.ค.) มีผู้สมัคร 3 คนจาก 3 พรรคการเมือง คนแรกคือนายไล่ ชิงเต๋อ วัย 64 ปี รองประธานาธิบดีไต้หวันและประธานพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหรือดีพีพี (DPP) ที่เป็นพรรครัฐบาล เขาชูนโยบายคงสถานภาพปัจจุบันในช่องแคบไต้หวัน ไม่เปลี่ยนชื่อสาธารณรัฐจีน ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของไต้หวัน ไม่ยั่วยุหรือทำเรื่องเสี่ยง แต่ไม่ยอมรับการที่จีนอ้างอธิปไตยเหนือไต้หวัน และพร้อมเจรจากับจีน นายไล่มีประสบการณ์การทำงานราชการมานาน เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา นายกเทศมนตรีเมืองไถหนาน และนายกรัฐมนตรี ผู้สมัครคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเขาคือ นางเซียว เหม่ยฉิน วัย 52 ปี อดีตผู้แทนไต้หวันประจำสหรัฐปี 2563-2566

ผู้สมัครคนที่ 2 คือ นายโหว โหย่วอี๋ วัย 66 ปี จากพรรคก๊กมินตั๋งที่เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนิวไทเปคนที่ 2 มาตั้งแต่ปี 2561 และเคยเป็นอธิบดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติปี 2549-2551 เขาชูนโยบายฟื้นการเจรจากับจีน เริ่มด้วยการเจรจาในระดับล่าง เช่น การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แต่ไม่ยอมรับรูปแบบการปกครอง 1 ประเทศ 2 ระบบของจีน และคัดค้านอย่างแข็งขันเรื่องการแยกไต้หวันเป็นเอกราช ขณะเดียวกันจะส่งเสริมการปกป้องไต้หวันและคงความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐ ผู้สมัครคู่ของเขาคือ นายจ้าว เส้าคัง วัย 73 ปี อดีตผู้ดำเนินรายการวิทยุและโทรทัศน์ที่ตนเองเป็นเจ้าของ

ผู้สมัครคนที่ 3 คือ นายเคอ เหวินเจ๋อ วัย 64 ปี อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไทเปปี 2557-2565 และประธานพรรคประชาชนไต้หวันหรือทีพีพี (TPP) ที่เขาตั้งขึ้นในปี 2562 เป็นศัลยแพทย์ที่ชูนโยบายเรื่องปากท้อง เช่น ราคาบ้านสูง จึงมีฐานเสียงเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว เขาอ้างตัวว่าเป็นผู้สมัครคนเดียวที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และจะเจรจากับจีนต่อเมื่อจีนเคารพประชาธิปไตยและวิถีชีวิตของชาวไต้หวัน ผู้สมัครคู่ของเขาคือ นางซินเธีย อู๋ หรืออู๋ซินหยิง วัย 45 ปี อยู่ในตระกูลที่เป็นเจ้าของซินกวงกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจหลากหลายอย่างในไต้หวัน 

'วราวุธ' ชี้!! 'ไทย' ก้าวสู่ภาวะเสี่ยงจากปัญหาโครงสร้างประชากร  'เด็กเกิดใหม่น้อย-วัยแรงงานลด-สูงวัยเพิ่ม' ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัว

(12 ม.ค.67) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดโครงการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง 'ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรต่อความมั่นคงของมนุษย์ในประเทศไทย' ที่มีผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วยผู้แทนจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารโลก วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

นายวราวุธ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ประเทศไทยอาจจะยังไม่ค่อยตื่นตัว ไม่ค่อยตื่นเต้น ไม่ค่อยตระหนักรู้ ว่าปัญหาโครงสร้างประชากรต่อความมั่นคงของมนุษย์ของประเทศไทยนั้นหนักหนาเพียงใด ซึ่งต้องขอขอบคุณปลัด พม. เพื่อนข้าราชการกระทรวง พม. ที่ทำให้รู้สึกว่านี่คือ คลื่นลูกใหญ่ที่มีความหนักหนาไม่แพ้ปัญหาอื่นๆ

นายวราวุธ กล่าวว่า อีก 10 ถึง 20 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะจะเชื่อมไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทยทั้ง 65 ล้านคนในวันนี้ ไปจนถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจ สังคม จุดยืนของประเทศไทย ศักยภาพทางการค้าของประเทศไทย จะอยู่ที่ตรงไหน 

เหล่านี้คือ ปัญหาที่อีกไม่นานเกินรอพวกเราคนไทยจะได้รับรู้ และเป็นหน้าที่ของกระทรวงพม. และผู้เชี่ยวชาญ ต้องมากระตุกต่อมให้คนไทยได้รับรู้ก่อนว่ามันคือ ระเบิดเวลาลูกใหญ่ไม่แพ้อีกหลายๆ ปัญหา 

นายวราวุธ กล่าวว่า สถาบันอนาคตไทยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนั้นมีความท้าทายต่อการพัฒนาและออกแบบนโยบายด้านสังคมเป็นอย่างมาก ประชากรน้อยลง ในขณะที่ผู้สูงอายุมีมากขึ้น แล้วใครจะมาเป็นคนจ่ายเงินเข้ากระเป๋าสำนักงบประมาณ ตนเคยให้สัมภาษณ์ว่าเงินเข้าไม่มี เพราะจากคนเสียภาษีในประเทศไทย 65 ล้านคน เสียภาษีอยู่ 4.5 ล้านคน แล้วจะเอาเงินจากไหน ดราม่าก็บังเกิด แต่นี่คือเรื่องจริง และเป็นสิ่งที่คนไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงประชากรจะเป็นตัวกระทบและกำหนดนโยบายทางด้านสังคม สวัสดิการ และเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้

นายวราวุธ กล่าวว่า "วันนี้เรามีอัตราเด็กแรกเกิดที่น้อยลง อีกไม่นานปัญหาเรื่องแรงงานก็จะเข้ามา ในขณะที่ผู้สูงอายุหรือ ผู้มากประสบการณ์ ก็จะมีมากขึ้น คนใช้สวัสดิการมากขึ้นแต่คนเอาเงินเข้ากองทุนน้อย แล้วเราจะเอาคนกลุ่มไหนมาจ่ายเงินให้กับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เพราะแหล่งรายได้เดียวของประเทศ คือภาษี ในเมื่อคนทำงานน้อยลงแล้วเราจะเอาใครมาจ่าย วันนี้จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวง พม. 

"ดังนั้นงบประมาณปี 2568 ต้องเป็นกรอบงานของกระทรวง พม. เราจะต้องเปลี่ยนบริบท การทำงานของกระทรวงไม่ใช่กระทรวงสังคมสงเคราะห์ แต่มีหน้าที่สร้างศักยภาพให้กับคนกลุ่มเปราะบาง คนสูงอายุผู้มากประสบการณ์ คนพิการ"

นายวราวุธ กล่าวอีกว่า "คนสูงอายุผู้มากประสบการณ์นั้นก็มีแบ่งช่วงได้ 3 ช่วง ต้น กลาง ปลาย แต่ศักยภาพของคนกลุ่มนี้ 60-75 ปี ยังมีทั้งกำลังกายและกำลังสมอง เหลือเพียงอย่างเดียวคือกำลังใจที่จะเข้ามาทำงาน ดังนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราในการสร้างความตระหนักให้ทุกหน่วยงานของภาครัฐ เพราะ พม. เพียงกระทรวงเดียวทำงานไม่ได้ต้องร่วมมือ กับกระทรวงแรงงาน มหาดไทย หน่วยงานราชการต่างๆ 

นายวราวุธ กล่าวว่า ตนขอบคุณปลัดพม.ที่ได้เซ็นต์ MOU กับกระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ประกอบด้วย 5 มหาวิทยาลัย ทั่วประเทศ ตนจึงอยากให้โครงการนี้สำเร็จให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2567 และในปีงบประมาณ 2568 ตนฝันไว้ว่า พม. กับ อว. เซ็นต์ MOU กับ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แล้วทำให้ผู้พิการปีละกว่าแสนคนได้มีงานทำขึ้นมา นี่คือการทำให้คนกลุ่มเปราะบางเป็นคนไม่เปราะบางอีกต่อไป 

”คนกลุ่มเปราะบาง คนพิการ หรือผู้สูงอายุ ผู้มากประสบการณ์ ไม่ใช่คนด้อยโอกาส แต่เราต้องหาโอกาสให้เขา และนำคนกลุ่มนี้เข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย จะบอกว่าอายุมากแล้ว เกษียณแล้ว แล้วยังต้องจับมาทำงานอีกหรือ ถ้าพูดแบบกำปั้นทุบดินก็คงใช่ เพราะไม่มีใครทำงานแล้ว แต่ถ้าเทียบกับบางประเทศในยุโรปหลายคนคงทราบว่าเขาเจอปัญหานี้แล้ว รัฐสวัสดิการในบางประเทศที่ดูแลดีมาก คนเจ็นวาย ที่เป็นคนจ่ายเงินภาษีอย่างมหาศาล 30-40% บอกว่าฉนไม่ทำแล้ว ขอรีไทร์ดีกว่าเพื่อไปใช้รัฐสวัสดิการ หากทุกคนรีไทร์ไปหมดแล้วใครจะทำงาน นำเงินมาเข้ากระเป๋าภาครัฐ” นายวราวุธ กล่าว

“ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของกระทรวง พม. ที่จะต้องทำอย่างไรเพื่อกระตุ้นต่อม ความตระหนักรับรู้ ให้สังคมได้เข้าใจว่าปัญหาที่เรากำลังจะพบเจอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่ใช่เพียงปัญหาเด็กเกิดใหม่น้อย ไม่ใช่เพียงแต่จะทำให้เด็กเกิดใหม่เป็นวาระสำคัญของรัฐบาล แค่นั้นไม่พอ การที่จะทำให้คนรุ่นใหม่มีความอยากที่จะมีครอบครัว มีความอยากมีลูกมีผู้สืบสกุลต่อไป แต่ต้องพูดถึงสังคมที่มีความอบอุ่น สังคมที่มีความ มีการศึกษาที่ดี เติบโตขึ้นมาแล้วจะเป็นบุคลากร เป็นทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยที่สำคัญ เมื่อองค์ประกอบต่างๆ ครบ คนรุ่นใหม่ไม่ว่าเจนไหน อยากมีลูกกันทั้งนั้น อยากมีผู้สืบสกุลต่อไป คงไม่มีใครอยากให้ครอบครัวเราจบที่รุ่นเรา เรื่องประชากรอย่าให้จบที่รุ่นเรา อย่าง ศิลปอาชา ของผมตอนนี้มี 3 คนแล้ว ดังนั้นปลอดภัย ศิลปอาชา ยังมีต่อ สำหรับครอบครัวอื่นเราต้องมาสร้างความเข้าใจและให้กำลังใจกัน ปัญหาประชากรจะแก้เมื่อเกิดขึ้นแล้วคงไม่ทัน ต้องแก้ปัญหาก่อนที่จะเกิด ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือเรากำลังจะมาป้องกันไม่ให้ปัญหาโครงสร้างประชากรกลายเป็นปัญหาที่บั่นทอนศักยภาพของประเทศไทยบนเวทีโลก“ นายวราวุธ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top