Friday, 4 July 2025
NewsFeed

‘รายงาน’ ชี้!! นวัตกรรม ‘วิทย์-เทคโนฯ’ เอเชีย ไม่ธรรมดา มีสถานะมั่นคง ไม่แตกต่างจากชาติตะวันตกอีกแล้ว

(12 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานผลจากการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว (BFA) ระบุว่า ในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งระดับโลก สถานะของเอเชียในแวดวงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

หลี่เป่าตง เลขาธิการของการประชุมฯ กล่าวว่า ทวีปเอเชียมีอิทธิพลในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาของโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยความรุ่มรวยของทรัพยากรทางปัญญาและประเพณีนวัตกรรมอันมีฐานที่มั่นคง

หลี่กล่าวว่ากลุ่มประเทศเอเชียกำลังก้าวตามทันนานาประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือในหลากหลายด้านสำคัญ ท่ามกลางการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งใหม่ อีกทั้งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ปริมาณ คุณภาพ และระดับเชิงอุตสาหกรรมของนวัตกรรม

หลี่ เสริมว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของจีนในด้านการดูแลสุขภาพ, ชีวเภสัชกรรม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ, วัสดุใหม่ และการผลิตขั้นสูง จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ พร้อมระบุว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกได้ลดช่องว่างความแตกต่างกับทวีปยุโรป

รายงานดัชนีนวัตกรรมโลก ปี 2023 ที่เผยแพร่โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ระบุว่าประเทศเอเชีย 5 แห่ง ได้แก่ สิงคโปร์, จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และอิสราเอล ติดอันดับเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม 15 ประเทศที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

อนึ่ง รายงานนวัตกรรมการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว ปี 2023 ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) ในนครกว่างโจวของจีน รวบรวมโดยสถาบันการประชุมฯ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเซาธ์ ไชน่า

‘พีระพันธุ์’ พร้อม!! ตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท 3 เดือน ลั่น!! จะดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับนี้ตลอดปี

ข่าวดี!! ‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท ทั้งปี 67 ด้านค่าไฟเริ่มเห็นสัญญาณต้นทุนทรงตัวจากปริมาณก๊าซในแหล่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น พร้อมลุย!! ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เต็มรูปแบบควบคู่การดูแลราคาพลังงาน

(12 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ปี 2567 จะดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป โดยตลอดปีนี้ ทั้งค่าไฟ ที่เริ่มเห็นสัญญาณต้นทุนทรงตัว เพราะจะมีปริมาณก๊าซในแหล่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลต้องอยู่ระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อไป ขณะที่ ราคาแอลพีจี (LPG) และเอ็นจีวี (NGV) จะดูแลให้อยู่ระดับนี้ต่อไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาล ทุกหน่วยงานรัฐ

นอกจากนี้ จะเดินหน้า ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เต็มรูปแบบควบคู่การดูแลราคาพลังงาน โดยคาดว่ากฎหมายหลายฉบับที่ปรับแก้ รื้อ หรือยกร่างใหม่จะชัดเจนทั้งหมด อาทิ ประเด็นโครงสร้างราคาน้ำมัน ปัจจุบันประกอบด้วย ราคาหน้าโรงกลั่นของฝั่งเอกชน บวกฝั่งรัฐคือ ภาษีต่าง ๆ บวกส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือกองทุนฯ อุดหนุน ซึ่งฝั่งรัฐกลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100%

ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ทันทีคือ การหารือกับกระทรวงการคลัง (นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) โดยเป็นการหารือระดับรัฐมนตรี เพื่อเป็นนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างถาวร เพราะโครงสร้างจากรัฐมีมานานตั้งแต่ตั้งกระทรวง ไม่มีการปรับแก้ 

ส่วนต้นทุนหน้าโรงกลั่นเมื่อแก้กฎหมายแล้ว กระทรวงพลังงานจะมีอำนาจเรียกดูข้อมูลที่เอกชนอ้างเป็นความลับทางการค้า ทั้งหมดนี้ราคาน้ำมันของไทยจะลดลงด้วยโครงสร้างที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง

ด้านกรณีการตรึงราคาดีเซล 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค. 67) ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยไม่มีการช่วยเหลือทางภาษีจากกระทรวงการคลังนั้น คาดว่าวันที่ 16 มกราคมนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคือ ลดภาษีดีเซลเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยรายละเอียดอยู่ที่กระทรวงการคลังในการพิจารณาอัตรา และช่วงเวลาการสนับสนุน

นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า ผลงานสำคัญของกระทรวงพลังงานปีที่ผ่านมาคือ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้า ล่าสุดงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 อยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และกลุ่มเปราะบาง 3.99 บาทต่อหน่วย

ขณะที่น้ำมัน กลุ่มเบนซินไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ลดกลุ่มเบนซิน โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ราคาลดลง 2.50 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ด้วย

"ประเด็นค่าไฟได้มีการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติ ด้วยการบริหารให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติใช้ก๊าซในราคาพูลก๊าซ คือ ราคาเฉลี่ยจากทุกแหล่งที่มา ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงได้ ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งในการปรับโครงสร้างพลังงานประเทศที่ผมประกาศไว้" นายพีระพันธุ์ ทิ้งท้าย

(สุรินทร์)กองกำลังสุรนารี ส่งความสุขมอบของขวัญให้น้องๆนักเรียน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567

วันที่ 12 มกราคม 2567 พันเอก จิรัฏฐ์  ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี สนับสนุน เครื่องดื่มน้ำผลไม้, อุปกรณ์กีฬา และไอศกรีม ให้กับน้องๆนักเรียน โรงเรียนท่าตูม(สนิทราษฎร์วิทยาคม) อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ พร้อมทั้งพบปะ และแจกขนมให้กับน้องๆนักเรียน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ทั้งนี้เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ที่จะเติบโตเป็นเยาวชนที่ดี มีคุณภาพ เป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป ตามคำขวัญวันเด็กประจำปี 2567 จากนายกรัฐมนตรี ที่ว่า “มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย”

‘นายกฯ’ เตรียมดันค่าแรงขั้นต่ำแตะ 400 บาท ในปีนี้ ไม่ทิ้งเป้า ‘ป.ตรี 2.5 หมื่นบาท-ค่าแรง 600 บาท’ ในปี 70

(12 ม.ค. 67) ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีคณะรัฐมนตรี อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน, ผบ.เหล่าทัพ รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ และข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจัดหวัด เข้าร่วม

โดย นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า นโยบายที่ดำเนินการภายใต้รัฐบาลนี้ จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนสบายใจได้ว่าภาษีของพวกเค้าถูกใช้ในการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ ในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการเกษตร ช่วงที่ผ่านมาตนได้เดินหน้าเจรจาการค้า เพื่อเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้กับพี่น้องเกษตรกรทุกกลุ่ม ทั้งพืช และปศุสัตว์ ด้านการท่องเที่ยวถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ และรัฐบาลมีเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท มุ่งให้ไทยเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เรื่องที่ดำเนินการไปแล้ว คือ วีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย ไต้หวัน และขยายเวลาสำหรับชาวรัสเซีย ซึ่งก็ทำให้เราก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยกว่า 24 ล้านคน และนำจุดเด่นของแต่ละพื้นที่มาใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Hardware เช่น สถานที่ วัฒนธรรม อาหาร หรือเป็น Software ที่ตนใช้เรียกการจัดกิจกรรม Festival หรือ Event ต่างๆ ที่ประกอบกันเป็น Soft Power ของแต่ละพื้นที่ และต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจมากขึ้น ให้มีการใช้สถานที่จัดประชุม เป็นเจ้าภาพแสดงสินค้า งานเทศกาลระดับโลก ในประเทศไทยให้ได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางถนน ทางรางทางน้ำ และทางอากาศ และอีกหนึ่งโครงการที่ขอให้ความสำคัญ คือโครงการ แลนด์บริดจ์ ที่ใช้จุดแข็งของสภาพภูมิศาสตร์ที่เชื่อมทั้งสองฝั่งของมหาสมุทร เปิดประตูการค้าสองฝั่งมหาสมุทรทางภาคใต้ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง การค้าและคมนาคมที่สำคัญ เสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเราจะ เสริมความแข็งแกร่งของการขนส่งผ่านช่องแคบมะละกาและคาดว่าจะสร้างงาน 280,000 ตำแหน่ง คาด GDP โตขึ้นปีละ 5.5%โครงการนี้มีประโยชน์ต่อประเทศมหาศาล และตนขอให้ทุกท่านช่วยกันสนับสนุน ผลักดันไปด้วยกัน จากนโยบายด้านเศรษฐกิจทั้งหมด ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนการต่างประเทศ Soft Power โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อีกส่วนนึงที่อยากผลักดัน คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สำเร็จ มั่นใจว่าคนไทยเรามีฝีมือ มีทักษะ และพร้อมจะเรียนรู้ เป้าหมายของตน ยังชัดเจน ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 โดยปีนี้จะต้องทำ ค่าแรงขั้นต่ำให้มากกว่า 400 บาทให้ได้

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในเรื่องปัญหายาเสพติด รัฐบาลนี้จะปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมด ไปจากสังคมไทย โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมาย ยึดทรัพย์ และดำเนินการเจรจาทางการทูตกับประเทศตามแนวชายแดน เพื่อควบคุมการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในเด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน สำหรับความเป็นอยู่ของประชาชนจะต้องได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในตลอดสมัยของรัฐบาลนี้ ทั้งรถไฟฟ้า น้ำประปา และสิ่งแวดล้อม อากาศสะอาด ด้านค่าโดยสารรถไฟฟ้าของประชาชน รัฐบาลมีนโยบายที่จะทำ ‘20 บาทตลอดสาย’ ให้สำเร็จ ในปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง ก็เหลือ 20 บาทแล้ว ทางกระทรวงคมนาคมก็จะเดินหน้าพัฒนาระบบ Feeder ที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าทั้งสองสายให้มากขึ้น และเราจะต้องเดินหน้าทำส่วนอื่นให้สำเร็จ เพื่อทำให้ 20 บาทตลอดสายเกิดขึ้นได้จริงสำหรับประชาชนครับ

ขณะที่ด้านกองทัพ รัฐบาลจะสนับสนุนการปรับโครงสร้างของหน่วยงานด้านความมั่นคงให้มีความทันสมัย สามารถตอบสนองต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ ๆ ได้ทุกมิติ พัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศและประชาชน พัฒนากระบวนการทำงาน การลงทุนในอุปกรณ์ การฝึกอบรม ที่จะทำให้ทหารเป็น ‘ทหารอาชีพ’ ลดกำลังพล และงบประมาณลง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ เปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารให้เป็นสมัครใจให้มีนัย

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลนี้จะต้องเดินหน้าแก้ไขกฏระเบียบ กฏหมาย ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างเนื้อสร้างตัวของประชาชน การทำธุรกิจ การคิดค้นธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะกฏหมายเกี่ยวกับการทำสุราพื้นบ้าน ซึ่งจะกลายมาเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่ชุมชนจะสามารถชูจุดเด่นของตนเองได้ สนับสนุนการแข่งขันที่เป็นธรรม ทำให้คนตัวเล็กสามารถเติบโตได้ ขณะที่เรื่องการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย รัฐบาลนี้จะทำประชามติ เพื่อทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จ โดยไม่จุดขนวนความขัดแย้งในสังคมให้ได้ มุ่งหน้าทำให้ประเทศไทยมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งในที่สุด

“อย่างที่ทุกคนทราบว่าหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาลนี้คือการทำ ดิจิทัล วอลเล็ตให้สำเร็จ แม้ว่าในวันนี้ เราจะเดินหน้าออก พ.ร.บ.กู้เงินก็ตาม แต่ก็ขอให้ไม่ลืมที่จะตั้งงบประมาณเผื่อไว้ ในกรณีที่ต้องใช้พัฒนาและดำเนินโครงการด้วย แต่ขอให้ตั้งอย่างสมเหตุสมผล ในปีงบประมาณ 2568 การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม”

นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายทั้งหมดของรัฐบาลที่กล่าวไปนั้น จะต้องอาศัยการทำงานบูรณาการกัน เป็นอย่างมาก มีความเชื่อมโยงหลายส่วนการจัดทำงบประมาณ จะต้องขอให้สำนักงบประมาณช่วยคอยดูทั้งตัวชี้วัดงบประมาณที่ขอ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และต้องดูรายละเอียดเนื้อหาให้ถี่ถ้วนด้วยว่าตอบโจทย์ของรัฐบาลหรือไม่ ในปีงบประมาณ 68 จะเป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องจากปี 67 โดยช่วงเวลาการทำงานจะทับซ้อนกัน จึงขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการ เพื่อผลักดันให้การจัดทำงบประมาณตอบโจทย์ความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด และเพื่อให้หน่วยงานสามารถจัดทำคำของบประมาณที่สอดคล้องกับจุดเน้นตาม นโยบายของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 142 ประเด็น สำนักงบประมาณ จึงอยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ ปรับปรุงปฏิทินงบประมาณ โดยขยายระยะเวลาการจัดส่งคำขอได้ถึงวันที่ 2 ก.พ.

‘ปปง.’ เชือด!! ‘มินนี่-พวก’ เว็บพนันออนไลน์ อายัดเงิน-ทรัพย์สิน มูลค่ารวมกว่า 41 ลบ.

เมื่อวานนี้ 11 ม.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสุวิจักขณ์ ธรรมชัยพจน์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 หัวหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายจาก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ทำหนังสือถึง หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566 ลงวันที่ 25 ต.ค. 66 เรื่องแจ้งคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว กรณีซึ่งได้รับรายงานการสืบสวนจากชุดคลี่คลายคดีพบว่า เว็บไซต์ www.betflikroyal.net จัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์โดยมีการโฆษณาชักชวนโปรโมตเว็บไซต์พนันออนไลน์ให้ลูกค้าประชาชนทั่วไปเข้าเล่นพนัน

จึงรวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง ในข้อหา ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ และร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งพนักงานได้มีการตรวจสอบข้อมูลทางธุรกรรมของกลุ่มผู้ต้องหากระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐาน ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว เป็นเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.- 7 เม.ย. 2567

โดยทรัพย์สินประเภทเงินในบัญชีเงินฝาก ของผู้ต้องหาในคดีนี้ถูกอายัดทั้งสิ้น 11 รายการ มูลค่ารวม 8,293,653.69 บาท พร้อมดอกผล ส่วนทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ยึดมีทั้งสิ้น 244 รายการ มีราคาประเมินทั้งสิ้น 33,151,546.23 บาท พร้อมดอกผล ซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัด จำนวน 255 รายการ รวมราคาประเมินได้ทั้งสิ้น 41,445,199.92 บาท พร้อมดอกผล 

ทั้งนี้นอกจากเงินสด เครื่องประดับ พระเครื่อง และกระเป๋าแบรนด์เนม หลายรายการ ของ น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือ ‘มินนี่’ อายุ 26 ปี จะถูกยึดแล้ว ยังมีทรัพย์สินรายการอื่นของผู้ต้องหาร่วมขบวนการที่น่าสนใจด้วย

อาทิ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย ถูกยึดเงินสดในบัญชีธนาคาร ทั้งสิ้น 3 บัญชี มียอดเงินทั้งสิ้น 749,587.66 บาท, พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยเกตุ ถูกยึดเงินสด 461,900 บาท, ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ถูกยึดสร้อยทองรูปพรรณ แผ่นทอง รวม 3 รายการ มูลค่า 57,900 บาท ถูกยึดพระเครื่องเหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นอภิมหาเมตตา มหาโพธิสัตว์ เจริญลาภ เจริญยศ เนื้อนวะ มูลค่า 8,000 บาท และถูกยึดนาฬิกาข้อมือ มูลค่า 4,000 บาท

นราธิวาส-“ธารน้ำใจ พี่น้องไทย สู่ผู้ประสบภัย ชาวสุคิริน จ.นราธิวาส ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พันเอก ณัฐพล ชัยสุภา เสนาธิการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  ร่วมกับ ศิษย์เก่าคณะบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 32 ,นิสิตจุฬาฯรุ่นปี 2514 (cu14) ,ดร.คนึงนิตย์ ศรีรักษ์ และคุณสมฤดี ขำเขียว ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา กองพลทหารราบที่ 15 เดินทางลงพื้นที่ เข้าเยี่ยมมอบความห่วงใย และให้กำลังใจ พี่น้องประชาชน ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอสุคิริน จ.นราธิวาส จำนวน 100 ครัวเรือน  6 หมู่บ้าน  ได้แก่ 1.หมู่บ้านลีนานนท์ 2. หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา12  3. บ้านสันติ 4.บ้านไอกาบู 5.บ้านราษฎร์ผดุง และ 6.บ้านสอวอนอก พร้อมมอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว เและเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 80,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย เป็นภาพบรรยากาศที่อบอุ่น สร้างความปลาบปลื้มให้พี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก “ คนไทย ไม่เคยทิ้งกัน “

จากปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ สร้างความสูญเสียให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญเข้าช่วยเหลือเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อคืนสภาพปกติโดยเร็ว  พร้อมจัดกำลังพลชุดช่างร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่เร่งดำเนินการซ่อมแซม ฟื้นฟู ทำความสะอาด เก็บ กวาด ซ่อมแซ่มบ้านเรือน อาคาร สถานที่ที่พังเสียหาย เพื่อให้สามารถกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ยืนยันในฐานะหน่วยงานราชการ หน่วยงานของกองทัพบก พร้อมให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ และขอให้เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนมีความพร้อมเข้าดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มขีดความสามารถ “
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร/อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ และไทยสมายล์ กรุ๊ป ลงพื้นที่จันทบุรี มอบทุนการศึกษา จักรยานแก่เด็กๆ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปี 2567 

วันที่ 13 มกราคม 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานกรรมการมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์พร้อมด้วยนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) และนางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มไทย สมายล์กรุ๊ป มอบทุนการศึกษา จำนวน 50 ทุนๆละ1000 บาท และมอบรถจักรยานจำนวน 100 คันๆละ1500 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 200,000บาท ให้กับเด็กๆ ที่มาร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ โดยมี นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 โดยมี ตัวแทนเด็ก อ่านสารวันเด็กประจำปี 2567 ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 ณ สนามหน้าอาคาร สำนักประชาสัมพันธ์ เขต 7 จันทบุรี อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานกรรมการมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ กล่าวว่า ในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์เราได้ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนซึ่งเขาเหล่านี้เป็นอนาคตของชาติที่จะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ในวันนี้จึงได้ลงพื้นที่มายังจังหวัดจันทบุรี เพื่อนำทุนการศึกษาและรถจักรยานมามอบให้กับเด็กๆ เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติที่หลายหน่วยงานร่วมกันจัดขึ้น อาทิ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดจันทบุรี รวมไปถึงกลุ่มบริษัทกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ และกลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ปด้วยที่ได้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน 
ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสนับสนุนช่วยเหลือเด็กและเยาวชน รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมอีกด้วย

ด้านนายสมโภชน์ อาหุนัย CEO กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้ ตนเองรู้สึกดีใจ ที่ได้เป็นแรงขับเคลื่อนและร่วมเป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมดีๆเช่นนี้  เพราะเด็กๆคืออนาคตของชาติ ที่เป็นพลังบริสุทธิ์ ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับประเทศไทยของเรา

สำหรับบรรยากาศงานวันเด็กแห่งชาติที่สำนักประชาสัมพันธ์เขต 7 จันทบุรี ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ได้มีความสุขกับวันสำคัญของตนเองนั้นต่างได้รับความสนใจจากผู้ปกครอง นำเด็กและเยาวชน ที่เป็นบุตรหลาน เดินทางร่วมภายในงานอย่างคับคั่ง ส่งผลให้บรรยากาศโดยรวม เป็นไปด้วยความคึกคัก โดยกิจกรรมภายในงานมีการแสดงจากน้องๆ หนูๆ ในพื้นที่ การจับฉลาก แจกของรางวัลกิจกรรมทางวิชาการ การตอบปัญหาชิงรางวัล กิจกรรมหนูน้อยอ่านข่าว รวมทั้งบูธกิจกรรมจากหน่วยงานต่างๆ บูธการจัดเลี้ยงอาหาร และขนมให้กับเด็ก เยาวชน และผู้ปกครองทุกคน ที่เดินทางเข้าร่วมภายในงาน ทั้งนี้ มีการถ่ายทอดสดทาง NBT Central

‘เศรษฐา’ จี้!! สืบหาตัว ‘บิ๊กตำรวจ’ คุยโวสนิทผู้ใหญ่ ใน ป.ป.ช. หลังโซเชียลชี้เป้า ‘บิ๊กโจ๊ก-สุภา’ ส่อแวว ถึงเวลาปฏิรูปองค์กร!!

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีการถามไถ่กันให้วุ่นว่า คลิปเสียง ‘ตำรวจใหญ่’ ที่คุยว่าสนิทสนมกับ ‘ผู้ใหญ่’ ใน ป.ป.ช. สามารถกำหนดคดี–ชี้ชะตาคนได้ ที่หลุดว่อนโซเซียลฯ ในเวลานี้ นายตำรวจใหญ่ผู้นี้เป็นใคร และผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช.นั้น หมายถึงใคร?

ประการสำคัญ มีคำถามว่า ทำไม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ‘ป.ป.ช.’ องค์กรอิสระที่ต้องทำงานด้วยความโปร่งใส ยึดถือความถูกต้องและยุติธรรมถึงได้ปล่อยให้ ‘คนนอก’ เข้ามาแทรกแซงด้วยความอหังการ มมังการ ประหนึ่งควบคุม ป.ป.ช. ไว้ในอุ้งมือ!!

‘ป.ป.ช.’ เป็นองค์กรอิสระแต่กลับไม่มีอิสระซะงั้น!?

ลองย้อนไปฟังที่นายตำรวจคนนี้พูดดู…

“เออ ไล่ออกปลดออกนะ แต่อาญาน่ะมันติดคุกนะ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกผม ส่ง ป.ป.ช.เนี่ย ป.ป.ช.ไม่ทำเรื่องคุณหรอก เดี๋ยว ป.ป.ช.ส่งมาให้ผมกลับมาทำเองนะ เออ คุณไม่ต้องกังวล เร็วแน่นอน ทุกเคสที่ผมทำ ไม่มี ป.ป.ช.รับหรอก แต่มีการพูดตรวจสอบทรัพย์สิน ตอนนี้ ‘ท่านXXX’ เขาตั้งเรื่องแล้ว นี่เรียกนายเวรเข้าไปด้วยคนหนึ่ง…”

ความระหว่างบรรทัดที่ออกจากปากเจ้าของเสียงในคลิปพูด จะเห็นได้เลยว่า ตัวเองคุมเกมคดีที่ ป.ป.ช.ได้เองเบ็ดเสร็จ โดยความร่วมมือของคนใน ป.ป.ช.

เรียกว่า “ใหญ่คับ ป.ป.ช.” จริงๆ!!

หลังคลิปนี้เผยแพร่เป็นวงกว้าง จึงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

คนของทั้ง 2 องค์กร พูดกันมาให้เข้าหูเลยว่า นี่เป็นความเสื่อมที่สุดของทั้งตำรวจ และ ป.ป.ช. เพราะนายตำรวจใหญ่ที่เป็นลุงแก่อำนาจเพียงคนเดียว!! เพราะผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. ที่ว่ากันว่า เป็นถึงกรรมการ ป.ป.ช.ยอมเป็นเครื่องมือให้ความช่วยเหลือ ‘คิดบัญชี’ ชำระแค้นคนนั้น คนนี้ อย่างนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ขององค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ไม่น่าเชื่อว่า จะตกต่ำได้ขนาดนี้

เรื่องนี้เป็น ‘หลุมดำ’ จะสร้างวิกฤติศรัทธาให้กับ ป.ป.ช. อย่างแน่นอน และความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ ก็มีความจำเป็นเพียงพอที่จะต้อง ‘ปฎิรูป ป.ป.ช.’ ยกใหญ่

ไม่ใช่แค่คนใน สตช. และ ป.ป.ช. ที่พูดกัน ฟังว่าเรื่องไปเข้าหู ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงกับเอ่ยปากต่อสื่อว่า “นี่เป็นเรื่องสำคัญ ต้องสืบมาให้รู้แจ้ง ยืนยันให้ได้ว่าเป็นเสียงของนายตำรวจใหญ่จริงหรือไม่ สืบทราบได้หรือเปล่าว่าเป็นใคร? หากเป็นเรื่องที่พอจะมีหลักฐานที่จะนำไปขยายผลต่อได้ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย”

นายกฯ ออกโรงส่งสัญญานมาแบบนี้ ก็ต้องถามไปยัง ‘พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ’ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. หรือ ‘บิ๊กต่อ’ ท่านยังจะไม่ดำเนินการอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ?

คลิปหลุดงานนี้ ภาษาชาวบ้านเขาว่า ‘ชุดใหญ่ไฟไหม้บ้าน’ ขนาดนี้แล้ว ควรต้องทำตามคำของนายกฯ หาตัวนายตำรวจใหญ่ และ บอร์ด ป.ป.ช. ที่ถูกอวดอ้างว่าสนิทสนมเร่งด่วนเลย สอบสวนให้ดูดำรู้แดง แล้วแจ้งต่อสาธารณะให้รู้ อย่างน้อยๆ ก็กู้วิกฤติศรัทธากันเฉพาะหน้ามาก่อน

โดยเฉพาะ ป.ป.ช.ที่ถูกแอบอ้างเสียหายเต็มๆ พล.ต.อ.วัชรพล ต้องอย่าช้า!! ของพรรค์นี้สืบกันไม่ยาก สมัยนี้อย่าประมาทชาวโซเชียลฯ เด็ดขาด นักสืบโซเชียลฯ ทำงานกันเร็ว

หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แนะนำให้ลองไถฟีดไล่ตามคอมเมนต์ข่าวนี้ดู จะเห็นคำตอบของเจ้าของคลิปเสียงที่ชาวโชเชียลฯ ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หรือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ เจ้าของฉายา ‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’

ขณะที่คนใหญ่คนโต ป.ป.ช.ที่ถูก ‘บิ๊กโจ๊ก’ เอ่ยอ้างว่าสนิทสนมด้วยนั้น คือ ‘น.ส.สุภา ปิยะจิตติ’ กรรมการ ป.ป.ช.ที่จะพ้นวาระในอีกไม่กี่วันข้างหน้า!!

นักสืบโซเชียลฯ ยังล้วงลับตับแตกถึงความสัมพันธ์ของ ‘บิ๊กโจ๊กและสุภา’ นั้นไม่ธรรมดา อาจจะเพราะบิ๊กโจ๊กเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง พูดจาอ่อนน้อม อ่อนหวาน ทำงานคล่องแคล่วว่องไว สุภาจึงไว้วางใจ

บิ๊กโจ๊ก มาเติมเต็มในส่วนที่ สุภา ขาดในเรื่องสืบสวนสอบสวน เวลาผ่านไปจาก ‘รู้จัก’ ก็กลายเป็น ‘มักคุ้น’ รู้ซึ่งกันและกัน แต่ความเป็นบิ๊กโจ๊กที่ทั้งชีวิตเป็นตำรวจจะเก่งเรื่องเก็บกุมความลับของคน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า สุภาที่คนใน ป.ป.ช.เรียกขานฉายา ‘ภาไม่ยอม’ เหตุไฉนจึงโอนอ่อนผ่อนตามบิ๊กโจ๊กได้นั้น อาจเพราะจำยอม จำนน เพราะถูกกุมความด้วยเหตุฉะนี้หรือไม่!?

สุภา จะรู้หรือไม่ ไม่อาจรู้ได้ แต่... รู้กันในหมู่สีกากีว่า ฉายา ‘หวานเจี๊ยบ’ ของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่พึงระวังหวานมาก ก็กลายเป็นขมได้!!

ผู้ใหญ่หลายคนที่เคยสัมผัส และให้ความเอ็นดูกับบิ๊กโจ๊ก เคยเจอกันมาแล้ว ทุกวันนี้ยังรักษาอาการ ‘หลังหัก’ ไม่หาย

ไม่ทราบว่า บิ๊กโจ๊กยังพอจะจดจำคนเหล่านี้ได้หรือไม่… พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร., พล.ต.ท.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ หรือแม้กระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘ลุงป้อม’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บุคคลเหล่านี้ถ้าจะบอกว่าเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ สำหรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ไม่ผิดนัก!!

โดยเฉพาะ ‘ลุงป้อม’ ใครๆ ก็รู้ เอ็นดูบิ๊กโจ๊กเหมือนหลานในไส้ แต่ก็มีเรื่องงามไส้ของ ‘ป่ารอยต่อฯ’ ที่ว่ากันว่าหลุดมาจากแฟ้มลับในคอมพิวเตอร์ของหลานรัก ไปถูกอภิปรายในสภาฯ

หรือกระทั่ง ‘พี่น้อง 3 ป.’ ของลุงป้อมอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ สมัยนั่งเป็นนายกฯ ก็เคยถูกฟ้องมาแล้ว

เรียกว่า ‘คนเรา รู้หน้าไม่รู้ใจ’ อุตส่าห์หยิบยื่นความรักความเมตตาให้… แต่สิ่งที่ได้คืนไม่ต่างจากเรื่องราวกับชาวนากับงูเห่า เพียงเพราะต้องการทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง!!

ว่ากันว่า คอมพิวเตอร์ของบิ๊กโจ๊กนั้นเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งลับ และไม่ลับ เมื่อไหร่ก็ตามที่มิตรกลับกลายเป็นศัตรู วันดีคืนดี ก็จะมีข้อมูลหลุดออกมาด้อยค่าคนๆ นั้นทันที

แว่วว่าในแวดวงของผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักมักคุ้นกับบิ๊กโจ๊กต่างก็เตือนกันและกันว่า “จงระวัง ถูกเก็บข้อมูลเอาไปบิดเบือนย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้”

ไม่แปลก คนที่รู้ซึ้งจะเปลี่ยนฉายาจาก ‘โจ๊กหวานเจี๊ยบ’ กลายเป็นคนที่ยากจะไว้ใจ!!

นี่ไม่ขอยืนยันข้อเท็จจริงว่า จะใช่ หรือ ไม่ใช่… เรื่องจริง หรือ ไม่จริง เพราะเป็นนักสืบชาวโซเชียลฯ ว่ากันมา

ขอย้ำว่า ไม่ยืนยันว่า จริงหรือเท็จ มีแต่เจ้าตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เท่านั้นที่จะรู้ โดยบิ๊กโจ๊กเคยบอกว่า เรื่องครหา ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับตัวเขาเองเป็น ‘นิทาน’ ที่ยิ่งเล่าขาน ก็ยิ่งขยายแต่งเติมออกไปไม่รู้จบ…

ตัวเขาเองยึดคติที่ว่า “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง” จึงไม่หวาดหวั่นกับศัตรูที่นาทีนี้ มากมายจริงๆ

จะด้วยเหตุผลใช่ ‘นิทาน’ หรือ ‘เรื่องจริง’ ก็ตาม งานนี้เห็นทีเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. และ หน้าที่ของ ผบ.ตร. อย่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่ต้องค้นหาความจริง สอบสวน สืบสวนกันเอาเอง

คำถามย่อมเกิดขึ้นมาว่า ระหว่าง บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. สนิทสนมกันจริงหรือไม่?

ถ้ามีความสัมพันธ์แนบแน่น มีคดีไหนบ้างที่บิ๊กโจ๊กทำแล้วส่งให้ ป.ป.ช. และมีคดีไหนที่ ป.ป.ช.รับมาแล้วมี น.ส.สุภาเป็นประธานสอบ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช.ควรต้องรู้ และรู้อยู่แล้วหรือไม่? ก็ต้องขยายผล หาข้อมูลมาคลี่กางดู จะได้พิสูจน์ทราบ

ต้องไม่ลืมว่า องค์กร ป.ป.ช.ตอนนี้อ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก เสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆ พุ่งมาทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะการ ‘เลือกปฏิบัติ’ ต่อคดีที่ ป.ป.ช.กรรมการบางคนรับผิดชอบทำคดี

เพียงเพื่อกำจัดคน ‘คิดบัญชี’ ชำระแค้น สร้างเรื่อง ปั้นคดี ข่มขู่พยาน ใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งให้ต้องได้รับโทษ ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ควรมีอยู่ใน ป.ป.ช.

หากเป็นไปตามที่คลิปเสียงหลุดระบุ นั่นหมายความว่า จะมีคดีที่ถูกสร้างขึ้น ใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งกันหรือไม่?

ถามว่าคดีที่ถูกพิจารณาตรวจสอบโดย สุภา ทั้งที่ผ่านมา และกำลังเป็นอยู่ มีความน่าเชื่อถือได้แค่ไหน? ควรหรือไม่ควร ที่จะต้องรื้อฟื้นคดีเหล่านั้นขึ้นมาดูใหม่?

พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. มีเผือกร้อนในมือแล้ว สังคมกำลังจับตาดูว่าท่านจะทำอย่างไร?

นี่คือความอัปยศอดสู เป็น ‘หลุมดำ’ ของ ป.ป.ช. หากไม่ทำอะไรให้กระจ่าง ก็เตรียมตัว… ไม่ใช่แค่ ป.ป.ช.จะว้าวุ่น แต่จะทรุดลงไปกองฮวบกับพื้นด้วยวิกฤตศรัทธาในทันที!!

'INTERLINK EXPO 2024 CHOCK DEALS' มหกรรมสินค้า ลดอลังการ หนุนคืนกำไร ตอบแทนทุนให้คู่ค้า ราคาถูกชัวร์ มีของครบจบที่ 'อินเตอร์ลิ้งค์ฯ'

กลับมาแล้ว!! งานบิ๊กอีเวนท์ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จัดมหกรรมลดราคาสินค้า LINK AMERICA & GERMAN RACK EVERYWHERE ลดยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ต้นปี มีโปรโมชั่นคุ้มเต็มสิบ สูงถึง 70% กว่า 1,000 รายการ พร้อม DOUBLE BONUS พิเศษภายในงานนี้เท่านั้น พร้อมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ประเดิมกันที่นี่ที่แรก ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ก่อนส่งต่อให้ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ ได้ช้อปสนั่นแบบจัดเต็ม การันตีมีมาพร้อมรับประกันคุณภาพ ราคาถูกกว่า และบริการที่ดีกว่า ตอบโจทย์ทุกงานระบบ ครบทุกความต้องการแน่นอน ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

มหกรรมลดราคาสินค้าแห่งปีกับงาน 'INTERLINK EXPO 2024 SHOCK DEALS' จัดโดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ กลับมาอีกครั้งกับแคมเปญใหญ่ จัดขึ้นเป็นประจำทุกต้นปี ที่ขนทัพสินค้า LINK AMERICA & GERMAN RACK EVERYWHERE ไปลดกระหน่ำ จัดดีลเด็ด ให้ทั้งหมด 6 ภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพและปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ผ่านรูปแบบทั้ง Online และ On Site จัดขึ้นเพื่อตอบแทนคุณ หนุนคืนกำไรให้คู่ค้าในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ พร้อมกับผลักดันธุรกิจให้เติบโตร่วมกันอย่างแข็งแกร่งต่อไปอย่าง ต่อเนื่อง และยั่งยืน

โดยมี สินค้าลดราคาแรงกว่า 1,000 รายการ พบกับสินค้า Products Highlight ครบทุกหมวดหมู่ ครบทั้ง Solution ตั้งแต่ กลุ่มสินค้า สาย LAN (UTP), สาย FIBER OFTIC, CCTV, TELEPHONE, Solar ที่กำลังเป็นกระแสมาแรงอยู่ในตอนนี้ มาพร้อมกับอุปกรณ์หัวขั้วต่อที่ตอบโจทย์ครบทั้งระบบโซลาร์ และได้รับมาตรฐาน AD8 อีกทั้งยังมีกลุ่มอุปกรณ์ที่ครบชุด รองรับระบบ Solar Roof และ Solar Farm ที่ครบเครื่อง เรื่องสายสัญญาณอีกด้วย รวมถึงมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณ Networking, พร้อมตู้ GERMAN EXPORT RACK, LINK RACK และเครื่องมือต่าง ๆ มาจัดเต็มกับโปรโมชั่นลดราคาสูงถึง 70% มีดีลสุด Shock กับสินค้าราคาดี และช่วงเวลาสุดพิเศษกับโปรโมชั่นเสริม Cash Back ที่มีเฉพาะในงานนี้เท่านั้น ลดเพิ่ม เกินคุ้ม แบบจัดเต็ม อีกทั้ง มีกิจกรรมให้ได้ร่วมสนุกตลอดงาน แจก แถม กันแบบกระจายให้ไม่มีอั้น

พร้อมร่วมลุ้นรับของรางวัลใหญ่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ทั้ง สร้อยคอทองคำ โทรทัศน์ (TV) สมาร์ต โฟน (Smart Phone) แท็บเล็ต (Tablet) และบัตรกำนันพิเศษ มอบให้แก่ผู้โชคดีภายในงาน และลูกค้าในออนไลน์ เรียกได้ว่า จับ แจก ลด แถม สินค้าราคาดี มีคุณภาพคุ้มสุด ๆ ลดให้เยอะจริง ครบ จบที่ 'อินเตอร์ลิ้งค์ฯ' เพราะ LINK AMERICA & GERMAN RACK EVERYWHERE ตอบโจทย์ทุกงานระบบ ครบทุกความต้องการ งานนี้เพิ่มความสุขสุดล้นเหนือระดับไปอีกขั้น โดยลูกค้าทุกท่านซื้อสินค้ากันอย่างถล่มทลายอีกด้วย

“นับเป็นการตอกย้ำถึงความคุ้มค่าของสินค้า LINK AMERICA & GERMAN RACK EVERYWHERE เพื่อตอบแทนทุน หนุนคืนกำไร คืนความคุ้มค่า ให้คู่ค้าในกรุงเทพฯ ไปพร้อมกับต่อยอดให้กลุ่มธุรกิจเติบได้อย่างแข็งแกร่งไปด้วยกันทั้งลูกค้า และพันธมิตร รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม ที่การันตีได้จากคุณภาพ และมีมาตรฐานการรับรอง พร้อมการรับประกันถึง 30 ปี ที่ยาวนานที่สุดในท้องตลาด และตอบโจทย์แก่ความต้องการด้านเทคโนโลยีโครงข่ายสายสัญญาณแห่งยุคดิจิทัล ทั้งความคุ้มค่าที่มาครบทั้ง Solution ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าราคานี้ไม่มีที่ไหนแน่นอน เพราะ สินค้าราคาดี มีคุณภาพ มาพร้อมกับราคาที่ถูกกว่า และบริการที่ดีกว่า นอกจากนี้ เราได้คิดค้น พัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์แก่การใช้งานแห่งยุคนี้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมอัจฉริยะ และเทคโนโลยีใหม่ นำมาโชว์ให้เห็นพร้อมกันที่นี่ที่แรกอีกด้วย"

"ซึ่งเป็นการตอกย้ำบริษัทฯ ที่ยังคงมุ่งมั่น ขับเคลื่อน และพัฒนาที่จะนำพาเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย ไปพร้อมกับต่อยอดสินค้า และรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์แก่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทรงประสิทธิภาพอีกด้วย รวมถึงเป็นการตอบแทนคำขอบคุณมอบให้แก่ลูกค้าทุกท่านที่ได้ร่วมสนับสนุน ให้ความเชื่อมั่น และไว้วางใจในคุณภาพของสินค้าไปพร้อมกับการก้าวขึ้นแท่นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านสายสัญญาณที่แข็งแกร่งอย่างไม่หยุดยั้ง นำสู่การเติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน อย่างมีคุณภาพต่อไป" คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ กล่าวเสริมตอนท้าย

‘เพจท่องเที่ยวดัง’ เผย ‘คนสูงวัยชาวสวิส’ ไม่นิยมมีบ้าน แต่นิยมเก็บเงิน เพราะการวางแผนชีวิตหลังเกษียณที่ดี ช่วยให้ยามแก่อยู่ได้อย่างสุขสบาย

ในปัจจุบัน ประเทศไทยของเราได้ก้าวเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ (Aging Society) อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2566 ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า ไทยมีประชากรผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 13 ล้านคน ของประชากรไทยทั้งประเทศ 66,057,967 คน

ดังนั้น การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ จึงถือเป็นอีก 1 สิ่งสำคัญที่เราสามารถเริ่มได้เนิ่นๆ การวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน วางแผนครอบครัว ปรับแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข รวมถึงวางแผนการดูแลสุขภาพ หลังเกษียณจากการทํางาน

วันนี้ทางเพจจึงอยากขอยกตัวอย่างการวางแผนชีวิตยามเกษียณ จากคลิปวิดีโอที่ทางเพจ ‘แขพาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ Khaekhaitravel Switzerland’ ได้ทำการโพสต์เมื่อช่วงปีก่อน ว่าด้วยเรื่องของ ‘คนแก่ที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีบ้าน เขาอยู่กันยังไง รายได้มาจากไหน?’ โดยเนื้อหาในคลิปดังกว่าระบุว่า…

“ถ้าคนสวิตเซอร์แลนด์ส่วนมาก ไม่มีบ้าน ต้องเช่าอพาร์ตเมนต์ แล้วพอแก่ตัวมา ถ้าเขาไม่มีเงิน เขาจะทํายังไง? เอารายได้มาจากไหน? เพราะค่าครองชีพที่สวิตเซอร์แลนด์สูงมาก…

นี่เป็นคําถามที่คนสงสัยกันเยอะมาก ด้วยความที่ประเทศไทยบ้านเรา ต่อให้ไม่มีเงิน แต่ส่วนมากเราก็จะมีบ้านให้กลับไปอยู่ ตามจังหวัดก็ยังพออยู่ได้ แต่ที่สวิตเซอร์แลนด์ค่อนข้างแตกต่าง เพราะถึงแม้คนสูงวัยที่สวิตเซอร์แลนด์จะไม่มีบ้าน แต่เขามีเงิน เพราะคนสวิสจะได้เงินเกษียณจากการทํางานที่โดนหักจากรายได้ ซึ่งพอเกษียณเขาก็จะได้รับเงินประมาณเดือนละ 2,000 ฟรังก์สวิสขึ้นไป หากตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 75,000 บาท”

โดยคุณแข เจ้าของเพจได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “หากใครอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์แล้วมีรายได้แค่ 2,000 ฟรังก์สวิส อาจจะอยู่ลําบาก แต่ก็ได้ยินว่า ถ้าใครไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน รัฐบาลสวิสก็จะช่วยเหลือ เดือนละ 800 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 30,000 บาท ซึ่งถ้ามีเงินเพียงเท่านี้แล้วใช้ชีวิตอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ก็จะต้องประหยัดมาก เพราะต่อให้แก่ตัวไปแล้วแต่รายจ่ายก็ยังมีเหมือนเดิม ซึ่งคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีเงินก็จะเลือกย้ายไปอยู่ประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า อย่างที่ไทยของเรานั้นก็ถือเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่น่าอยู่หลังเกษียณ ซึ่งคนสวิสก็ย้ายมาอยู่ที่ไทยเยอะเช่นกัน บางคนก็หาแฟนเป็นคนไทยไปเลย เพราะจะได้มีคนคอยดูแล

ส่วนย่านที่คนสวิสชอบย้ายมาอยู่ก็จะมีแถวหัวหิน แถวทะเล เพราะคนสวิสชอบอยู่กับธรรมชาติ และเงินเกษียณ 75,00 บาทต่อเดือนนั้นก็อยู่ที่บ้านเราได้สบายมาก นี่จึงถือเป็นข้อดีของการไม่มีบ้าน ไม่มีภาระของที่สวิตเซอร์แลนด์ พอเกษียณปุ๊บก็มาใช้ชีวิตใช้เงินในประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า

แต่ต้องบอกว่าส่วนมากคนสวิสจะไม่ได้มีเงินกันเพียงแค่นี้ เพราะตอนที่ทํางาน เงินเกษียณของคนสวิสจะถูกหักไว้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกหักให้กับรัฐบาลเพื่อเป็นกองทุนยามเกษียณ รัฐบาลเป็นคนดูแลและเอาเงินไปลงทุน ไปบริหารในจุดที่ไม่เสี่ยงมาก และเงินส่วนที่ 2 คือ เงินที่นายจ้างจะจ่ายสมทบให้ ใครเงินเดือนเยอะก็ถูกหักเยอะ แก่ตัวมาก็ได้เงินคืนเยอะตามไปด้วย อารมณ์ก็คล้ายๆ กับ ‘กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ’ (Provident Fund) ของบ้านเรา แต่ได้เยอะกว่านั่นเอง”

ข้อดีของการอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ คือ เขาได้เงินเดือนเยอะ เขาก็เลยหักเงินเดือนได้เยอะ ทําให้มีเงินเก็บตอนเกษียณเยอะตามไปด้วย แต่บางคนก็อาจไม่ได้มองว่าเป็นข้อดี เพราะหักเยอะแต่กว่าจะได้ใช้ก็ตอนแก่

จริงๆ คนสวิสบางส่วนจะมีเก็บเงินยามเกษียณอีกกองนึง ซึ่งส่วนนี้ทางรัฐฯ ไม่ได้บังคับ ใครจะเก็บก็เก็บ ซึ่งถ้าใครเลือกเก็บเงินในส่วนนี้ ก็จะสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย คล้ายกับการทําประกัน Retirement Mutual Fund หรือ ‘RMF’ ที่เบิกได้ตอนเกษียณ

“ด้วยโครงสร้างรายได้และรายจ่ายต่างๆ จึงกลายเป็นสาเหตุที่คนสวิตเซอร์แลนด์ส่วนมากต้องรู้จักวางแผนทางการเงิน เพราะถ้าไม่ทํางานก็อยู่ไม่ได้ เพราะที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นไม่มีสวัสดิการฟรีเหมือนประเทศอื่นๆ ค่าประกันสุขภาพก็ต้องจ่ายตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิต เพราะฉะนั้น คนที่นี่ต้องทํางานจ่ายภาษี ไม่เช่นนั้นตอนแก่จะลําบากมาก ต้องย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอื่น แต่ส่วนมากคนสูงวัยที่สวิตเซอร์แลนด์มีเงินกัน ตามร้านอาหาร ตามสถานที่ท่องเที่ยวก็มีกลุ่มคนสูงวัยนี่แหละ ที่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการ เพราะเขามีทั้งเงินและเวลา แถมสุขภาพก็ยังแข็งแรงกันด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องคนสวิสไม่มีบ้านอยู่กัน เพราะเขามีทางเลือกชีวิตเยอะมาก

เรามาห่วงตัวเราเองดีกว่า ว่าจะอยู่อย่างไร ถ้าไม่วางแผนเกษียณแบบคนสวิส เพราะปัจจุบันเงินเฟ้อขนาดนี้ อีก 30 ปี ไม่อยากจะคิดว่าเราต้องใช้เงินเยอะแค่ไหนในตอนเกษียณ ดังนั้น แม้บ้านเราจะไม่มีโครงสร้างการเกษียณจากรัฐบาลแบบคนสวิส แต่เราสามารถเลือกเก็บเงินแบบที่คนสวิสทำได้ รัฐบาลไม่บังคับ แต่เราบังคับตัวเองได้”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top