Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

กรมการขนส่งทางบก ย้ำ !!! มาตรการสาธารณสุข ผู้โดยสารต้องล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ พร้อมสวมหน้ากากอนามัยตลอดทางเดินทาง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามข้อสั่งการ รมว.คมนาคม

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังไม่กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระบบขนส่งสาธารณะอย่างเคร่งครัด

กรมการขนส่งทางบก ได้ยกระดับความเข้มข้นมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย มาตรการคัดกรอง entry และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา 100% มาตรการเว้นระยะห่าง จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลสำหรับทำความสะอาดมือ เพิ่มความถี่ในการทำสะอาดพื้นที่สาธารณะตลอดทั้งวัน พร้อมจัดพิมพ์ QR Code ไทยชนะให้ผู้โดยสารเช็คอิน-เช็คเอาท์ทุกครั้งก่อนใช้บริการ โดยวันนี้ (4 พ.ค. พ.ศ.2564) สำนักงานขนส่งจังหวัด เช่น สกลนคร สระแก้ว สุโขทัย อุดรธานี แพร่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร พระนครศรีอยุธยา เชียงราย อุบลราชธานี นครพนม พิษณุโลก พังงา น่าน นครปฐม กำแพงเพชร ลำพูน กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา เลย อุทัยธานี ชัยภูมิ สตูล แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ราชบุรี กาญจนบุรี ศรีสะเกษ จันทบุรี นครสวรรค์ ได้ดำเนินการตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะทุกประเภททั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดตรวจคัดกรองในพื้นที่รับผิดชอบ และประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตามมาตรการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด 

ในส่วนของการให้บริการที่สำนักงานขนส่งทุกแห่ง มีการปรับรูปแบบดำเนินการแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบก แจ้งงดการอบรมและทดสอบ ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

โดยผู้ขอใบอนุญาตขับรถรายใหม่ให้รอจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ส่วนการต่ออายุใบอนุญาตขับรถสามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ โดยจองคิวดำเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น เพื่อบริหารจัดการจำนวนผู้ใช้บริการภายในสำนักงาน  ตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ก่อนเข้าอาคารสำนักงาน ที่นั่งพักคอยของประชาชนมีการเว้นระยะอย่างเหมาะสม ติดตั้ง Table Shield กั้นระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ พร้อมแนะนำการให้บริการชำระภาษีรถประจำผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการสัมผัสและไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง เช่น เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ หรือ แอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax  ดาวน์โหลดฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS: https://apple.co/3iAx6Dd และแอนดรอยด์: https://bit.ly/2XXQLVT

ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยตัวเลข ดัชนีเชื่อมั่นค้าปลีกลด 43% หลังแพร่ระบาดโควิด-19 ระบุ ผู้ประกอบการห่วงยอดขายหด40% หลังเห็นความไม่ชัดเจนฉีดวัคซีนของภาครัฐ

5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า การสำรวจความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกไทยเดือนเมษายนเป็นการสำรวจทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 16-24 เมษายน พ.ศ.2564 มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประกอบด้วยร้านค้าปลีกสินค้าทั่วประเทศซึ่งมีช่องทางจำหน่ายรวมกันกว่า 23,000 แห่งและร้านค้าปลีกบริการภัตตาคารร้านอาหารที่มีช่องทางบริการกว่า 6,000 แห่งนั้น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกปรับลดลงกว่า 43% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมโดยดัชนีปรับลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 อย่างชัดเจน ใกล้เคียงกับดัชนีความเชื่อมั่นเดือนเมษายน 2563 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสามในเดือนเมษายน กระจายเป็นวงกว้างกว่าที่ผ่านมา ประกอบกับกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้าเป็นปัจจัยที่เพิ่มความกังวลให้แก่ผู้ประกอบการ

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า เปรียบเทียบระหว่างดัชนีในเดือนมกราคม 2564 และดัชนีในเดือนเมษายน 2564 จะพบว่าเดือนเมษายนลดต่ำกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าในเดือนมกราคม 2564 สะท้อนถึงความไม่มั่นใจถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้วยข้อกังวลถึงความรุนแรงของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ค่อนข้างสูง และความวิตกกังวลถึงความไม่ชัดเจนของแนวทางการฉีดวัคซีนที่ภาครัฐนำเสนอ

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อการเติบโตยอดขายสาขาเดิมเดือนเมษายน  เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม มีทิศทางที่ลดลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม สะท้อนให้เห็นว่ายอดขายสาขาเดิมเดือนเมษายนลดลงจากเดือนมีนาคมเกือบครึ่ง ซึ่งเป็นการลดลงทั้งยอดซื้อต่อบิลและความถี่ในการจับจ่าย

ทั้งนี้ จากประเด็นคำถามพิเศษประจำเดือนให้ผู้ประกอบการประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและผลกระทบต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ผลการสำรวจผู้ประกอบการที่บริหารร้านค้าปลีกกว่า 29,000 แห่ง พบว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคมีสัญญาณปรับตัวแย่กว่าเดือนมีนาคมมากกว่า 25% ผลจากผลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เดือนเมษายน และประเมินว่ายอดขายจะได้ผลกระทบมากกว่า 15-40% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม

นายฉัตรชัย กล่าวว่า ผู้ประกอบการยังมีความกังวลถึงการจ้างงานที่จะลดลงจากยอดขายที่หดหายไป มีข้อเสนอให้ภาครัฐควรมีมาตรการเยียวยาช่วยจ่ายค่าแรงพนักงาน 50% รวมถึงควรหาแหล่ง Soft Loan ที่เข้าถึงง่ายให้กับผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ โดยโควิดระลอกใหม่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างหนัก โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคการค้าปลีก ค้าส่ง ศูนย์การค้า ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว โควิดระลอกใหม่ เพียงแค่เขตการควบคุมพิเศษและเข้มงวดสีแดงเข้ม 6 จังหวัดจะกระทบถึง 22% ต่อ GPP รวมของประเทศ ซึ่งมีการจ้างงานภาคการค้าปลีก ค้าส่ง ศูนย์การค้า ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว กว่า 3.12 ล้านคน 

อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ ใคร่ขอตอกย้ำและกระตุ้นภาครัฐ ให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกศูนย์การค้าและร้านอาหาร ดังนี้  

(1.) สนับสนุนค่าจ้างพนักงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยมาตรการภาษี เพื่อไม่ให้มีการลดพนักงานหรือเลิกจ้าง

(2.) สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) แก่ผู้ประกอบการอย่างจริงจังและรวดเร็ว เพราะด้วยสภาพคล่องที่เหลืออยู่ของผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถดำเนินธุรกิจได้เพียง 3-6 เดือน

(3.) ประกาศการจ้างงานแบบรายชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริการต่อผู้บริโภคที่มาเป็นช่วงเวลา โดยให้ใช้กับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน

(4.) เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว ครอบคลุมและทั่วถึง

เปิดประสบการณ์พยาบาลสาวไทย วิ่งหา Lab ตรวจโควิด ที่เมืองคุรุคาม ทางใต้เมืองหลวงนิวเดลี

วันนี้หาที่ตรวจโควิดซ้ำหายาก คนเยอะ ขับรถวนอยู่หลาย Lab คนยืนต่อคิวแน่นเหมือนจุดลงทะเบียนเราชนะ ถ้าใครไม่ติดก็ควรจะติด ณ จุด ๆ นี้ Lab นี้ เจ้าหน้าที่มีสามคน ใส่ชุดอวกาศ PPE นั่งอยู่ในห้องสามคน พัดลมหมุนวิ้ง ๆ บนเพดาน เอกสาร กล่องต่าง ๆ วางลวก ๆ พร้อมย้ายฐานเหมือนคลินิกทำแท้งเถื่อน แต่ก็ดูได้มาตรฐาน พอเข้ามานั่ง มนุษย์อวกาศท่านหนึ่ง เข้ามาพ่นสเปรย์ใส่ เรานึกว่ามือ เปล่า ใส่ทั้งตัวเหมือนเราเป็นสิ่งของ

ทางเข้าเงียบ แปะป้ายเหมือนออฟฟิศซอมบี้ร้างในหนัง

มาวันที่หนึ่งแห้ว วนหาแลบอื่นคนยั้วะเยี้ยไม่กล้าลงจากรถ ครั้งแรกที่ตรวจ ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจที่หน้าห้องนอน ตอนนี้บริการนี้หายไป ผู้คนใช้ล้นหลาม ต้องทำนัดมาวันที่สอง

โควิด PCR ค่าตรวจแลบนี้ 1250 รูปี หรือประมาณ 600 บาทไทย

นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เปรียบเทียบให้เห็นอัตราการติดเชื้อรายวัน และอัตราการเสียชีวิตประเทศไทยน้อยกว่าประเทศอังกฤษเยอะ แม้ว่าประเทศอังกฤษจะได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วในอัตราที่มากกว่า โดยระบุว่า...

นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ เปรียบเทียบให้เห็นอัตราการติดเชื้อรายวัน และอัตราการเสียชีวิตประเทศไทยน้อยกว่าประเทศอังกฤษเยอะ แม้ว่าประเทศอังกฤษจะได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วในอัตราที่มากกว่า โดยระบุว่า

เห็นคนด่ารัฐบาลมาก ๆ เรื่อง การดูแลบริหารจัดการวิกฤติโรคโควิด ก็เลยตื่นมานั่งค้นดูข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยเปรียบเทียบกับประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทย (67.61 ล้านคน และ 69.95 ล้านคน ตามลำดับ) และเป็นประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนมากเป็นอันดับที่สองของโลกคือ ได้วัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 50.22% (โดยเริ่มการฉีดวัคซีนเข็มแรกในวันที่ 20 ธันวาคมปีที่แล้ว)

จากกราฟรูปที่ 1 ซึ่งเป็นข้อมูลจำนวนผู้ป่วยใหม่ในประเทศสหราชอาณาจักรและกราฟรูปที่ 3 ซึ่งแสดงจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันนั้น แม้จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังมียอดผู้ป่วยและยอดผู้เสียชีวิตสูงกว่า ประเทศไทยหรือ กะลาแลนด์ในสายตาคนไทยบางคน อยู่ทุกวัน

แม้แต่วันที่เราระบาดสูงสุดคือมีจำนวนผู้ป่วยใหม่สองพันกว่าคนต่อวันนั้น ก็เท่า ๆ หรือน้อยกว่าวันที่เขาระบาดต่ำสุด ในช่วงเวลาเดียวกัน

และวันที่เราเสียชีวิตสูงสุดต่อวันคือวันละสิบยี่สิบกว่าคนนั้น ก็ยังมีจำนวนที่ต่ำกว่าหรือไล่เลี่ยกับ วันที่ประเทศของเขามียอดผู้เสียชีวิตต่ำสุดในรอบเดียวกัน

ส่วนช่วงที่เขาระบาดกันหนัก ๆ ในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะเป็นช่วงที่เริ่มให้วัคซีนกันแล้วนั้น เขาป่วยกันเพิ่มวันละ สี่หมื่นถึงหกหมื่นคน เสียชีวิตกันวันละ พันกว่าคนทุกวัน

ถามว่าได้รับวัคซีนแล้วช่วยได้จริงไหม ก็ต้องตอบว่าหลังจากฉีดวัคซีนกันเป็นจำนวนมากแล้ว ก็สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ระดับหนึ่งจริง

แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะรอดตายแน่นอน เพราะทุกวัน แม้แต่ประเทศที่มีศักยภาพในการรับวัคซีนสูงเป็นที่สองของโลกและมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับเรานั้น ก็ยังมีคนเสียชีวิตจากโควิด ในจำนวนที่มากกว่าหรือใกล้เคียงกับเราอยู่ทุก ๆ วัน

ประเทศของเรานั้น แม้จะมีการฉีดวัคซีนช้ากว่าเขาประมาณสองเดือน และการกระจายวัคซีนยังไม่สามารถทำได้ในวงกว้างเท่าเขา

แต่หากใครจะด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า เป็นชาติที่เฮงซวยห่วยแตก มีรัฐบาลเส็งเคร็ง บริหารงานอย่างไรให้มีคนตายมากมายนั้น

ก็อยากให้ลองเปรียบเทียบ ในทุก ๆ วันที่ประเทศอื่นเขาทุกข์ยากลำบากกับวิกฤติอย่างหนักมาตลอดทั้งปี พวกคุณคนเดียวกัน ยังสามารถออกไปประท้วง ออกไปสังสรรค์ ออกไปแหกปากร้องเพลงอวยพรงานแต่งงานกันได้ครื้นเครงนั้น

มันไม่ได้มาจากปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ หรือ เทพเทวาใด ๆ ที่ช่วยให้ประเทศไทยรอดปลอดภัย มียอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตต่ำเตี้ยกว่าหลาย ๆ ประเทศมาได้จนถึงวันนี้

แต่มาจาก ความร่วมมือกันของคนไทย ศักยภาพและความทุ่มเทของแพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทุก ๆ คน

และส่วนหนึ่งก็มาจากผลงานรัฐบาลไทย ที่คุณแหกปากด่าอยู่ได้ทุก ๆ วันนี่แหละครับ

ปล.ที่เลือกสหราชอาณาจักร เพราะเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนเป็นเปอร์เซนต์แล้ว ได้มากเป็นอันดับที่สองของโลก และมีการฟื้นตัวจากวิกฤติโรคระบาดได้ดีกว่าชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

ปล.2 หากเอาไทยไป เปรียบเทียบกับ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี หรือสเปนแล้ว ตัวเลขเขายิ่งหนักหนากว่าประเทศเราไปอีกมากมายครับ


เครดิตภาพ worldometer

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4196986613680120&id=100001064693827

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารของรัฐบาล โดยระบุว่า “สื่อกับชาวบ้านต้องอย่างนี้ มีเพื่อนส่งต่อกันในไลน์ ผมเห็นว่าสื่อได้ ‘โดน’ เข้าใจง่ายดีครับ”

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารของรัฐบาล โดยระบุว่า “สื่อกับชาวบ้านต้องอย่างนี้ มีเพื่อนส่งต่อกันในไลน์ ผมเห็นว่าสื่อได้ ‘โดน’ เข้าใจง่ายดีครับ”

กระทรวงแรงงาน เตือนภัย นายหน้าเถื่อนหลอกทำงานซาอุฯ 

สนร. ซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) พบพฤติการณ์สาย-นายหน้าเถื่อน ใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์รับสมัครงาน หรือเว็บไซต์รับฝาก Portfolio ติดต่อคนหางาน เพื่อหลอกให้สมัครงานและโอนค่าดำเนินการก่อนเชิดเงินหนี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานแรงงานในประเทศชาอุดีอาระเบียพบว่ามีมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งอาศัยข้อมูลจากเว็บไซต์รับสมัครงาน หรือเว็บไซต์รับฝากประวัติเพื่อสมัครงาน (Portfolio / Curriculum Vitae) ติดต่อไปยังคนหางาน โดยแอบอ้างเป็นตัวแทนบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ หรือบริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศซาอุฯ เพื่อให้โอนเงินซึ่งอ้างว่าเป็นค่าตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานประมาณ 8 หมื่นบาทไปยังบัญชีธนาคารที่มีชื่อบัญชีเป็นคนไทย เบื้องต้นคาดว่ามิจฉาชีพอาจมีผู้ร่วมขบวนการเป็นคนไทย หรือสามารถเข้าถึงบัญชีที่เปิดโดยไม่ถูกต้องของไทยได้ เป็นเหตุให้เน้นเป้าหมายมาที่กลุ่มคนหางานไทย 

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เพราะเป็นผู้ที่สร้างรายได้ให้ประเทศไทย และนำความรู้ ทักษะฝีมือตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานกลับมาต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ขณะเดียวกันแรงงานก็ได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก จนสามารถยกระดับความเป็นอยู่ในครอบครัวได้ทำให้คนหางานจำนวนมากหวังจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ตำแหน่งงานในต่างประเทศที่เปิดรับสมัครนั้นยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อคนที่ต้องการเดินทางไปทำงานทำให้กลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกลวงคนหางานว่าสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้ เช่นกรณีที่เกิดในประเทศซาอุฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจล่าสุดได้เร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการหลอกลวงดังกล่าวในทุกช่องทางของกระทรวงแรงงานพร้อมประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบข้อมูลบัญชีที่ใช้ในการรับโอนเงินและประสานสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยเพื่อทราบรายละเอียดเกี่ยวกับกรณีหลอกลวงข้างต้น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว 

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายและมีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติมจากการหลอกลวงไปทำงานประเทศซาอุฯ ขอให้คนหางานตรวจสอบข้อมูล และคำนึงถึงข้อสังเกตต่อไปนี้ ก่อนหลงเชื่อโอนเงินให้ผู้ใด

(1.) ปัจจุบันซาอุฯยังไม่มีการตรวจลงตราประเภททำงานอย่างเป็นทางการแก่ผู้ถือสัญชาติไทย โดยบริษัทที่จดทะเบียนในซาอุฯ ต่างทราบถึงข้อจำกัดนี้และมักจะไม่เสนอตำแหน่งงานแก่ผู้ที่มีสัญชาติไทย ดังนั้นการเสนอตำแหน่งงานในซาอุฯ แก่ผู้หางานสัญชาติไทยจึงเป็นเรื่องผิดสังเกต (ทั้งนี้ไม่รวมถึงการจ้างงานโดยหน่วยงานพิเศษ อาทิ พระราชวัง หรือหน่วยงานรัฐ) 

(2.) อีเมลของตัวแทนนายจ้างควรเป็นทางการใช้โดเมนที่จดทะเบียนในนามบริษัท หรือเอเจนซี่จัดหางาน ไม่ควรเป็นอีเมลฟรี อาทิ @gmail หรือ @yahoo 

(3.) ระมัดระวังอีเมลที่โดเมนจดทะเบียนคล้ายชื่อบริษัท ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือเพิ่มเติม เช่น หากท่านได้รับการติดต่อด้วยอีเมล [email protected] ท่านสามารถตรวจสอบหน้าโฮมเพจโดยพิมพ์ URL เช่น http://www.hyudaicons.com หรือ http:/hyundaicons.com ซึ่งโดยส่วนมากมิจฉาชีพมักจะไม่ได้จัดทำหน้าโฮมเพจไว้ทำให้ไม่สามารถเข้าหน้าเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ดีโปรดระวังการเคลื่อนย้าย (redirect) ไปยังโฮมเพจของบริษัทจริงซึ่งสามารถตรวจสอบจาก URL ที่เปลี่ยนไป 

(4.) ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับบริษัทนายจ้างต้องชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ทั่วไปจากการค้นหาทางอินเตอร์เน็ต หมายเลขโทรศัพท์มักเป็นโทรศัพท์สำนักงาน ไม่ใช่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (สามารถตรวจสอบได้จากรหัสนำหน้าหมายเลข กรณีซาอุดีฯ มีรหัสประเทศ +966 และหากตามด้วยเลข 5 จะเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น +966576302632 เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ของมิจฉาชีพ) 

(5.) รูปแบบเอกสาร หรือสัญญาควรมีลักษณะเป็นทางการ ไม่มีคำผิด หรือประโยคที่ผิดหลักไวยากรณ์ มีตราประทับบริษัท หรือลงนามจริง มีการจัดหน้า ตัดคำที่เหมาะสม ใบสมัครงานควรมีช่องให้กรอกข้อมูลพอสมควร มิใช่มีเพียงหน้าเดียว เป็นต้น 

(6.) การสมัครงานปกตินั้น กระบวนการตรวจสอบเอกสาร สัมภาษณ์ และการตอบรับมักจะใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครหากพบว่านายจ้างตอบรับการเข้าทำงานเพียงแค่ตรวจสอบเอกสาร Portfolio/CV ใช้เวลา 1-2 วัน โดยไม่มีการสัมภาษณ์ หรือเร่งรัดให้ลงนามในเอกสารต่างๆ ขอให้พึงระวังว่าเป็นการหลอกลวง 

(7.) การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการสมัครงานโดยที่ตัวแทนนายจ้างเป็นผู้ติดต่อคนหางานก่อน (Headhunting) ถือว่าเป็นเรื่องผิดสังเกต 
 
“ทั้งนี้ กรมการจัดหางาน มีการตรวจสอบสื่อโซเซียลมีเดียต่าง ๆ เมื่อมีการโพสต์ข้อความชักชวนคนหางาน ไปทำงานในต่างประเทศที่อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการหลอกลวงคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ และเฝ้าระวังพฤติการณ์ของขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเข้มงวด โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2563-3 พฤษภาคม พ.ศ.2564 มีการดำเนินคดีสาย นายหน้าเถื่อน 68 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวน 14,359,965 บาท ซึ่งประเทศที่พบคนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ แคนาดา ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ และสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 129 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงมหานคร 90 บริษัท และกระจายอยู่ในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ 39 บริษัท” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

"กรณิศ" สุดทน เผยชาวคลองเตยร้อง แจกบัตรคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 เล่นพรรคพวก วอน อย่านำชีวิตคนเป็นตัวประกันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม.เขตคลองเตย-วัฒนา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถามว่า ตรวจโควิด ต้องมีบัตรคิว แล้วบัตรคิวน่ะ อยู่ที่ใคร? 

โดยข้อความระบุว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนมาจากชาวบ้านและประธานชุมชนว่า เกิดความไม่ยุติธรรม เล่นพรรคเล่นพวกในการแจกบัตรคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 และสถานที่รถตรวจโควิดในชุมชนแออัดเขตคลองเตย 

“ในฐานะผู้แทนของพี่น้องชาวคลองเตยอยากจะเรียกร้อง ให้เกิดความยุติธรรมต่อชาวบ้านทุกชุมชน โปรดอย่านำชีวิตและความหวาดกลัวของคนมาเป็นเครื่องมือ มาเป็นตัวประกัน เพื่อประโยชน์ของพรรคพวกตัวเองกันเลยนะคะ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาชิงดีชิงเด่น แต่คือช่วงเวลาที่เราควรต้องร่วมมือกัน ฟันฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกัน คลัสเตอร์คลองเตย ไม่ใช่แค่วิกฤติในคลองเตย ถ้าผิดพลาดลุกลามไปมากกว่านี้ จะเป็นวิกฤติของคนทั้งชาติ”

พรรคกล้า เปิดคลับเฮาส์ “กรณ์-วรวุฒิ” ร่วมถกประชาชนกลุ่ม “ร้านอาหาร” พร้อมร่วมมือรัฐกันระบาด-ต้องเยียวยา-เสนอ 7 ข้อก่อนตายทั้งระบบ

พรรคกล้า เปิดคลับ Idea I do ในคลับเฮาส์ ระดมสมองหาทางออกช่วยเหลือร้านอาหาร ในหัวข้อ “ร้านอาหารกำลังจะตาย ควรช่วยยังไง” โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการห้ามนั่งทานในร้าน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ของรัฐบาล ตลอดจนเชฟร้านอาหารชื่อดัง เชฟต้น-Le Du เชฟตาม-บ้านเทพา เชฟหนุ่ม-ซาหมวย&ซันส์ เชฟนิค เต้-พันชนะ จากสมาคมตัวแทนร้านอาหารและโครงการ Food For Fighters ตัวแทนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ Robinhood และเจ้าของร้านอาหารดัง ร้านอาหารสตรีทฟู้ดเข้าร่วมรับฟังกว่า 1 พันคน 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทั้ง 3 ระลอก ก็ต้องขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน แต่เท่านั้นไม่พอ เราต้องมีข้อเสนอมาตรการเพื่อให้อยู่รอด แต่อย่างน้อยเที่ยวนี้เราพอที่จะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ที่จะสร้างความมั่นใจในระดับหนึ่งคือเดือนหน้า (มิถุนายน) เราจะมีวัคซีนตามที่รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะเริ่มฉีดให้กับประชาชนและจะฉีดครบภายในสิ้นปี ทั้งนี้จากที่ดูจากหลายประเทศเมื่อประชาชนเขาได้รับวัคซีนแล้ว ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการ และร้านการค้าปลีกต่าง ๆ มีตัวเลขชัดเจนว่าฟื้นตัว ซึ่งก็เชื่อว่าหลังจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป แต่อย่างไรก็ตามกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นก็คงจะต้องรอไตรมาส 4  ดังนั้นโจทย์สำคัญคือช่วงนี้เราทำอะไรได้บ้าง และรัฐบาลจะช่วยอะไรเราได้บ้าง เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่รอด เพราะอุตสาหกรรมร้านอาหาร ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก จากตัวเลขของ “วงใน” ระบุว่ามีถึง 230,000 ร้าน มีจำนวนชีวิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้นับล้านคน  

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่าจากมาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารในร้านของรัฐบาล ผู้ประกอบการทั้งหมดที่อยู่ในคำสั่ง คงต้องเดือดร้อนหนักแน่ เพราะผลกระทบอันเกิดจากวิกฤตโควิดมีมาปีกว่าแล้ว เพียงแต่ระลอกนี้มันหนักหนา รัฐบาลควรออกมาตรการมาช่วยแหลือ ผู้ประกอบการเหล่านั้นได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว 

โดยพรรคกล้าได้ออกแถลงการณ์ถึงรัฐบาล เสนอ 5 มาตรการเยียวยาคือ

(1.) ควรเร่งเจรจากับ Platform online ที่ร้านอาหารทั้งหลายใช้เป็นช่องทางขายและจัดส่งอาหารอยู่ในปัจจุบัน ไม่ให้คิดค่าธรรมเนียมการใช้บริการหรือ GP เกิน15% อย่างน้อยก็ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบการและประชาชน

(2.) ควรช่วยเหลือเยียวยาค่าจ้างเงินเดือนของพนักงานในร้านอาหารเหล่านี้สัก 50% ในช่วงที่รัฐบาลประกาศห้ามมีลูกค้านั่งในร้านอาหารเหล่านี้

(3.) งดการจัดเก็บภาษีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของรัฐบาลในการหยุดให้บริการ ในรอบระยะเวลาบัญชี 1 ปีที่ผ่านมา

(4.) ผ่อนผันในเรื่องการผ่อนชำระเงินกู้และดอกเบี้ยของ ผู้ประกอบการร้านอาหาร ด้วยมาตรการงดผ่อนต้นผ่อนดอก ไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน และ

(5.) ในกรณีที่ร้านอาหารมีค่าเช่าพื้นที่ เช่น ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า เจ้าของพื้นที่ควรลดค่าเช่าให้ด้วย อย่างน้อย 50% และเจ้าของพื้นที่สามารถนำส่วนลดที่ให้กับร้านอาหารเหล่านั้น ไปขอลดหย่อนภาษีจากทางรัฐบาลได้ ในรอบบัญชีถัดไป เพื่อเป็นการชดเชยและลดค่าใช้จ่ายให้ร้านอาหารที่ต้องเสียค่าเช่าทุกเดือน 

และในช่วงที่มีการแชร์ประสบการณ์ ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง อาทิ สีหนาท ล่ำซำ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มฟูดดิลิเวอรี่ “Robinhood” ซึ่งไม่มีการเรียกเก็บค่า GP ที่มองว่า ในช่วงสถานการณ์นี้ แพลตฟอร์มส่งอาหารไม่ควรเก็บ GP แต่ควรเอาส่วนนั้นเป็นส่วนลดให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์โดยตรง นอกจากนี้ ช่องทาง Social Media ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ทำให้ลูกค้าได้เห็นสินค้าและสามารถเลือกได้  
ขณะที่ ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ก่อตั้ง “เพนกวิ้นกินชาบู” กล่าวว่า จากที่ได้คุยกับผู้ประกอบการร้านอาหารหลาย ๆ ท่านพบปัญหาเดียวกันคือ ค่า GP ที่ตอนนี้เรียกเก็บอยู่ที่ 35% ของราคาสินค้าค่อนข้างสูงไป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ลดลงมาเหลือ 15-20% ก็ยังพออยู่ได้ ตอนนี้ผู้ประกอบการร้านอาหารบางรายแม้จะพอขายได้ แต่มันไม่มีกำไร การจัดการทางการตลาดก็ต้องมีต้นทุน ถ้าคนทำไม่เป็นก็จะหายไป 

เตเต้ พันชนะ วัฒนเสถียร  ผู้ก่อตั้งร้านอาหาร “เป็นลาว” บอกว่าเห็นด้วยกับมาตรการที่พรรคกล้า นำเสนอ นอกจากนี้ยังมองว่า รัฐควรสนับสนุนของใช้วัสดุป้องกันความปลอดภัย เช่น หมวก หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ฆ่าเชื้อต่าง ๆ เพราะตัวเลขเริ่มสูงขึ้น อยากให้ผู้ประกอบการทุกคนรวมตัวกันเพื่อเป็นพลังในการเรียกร้องให้ได้รับความช่วยเหลือ ในส่วนของ Food Delivery พื้นที่ เขาใหญ่ ปากช่อง ก็พยายามที่จะทำแต่บริบทเมืองไม่เอื้อ  สอดคล้องกับ เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เชฟชื่อดังแห่งร้าน le du (ฤดู) ที่บอกว่า ร้านอาหารอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหาประโยชน์จาก ฟู้ด ดิลิเวอรี่ได้ และมันก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งหมดของธุรกิจร้านอาหาร เวลานี้ มันคือโค้งสุดท้ายของโรคระบาด แต่โค้งนี้อันตรายที่สุด และเชื่อว่าคนบาดเจ็บล้มตายเยอะมาก จากตัวเลขธุรกิจร้านอาหาร ก่อนปี 2563 มีถึงกว่า 300,000 ร้าน ปัจจุบันเหลือเพียง 200,000 กว่าร้าน และสุดท้ายหากไม่มีการช่วยเหลือจากรัฐก็เชื่อว่าน้อยลงมาอีกมาก 

“ธุรกิจของเรามีมูลค่าต่อจีดีพีของประเทศค่อนข้างเยอะ เราจ้างงานคนเป็นล้านคน เราเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญ สิ่งที่รัฐจะช่วยให้เราพ้นโค้งสุดท้าย วิธีที่ง่ายสุด และทำได้เร็วที่สุดคือ แจกจ่ายเงินช่วยเหลือให้พวกเรา โดยไม่มีข้อแม้เหมือนโครงการอื่น ๆ ที่ออกมาช่วยเหลือก่อนหน้านี้ เพราะความเดือดร้อนครั้งนี้ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐต้องมองว่าฉุกเฉินมากเช่นเดียวกับที่ทั่วโลกเจอ ควรต้องช่วยแบบไม่แบ่งชนชั้นเริ่มต้นร้านละ 50,000 บาท ถ้าผู้ประกอบการร้านอาหารมี 300,000 ราย ก็ใช้เงินเพียง 15,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินที่กู้มาช่วยเหลือประชาชน 1 ล้านล้านบาท ที่ยังเหลืออีก 4 แสนล้านบาทถือว่าน้อยมาก เพราะเชื่อว่าหลุดจากมาตรการ 1 พฤษภาคม ไปอีก 14 วันก็จะต้องมีการห้ามต่อ เพราะสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเลวร้ายที่สุดอาจจะถึง 6 เดือนก็ได้ 

ในขณะที่เชฟตาม บ้านเทพา บอกว่า ตนได้ทำในทุกช่องทางที่จะผ่านวิกฤตไปแล้ว แต่รายได้ก็ยังหายไป 60-70% การทำดิลิเวอรี่ก็ไม่ถนัดเพราะร้านอาหารไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อดิลิเวอรี่ เพราะใช้วัตถุดิบจากชุมชน จะโยนภาระต้นทุนไปให้กับพวกเขาก็ทำไม่ลงและสู้ไม่ไหว 
นอกจากนี้ยังมีผู้แสดงความคิดเห็นอีกมากมายส่วนใหญ่มีปัญหาเรือง GP ของ ฟู้ดดิลิเวอรี่ และค่าจ้างของพนักงาน ขณะเดียวกันก็มีผู้นำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ประชาชนในยุควิกฤตโควิด คือ ป๊อกป๊อก ดิลิเวอร์รี่ ที่รวมอาหารชื่อดังให้บริการประชาชนทั่วกรุงเทพ รวมถึงมีการเสนอบริการ Truck food ที่มีทั้งห้องเย็นใส่อาหารและไมโครเวฟเพื่ออุ่นได้ทันทีด้วย 

นายกรณ์ กล่าวเสริมว่า เป็นข้อเรียกร้องที่น่าสนใจ ซี่งจะขอรวบรวมเป็นข้อเรียกร้องไปทางรัฐบาลว่า

(1.) รัฐบาลเยียวยาตรง 50,000 บาทให้ทุกร้านอาหาร (เป็นเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท)

(2.) รัฐบาลชดเชย 20% ของรายได้ ช่วงเดือน พฤษภาคมถึงสิ้นเดือนกันยายน โดยมีการกำหนดเพดานที่เหมาะสม  

(3.) รัฐบาลรับภาระการจ่ายเบี้ยประกันสังคมพนักงานทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง

(4.) รัฐบาลเจรจาปรับลดหรือชดเชยค่า GP delivery เพื่อให้ค่า GP ไม่สูงกว่า 15% (ปัจจุบัน 30-35%)

(5.) รัฐบาลลดค่านํ้าค่าไฟให้ผู้ประกอบการ 50%

(6.) รัฐบาลและท้องถิ่นงดเก็บภาษีป้าย/ภาษีที่ดินจากร้านอาหารจนถึงสิ้นปี และ

(7.) แบงค์ชาติจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีหลักประกัน ทั้งหมดนี้มีเงื่อนไขสำคัญข้อเดียว คือร้านอาหารต้องไม่ลดพนักงานและไม่ลดค่าจ้าง

นายวรวุฒิ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวเสริมว่า พรรคกล้าจะสรุปข้อเรียกร้องส่งรัฐบาลและเร่งติดตามเพื่อให้เกิดความช่วยเหลือ เพราะทราบดีว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าฟ้าหลังฝน งดงามเสมอ เดี๋ยวเหตุการณ์ร้าย ๆ จะผ่านไป ขอทุกท่านอย่าหมดใจ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน

ราเมศ ย้ำ ดีที่สุดคือเราเป็นคนไทย ติง กลุ่มชูประเด็นย้ายประเทศ มีนัยยะทางการเมือง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการพูดถึงการย้ายประเทศเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลว่า เชื่อว่าคงเป็นการจุดประเด็นนี้มาในประเทศเพื่อให้มีผลต่อรัฐบาล ทำลายความน่าเชื่อถือการปฏิบัติงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เป็นผลดี ไม่ต้องด้วยเหตุและผล หากมองกันตามความเป็นจริงจะเห็นว่ารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนและประเทศ แน่นอนว่าไม่ถูกใจใครไปทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนมั่นใจได้คือรัฐบาลไม่คิดร้ายต่อประชาชนและประเทศอย่างแน่นอน ทุกคนในประเทศมีส่วนร่วมในการทำงานได้เสมอ ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ความสามัคคีของคนในชาติคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าคิดว่าทุกเรื่องต้องเป็นเรื่องการเมืองทั้งหมด แบ่งฝ่ายกันเพื่อเอาชนะ สถานการณ์เช่นนี้เราทุกคนคือประเทศไทย จับมือกัน สามัคคีกัน ก้าวเดินไปข้างหน้า

เชื่อว่าคนไทยทุกคนมีหลักคิดที่ตรงกัน  คือความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทยอย่างที่สุด เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ที่คนไทยเคารพเทิดทูน สืบต่อ ๆ  กันมาจนถึงปัจจุบัน เรามีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ มีประเพณีวัฒนธรรม การยกมือไหว้เป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม และอีกมากมายที่บอกได้ถึงความดีงามของประเทศ ไม่อยากให้ชูประเด็นนี้เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ อาจจะสะใจในทางการเมืองว่าเป็นเพราะรัฐบาลคนถึงมีความคิดเช่นนี้ แต่จริงๆก็เชื่อว่าไม่มีใครคิดย้ายประเทศ ยกเว้นคนที่หนีคดีหากไม่อยากติดคุกก็ต้องหนีไปต่างประเทศก็มีให้เห็นมาก และชีวิตก็ลำบาก รัฐบาลบางรัฐบาลบริหารประเทศโดยไม่สนใจประชาชน ไม่สนใจเสียงข้างน้อย ออกกฎหมายตามอำเภอใจเสียงข้างมาก ทุจริตมหาศาล แต่ผมคนหนึ่งที่ไม่คิดย้ายประเทศแต่คิดว่าต้องสู้เพื่อเอาคนเหล่านี้ออกจากการเมือง จนหลายคนหนีไปต่างประเทศ 

สังคมต้องช่วยกันสื่อสารให้เห็นว่าสิ่งที่เขาพยายามชูประเด็นการย้ายประเทศเป็นหลักคิดที่ไม่ถูกต้อง อย่าไปไล่ให้เขาไปอยู่ประเทศอื่น ต้องอธิบาย ให้เข้าใจว่าเรามีสิ่งที่ดีมากมาย ดีที่สุดในชีวิตของทุกคนคือเราเกิดมาเป็นคนไทย

ศรีสุวรรณ ยื่น ผกก.สน.พหลฯ แจ้งจับกลุ่มราษฎร-REDEM ชุมนุมหน้าศาลหมิ่นตุลาการ

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564  นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีกลุ่มที่อ้างตัวเองว่าเป็นกลุ่มราษฎร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี กลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่ม REDEM นำมวลชนจำนวนมากเดินทางมาร่วมจัดกิจกรรม ณ บริเวณด้านนอกและด้านในศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ กล่าวโจมตีศาล ผู้พิพากษา และเรียกร้องให้ศาลพิจารณาให้ประกันตัวแกนนำของตนที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ ซึ่งการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 เม.ย. และวันที่ 2 พ.ค. 64 ที่ผ่านมานั้น

การจัดชุมนุมและการแสดงออกดังกล่าว มิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ม.34 และ ม.44 แต่อย่างใด หากแต่เป็นการละเมิดอำนาจศาล และฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายหลายประการ อาทิ ฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามการชุมนุม ตาม พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ฝ่าฝืน พรบ.โรคติดต่อ 2558 ฝ่าฝืน พรบ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 ฝ่าฝืน พรบ.การรักษาความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 ฝ่าฝืน พรบ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้ เครื่องขยายเสียง 2493 ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.215 และที่สำคัญ มีการกระทำในลักษณะฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.112 อีกด้วย 

การกระทำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคนที่พบเห็นการกระทำดังกล่าว สามารถนำความมาแจ้งความเอาผิดบุคคลที่ฝ่าฝืนกฎหมายข้างต้นต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน ทำสำนวน ออกหมายเรียกหรือออกหมายจับ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดส่งอัยการเพื่อฟ้องร้องต่อศาล พิจารณาลงโทษ ตามครรลองของกฎหมายขั้นสูงสุดต่อไปได้

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความ พร้อมพยานหลักฐานมาเพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนำกลุ่มต่าง ๆ ข้างต้น ต่อ ผกก.สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน เพื่อดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลผู้ถูกกล่าวหาและพวกทั้งหมด มาดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเอาผิดตามกฎหมายข้างต้นและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อปกป้องผู้พิพากษาและหรือศาล อันเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยไทยตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ มิให้ถูกกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ผิดๆต่อสังคมไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top