Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

รัฐบาลลดภาระหนี้ กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 64 เป็นต้นไป 

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยปัญหาหนี้ทั้ง กยศ. และปัญหาหนี้สินครู จึงมอบหมายให้หน่วยงานเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ดังนั้น รัฐบาลโดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จึงได้ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงินและทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป

รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี เป็นการเฉพาะกิจ สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564    พร้อมขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิดถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ จะชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ผิดนัดชำระหนี้ประจำปี 2563 และปี 2564 ยกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปี 2564  ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากที่มีการเปิดตัว “กยศ. Connect”  เพื่อเป็นช่องทางดิจิทัลสำหรับการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป มียอดดาวน์โหลด ถึงวันที่ 28 เม.ย. ตำนวน 2,580,553 ราย โดยเงื่อนไขการกู้ยืมยังเป็น 4 ลักษณะ คือ ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลักษณะที่ 2 นักเรียน/นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกําลังคนและมีความจําเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ลักษณะที่ 3 นักเรียนหรือนักศึกษา ที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และลักษณะที่ 4 นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดี เพื่อสร้างความเป็นเลิศ โดยเปิดให้กู้ในระดับปริญญาโทด้วยซึ่งเป็นตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องเห็นเด็กไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาทุกคน   

‘ทิพานัน’ ย้อนแสบ ประเทศนี้จะมี ‘ธนาธร’ ไว้ทำไม ดีแต่ตั้งคำถาม ทวงถามครบรอบ 1 ปี ตู้แรงดันลบถึงไหน ใช้งานจริงได้หรือไม่ ย้ำทุกฝ่ายกำลังแก้ไขให้ผ่านวิกฤต สังคมต้องการคนลงมือทำ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาตั้งคำถามจะมีผู้นำไปทำไม ถ้าไม่รู้จักจัดสรรทรัพยากร กรณีกองทัพจัดซื้ออาวุธว่า ที่ผ่านมานายธนาธรมักออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องการจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ ของรัฐบาล ด้วยอคติและไม่มีความรู้ตามพ.ร.บ.วิธีงบประมาณแล้วเอามาบิดเบือน พูดครึ่ง ๆ กลาง ๆ จนข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเบื่อหน่ายที่จะต้องมาตอบคำถามให้กับคนที่ตั้งแง่ที่จะไม่เข้าใจ และนำไปบิดเบือนชี้นำให้คล้อยตาม

นายธนาธรมักชอบตั้งคำถามกับทุกอย่างในจักรวาล แต่ไม่เคยตั้งคำถามกับตนเองหรือสำรวจตัวเองเลยว่า นายธนาธรเกิดมาทำไม ประเทศนี้มีนายธนาธรไว้ทำไม มีแต่ตั้งคำถามสรรหาวาทกรรมต่าง ๆ มาดิสเครดิตคนทำงาน เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนพูดจาสวยหรูเท่านั้น หลายครั้งคล้ายสร้างภาพว่าถูกกลั่นแกล้งรังแกต่าง ๆ เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากพี่น้องและหวังใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ เมื่อพี่น้องประชาชนเดือดร้อนขอให้ช่วยเหลือก็กลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไม่มีอำนาจ เท่ากับต่อรองกับพี่น้องประชาชนว่าหากอยากให้นายธนาธรช่วยเหลือก็ต้องทำให้เขาได้อำนาจ ซึ่งคงเป็นอุบายที่น่าละอายใจเพื่อเข้าสู่อำนาจใช่หรือไม่

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า หากจำกันได้ ในการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกแรก เมื่อเดือนเมษายน 2563 นายธนาธรออกข่าวใหญ่โตว่าเตรียมมอบเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบและห้องตรวจโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันให้กับโรงพยาบาล 12 แห่งทั่วประเทศ จึงอยากทราบว่าขณะนี้ครบรอบ 1 ปี ในเดือนเมษายน 2564 นายธนาธรได้นำไปมอบให้กับโรงพยาบาลที่ไหนบ้าง ใช้งานได้จริงกี่แห่ง เป็นภาระให้ผู้รับมอบต้องคอยซ่อมบำรุงหรือไม่ หากไม่อยากให้ประชาชนเรียกว่าห้องความดันทิพย์ ก็ขอให้นายธนาธรช่วยชี้แจงในเรื่องดังกล่าว ก่อนวิจารณ์คนที่กำลังทำงานจริง

“นายธนาธร ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์คนทำงาน หากนายธนาธรยังไม่เคยทำอะไรสำเร็จ สิ่งสำคัญตอนนี้คือชีวิตพี่น้องประชาชนที่ต้องร่วมมือกันช่วยเหลือเร่งด่วน สังคมต้องการคนลงมือทำมากกว่าพูด ขอยกตัวอย่างในหลายพื้นที่เคยเลือกนายธนาธรและหวังว่าจะพึ่งพาในยามยากนั้น ก็ไม่เคยเห็นหน้าออกมาช่วยในยามวิกฤต หากนายธนาธรถนัดพูดก็ควรไปเป็นอาสารับโทรศัพท์เคสผู้ป่วยโควิด-19 ตามองค์กรที่เขาเปิดรับ ย่อมจะเป็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่า” น.ส.ทิพานัน กล่าว

อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา สั่งเช็คกล้องวงจรปิด เตรียมดำเนินคดีม็อบเหิมเกริมข่มขู่ผู้พิพากษา ลั่น ไม่มีประเทศไหนในโลกที่บุกมาข่มขู่ถึงหน้าศาล

เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2564 นาย สิทธิโชติ อินทรวิเศษ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวถึงเหตุการณ์การชุมนุมบริเวณบันไดศาลอาญาเพื่อเรียกร้องกดดันให้ปล่อยเเกนนำคณะราษฎร เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ทางศาลอาญากำลังตรวจสอบข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและรายละเอียดทั้งหมดอยู่ ให้ละเอียดชัดเจน ถ้าหากมีการกระทำที่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ทางศาลอาญาก็จะดำเนินการเอง ในส่วนข้อหาอื่น ที่เป็นในภาพรวม เช่น ความผิดฐานดูหมิ่นศาล หรือความผิดลักษณะนี้ ก็จะขอให้สำนักงานศาลยุติธรรมดูข้อมูลจากคลิปเพื่อดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อไป

ส่วนความผิดพวก พรก.ฉุกเฉินฯ หรือ พรบ.ควบคุมโรคฯ เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การดำเนินการต้องเเยกกัน ส่วนเรื่องการตรวจสอบจะใช้ระยะเวลานานหรือไม่นั้น ขณะนี้ทางผู้อำนวยการศาลอาญากำลังตรวจสอบดูอยู่ คาดว่าเร็ว ๆ นี้จะมีการดำเนินการ เราอยากดำเนินการให้เร็ว เเต่ติดปัญหาเรื่องการพิจารณาคดีเพราะติดโควิด เเต่ถ้ามีจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดอำนาจศาลติดประกันอยู่ในคดีอื่นแล้วเราสามารถเรียกตัวมาได้ง่าย ก็จะดำเนินการเร็วขึ้น

“พฤติการณ์ที่มากันเป็นม็อบเเละมาตะโกนด่า เเละเเสดงออกตามที่เห็นในคลิป มันเป็นการข่มขู่ศาล ข่มขู่ผู้พิพากษาและไม่คำนึงถึง หลักกฎหมายที่ควรจะเป็น ไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีการเข้ามาขู่ศาลถึงหน้าศาลแบบศาลอาญาประเทศไทย ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาจับกันไปหมดแล้ว ขนาดเราปล่อยให้เขาใช้สิทธิเสรีภาพได้อย่างเต็มที่ในยุคนี้ก็ยังถูกกล่าวหาว่าทำศาลให้เป็นเรือนจำ ซึ่งเป็นคำพูดของกลุ่มทนายมาหลายครั้งหลายคลา ซึ่งมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง สังเกตุจากเมื่อวานเราก็ไม่ได้คัดกรองอะไรเข้มจนเกินปกติ เเต่กลุ่มนี้กลับมาใช้ปฏิกิริยากดดันศาลด่าทอหยาบคาย อันนี้ไม่ใช่การใช้สิทธิแต่เป็นการก้าวร้าว ไม่เคารพกฎหมายมากกว่า" นายสิทธิโชติระบุ

พท.อัด “บิ๊กตู่” ได้ยินเสียง รมต.นินทาแต่ไม่ได้ยินเสียงเดือดร้อนของคนจน บี้ยุบสภาลาออก เลิกอยู่เป็นภาระประเทศ

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นายวิสาร เตะชะธีราวัตน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รวบอำนาจในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยอ้างว่าเพื่อการบริหารจัดการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งๆที่ในความเป็นจริง พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเต็มมานานแล้ว ตั้งแต่การจัดการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.รวมทั้งมีการออกพ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ที่ผ่านมาล้มเหลวทั้งระบบ ไม่สามารถระงับยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะพล.อ.ประยุทธ์บริหารสถานการณ์ผิดพลาดมาโดยตลอด ไม่เคยรับฟังคำแนะนำจากทุกฝ่าย การระบาดของไวรัสที่ลุกลามไปทั่วประเทศ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไม่ล็อกดาวน์พื้นที่เพื่อควบคุมการระบาดขณะที่ยังคุมได้ กลับปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายของประชาชนจนยากเกินการควบคุม

ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาขู่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลว่าจะยึดโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะได้ยินมาว่ารัฐมนตรีนินทาตัวเอง การกระทำดังกล่าวเป็นการขู่เพื่อปกป้องตัวเอง น่าประหลาดใจที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ยินเสียงนินทา แต่ไม่ได้ยินเสียงประชาชนที่ส่งเสียงถึงรัฐบาลมานานแล้วว่าใช้ชีวิตลำบาก ไม่มีเงิน ไม่มีงาน เจ็บป่วยไม่มีเตียงรักษา หลายคนเสียชีวิตจากเข้าไม่ถึงการบริหารทางการแพทย์ ทั้งๆที่รัฐบาลที่ดีต้องพร้อมที่จะรับฟังเสียงประชาชน ต่างจากรัฐบาลนี้ที่ไม่เคยได้ยินเสียงความเดือดร้อนของประชาชน

“การออกมาขู่ของพล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนว่าตัวตนที่แท้จริงของพล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน เพราะที่มาของพล.อ.ประยุทธ์มาจากการรัฐประหารและยึดอำนาจคนอื่นมา รวมทั้งเสียงของส.ว.ที่เป็นเหมือนนั่งร้านค้ำยันอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่จำต้องสนใจเสียงของประชาชน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ผิดพลาดมาโดยตลอด จากความล้มเหลวการแก้ปัญหาโควิด-19 และแก้เศรษฐกิจแบบตาบอดคลำช้าง หากพล.อ.ประยุทธ์รักประเทศจริงตามที่พูด ก็ควรลาออกหรือยุบสภา ขืนอยู่ต่อก็จะสร้างปัญหาให้ประเทศเพิ่มมากขึ้น ควรออกไปได้แล้วเพื่อให้คนที่เก่งกว่ามาทำหน้าที่ อย่าอยู่สร้างภาระให้ประชาชนต่อไปเลย” นายวิสาร กล่าว

'ธปท.' จ่อหั่นจีดีพีปีนี้โตต่ำ 3% ชี้ โควิดระบาดรอบสามส่งผลกระทบเศรษฐกิจ

วันที่ 30 เมษายน 2564 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ 3% ยังไม่ได้รวมผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นยอมรับว่าการระบาดรอบนี้จะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจ และตัวเลขจีดีพีคาดการณ์ที่ 3% อย่างแน่นอน โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมในสัปดาห์หน้า ก็จะมีการประเมินภาพเศรษฐกิจทั้งหมด และจะมีการปรับประมาณการทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปทั้งนี้ ในแง่ของการระบาดและการแพร่เชื้อของโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ถือว่าค่อนข้างรุนแรงกว่าในระลอกแรกและระลอกที่ 2 โดยยังต้องติดตามผลกระทบที่ถูกถ่ายทอดสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปก่อน 

แต่จากการประเมินเบื้องต้น จากการสำรวจข้อมูลเร็ว จะเห็นได้ว่าช่วงนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจค่อย ๆ ลดลงมาใกล้ ๆ ระดับของการระบาดระลอกที่ 2 แต่ยังไม่ลงลึกเท่าระลอกแรก ดังนั้นอาจจะยังต้องติดตามดูสถานการณ์ต่อว่าการระบาดจะยังคงยืดเยื้อแค่ไหน และจะมีผลในแง่เศรษฐกิจระยะต่อไปอย่างไร

โดยจากการหารือกับผู้ประกอบการในหลายภาคอุตสาหกรรมเพื่อประเมินผลกระทบเบื้องต้น พบว่า ในภาคการผลิตยังไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากยังมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาต่อเนื่อง ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ผลกระทบเพิ่มเติมอาจจะยังไม่เยอะ แต่ยังมีความกังวลเรื่องอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัวช้า ขณะที่ภาคการค้ามีผลกระทบต่อยอดขายค่อนข้างเยอะ ด้านภาคบริการต้องยอมรับว่าได้ผลกระทบเยอะมาก โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของรัฐบาลที่กระชับและเข้มข้นมากขึ้น ส่วนภาคการขนส่งผู้โดยสารจะได้รับผลกระทบจากการที่คนออกจากบ้านน้อยลง

“ขณะนี้ยังไม่เห็นผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ชัดเจน เพราะรอบนี้เพิ่งเริ่มระบาดเมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาแต่ในระยะต่อไปจะต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 2/2564 ยังต้องรอดูภาพรวมจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติมที่รัฐบาลเตรียมออกมา เช่น โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 แน่นอนว่ามาตรการรองรับมีเพียงพอ แต่ต้องดูก่อนว่าจะออกมาในรูปแบบไหนและมากน้อยแค่ไหน” นางสาวชญาวดี กล่าว

นางสาวชญาวดี กล่าวอีกว่า ปีนี้พระเอกของเศรษฐกิจไทย คือ ภาคการส่งออก ซึ่งเริ่มมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 4/2563 ตามทิศทางของเศรษฐกิจต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ก็มีผลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวดี และได้ส่งผ่านผลดีมายังภาคส่งออกของทั้งโลกให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อว่าภาคการส่งออกจะเป็นแรงส่งที่ดีให้กับเศรษฐกิจไทยในปีนี้

ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อเดือน มี.ค. 2564 จะพบว่าภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้นหลังจากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 1 และ 2 การลงทุนต่าง ๆ การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มดีขึ้น แต่ผลกระทบจากการระบาดระลอกล่าสุดนี้อาจทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 1-2/2564 สะดุดได้ ตัวที่ถูกกระทบคือการบริโภคจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หายไป นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดิมคาดว่าจะเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่การส่งออกยังเคลื่อนได้ การใช้จ่ายภาครัฐหากกระตุ้นเพิ่มก็มีส่วนในการช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ

“การบริโภคที่หายไป คาดว่าคงจะไม่ทั้งหมด แต่จะฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปี ก็จะช่วยซับพอร์ตให้เศรษฐกิจปลายปียังไปได้ แต่ยังมีบางตัวที่สะดุดบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าต่อไปนี้จะมีการระบาดรุนแรงแบบนี้อีกหรือไม่ ถ้าไม่มีการระบาดรุนแรงอีกการเติบโตของเศรษฐกิจก็พอจะกลับมาได้ แต่ที่เห็นแน่ ๆ ว่าเป็นแรงส่งที่ดีของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คงเป็นการส่งออก” นางสาวชญาวดี กล่าว

สำหรับมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ของ ธปท. ที่เพิ่งเริ่มดำเนินการนั้น ถือว่ามาทันการณ์ และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ ส่วนมาตรการเพื่อช่วยเหลือรายย่อยจะมีการพิจารณาและทบทวน โดยต้องประเมินภาพเศรษฐกิจและผลกระที่เกิดขึ้น รวมถึงต้องดูถึงความพอเพียง และต้องหารือกับภาครัฐเพื่อประสานนโยบายให้ออกมาครอบคลุม ดังนั้นอาจต้องรออีกระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ในส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือน มี.ค. 2564 ทยอยปรับดีขึ้น หลังการแพร่ระบาดรอบสองของโควิด-19 คลี่คลายลง โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้นและแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ และผลของฐานต่ำในระยะเดียวกันปีก่อนจากการแพร่ระบาดรอบแรก โดยการส่งออกยายตัวสูงที่ 15.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวทำให้การส่งออกปรับดีขึ้นในหลายหมวด ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นทำให้การส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น และฐานที่ต่ำในระยะเดียวกันปีก่อนจากการแพร่ระบาดรอบแรก

"ณัฐชา" เตรียมร้อง "ศธ.-ปปช." สอบทุจริต "สื่อการสอน" สพฐ. คาด อดีตที่ปรึกษา "ณัฏฐพล" มีเอี่ยว

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชน เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างการจัดทำสื่อวิดิทัศน์การสอนของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจากหลักฐานตั้งที่ได้รับทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่าอาจมีการทุจริต โดยในรายละเอียดระบุว่า มีการว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ให้ดำเนินการจัดทำสื่อการเรียนการสอนเป็นจำนวนเงินกว่า 500 ล้านบาท โดยใช้วิธี G TO G ( Goverment to Goverment ) แต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง โดยมีข้อมูลว่าบริษัทที่รับช่วงการว่าจ้างต่อจากสถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  คือ บริษัทที่มีภรรยาของอดีตที่ปรึกษารมว.ศึกษาธิการ เมื่อครั้งนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ คือ นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา เป็นเจ้าของเดิม 

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า ตนจะนำข้อร้องเรียนเรียกร้องต่อไปยัง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ คนปัจจุบัน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ สำหรับรายชื่อบริษัทและเอกสารหลักฐานต่างๆ หากน.ส.ตรีนุชต้องการ ตนยินดีจะนำไปมอบให้ และตนยังได้เตรียมนำเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เพื่อให้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในอีกทางหนึ่งด้วย

ปลดประจำการแบบปลอดเชื้อ ทบ.ปลดประจำการทหาร ผลัดที่ 1/2562 ทุกคนปลอดเชื้อ หลังผ่านการกักตัว 14 วัน

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 กองทัพบก เปิดเผยว่า ในวันนี้ 30 เม.ย. 64 กองทัพบกได้ทำการปลดประจำการทหารกองประจำการผลัดที่ 1/2562 ซึ่งได้เข้ารับราชการในหน่วยทหารของกองทัพบกทั่วประเทศจนครบกำหนด โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมา กองทัพบกได้ดำเนินกรรมวิธีตามระเบียบของทางราชการเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านเอกสาร ธุรกรรมทางการเงิน การฝึกทักษะวิชาชีพก่อนปลด ด้านสุขภาพร่างกาย รวมทั้งหน่วยทหารช่วยอำนวยความสะดวกจัดรถไปส่งทหารปลดประจำการที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา นอกจากนี้ยังให้การดูแลทหารบางส่วนที่จะเข้ารับการศึกษาต่อเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก หรือเข้ารับราชการในหน่วยงานของกองทัพบกตามที่ได้รับการคัดเลือก 

ทั้งนี้จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการให้หน่วยทหารดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อให้กับทหารที่จะปลดประจำการทุกนาย โดยทหารที่จะปลดประจำการทุกคนได้ผ่านกระบวนการกักตัวเพื่อสังเกตอาการ 14 วัน และผ่านการคัดกรองว่าอยู่ในสถานะปลอดเชื้อ COVID-19 รวมทั้งได้มีการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโรค และการปฏิบัติตนตามที่ ศบค. กำหนด พร้อมที่จะกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามที่แต่ละบุคคลตั้งใจไว้ 

อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนปลด เนื่องจากเกิดการขาดแคลนโลหิตที่ใช้ในการรักษาพยาบาล จากสถานการณ์โควิด ซึ่งกองทัพบกได้เชิญชวนให้ทหารที่กำลังจะปลดประจำการ ได้เข้าร่วมบริจาคโลหิตกับสภากาชาดไทย และโรงพยาบาลในหลายพื้นที่ กองทัพบกขอชื่นชมในจิตใจแห่งการเป็นผู้ให้และการมีจิตอาสาของทหารกองประจำการ ที่ได้ทำประโยชน์ต่อผู้อื่นสมกับการเป็นทหารอย่างแท้จริง

สำหรับทหารที่ปลดประจำการทุกนาย จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณในการปฏิบัติหน้าที่ราชการทหาร เอกสารปลดและสมุดประจำตัวทหารกองหนุน, ส่วนผู้ที่สมัครเรียน และผ่านเกณฑ์ในระบบการศึกษานอกโรงเรียนจะได้รับวุฒิทางการศึกษาที่สูงขึ้นอีกหนึ่งระดับ รวมทั้งได้รับเงินออมส่วนบุคคลที่ฝากไว้ระหว่างประจำการตามระเบียบกองทัพบก พร้อมกันนี้หน่วยทหารทั่วประเทศได้มีการสร้างเครือข่ายทหารกองหนุน เพื่อดำรงการช่วยเหลือและส่งผ่านข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม กองทัพบกมีความภาคภูมิใจและขอบคุณทหารกองประจำการ ผลัด 1/2563 ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานด้านความมั่นคง ทั้งนี้ ในระหว่างประจำการ ทหารทุกนายได้ทุ่มเทรับใช้ชาติในภารกิจต่าง ๆ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด ในขณะเดียวกันได้ปฏิบัติตนในฐานะทหารที่ดี รักษาระเบียบวินัย เป็นกำลังพลที่มีคุณภาพ เชื่อมั่นว่าเมื่อไปดำรงตนในฐานะพลเรือนจะเป็นตัวอย่างที่ดี และสร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป

เพจ FengshuiBizDesigner ได้ตรวจดวงชะตาของน้าค่อม ด้วยโหราศาสตร์จีนโบราณ โดยระบุว่า...

ในที่สุดปาฏิหาริย์ก็ไม่บังเกิด เมื่อน้าค่อม ชวนชื่น หรือ อาคม ปรีดากุล ดาราตลกชื่อดัง ได้เสียชีวิต จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 เม.ย. 64 ในวัย 63 ปี ซึ่งทาง เพจ FengshuiBizDesigner โดย พี่อ๋า - สมศักดิ์ ชาคริตฐากูร ได้ตรวจดวงชะตาของน้าค่อม ด้วยโหราศาสตร์จีนโบราณ โดยระบุว่า

เป็นที่เศร้าสลดและน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการจากไปของดาราสายฮาที่มีแฟนคลับ และเป็นที่รู้จักกันถ้วนหน้าทั่วฟ้าเมืองไทยในผลงานหลากหลายที่ได้ฝากไว้ในวงการบันเทิงมาโดยตลอด กว่า 20 ปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ Fengshui Biz Designer จึงขออนุญาตร่วมไว้อาลัยด้วยการวิเคราะห์รูปดวงเชิงวิชาการ ยกไว้เป็นดวงครู เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจในโหราศาสตร์จีนโบราณ ด้วยหลักวิชา “สี่เสาแห่งโชคชะตา” หรือ 八字四柱 (โป๊ยหยี่ซี๊เถียว)

ลักษณะโครงสร้าง “สี่เสาแห่งโชคชะตา” หรือ 八字四柱 (โป๊ยหยี่ซี๊เถียว) เป็นคนธาตุน้ำ เพศหยาง จึงใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว ไม่ยอมหยุดนิ่ง แต่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบออกสังคม ติดต่อ เดินทาง ฉลาด สติปัญญาดี การรับรู้เร็ว ความรู้สึกไว ไหวพริบดี ชอบใช้ความคิด รู้จักการฉกฉวยโอกาส ทั้งยังเป็นคนดื้อ เอาตัวเองเป็นใหญ่ รักอิสระ เพื่อนฝูงมาก ไม่ชอบพึ่งพาคนอื่น แต่มักมีคนสนับสนุนช่วยเหลือ

ธาตุน้ำเพศหยางที่เกิดในปีระกา เดือนชวด วันมะเมีย ซึ่งฐานปีเกิดแตกหักกับฐานเดือนเกิด ส่วนฐานเดือนเกิดปะทะกับฐานวันเกิด จึงมีโรคประจำตัวที่พัวพันกับระบบสมอง เส้นเลือดในสมอง ปอด ระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินปัสสาวะ อย่างเช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น

เสาวัยจรเสวยอายุตั้งแต่ 60 ถึง 69 ปี ถนนชีวิตเดินในตำแหน่งมะเมียไฟ ธาตุน้ำ พิฆาตราศีบน และปะทะราศีล่างที่เสาเดือนชวดน้ำ ธาตุไม้ 

จึงเปรียบเสมือนเป็นคราวเคราะห์ที่กระทบต่ออวัยวะทรวงอกโดยตรง 

ส่วนในปี 2564 นี้ เสวยอายุ 64 ปี (นับจีน) เป็นปีจรฉลูทอง ธาตุดิน มีดาวร้าย 五鬼 (โหงวกุ้ย) 官符 (กัวฮู้) 血刃 (ฮ๊วยยิ่ง) และ 浮沉 (ผู่ติ๊ม) ร่วมสำทับบาปเคราะห์ อีกทั้งยังให้ร้ายกับ ฐานวันเกิดมะเมียซึ่งเป็นฐานสุขภาพโดยตรงอีก จึงส่งผลร้ายบังเกิดเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด วิบัติดลดังกล่าว


ที่มา : เพจ FengshuiBizDesigner
https://www.facebook.com/501247403299025/posts/3932599933497071/?d=n
 

ผลงานชิ้นโบว์แดงกระทรวงเกษตรฯ ‘เฉลิมชัย’ ทำไวทำจริง เร่งรัดเจรจาสำเร็จ จีนไฟเขียวด่านตงชิงนำเข้าผลไม้ไทย ดีเดย์ 29 เมษายน 2564 ด้าน ‘อลงกรณ์’ ขอบคุณจีนเปิดด่านตงชิงทันฤดูผลไม้ มั่นใจยอดส่งออกปีนี้ทะลุแสนล้าน หลังด่านใหม่ควบโมฮ่าน-โหยวอี้กวน-ผิงเสียง”

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (30 เม.ย.) ว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ ตลาดจีนถือเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลไม้ของไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นช่วงที่ผลไม้ของไทยมีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก พร้อม ๆ กับผลไม้เวียดนาม และมักจะพบกับปัญหาการจราจรบริเวณด่านโหย่วอี้กวน ซึ่งอยู่พรมแดนจีน-เวียดนามแออัดถึงขั้นวิกฤต มีรถติดสะสมยาวหลายกิโลเมตร ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนที่สุกก่อนถึงมือผู้บริโภค 

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้นิ่งนอนใจสำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรโดยกรมวิชาการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เร่งติดตามงานเจรจากับกระทรวงศุลกากรแห่งชาติของจีน (GACC) ซึ่งในช่วงที่ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้เดินทางไปเยือนประเทศจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ได้มีการเจรจาและทำความตกลงกับกระทรวงศุลกากรจีน (GACC) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้บรรจุด่านตงซิงเข้าไปในร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนด ในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการขนส่งผลไม้ไทยที่ส่งออกผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา 

หลังจากนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดและผลักดันให้ด่านตงซิงสามารถนำเข้าผลไม้จากไทยได้โดยเร็วอย่างต่อเนื่อง และมอบหมายให้ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดกระทรวงศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ประกาศให้ด่านตงซิง เป็นด่านนำเข้าผลไม้ และฝ่ายเกษตรฯ ได้รับแจ้งจากศุลกากรหนานหนิง ซึ่งดูแลด่านตงซิง ว่า ผลไม้ของไทยจะนำเข้ามาทางด่านตงซิง (สะพานข้ามแม่น้ำเป่ยหลุนแห่งที่ 2) ได้ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ด่านตงซิงตั้งอยู่ที่อำเภอตงซิง เมืองฝางเฉิงก่าง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง อยู่ห่างจากด่านหมงก๋าย จังหวัดกว่างนินห์ ของเวียดนาม เพียง 100 เมตร และได้รับอนุญาตให้เป็นด่านนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศทางบกเป็นแห่งที่ 3 ของเขตฯ กว่างซีจ้วง ต่อจากด่านโหย่วอี้กวน และด่านรถไฟผิงเสียง ซึ่งด่านตงซิงสามารถรองรับรถบรรทุกสินค้าเข้าออกได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 คันต่อวัน จึงเป็นด่านทางบกที่มีศักยภาพในการนำเข้าผลไม้จากไทย นอกเหนือจากด่านโมฮ่าน มณฑลยูนนาน และด่านโหย่วอี้กวน กับด่านรถไฟผิงเสียง เขตฯ กว่างซีจ้วง จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการส่งออกผลไม้ของไทยไปยังจีน ช่วยแก้ปัญหารถติดสะสมบริเวณหน้าด่านโหย่วอี้กวน โดยเฉพาะในฤดูกาลส่งออกทุเรียน

ในขณะนี้ มั่นใจว่าการส่งออกผ่านช่องทางด่านใหม่ จะเพิ่มการส่งออกผลไม้ไทยได้มากกว่าปี 2563 ผสานกับกลยุทธ์การขายบนแพลตฟอร์มใหม่ระบบสั่งซื้อล่วงหน้าออนไลน์ (pre-order) ที่เปิดตัวสำเร็จอย่างดียิ่งเมื่อ 27 เมษายนที่ผ่านมา ต้องขอบคุณรัฐบาลจีนโดยกระทรวง GACC ที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรอย่างดียิ่ง

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร พบว่า การส่งออกผลไม้ไทยไปจีน เมื่อปี 2563 มีปริมาณ 1,623,523 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 102,716.72 ล้านบาท โดยผลไม้ไทยที่มีปริมาณส่งออกไปจีนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าวอ่อน และขนุน


แหล่งข้อมูล: เว็บไซต์ศุลกากรแห่งชาติจีน วันที่ 29 เมษายน 2564
http://www.customs.gov.cn/customs/ztzl86/302310/2394720/3647586/index.html

“แรมโบ้” โว ปชช.ไว้ใจ ”บิ๊กตู่” บริหารประเทศ วอน ฝ่ายค้าน เอาใช้ความรู้สึกตัดสินฝ่ายเดียว

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลสำรวจสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เรื่อง "ผู้นำฝ่าโควิดของไทย" วันนี้ โดยเฉพาะประเด็นหากวันนี้เลือกได้ จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า ร้อยละ 42.6 บอกว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า เห็นด้วย และแสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไว้ใจ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารบ้านเมือง แก้ไขปัญหาโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ที่นายกฯ ไม่เคยย่อท้อ สามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ และในครั้งนี้ประชาชนยังมั่นใจว่านายกฯและรัฐบาลจะสามารถทำให้คลี่คลายลงได้เช่นกัน

นายเสกสกล กล่าวว่า มีแต่พรรคฝ่ายค้าน ที่มองไม่เห็นการทำงานของนายกฯและรัฐบาล ไม่รู้ว่าหูหนวก ตาบอดหรือไม่ ที่พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องซ้ำๆให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่งในขณะที่บ้านเมืองเกิดปัญหาวิกฤตโควิด กล้าตบตาประชาชนเพื่อหวังผลทางการเมือง จ้องล้มรัฐบาลอยากกลับมามีอำนาจ แต่ขอให้รับฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ด้วยว่าต้องการเช่นเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ อย่าเอาเพียงความรู้สึกของพรรคฝ่ายค้านที่อยากให้นายกฯลาออกเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่ขณะนี้ต้องการความช่วยเหลืออยู่ และควรมีจิตสำนึกฟังประชาชนว่าต้องการผู้นำคนไหน ดังนั้นอย่ามาเที่ยวไล่นายกฯให้ลาออก เมื่อผลสำรวจโพลออกมาเช่นนี้จึงเป็นสิ่งยืนยันชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top