Thursday, 26 June 2025
NewsFeed

‘อินเดีย’ อ่วม!! เกิดเหตุฝนฟ้าคะนองรุนแรงผิดปกติ ทำให้ฟ้าผ่าชาวบ้านดับ 24 ศพ บาดเจ็บอีก 27 ราย

(28 พ.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงแบบผิดปกติ ทั่วรัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย โดยมีรายงานว่าเกิดน้ำท่วม ลูกเห็บตกหนัก และมีฟ้าผ่าประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 24 ศพ นอกจากนี้ บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหาย และยังมีผู้บาดเจ็บจากฝนตกหนักแล้วอย่างน้อย 27 ราย

ทางด้านนักอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า อุณหภูมิพื้นดินและพื้นผิวทะเลที่สูงขึ้นทำให้เกิดพายุรุนแรงผิดปกติในรัฐคุชราต คาดว่าจะยังมีฝนตกหนักและพายุลูกเห็บอย่างต่อเนื่องอีกหลายวัน ในภาคตะวันตกของอินเดียในสัปดาห์นี้

‘ศุภชัย’ บิ๊กใหญ่ ‘ซีพี’ ชงพลิกโฉมการศึกษาไทย รับมือโลกยุค 5.0 หนุนเด็กทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์ เสริมทักษะดิจิทัล-ภาษาอังกฤษ

เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 66 รายงานข่าวเผยว่า นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้แสดงวิสัยทัศน์เรื่อง ‘The Future of Education พลิกโฉมการศึกษาไทยเท่าทันอนาคต’ ภายในงาน ‘THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2023 FUTURE READY THAILAND’ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ นายศุภชัย ได้ฉายภาพรวมความท้าทายของโลกและเมกะเทรนด์ปี 2023 - 2030 โดยระบุว่า เด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายของโลกในหลายด้าน ดังนั้น เราต้องปรับตัวให้ทัน และต้องให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลมากขึ้น เพราะเราหยุดความก้าวหน้าของโลกไม่ได้ แม้ว่าในตอนนี้โลกอยู่ในยุค 4.0 ซึ่งเป็นยุคของการเข้าถึงข้อมูลเป็นดั่งน้ำมันในอากาศ

เวลานี้กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งเป็นยุคของการผสมผสานเทคโนโลยี AI และกรอบความคิดของคน รวมถึงหลักความยั่งยืนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นยุคที่ให้ความสำคัญในการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงให้กับคนในประเทศ

แต่ทั้งนี้ เมื่อมาดูผลสำรวจความสามารถทางทักษะดิจิทัล พบว่า เด็กไทยยังขาดทักษะดิจิทัลและภาษาอังกฤษที่ยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน และหากดูการจัดอันดับการแข่งขันในเวทีโลก GDP ไทยอยู่อันดับที่ 26 แต่ GDP/CAPITA อยู่อันดับที่ 84  ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของไทยในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ รวมไปถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการศึกษาทำให้เด็กเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ เพราะประสิทธิภาพของทรัพยากรมนุษย์ คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

นายศุภชัย ได้เสนอแนะสิ่งที่จะพลิกโฉมการศึกษาไทยให้เท่าทันความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตว่า ระบบการศึกษาไทยควรต้องปรับการเรียนรู้จาก 2.0 เป็น 5.0 เข็มทิศสำคัญคือการให้ความรัก ให้ความมั่นใจกับเด็ก เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง โดยบทบาทของครูจะต้องปรับเปลี่ยนจากผู้สอนไปเป็น ‘โค้ช’ หรือผู้นำกระบวนการเรียนรู้ (Facilitator) ต้องสอนให้เด็กเป็น ‘นักค้นคว้า’ มีกรอบความคิดใหม่ และเกิดการปรับตัวให้อยู่รอดในโลกที่ท้าทายตอนนี้ เพราะฉะนั้น การเรียนรู้จึงต้องปรับให้เด็กเกิดการตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ลงมือทำร่วมกัน อภิปรายด้วยเหตุผล เพื่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนา โดยทุกโรงเรียนต้องปรับเป็น ‘Learning Center’

พร้อมกันนี้ได้เสนอโมเดล ‘Sustainable Intelligence Transformation’ (SI Transformation Model) ผ่าน 5 ฐานสำคัญในการเปลี่ยนระบบการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ประกอบด้วย

1.) Transparency โรงเรียนต้องมีตัวชี้วัด School Grading พร้อมตัวชี้วัดใหม่ที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และต้องมีสมุดพกดิจิทัล วิเคราะห์และพัฒนาศักยภาพรายบุคคล

2.) Market Mechanism สร้างกลไกตลาดและวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน รวมไปถึงการส่งเสริมสื่อคุณธรรม

3.) Leadership &Talents ไม่จำกัดวิทยฐานะผู้อำนวยการ สร้างผู้นำและบุคลากรที่มีทักษะ 5.0

4. Empowerment เน้นการเรียนผ่านการลงมือทำในแบบ Action Based Learning บนสามขาความยั่งยืนคือเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และควรต้องมี Computer Science เป็นวิชาหลักครอบคลุมดิจิทัลเทคกับเอไอ

5.) Technology เสนอให้นักเรียนทุกคนมีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต พร้อมส่งเสริมการสร้างสตาร์ทอัพ และดันให้ประเทศไทยเป็นฮับด้านนวัตกรรม

“เด็กทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เพราะนั่นคือห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุด และต้องมีการส่งเสริมศักยภาพของคนรุ่นใหม่ เพื่อการพัฒนาประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งนี้ การศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องใหญ่ หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงอนาคต เราต้องเปลี่ยนเจเนอเรชั่นถัดไป เพราะพวกเขาคือผู้ที่จะรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ และต้องสร้างทักษะดิจิทัลให้พวกเขามีศักยภาพในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างเท่าทัน” ซีอีโอเครือซีพี กล่าว

'หมอป่วยมะเร็งหนัก' ขอตั้งมั่นใช้เวลาที่เหลือถ่ายทอดความรู้แพทย์ เตือนผู้คน!! อย่าเครียด โหมงานบ้างาน เลือกอาหารการกินให้ดีๆ

(28 พ.ย. 66) นพ.สมรส พงศ์ละไม แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู โดยหลังจากที่คุณหมอสมรส เคยออกมาเปิดเผยถึงการป่วยเป็นมะเร็งไทรอยด์ไปแล้วนั้น 

ล่าสุดคุณหมอได้โพสต์อัปเดต ระบุว่า รักษามะเร็งรอบนี้ หนักหนาสาหัสมาก จนผมร้องไห้

1.หลังผ่าตัดมะเร็งที่แพร่ไปต่อมน้ำเหลืองที่คอไม่ถึงสองสัปดาห์ ผมยังไปบรรยาย TMS ไปเข้าร่วมได้สามงาน ก็เข้าใจว่าตัวเองแข็งแรงพอสมควร จิตใจเข้มแข็งระดับนึง

2.แต่หลังจากกลืนแร่ไอโอดีนความเข้มข้นสูง 3 เท่าไปแค่วันเดียว มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหลายรอบ ปวดมวนท้อง เจ็บจุกแน่นลิ้นปี่ แสบร้อนกลางอก ร้อนปลายเท้าปลายมือ ปวดจนลุกไม่ไหว คลื่นไส้ตลอดเวลา สงสัยเป็นหลอดอาหารอักเสบและกรดไหลย้อน (อาจจะของเดิม + หลังกลืนแร่ ร่างกายอ่อนแอ)

3.vdo call ไปหาพ่อ แม่ และพี่สาว ร้องไห้ให้สามคนนั้นเห็น เพราะกินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้ำเปล่า อาเจียนตลอด ทรมานมาก ๆ เข้าใจคนไข้ได้เคโมเลย

4.บ่ายวันนั้นมีการ revise CPG (ทบทวนแนวทางการรักษาโรคของประเทศไทย) จำเป็นต้องฉีดยาและให้น้ำเกลือ จนพอที่ฝืนสังขารประชุมทั้งเช้าและบ่ายได้ หลังเสร็จก็นอนซมต่อ ต้องขอบพระคุณอาจารย์เจ้าของไข้ คุณหมอ resident และพี่พยาบาล ที่คอยช่วยดูแลครับ

5.หลังออกจากโรงพยาบาลอาการก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ปรึกษาอาจารย์ทางเดินอาหาร GI Med และพี่ ๆ แนะนำควรกินยา 5 ตัว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งชีวิตแทบไม่กินยาเกี่ยวกับทางเดินอาหารเลย แต่ทนไม่ไหวจริง ๆ ทรมานมาก

6.วันนี้ค่อย ๆ ดีขึ้นช้า ๆ จนสามารถพิมพ์โพสต์นี้ได้ด้วยตนเอง (ผมพิมพ์สัมผัส การพิมพ์ง่ายกว่าการพูด) ไม่อยากคุยกับใครเลยเพราะจุกแน่นหน้าอกตลอดเวลา

7.นึกภาพแต่ก่อนอาจารย์ทางเดินอาหาร GI med จะส่งคนไข้กรดไหลย้อนหรือกระเพาะอักเสบ GERD, dyspepsia, IBS มาให้ผมฝังเข็ม เสริมกับการกินยา ซึ่งก็สามารถช่วยคนไข้ได้หลายคน แต่ไม่คิดว่าวันนึงต้องมารักษาตัวเองเพราะอาการรุนแรงมากแบบเดียวกัน

ป่วยรอบนี้ ตกผลึกอะไรหลาย ๆ อย่าง 

8.ทางโลก ผมกำหนดเส้นตายไว้ 2 ปี จะถ่ายทอดความรู้และประสบกาณ์การทำ TMS ทั้งหมดที่ผ่านมา 11 ปี ที่เรียนมาจากยุโรปโดยตรง ให้อาจารย์ในโรงเรียนแพทย์เป็นหลักก่อน ให้ท่านทำวิจัยที่เห็นผลลัพธ์จริงอย่างชัดเจน จนนำไปสู่การทำวิจัยคุณภาพสูง เช่น double blinded randomized sham control trial บน paradigm ใหม่และ network neuroscience 

9.จะสนับสนุนให้งานวิจัยของคนไทย มากพอจนเพิ่ม TMS ลงใน CPG ของประเทศและโลกนี้ได้ 

มีหลาย ๆ โรคที่ผมไม่ได้ประชาสัมพันธ์หรือสอนเพราะมันซับซ้อน มีความเสี่ยงหากใช้ไม่เหมาะสม เป็นทักษะมือที่ไม่ใช่แค่อ่านงานวิจัยแล้วจะทำได้ผลดีปลอดภัย หรือไม่สามารถสอนในงานประชุมแค่ 2 วันได้ ต้องใช้เวลา 20 ชั่วโมงขึ้นไป จะสอน skill มือที่ไม่มีเขียนใน papers จะช่วย critic งานวิจัยต่าง ๆ ว่าเค้าไม่ได้บอกอะไรไว้บ้าง อีกอันที่อยากถ่ายทอดไว้คือ scientific acupuncture 

10.ทางธรรม ผมจะเพิ่มสัดส่วนทางธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 2 ปี มีแนวโน้มจะตัดเรื่องทางโลกออก  90% อาจสร้างสถานปฏิบัติธรรมหรือวัดขึ้นมาเอง ให้สอดคล้องกับพุทธวจน พระไตรปิฎกและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ช่วยให้คนพ้นทุกข์ในอีกรูปแบบนึง

11.ด้วยความรู้ scientific buddhism ที่ลิงก์กับ neuroscience, astronomy, cosmology แต่ต้องปฏิบัติให้ตกผลึกให้รู้จริงก่อนที่จะไปสอนใคร ถ้าตัวเองละสังโยชน์ได้ 3 ข้อ ก็จะเผยแผ่คำสอนทั้งไทยทั้งอังกฤษไปทั้งโลก

12.จะปฏิเสธเยอะขึ้น ใน 2 ปีจากนี้ คนไข้กลุ่มไหนที่ทำให้ผมทุกข์มาก อธิบายเยอะแล้วก็ไม่เข้าใจแบบวิทยาศาสตร์ มีความเอาแต่ใจสูง ร่างกายผมคงรับไม่ไหว อาจจะต้องลดการรับเคสแบบนี้ลง 
หรือใครที่ร่วมงานกันแล้วทำให้ผมทุกข์มาก พยายามปรับตัวกันแล้วแต่ไม่ได้ ก็คงต้องลดการพบปะลง 
ตอนนี้ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงต้องปฏิเสธคนที่ไม่ใช่ออกให้มากที่สุด ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะครับ ชีวิตผมเหลือน้อยแล้ว ผมอาจจะดีไม่พอสำหรับทุกคน ผมเหนื่อยกับการเป็นมะเร็งรอบที่สามแล้ว

13.จะสร้างองค์กรสร้างระบบให้ยั่งยืน ผมจะหาคนที่มีจริต มีศีลธรรม มี mindset และปัญญาเสมอกันมาช่วยกัน จะถ่ายทอดความรู้ทุกสกิลให้คุณหมอและทีมงานทั้งหมด สอนวิธีสร้างองค์ความรู้และ connection สายตรงจากยุโรป เพื่อให้ทุกคนในองค์กรได้พัฒนาตัวเองต่อไปแม้จะไม่มีผมแล้ว 

เดี่ยวจะพยายามหา CFO, CHRO, CMO, คุณหมอ นักกายภาพ ตัดต่อวิดีโอ Dogotal Platform เพื่อนร่วมงานหลายสาขามา ค่อย ๆ ร่วมทีมกันมากขึ้นในปีหน้า

14.สุดท้าย ขอบพระคุณอาจารย์ พยาบาล พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ทุกคนที่ช่วยดูแล สนับสนุน ให้คำปรึกษา ให้หนังสือ บางท่านส่งโปรตีนมาให้ทาน (ซึ่งช่วยได้มากเพราะกินอะไรไม่ได้เลย แล้วเป็นโปรตีนสำหรับคนไข้มะเร็งโดยตรง) บางคนจะมาช่วยบริหารงาน บางคนช่วยเรื่อง iT เรื่องสถิติเรื่อง Ai ผมซาบซึ้งทุกท่านจริง ๆ ขอบคุณคุณหมอและน้อง ๆ ในทีมที่ช่วยกันดูแลคนไข้ และขอบคุณคนไข้ที่ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำถูกต้องอย่างเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ 

รักษามะเร็งรอบนี้ หนักหนาสาหัสมาก มากจนผมร้องไห้เลย 

นพ.สมรส #สู้ดิวะ #DrSomros

ปล. ไปทำประกันสุขภาพกันด้วยนะครับ จากใจคนไม่มีประกัน T _ T 

ปล 2. เพื่อน ๆ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงนะครับ อย่าเครียดมาก อย่านอนดึก อย่าโหมงานบ้างาน เลือกอาหารการกินให้ดี ๆ จะได้ไม่ต้องมาทรมานแบบผมนะครับ

‘เศรษฐา’ ประกาศสางหนี้นอกระบบคนไทย 5 หมื่นล้าน ดอกห้ามเกินร้อยละ 15 ถ้าจ่ายเกินแล้วก็เลิกแล้วต่อกัน

(28 พ.ย. 66) ที่ตึกสันติไมตรี หลังใน ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าววาระแห่งชาติ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

โดย นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลเห็นปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานาน และเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทยจำนวนมาก วันนี้เราจะเอาจริงเอาจัง ทำให้การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ คืนศักดิ์ศรี คืนความหวัง และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทย ในวันนี้เราได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน และฝ่ายตำรวจที่ช่วยกำกับดูแลบังคับใช้กฎหมาย จะมาทำงานร่วมกัน แก้ไขทั้งเรื่องหนี้ และมีเรื่องของความสัมพันธ์ในระดับชุมชนที่ละเอียดอ่อน นอกจากการแก้ไขหนี้แล้ว รัฐบาลก็จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนขึ้นไปถึงระดับมหภาค ยกระดับความเป็นอยู่ ทำให้ไม่กลับไปมีหนี้ล้นพ้นตัวอีก

นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหาหนี้นอกระบบได้กัดกร่อนสังคมไทยมายาวนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสังคมอีกหลายประการ รัฐบาลได้ประเมินจำนวนครัวเรือนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งตนคิดว่าเลขนี้ น่าจะประเมินไว้ค่อนข้างต่ำ และปัญหาจริงๆ น่าจะมีมากกว่านั้น คนที่ไม่ได้เป็นหนี้อาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศ ต้องเจอกับความเปราะบางที่เกิดขึ้นจากหนี้สิน ที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะฝัน หรือทำตามแพสชั่นได้ ปิดโอกาสการต่อยอดไปหลายอย่าง ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปยังทุกภาคส่วน สำหรับตน หนี้นอกระบบถือว่าเป็น Modern World Slavery เป็นการค้าทาสในยุคใหม่ที่ได้พรากอิสรภาพ ความฝัน ไปจากผู้คนในยุคสมัยนี้

นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหานี้เรื้อรัง และใหญ่ เกินกว่าที่จะแก้ปัญหาได้โดยไม่มีภาครัฐเป็นตัวกลาง ในวันนี้รัฐบาลจึงต้องบูรณาการหลายภาคส่วนเข้ามาทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ และกระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้ประชาชนกลับไปอยู่ในวงจรหนี้สินนอกระบบอีก โดยภาครัฐจะรับบทบาทเป็นตัวกลางสำคัญในการไกล่เกลี่ยพร้อมกันทั้งหมด ดูแลทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างเป็นธรรม ตั้งแต่ต้นกระบวนการจนถึงการปิดหนี้ การทำสัญญา ที่หลายครั้งไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม และกระบวนการทวงหนี้ที่ใช้ความรุนแรง ต้องจัดให้ทำสัญญาที่เป็นธรรมและเป็นไปตามกฎหมาย พูดง่ายๆ คือ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ภาครัฐจะต้องทำงานร่วมกันหลายหน่วยงาน เพื่อทำให้ลูกหนี้ได้มีโอกาสหายใจ มีกำลังใจพอจะดำเนินชีวิต หาเงินมาปิดหนี้ให้ได้

นายกฯ กล่าวว่า ในความตั้งใจนี้ ตนได้สั่งการในช่วงต้นเดือน พ.ย. ให้ตำรวจและมหาดไทยไปทำการบ้านมา โดยทั้ง 2 หน่วยงานต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ให้ดีกว่าในอดีตที่เคยแยกกันทำพูดให้ชัดๆ คือ การแก้หนี้นอกระบบจะต้องทำด้วยกันแบบ End-to-end ต้องมีมาตรการต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ประชาชนกลับเข้าไปอยู่ในวงจรอีก และทั้งสองหน่วยงานจะต้องเข้าใจกระบวนการ ทำงานของกันและกัน ต้องทำให้กระบวนการทำงานไม่ซ้ำซ้อน มีขอบเขตหน้าที่ และความรับผิดชอบร่วมกัน ที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ จะมีการทำฐานข้อมูลกลาง นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความโปร่งใสตั้งแต่ต้นจนจบ มีการให้เลขตรวจสอบ (Tracking ID) ที่ประชาชนสามารถนำไปใช้ติดตามผลได้ มีวิธีการเข้าสู่กระบวนการหลายรูปแบบ เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน และต้องมีการสื่อสารกับประชาชนถึงความคืบหน้าต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา จะต้องมีกระบวนการถ่วงดุลระหว่างหน่วยงาน เพราะบางกรณีที่เจ้าหนี้หรือลูกหนี้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตนก็ขอให้ทุกส่วนทำงานอย่างตรงไปตรงมา เข้ากระบวนการไกล่เกลี่ยให้ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน ตนขอฝากให้ทั้งสองหน่วยงานทำงานอย่างมีเป้าหมาย มีเป้าประสงค์ (KPI) ร่วมกัน และกรอบเวลาที่ชัดเจน และตนจะติดตามดูผลอย่างใกล้ชิด

นายกฯ กล่าวว่า หลังจากขั้นตอนการไกล่เกลี่ยแล้ว รัฐบาลจะช่วยปรับโครงสร้างหนี้ โดยกระทรวงการคลังจะเข้ามาช่วยในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ทั้งการช่วยปรับระยะเวลา เงื่อนไข และ กระบวนการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถชดใช้หนี้ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เบียดบังการใช้ชีวิตจนทำให้พี่น้องท้อถอย แน่นอนว่ารัฐบาลก็จะระมัดระวังไม่สร้างภาวะอันตรายทางศีลธรรม ในมาตรการการช่วยเหลือทั้งหมด การแก้ไขหนี้ในวันนี้คงไม่ใช่ยาปาฏิหาริย์ที่จะทำให้หนี้นอกระบบไม่เกิดขึ้นอีก แต่ตนมั่นใจว่า ด้วยเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้พี่น้องประชาชนมีรายได้ที่ดีขึ้น จนไม่จำเป็นต้องก่อหนี้อีกในอนาคต และจะเพิ่มโอกาสให้พี่น้องประชาชนรายเล็ก รายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น นอกจากหนี้นอกระบบแล้ววันที่ 12 ธ.ค.นี้ จะมีการแถลงเรื่องภาพรวมหนี้แบบครบวงจร ซึ่งจะครอบคลุมทั้งหนี้ในระบบ และหนี้นอกระบบอีกครั้งนึง และตนจะทำให้โครงการนี้ช่วยปลดปล่อยพี่น้องประชาชนจากการเป็นทาสหนี้นอกระบบ ลืมชีวิตที่เคยลำบาก มีกำลัง มีแรงใจ ที่จะทำตามความฝัน นับจากนี้เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบ จะมีหลักเกณฑ์เรื่องดอกเบี้ยอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ห้ามคิดเกินร้อยละ 15 ต่อปี และต้องดูว่าตั้งแต่เป็นหนี้ไปแล้วจ่ายเงินไปแล้วเท่าไหร่ หากจ่ายเกินไปแล้วก็ต้องยกเลิกต่อกัน

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการสำรวจอย่างจริงจังหรือไม่ว่า จำนวนหนี้นอกระบบมีเท่าไหร่ และมาตรการแก้หนี้นี้เหมือนทุกอย่างจะเป็นแบบเดิมที่เคยทำกันมาแล้ว จะทำอย่างไรไม่ให้มีปัญหาหนี้นอกระบบเช่นเดิมอีก นายเศรษฐา กล่าวว่า การแก้หนี้ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ทำแบบบูรณาการ ครั้งนี้ทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายมั่นคง จะให้เจ้าหนี้มาเจรจา และกระทรวงการคลังที่จะเข้ามาช่วยเหลือ อีกทั้งยังจะมีการแก้หนี้ในระบบด้วย ตรงนี้จะเป็นอีกส่วนที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ โดยจะมีการแถลงวันที่ 12 ธ.ค. เราจะนำการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและในระบบมาประสานกัน เพื่อทำให้ประชาชนกลับมาเป็นหนี้ยากขึ้น การจะไม่ให้เป็นหนี้เลยคงลำบาก แต่เราจะทำให้เป็นธรรมตามที่กฎหมายกำหนด

เมื่อถามว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศมีเยอะ ผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอีลิท อาจไม่เห็นความชัดเจนของปัญหา นายเศรษฐา กล่าวว่า การที่เรามีวันนี้ คือ พูดคุยระหว่างฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง กระทรวงการคลัง เชื่อว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่นำทุกภาคส่วนมาบูรณาการกัน ไม่ใช่ว่าเรามองไม่เห็น ถ้ามองไม่เห็นคงไม่มานั่งกันวันนี้ ยืนยันเรื่องนี้เราให้ความสำคัญ การยกระดับเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องสำคัญ นโยบายของรัฐบาลมีอีกหลายเรื่องที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น เราต้องเริ่มจากลดค่าใช้จ่ายก่อน ซึ่งตนทำแล้ว ทั้งลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร แต่เรื่องหนี้นอกระบบเราต้องแก้ไขอย่างจริงจัง วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในวันที่ 8 ธ.ค.จะมีการประชุมนายอำเภอและผู้กำกับทั่วประเทศ โดยจะให้นโยบาย มอบ KPI ติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง จะไม่เหมือนที่เคยทำกันมา

เมื่อถามว่า คนที่ปล่อยกู้นอกระบบส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพล หากไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการการไกล่เกลี่ย จะดำเนินการอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลเราไม่ยอมรับผู้มีอิทธิพลนอกระบบ หรือเป็นมาเฟีย ตรงนี้ต้องจัดการไป บ้านเมืองมีกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยที่คิดไว้ต้องชัดเจน โดยเราจะเรียกทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้มาคุย 

ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ขอยืนยันจะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ที่รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาตินี้ ไปดำเนินการอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพต่อไป โดยเราจะใช้เครือข่ายและกลไกการทำงานที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ และใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม และได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็ง ที่เราจะใช้ในการขับเคลื่อนภารกิจนี้ ที่ผ่านมาในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น กระทรวงมหาดไทย ได้มีการดำเนินการผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและระดับอำเภอ โดยนายอำเภอจะมีบทบาทในฐานะประธานคณะผู้ไกล่เกลี่ยร่วมกับพี่น้องประชาชนในนามคณะผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งนายอำเภอก็ได้ใช้อำนาจหน้าที่ดำเนินการให้คู่พิพาททำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้ตามเงื่อนไขของหลักกฎหมาย

นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับมาตรการล่าสุดของรัฐบาลนั้น จะเป็นการต่อยอดให้เราสามารถช่วยเหลือประชาชนในเชิงรุกได้มากขึ้นผ่านศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ทางกระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนถูกข่มขู่คุกคามหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมมาลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.เป็นต้นไป ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ในศาลากลางจังหวัดทุกแห่ง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ในที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง และในส่วนของกรุงเทพมหานคร สามารถลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขตทุกแห่ง เพื่อที่กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรวบรวมข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้แก่พี่น้องประชาชนเป็นรายๆ ไป เพราะแต่ละเคสก็มีความเฉพาะตัวที่ต่างกัน

นายอนุทิน กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการการบังคับใช้กฎหมายกับเจ้าหนี้นอกระบบ ซึ่งมีพฤติกรรมข่มขู่ใช้ความรุนแรง หรือเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้น ทางฝ่ายปกครองจะประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งในส่วนนี้จะมีความสอดคล้องกับงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่กระทรวงมหาดไทยดำเนินการอยู่ด้วย เพราะหนึ่งในกลุ่มผู้มีอิทธิพลก็คือกลุ่มเจ้าหนี้นอกระบบด้วย ถือว่า Watch List ที่เรามีอยู่ ก็จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการจับตาพฤติกรรมกัน เชื่อว่าหลังการแถลงในวันนี้ ทุกฝ่ายคงร่วมมือกันอย่างเต็มที่ และหากชุมชนช่วยกันสอดส่อง ตักเตือนให้ลด ละ เลิก พฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เราก็น่าจะไม่ต้องมีคดีความเพิ่มขึ้นมาก และจะโฟกัสกับการแก้ปัญหาหนี้สิน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ตั้งหลักได้ต่อไป 

ขณะที่ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สตช.รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมาย เราเห็นความเดือดร้อนการท้วงโดยใช้ความรุนแรง โดยมีสายด่วน 1559 เพื่อรับแจ้งปัญหา มอบหมายให้ตำรวจตรวจตราพื้นที่อย่างเข้มข้น เพื่อสำรวจข้อมูลผู้ประกอบการหนี้นอกระบบทั้งหมด โดยตั้งแต่ 1 ต.ค.2566 ถึงปัจจุบัน สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 134 ราย ยึดของกลางมูลค่า 8 ล้านบาท ทั้งนี้ ผบ.ตร.พร้อมทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการติดตามผลอย่างโปร่งใส 

ส่วน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง กล่าวว่า นายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังดูแลลูกหนี้นอกระบบ ภายหลังที่ปรับโครงสร้างหรือไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีธนาคารของรัฐดูแล อย่างธนาคารออมสิน และเรามีโครงการอยู่แล้วในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งจะให้กู้รายหนึ่งไม่เกิน 50,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี และอีกส่วน จะเป็นเรื่องของโครงการสินเชื่อสำหรับอาชีพอิสระรายย่อยเพื่อส่งเสริมอาชีพ ซึ่งนี่จะเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ให้กู้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ระยะเวลาสูงสุด 8 ปี อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามความสามารถของลูกหนี้แต่ละราย นอกจากนี้ ทาง ธ.ก.ส.ก็มีโครงการเพื่อรองรับ หากใครจะนำที่ดินมาฝากขาย หรือติดจำนองที่เกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ทาง ธ.ก.ส.จะมีวงเงินให้กับเกษตรกรต่อราย 2.5 ล้านบาท ในการแก้ไขเรื่องที่ดินทำกิน

"สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะดำเนินการให้ถูกกฎหมาย เรามีช่องทางให้ขออนุญาตเรื่อง pico finance ซึ่งมีผู้มาขออนุญาตแล้วพันกว่ารายทั่วประเทศ ซึ่งเรามีทุนจดทะเบียนให้ผู้ประกอบการแต่ละราย 5 ล้านบาท" นายกฤษฎา กล่าว

‘โฆษกอนาคตไกล’ ตอก!! ‘เจี๊ยบ’ ปมชื่อ-สีพรรคฯ ชี้!! ไม่เข้าใจ กม. แถมกินปลาน้อย สักแต่โพสต์เอามัน

(28 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. พรรคอนาคตไกล จัดประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 1 เพื่อประชุมจัดตั้งและเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดแรก ต่อมา นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ โดยระบุว่า ทั้งตั้งชื่อเหมือนรวม 2 พรรคอนาคตใหม่กับก้าวไกลไว้ด้วยกัน รวมทั้งยังเลือกใช้สีส้ม ไม่ทราบหวังผลอะไร?

ล่าสุด นายภวัต เชี่ยวชาญเรือ โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า นางอมรัตน์ น่าจะกินปลาน้อยไปหน่อยและขาดความเข้าใจในกฎหมายพรรคการเมือง ควรอ่านเสียบ้าง ไม่ใช่โพสต์เอามัน เสียบรรยากาศในวันเพ็ญ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทง ต้องสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่ติดตามพรรคอนาคตไกลที่เพิ่งเปิดตัวและประชุมใหญ่ไปแล้ว ดังนี้ 

1.ชื่อพรรคอนาคตไกล ไม่ได้นำชื่อพรรคก้าวไกลและพรรคอนาคตใหม่มารวมกัน เพราะพรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไปแล้ว ดูแล้วอาจไม่เป็นมงคล กฎหมายห้ามเหมือนหรือคล้ายคลึงชื่อพรรคที่ยุบไปแล้วไม่น้อยกว่า 20 ปี และชื่อพรรคก้าวไกล ของนางอมรัตน์ อาจเป็นพรรคก้าวสั้น เพราะมีกระแสร้อนแรงเพราะนโยบายแก้ ม.112 มีตัวแปรสูงเข้าข่ายถูกยุบพรรค ดังนั้น ชื่อพรรคอนาคตไกล ไม่เชื่อมโยง เอาทั้งสองพรรคตามที่เจี๊ยบ ก้าวไกล ยกขึ้นกล่าวอ้าง มโน คิดไปเองฝ่ายเดียว เป็นการคาดคะเน ไร้สมมติฐานและหลักฐานอ้างอิง ประกอบกับชื่อ ‘พรรคอนาคตไกล’ เป็นชื่อใหม่ ไม่ซ้ำกับพรรคการเมืองใด โดยไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้เฉพาะพรรคก้าวไกลได้ผูกขาดรายชื่อไม่ว่าตัวสะกดใด เมื่อฝ่ายกฎหมายของพรรคตรวจสอบกับนายทะเบียนพรรคการเมือง กกต.ไม่มีรายชื่อนี้ อยู่ในสารบบ และไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้ สามารถจดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการ และด้วยความชอบธรรม

โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวต่อว่า 2.สำหรับเสื้อแขนยาวพรรคอนาคตไกล แตกต่างจากพรรคก้าวไกล  มีความแตกต่างหลายจุด มีความโดดเด่นกว่าก้าวไกลแน่นอน ทั้งคอเสื้อ แขนเสื้อ ขอบชายเสื้อและชื่อพรรคภาษาอังกฤษ โลโก้พรรค ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า พรรคอนาคตไกลมีความโดดเด่นและจำได้ง่ายกว่า ทั้งไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน ประกอบกับไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้เฉพาะพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ใช้สีพรรคสีเสื้อต้องไม่เหมือนกัน การใช้สีส้มไม่ได้ผูกขาดเฉพาะพรรคก้าวไกล พรรคอนาคตไกล สามารถใช้สีส้ม สีแดง หรือสีอื่นๆ ได้ คุณเจี๊ยบ อมรัตน์ฯ หัดใจกว้างหน่อย อย่าใช้ฐานอคติที่ลำเอียง ประชาชนจะสับสน ไม่มีประเด็นใดที่หวังผลทางการเมือง รัฐบาลนี้ กำลังบริหารราชการแผ่นดินอยู่ ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง ไม่ต้องกลัวพรรคอนาคตไกล แต่จะมาแทนที่พรรคก้าวไกลให้พี่น้องประชาชนตัดสินใจ พรรคอนาคตไกลจึงสื่อสารมายังพี่น้องประชาชน ผู้รักความยุติธรรม ความเสมอภาคและ รักประชาธิปไตย ช่วยสนับสนุนพรรคอนาคตไกล บนหลักพื้นฐานที่ว่า "อนาคตไกล อนาคตประเทศไทย ก้าวไกลไปกว่าเดิม"

‘ธนาคารกลางจีน’ จ่ออำนวยความสะดวกด้านการเงิน ‘ภาคเอกชน’ หนุน ‘ออกพันธบัตร-จัดหาเงินทุน’ มุ่งต่อยอดเศรษฐกิจในอนาคต

(28 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารประชาชนจีนหรือธนาคารกลางของจีน รายงานแผนการเดินหน้าเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการเอกชน และทำงานเพื่อลดต้นทุนทางการเงินอย่างครอบคลุม

รายงานนโยบายทางการเงินประจำไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของธนาคารฯ ระบุว่าจะมีการสนับสนุนเชิงนโยบายทางการเงินแก่บริษัทเอกชนขนาดย่อมและรายย่อยเพิ่มเติมในระยะต่อไป

การดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น กระตุ้นธนาคารพาณิชย์ออกพันธบัตรทางการเงินชนิดพิเศษสำหรับบริษัทขนาดย่อมและรายย่อย รวมถึงสนับสนุนการจัดหาเงินทุนของผู้ประกอบการเอกชนขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน ได้บรรลุผลลัพธ์เชิงบวก

การสนับสนุนสินเชื่ออย่างครอบคลุมของจีนได้จัดสรรเงินทุนจูงใจแก่บริษัทขนาดเล็กและรายย่อย จำนวน 5.26 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.58 แสนล้านบาท) เมื่อนับถึงสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.51 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.25 แสนล้านบาท) จากต้นปีนี้

การปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดย่อมในไตรมาสสามของปีนี้ มียอดคงค้างรวมอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านหยวน (ราว 11.99 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานเสริมว่าธนาคารฯ จะดำเนินงานอย่างเป็นระบบในด้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคเอกชน เพื่อรับรองการสนับสนุนทางการเงินแก่เศรษฐกิจเอกชนอย่างสอดคล้องกับการมีส่วนส่งเสริมของเศรษฐกิจเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

'สปิริตชมพู่' ไม่เคยตำหนิเพื่อนร่วมทีม เน้นให้กำลังใจแม้ผิดพลาด เผย!! เป็นธรรมเนียมสั่งสอนจาก 'โค้ช-รุ่นพี่' ชาวไทยมายาวนาน

(28 พ.ย.66) จากเฟซบุ๊ก 'Jo Montanee' ได้โพสต์ข้อความน่าประทับใจในตัว ชมพู่ พรพรรณ เกิดปราชญ์ นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย และมือเซตตัวเก่งแห่งทีมไอบีเค อัลโทส ระบุว่า...

เรื่องนี้น่ายินดีค่ะ

ผู้เล่นอินโดนีเซียในลีกเกาหลีเล่นไม่ดี ถูกเพื่อนร่วมชาติก่นด่าเละเทะ แต่มีคอมเมนต์ไทยเล่าข้อมูลที่ดีมาก ว่าพรพรรณเข้าไปในทีมแล้วเปลี่ยนมายด์เซตเดิมที่ชอบรุมด่าเพื่อนเมื่อพลาด มาเป็นการหยุดตำหนิหยุดกล่าวโทษแล้วให้กำลังใจกันตามสไตล์ #ทีมชาติไทย ที่ปลูกฝังกันมารุ่นต่อรุ่นค่ะ

#พรพรรณเกิดปราชญ์

‘การบินไทย’ เปิดบินในประเทศ 9 เส้นทาง ชดเชย ‘ไทยสมายล์’ หยุดบิน เริ่ม ธ.ค.นี้

(28 พ.ย. 66) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กลับมาให้บริการเส้นทางบินในประเทศในตารางบินฤดูหนาว 2566 รองรับการเดินทางและการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ จำนวน 9 เส้นทาง

โดยทำการบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส A320 เริ่มวันที่ 29 ตุลาคม 2566 – 30 มีนาคม 2567 ใน ตารางบินฤดูหนาวนี้

การบินไทยกลับมาเปิดเส้นทางบินในประเทศ 9 เส้นทาง มีดังนี้

1.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 35 เที่ยวบิน 
2.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 56 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 ธันวาคม 2566) 
3.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุดรธานี ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 21 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 ธันวาคม 2566)
4.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงราย ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
5.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ขอนแก่น ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 28 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)

6.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
7.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-กระบี่ ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
8.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 21 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
9.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-นราธิวาส ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)

ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รายละเอียดตารางบิน พร้อมสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานขายการบินไทย

‘ครม.’ เห็นชอบปรับเพิ่มฐานเงินเดือน ขรก.บรรจุใหม่ สตาร์ต 18,000 บาท พร้อมปรับฐานแก่ ขรก.ที่บรรจุมาก่อนแล้วมีรายได้ไม่ถึง 18,000 บาทด้วย

(28 พ.ย. 66) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพลเรือน (ก.พ.) โดยปรับขึ้นในส่วนของข้าราชการบรรจุใหม่ปีละ 10% ใน 2 ปีงบประมาณ ได้แก่ ปีงบประมาณ 2567 และปีงบประมาณ 2568 ซึ่งจะทำให้เงินเดือนของข้าราชการบรรจุใหม่อยู่ 18,000 บาทต่อเดือน ในปีงบประมาณ 2568 จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน การเริ่มปรับฐานเงินเดือนข้าราชการจบใหม่ 10% จะเริ่มต้นในเดือน พ.ค.ปีหน้า หลังจากที่ พ.ร.บ.งบประมาณ ประกาศใช้แล้ว

สำหรับข้าราชการชั้นผู้น้อยอื่นๆ ที่เข้ามารับราชการก่อน และยังไม่ถึงระดับชำนาญการ (C8) และยังมีเงินเดือนไม่ถึง 18,000 บาทต่อเดือน จะมีการปรับฐานเงินเดือนขึ้นไปให้อยู่ในที่สูงกว่าข้าราชการบรรจุใหม่ โดยในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ปรับฐานเงินเดือนให้กับข้าราชการที่เข้ามารับราชการก่อน และเงินเดือนยังไม่ถึง 18,000 บาท ก็จะได้รับการปรับขึ้นค่าครองชีพก่อน สำหรับข้าราชการที่เป็นระดับชำนาญการขึ้นไป หรือระดับ C9 ขึ้นไป จะไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนแต่อย่างไร

ส่วนงบประมาณที่ใช้นั้น ในปี 2567 จะใช้ 5-6 พันล้านบาท อาจจะใช้จากงบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน ส่วนปีงบประมาณ 2568 จะใช้งบประมาณหลักหมื่นล้านบาท จะตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาใช้ในส่วนนี้ โดยตัวเลขการจัดทำงบประมาณที่แน่นอนสำหรับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการในครั้งนี้ จะเป็นเท่าไหร่ สำนักงาน ก.พ., กรมบัญชีกลาง และกระทรวงการคลัง จะหารือกันอีกครั้ง

นายดนุชา กล่าวอีกว่า การปรับขึ้นเงินเดือนในครั้งนี้จะให้กับข้าราชการที่บรรจุใหม่ และข้าราชการที่ยังรายได้น้อย และจะทำคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพราชการ และปรับลดจำนวนข้าราชการด้วย

ใบแถลงข่าวผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมห้วงเทศกาลลอยกระทง ๒๕๖๖ 

ด้วยวันที่ 27 พ.ย.66 เป็นวันเทศกาลลอยกระทง ในหลายพื้นที่มีการดำเนินการจัดกิจกรรมงานประเพณีลอยกระทงเพื่ออนุรักษ์สืบสานและส่งเสริมประเพณีอันดีงามและทรงคุณค่าของไทย ซึ่งอาจมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมลอยกระทง ลอยประทีปโคมไฟตามแม่น้ำ ลำคลอง รวมถึงการเดินทางไปร่วมงานแสดง แสง สี เสียง หรืองานเผาเทียนเล่นไฟเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายจากการเล่นดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด และโคมลอย รวมถึงอาจมีมิจฉาชีพแอฟแผงเข้าไปประทุษร้ายต่อทรัพย์สินในสถานที่จัดงานต่าง ๆ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในห้วงเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2566 ขึ้นโดยได้สั่งการให้ ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายและระดมกำลังทั่วประเทศร่วมกันกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภทในห้วงวันที่ 20-26 พ.ย.66 เพื่อเตรียมพร้อมวันเทศกาลลอยกระทง ประกอบกันในห้วงเดือน พ.ย.66 เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นเสียชีวิตอันมีสาเหตุเกิดจากการขัดแย้งของนักศึกษาต่างสถาบัน ซึ่งเป็นเหตุอุจฉกรรจ์สะเทือนขวัญ จึงกำหนดเป้าหมายโดยมีเป้าหมายหลักเป็นความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย ทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์โดยมีผลการระดมกวาดล้าง ห้วงวันที่ ๒๐–๒๖ พ.ย.๖๖ ที่ผ่านมาดังนี้ 
 

๑.จับกุมความผิดอาชญากรรมทั่วไป On ground รวมจับกุม ๑๔,๓๓๙ คดี ผู้ต้องหา ๑๔,๙๐๙ ราย เป็นความผิดดังต่อไปนี้ 
๑.๑ ความผิดเกี่ยวกับการพนัน รวม ๑,๘๗๗ คดี ผู้ต้องหา ๒,๒๔๘ ราย 
๑.๒ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด รวม ๙,๐๕๓ คดี ผู้ต้องหา ๙,๐๕๕ ราย 
๑.๓ ความผิดเกี่ยวกับหลบเข้าเมือง รวม ๓,๒๑๘ คดี ผู้ต้องหา ๓,๔๑๕ ราย 
๑.๔ ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ รวม ๑๙๑ คดี ผู้ต้องหา ๑๙๑ ราย 

2.จับกุมความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี Online รวมจับกุม ๑,๗๕๐ คดี ผู้ต้องหา ๑,๗๗๖ ราย โดยเป็นความผิดดังต่อไปนี้ 
๒.๑ ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน รวม ๑๑๖ คดี ผู้ต้องหา ๑๑๒ ราย 
๑.๒ ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย รวม ๓๐๑ คดี ผู้ต้องหา ๓๑๔ ราย 
๑.๓ ความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ข่าวปลอม รวม ๒๖๙ คดี ผู้ต้องหา ๒๖๑ ราย 
๑.๔ ความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก รวมจำนวน ๒๑ คดี ผู้ต้องหา ๒๑ ราย 
๑.๕ ความผิดเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และอื่น ๆ รวม ๑,๐๔๓ คดี ผู้ต้องหา ๑,๐๖๘ ราย 

๓. ผลการกวดขันจับกุมตามหมายจับ รวม ๒,๖๕๑ หมายจับ ผู้ต้องหา ๒,๕๕๐ ราย 

๔. ผลการกวดขันจับกุมตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.๒๕๖๖ รวมจำนวน ๘๘ คดี ผู้ต้องหา ๘๖ ราย 

๕. ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน 
๕.๑ อาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน ๑,๑๓๓ กระบอก   
๕.๒ อาวุธปืน มีหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นของบุคคลอื่น จำนวน ๑๘๗ กระบอก  

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ มีนโยบายในการให้ความสำคัญในแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจังมาโดยตลอด จึงได้มีการบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนพร้อมกันทั่วประเทศอยู่เสมอ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นว่าจะทำให้ความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายลดลงอย่างแน่นอน อีกทั้ง ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ในความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งต่อพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักลงทุนจากต่างประเทศ อันจะส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจภายในประเทศ 

การระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศจนทำให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดอาวุธปืนจำนวนมากในครั้งนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก และขอฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากมีเบาะแส/เรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรม หรือเรื่องอื่น ๆ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน ๑๙๑ หรือ สายด่วน ๑๕๙๙ ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top