Monday, 23 June 2025
NewsFeed

รวบหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่น ตั้ง CALL CENTER ในไทย หลอกประชาชนผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นหลายราย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 รรท.ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 รรท.ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

1.รวบหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่น ตั้ง CALL CENTER ในไทย หลอกประชาชนผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นหลายราย 
บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ขบวนการแก๊ง CALL CENTER จำนวน 4 ราย ดังนี้ 
1.นายเฉิน (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สัญชาติไต้หวัน (เพิกถอนวีซ่า)
2.นายเหอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติไต้หวัน (OVERSTAY)
3.นายไดซูเกะ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติญี่ปุ่น (เพิกถอนวีซ่า)
4.นายทาโร่ (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติญี่ปุ่น (เพิกถอนวีซ่า)
ผู้ต้องหารายที่ 1,3 และ 4 ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ผู้ต้องหายที่ 2 ถูกจับกุมในความผิดฐาน เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ส่ง พงส.กลุ่มงานสอบสวน สตม.ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

สืบเนื่องจาก บก.สส.สตม. ได้รับประสานข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันและญี่ปุ่น กรณีแก๊ง CALL CENTER กลุ่มหนึ่ง ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด บก.สส.สตม.จึงได้สืบสวนติดตามผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าว มาดำเนินคดีตามกฎหมาย พฤติการณ์การกระทำความผิดคือ ขบวนการแก๊ง CALL CENTER มีคนไต้หวันทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าทีม และคนญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นพนักงาน โดยพนักงานคนญี่ปุ่นจะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อหลอกลวงคนญี่ปุ่น และรับหน้าที่จัดหาคนญี่ปุ่น ซึ่งบินจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นพนักงาน CALL CENTER ในประเทศไทย โดยจะให้ส่งข้อความโทรศัพท์ผ่านระบบ VOIP ไปยังผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยตั้งฐาน CALL CENTER อยู่ในหมู่บ้านหรูสองหลังติดกันใน จ.สมุทรสาคร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ทำการขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้น พบคนต่างด้าว จำนวน 3 คน ได้แก่ 1.นายเฉิน (นามสมมติ) อายุ 50 ปี สัญชาติไต้หวัน 2.นายเหอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติไต้หวัน 3.นายไดซูเกะ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติญี่ปุ่น พร้อมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 11 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค จำนวน 2 เครื่อง บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิต จำนวน 5 ใบ และสคริปต์บทสนทนาที่ใช้สำหรับการพูดคุยกับผู้เสียหายและแบบฟอร์มกรอกข้อมูลผู้เสียหายฉบับภาษาจีนและญี่ปุ่น จำนวนหลายชุด

จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของคนต่างด้าวทั้ง 3 คน ปรากฏดังนี้
1. นายเฉิน (นามสมมติ) สัญชาติไต้หวัน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2566 ประเภทวีซ่า นักท่องเที่ยว 60 วัน การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด 
2. นายเหอ (นามสมมติ) สัญชาติไต้หวัน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2566 ประเภทวีซ่า นักท่องเที่ยว 60 วัน ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่ 1 ก.ค.2566 (OVERSTAY)
3. นายไดซูเกะ (นามสมมติ) สัญชาติญี่ปุ่น เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2566 ได้รับการยกเว้นวีซ่า ประเภท ผ.30 การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เสนอ ผบก.สส.สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายเฉิน และนายไดซูเกะ เนื่องจากมีพฤติการณ์เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือ ความปลอดภัยของประชาชน หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (7) ประกอบกับมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อ กักตัวรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และจับกุมนายเหอ ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักร โดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) นำตัวส่ง พงส.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

จากการสืบสวนขยายผลพบว่า หัวหน้าของขบวนการดังกล่าวเป็นคนไต้หวัน ซึ่งสั่งการมาจากประเทศไต้หวัน  มีนายเหอเป็นรองหัวหน้า ทำหน้าที่ในการจัดหาบัญชีม้า และควบคุมพนักงานชาวญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่เป็นพนักงาน CALL CENTER รวมถึงการประสานงานกับผู้ร่วมขบวนการในการหาคนญี่ปุ่นเข้ามาทำงานเป็นพนักงาน CALL CENTER นอกจากนี้ นายเหอ ยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการไต้หวันจำนวน 2 หมาย ในข้อหานำเข้ายาเสพติดและฉ้อโกง ส่วนนายเฉิน เป็นรองหัวหน้า ทำหน้าที่ในการควบคุมพนักงานชาวญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่พนักงาน CALL CENTER   ในการจัดหาข้อมูลของประชาชนชาวญี่ปุ่น เพื่อส่งให้กับพนักงาน CALL CENTER ใช้ในการโทรหลอก และนายไดซูเกะ ทำหน้าที่เป็นพนักงาน CALL CENTER ในการพูดคุยหลอกลวงผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น และหากหลอกผู้เสียหายได้จะทำการจดบันทึกข้อมูลของผู้เสียหายลงในแบบฟอร์ม 

บก.สส.สตม.ยังได้ขยายผลร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันและเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นที่ประจำประเทศไทย พบว่า ขบวนการดังกล่าวมีคนไต้หวันเป็นหัวหน้าทีมและมีการนำคนชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำหน้าที่เป็นพนักงาน CALL CENTER แล้วจำนวนหลายราย โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนยังสืบทราบอีกว่า นายทาโร่ สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งทำหน้าที่ในการจัดหาคนญี่ปุ่นมาทำ CALL CENTER หลบหนีไปอยู่ที่ จ.กระบี่ จึงสืบสวน จนทราบว่า หลบหนีอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.กระบี่ จากการตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. ทราบว่า นายทาโร่ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2566 คนอยู่ชั่วคราว (NON-90) การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จึงได้เสนอให้ ผบก.สส.สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายทาโร่ จากนั้นได้พบตัวนายทาโร่ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.กระบี่ จึงได้แจ้งให้นายทาโร่ ทราบ และนำตัวส่ง พงส.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ในส่วนของผู้ต้องหารายอื่นของขบวนการนี้ 

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศไต้หวันและญี่ปุ่น จะได้ทำการออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาในไต้หวันและประเทศญี่ปุ่นต่อไป 

‘เศรษฐา’ คิวแน่นเอี้ยด บินปฏิบัติภารกิจทั่วไทย-ครม.สัญจรต่อเนื่อง พร้อมจับตา!! ศุกร์นี้ เตรียมแถลง ‘เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’

(8 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายหลังเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 12-19 พ.ย.ว่า จากนั้นระหว่างวันที่  23-24 พ.ย.นี้ นายกฯ มีกำหนดการเดินทางไปประชุม ที่ประเทศสิงคโปร์

ต่อมาในวันที่  27 พ.ย. นายกฯ เป็นประธานและร่วมงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ที่ จ.สุโขทัย จากนั้น ช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ย. นายกฯ จะเดินทางกลับมาเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนที่ช่วงบ่ายจะบินกลับไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 28-29 พ.ย. เพื่อลงพื้นที่ตรวจราชการ และร่วมงานประเพณีเดือนยี่เป็งเชียงใหม่ ประจําปี พ.ศ. 2566 วันสุดท้าย ในวันที่ 28 พ.ย.ด้วย โดยจะพักค้างคืนที่ จ.เชียงใหม่ 2 คืน ก่อนที่วันที่ 30 พ.ย. นายกฯ จะเดินทางโดยรถยนต์จาก จ.เชียงใหม่ ไปยัง จ.อุตรดิตถ์ เพื่อปฏิบัติภารกิจและพักค้าง 1 คืน

จากนั้น เช้าวันที่ 1 ธ.ค. จะเดินทางไปยัง จ.พิษณุโลก เพื่อขึ้นเครื่องบินไปยัง จ.ภูเก็ต นอกจากนี้ นายกฯ ยังมีกำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่ จ.หนองบัวลำภู ระหว่างวันที่ 3-4 ธ.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้ ก่อนที่ในวันที่ 6-7 ธ.ค. นายกฯ จะลาราชการ เพื่อเข้าร่วมประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทย ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 10 พ.ย.เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเป็นประธานแถลงข่าวในพิธีเปิดโครงการ ‘Thailand, Winter Festival’ โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่วมด้วย จากนั้น เวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

สตม. รวบหนุ่มเมืองเบียร์ หนีคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก กบดานเชียงดาว

บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ คือ นายไมค์ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติเยอรมัน ผู้ต้องหา ตามหมายจับของ ศาลเมืองฮัมบวร์ค ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันละเมิดทางเพศเด็ก, ชักจูงเด็กโดยการแสดงภาพหรือนำเสนอภาพลามกอนาจาร โดยการถ่ายวีดีโอที่มีเนื้อหาลามกอนาจาร และเผยแพร่เนื้อหาลามกอนาจารผ่านทาง ช่องทางการสนทนาสื่อสาร, ผลิตเนื้อหาลามกอนาจารเด็กที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศที่กระทำต่อหน้าบุคคลอายุ ต่ำกว่า 14 ปี และบังคับให้กระทำการทางเพศโดยใช้กำลังหรือข่มขู่ว่าจะทำร้าย ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการ ตามกฎหมาย 

สืบเนื่องจาก ตร. ได้สั่งการให้ สตม. พิจารณาดำเนินการ กรณีสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ แจ้งข้อมูลนายไมค์ สัญชาติเยอรมัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลเมืองฮัมบวร์ค ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันละเมิดทางเพศเด็กฯ ผบก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. 

ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายไมค์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2562 ประเภทวีซ่า คนอยู่ชั่วคราว (NON-90) และได้รับอนุญาต  ให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 16 ก.ย.2567 ผบก.สส.สตม.จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายไมค์ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคล ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอน การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามหาตัวนายไมค์ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อนำตัวมาดำเนินการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร กก.1 บก.สส.สตม.จึงได้ระดมกำลังสืบสวนติดตาม  หาตัวนายไมค์ จนกระทั่งต่อมาจากการสืบสวนทราบว่านายไมค์ ได้ไปพักอาศัยอยู่กับหญิงไทยที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบนายไมค์อยู่ในบ้านหลังดังกล่าว จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ได้รับทราบ และได้เปรียบเทียบปรับเจ้าของบ้านในข้อหา เจ้าบ้าน เจ้าของ หรือผู้ครอบครองเคหสถาน รับคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเข้าพักอาศัย  แล้วไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมง จากนั้นได้นำตัวนายไมค์ ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวรอการส่งกลับ ไปดำเนินคดีที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ให้การต้อนรับผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และคณะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พร้อมรับมอบเงินรางวัลศาลเจ้ามาตรฐานของศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย

วันนี้ (วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ นายวันชิด ศิรสีห์ รองผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ ให้การต้อนรับนายขวัญเมือง บุญประสงค์ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พร้อมรับเงินมอบรางวัลศาลเจ้ามาตรฐาน ประจำปี พ.ศ. 2566 ของศาลเจ้าไต้ฮงกง รวมถึงนำเยี่ยมชมหอประวัติมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยมี นายณัฐวัตร ก้อนทอง รักษาการผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม / หัวหน้าสำนักกฎหมายและคดี และนางนภาพร เชิญเกียรติประดับ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน ร่วมในพิธี ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

โดยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ พร้อมด้วย นายณัฐวัตร ก้อนทอง รักษาการผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม / หัวหน้าสำนักกฎหมายและคดี เข้ารับมอบรางวัลศาลเจ้าไต้ฮงกงมาตรฐาน ประจำปี พ.ศ. 2566 กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จากนายบรรจบ จันทรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ณ โรงแรม เอส ดี อเวนิว  เขตบางพลัด กรุงเทพมหานครฯ

* ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง *

พลังศรัทธาองค์หลวงปู่ไต้ฮงในประเทศไทย มีจุดเริ่มต้นจากเมื่อปี พ.ศ.2439 นายเบ๊ยุ่น ได้อัญเชิญรูปจำลองหลวงปู่ไต้ฮงจากอำเภอเตี้ยเอี้ย มายังประเทศไทย ประดิษฐานอยู่ที่ร้านกระจกย่านวัดเลียบ ผู้คนเมื่อทราบต่างก็พากันมาสักการบูชาที่จำนวนมาก จนต้องย้ายไปประดิษฐานที่ซอยดอนกุศล ถนนเจริญกรุง  ช่วงนั้นเกิดโรคระบาดประชาชนต่างมากราบไหว้หลวงปู่ เพื่อช่วยให้คุ้มครองปลอดภัยและหายจากโรค ทำให้เกิดความศรัทธา บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและจัดการเก็บศพอนาถาไปฝัง ต่อมาในปี 2452-2453 พระอนุวัตน์ราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) ได้ร่วมกับพ่อค้าคหบดี รวม 12 ท่าน ได้เห็นความสำคัญและประโยชน์แห่งกุศลเจตนาของผู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ไต้ฮง จึงจัดตั้งคณะเก็บศพไต้ฮงกงขึ้น พร้อมสร้างศาลเจ้าไต้ฮงกงขึ้นที่บริเวณถนนพลับพลาไชย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เพื่อประดิษฐานองค์หลวงปู่ไต้ฮง  เมื่อศาลเจ้าไต้ฮงกงสร้างเสร็จสมบูรณ์ ได้อัญเชิญรูปจำลองของหลวงปู่ที่นายเบ๊ยุ่น คหบดีนำมาจากประเทศจีนมาประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้าไต้ฮงกงเป็นการถาวร โดยศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตั้งอยู่ที่ 326 ถนนเจ้าคำรพ แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ 10100

ติดต่อสอบถามหรือติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

‘ตำรวจ’ เตรียมแจ้งข้อหา ‘ว่าน ธนกฤต’ ขับรถประมาท!! หลังขับเก๋งชนท้ายรถเก็บขยะ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย

(8 พ.ย.66) จากกรณีนักร้องดัง ‘ว่าน ธนกฤต’ ขับรถหรูวอลโว่ ชนท้ายรถเก็บขยะ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย บริเวณปากซอยกรุงเทพ-นนทบุรี 13 ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี

โดยพบว่าก่อนเกิดเหตุ ว่าน ธนกฤต เพิ่งไปไลฟ์สดกับวง ZEAL ก่อนขับรถชน ทำให้แฮชแท็ก #ว่านธนกฤต ขึ้นเทรนด์ และโซเชียลแห่ถกเถียงสนั่น พร้อมรอให้ดูผลตรวจแอลกอฮอล์ดีกว่า ตามที่เคยเสนอข่าวไปแล้วนั้น

สำหรับความคืบหน้า วันที่ 8 พ.ย.66 พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี เผยว่า เบื้องต้นในเหตุการณ์ดังกล่าว ว่านเดินทางมาให้ปากคำเมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยให้ปากคำว่าเหตุเกิดขณะที่กลับมาจากทำงาน ยอมรับมีอาการอ่อนเพลียและอาจหลับใน โดยเจ้าหน้าที่ได้พาว่านไปโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เพื่อตรวจวัดแอลกอฮอล์ในร่างกายแล้ว

“ยอมรับตำรวจไม่ได้ตรวจวัดแอลกอฮอล์หลังเกิดเหตุทันที เนื่องจากขณะนั้นผู้บาดเจ็บและตัวของว่านถูกส่งไปรักษาตัวคนละที่กัน โดยเจ้าหน้าที่เลือกเดินทางไปหาผู้บาดเจ็บก่อน หลังจากนั้นเมื่อไปถึงโรงพยาบาลที่ว่านเข้ารับการรักษาก็ไม่พบตัวแล้ว ซึ่งโรงพยาบาลแจ้งว่าว่านบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและขอกลับไปพักผ่อน” พ.ต.อ.จาตุรนต์กล่าว

พ.ต.อ.จาตุรนต์ กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่เตรียมจะแจ้งข้อกล่าวหากับว่าน ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บด้วย

'ดร.เอ้' โต้โผ!! จัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ สร้างบ้านเมืองที่ปลอดภัย ด้วยความตั้งใจของประชาชน

เมื่อวานนี้ (7 พ.ย. 66) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานนโยบาย กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นถนนทรุดโทรม ไม่มีความปลอดภัย ไร้มาตรการรองรับ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 7 พ.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO / MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ 

>> ในฐานะวิศวกร มีมุมมองหรือข้อแนะนำต่อกรุงเทพฯ อย่างไร หากอยากทำให้ถนน อาคารมีความแข็งแรง ปลอดภัย?

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า “ตลอดชีวิตการเป็นวิศวกรของผม ผมทำงานช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติมามาก ในสมัยที่ทำงานให้สมาคมวิศวกรรมสถาน จนกระทั่งได้เป็นนายกสมาคมฯ ผมเห็นมาเยอะ และผมก็เสียใจมาก ทุกครั้งที่ผมให้สัมภาษณ์ ผมจะพูดเสมอว่า ประเทศไทย ความปลอดภัยไม่เคยมาก่อนเลย และมันเกิดความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย เป็นความประมาทในการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานจริง ๆ เลย เพราะหากทำตามมาตรฐานจริง ๆ เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย จะไม่มีการสูญเสียแบบนี้ให้ได้เห็น”

“ในเรื่องการป้องกัน ประชาชนอย่างเรา ๆ ไม่สามารถทำ
อะไรได้อยู่แล้ว เราก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ ขับรถไปส่งลูก ไปทำงาน อยู่ ๆ ก็มีอะไรไม่รู้หล่นลงมา หล่นใส่ใครตอนไหน ใครจะไปรู้ ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นกับพวกท่าน ทั้งสะพานลาดกระบัง ถ้าเป็นตอนกลางวันผมก็อาจจะโดนไปแล้ว หรือถนนเป็นหลุมยุบลงไป อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวนะ สักวันอาจจะเป็นเราก็ได้” นายสุชัชวีร์ กล่าว

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า “คนที่ต้องทำหน้าที่แทนประชาชนทุกคนก็คือ ‘เจ้าของหน่วยงาน’ ได้แก่ กทม. กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การประปา การไฟฟ้า ซึ่งดูแลสาธารณูปโภค มีอำนาจ เป็นเจ้าของเงิน และต้องกำกับดูแลให้ผู้รับเหมาทำงานให้ตรงตามมาตรฐาน ไม่ใช่เรื่องที่มากเกินไปด้วย แค่ทำให้ตรงมาตรฐาน ซึ่งก็มีเช็กลิสต์ให้อยู่แล้ว ถ้าทำได้ จะทำให้ชีวิต ทรัพย์สินของคนไทยและคนกรุงเทพฯ ดีขึ้นแน่นอน”

“จากประสบการณ์ผม เหตุสลดที่เกิดขึ้นก็มาจากการไม่ได้มาตรฐานนี่แหละ ผมก็เลยอยากจะระดมรายชื่อ ให้ครบ 1 หมื่นชื่อ เพื่อที่จะเสนอกฎหมายก่อตั้ง ‘องค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ เพื่อจะได้เข้ามาดูแลเรื่องเหล่านี้ เหมือนอย่างในต่างประเทศ” นายสุชัชวีร์ กล่าว

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า “และที่น่าแปลกคือเมื่อมีเหตุการณ์สลดเกิดขึ้น จะให้องค์กร ๆ นั้นหาสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งมันไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว อาจจะเพราะขาดความเชี่ยวชาญ เนื่องจากต้องดูแลงานในส่วนอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นจะต้องมีองค์กรอิสระเข้ามาช่วยตรวจสอบ ค้นหาความจริง”

>> ตัวอย่างจากต่างประเทศ มีองค์กร / หน่วยงาน เข้ามากำกับดูแลเข้มงวด

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า “อย่างในเกาหลีใต้ เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์เรือเซวอลล่ม ทำให้เด็กนักเรียนเสียชีวิตหลายร้อยคน เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ และกระจายออกไปทั่วโลกเลย ส่งผลให้รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งกระทรวงความปลอดภัย เพราะเขามองว่า หากให้การท่าเรือ หรือ กระทรวงอุตสาหกรรมเข้ามาดูแล ก็กลัวว่าจะไม่ได้มาตรฐาน เมื่อมีกระทรวงใหม่ขึ้นมา ก็ทำให้วิศวกรที่ต่อเติมกฎหมายถูกลงโทษจำคุกเป็น 10 ปี เจ้าของเรือก็จำคุกหลายปี แม้กระทั่งยามชายฝั่งก็ถูกจำคุก เพราะหากมาเร็วกว่านั้น เด็ก ๆ คงไม่ตายเป็นร้อยคนขนาดนั้น”

“สำหรับประเทศไทย ไม่มีหน่วยงานที่จะคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน น่าเสียดายมากที่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดซ้ำซาก และจะเกิดขึ้นต่อไป หากเราไม่มีองค์กรอิสระเข้ามาดูแลเรื่องแบบนี้อย่างเต็มเวลา” นายสุชัชวีร์ กล่าว

>> ในส่วนของการเสนอร่างกฎหมาย จะเสนอในนามของภาคประชาชนใช่หรือไม่?

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า “ถูกต้องครับ ขณะนี้มีผู้ลงชื่อแล้วกว่า 5 พันคน จึงอยากจะขอร้องทุกท่าน เข้ามาที่เว็บไซต์ http://Suchatvee.com เข้ามาร่วมลงชื่อ เพื่อจะได้เสนอในนามภาคประชาชนได้ เป็นการทำเพื่อพวกเราทุกคน ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีใครทำ”

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า “ตั้งแต่เป็นนายกฯ วิศวกรรมสถานฯ ผมไม่เคยได้รับคำตอบ ไม่เคยได้รับการถอดบทเรียนมาให้เราได้เผยแพร่ต่อประชาชนเลย ถึงเวลาแล้ว ประเทศไทยอยู่แบบนี้ไม่ได้ ถึงเวลาเกิดเหตุร้าย ๆ แล้วเราไปร้องเรียน หน่วยงานนั้น ๆ ก็เงียบได้ เพราะไม่มีใครเข้ามากำกับดูแล แต่ถ้ามี ‘องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ จะทำหนังสือถึงอธิบดีฯ หากหน่วยงานรับผิดชอบยังชักช้า ก็จะรายงานถึงนายกรัฐมนตรี จะไม่มีใครกล้าช้า และก็สามารถรายงาน เผยแพร่เว็บไซต์ให้กับประชาชนได้ จะทำให้หน่วยงานต้นสังกัดเจอกระแสสังคม รับรองว่าจะไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน และเรื่องแบบนี้ก็มีเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งนั้น แต่ก็เสียดายที่เรื่องแบบนี้ ประเทศไทยเราล้าหลังจริง ๆ” 

“เรื่องความปลอดภัยก็เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าประเทศเราพัฒนาแล้ว อย่าคิดว่าเรามีรถไฟฟ้า มี 5G มีห้างสวย ๆ แล้วนั่นคือการพัฒนา มันไม่ใช่แบบนั้น คนไทยตายด้วยอุบัติเหตุมากติดท็อปโลก แบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เราปล่อยประเทศเราไปแบบนี้ไม่ได้หรอก ผมพูดในฐานะวิศวกร และคนที่มีครอบครัวอยู่ในกรุงเทพ” นายสุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย

รับชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่>> https://www.facebook.com/thestatestimes/videos/606689744824469 

ร่วมลงชื่อร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะได้ที่ >>  http://Suchatvee.com 

‘ศุภชัย’ ข้องใจ!! ขับ ‘รองอ๋อง-2 สส.คุกคาม’ 2 มาตรฐาน เตรียมยื่น กกต. สอบ หากพบผิดมีโทษถึง ‘ยุบพรรค’

(8 พ.ย. 66) นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกล ดำเนินการขับ 2 สส.พรรคก้าวไกล นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. และนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี กรณีการคุกคามทางเพศ ออกจากพรรค ซึ่งมีการดำเนินการเป็นขั้นตอนตามข้อบังคับพรรคก้าวไกล และกฎหมาย การดำเนินการเปิดเผยทุกกระบวนการ แตกต่างจากกรณีการขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกจากพรรคก้าวไกล เพราะไม่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน

“ผมจึงได้ยื่นเรื่องถึงนายทะเบียนพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบการพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ของนายปดิพัทธ์ โดยขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบว่าพรรคก้าวไกลได้ดำเนินกระบวนการทางวินัยกับนายปดิพัทธ์ ตามข้อบังคับพรรคก้าวไกล และตามกฎหมายถูกต้อง ครบถ้วนหรือไม่ โดยส่งแถลงการณ์พรรคก้าวไกล ลงวันที่ 28 ก.ย. 2566 เป็นเอกสารประกอบ” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า หากพิจารณาจากคำแถลงการณ์พรรคก้าวไกล คณะกรรมการบริหารชุดใหม่และผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลได้ประชุมร่วมกัน โดยให้นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคคนใหม่ รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และมีข้อความในแถลงการณ์ว่าให้นายปดิพัทธ์ ออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกลโดยมิได้มีการแถลงว่ามีการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง ตามข้อบังคับพรรคก้าวไกลข้อ 119 วงเล็บใด มีการดำเนินการทางวินัยสมาชิกตามข้อบังคับพรรค ก้าวไกลอย่างไร

นายศุภชัย กล่าวว่า ได้มีการริเริ่มกระบวนพิจารณาทางวินัยสมาชิกพรรค ตามข้อ 122 และมีการแสวงหา ข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานประกอบขึ้นเป็นสํานวนคํากล่าวโทษ ตามข้อ 123 หรือไม่ และได้ เรียก นายปดิพัทธ์ มาให้ถ้อยคําหรือโต้ยังคํากล่าวโทษตามข้อ 124 หรือไม่ มีการสรุปข้อเท็จจริง การพิจารณาและเหตุผลในการวินิจฉัยประกอบการทําคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินัยสมาชิกพรรค ตามข้อ 129 ถึงข้อ 131 หรือไม่ อีกทั้งยังไม่ปรากฏมติของพรรคก้าวไกลด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคก้าวไกลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101 (9)

“หากยังมิได้ดำเนินการดังกล่าวตามข้อบังคับ การดำเนินการของพรรคก้าวไกล ยังไม่ถูกต้องครบถ้วน นายปดิพัทธ์ ยังคงสภาพเป็นสมาชิกพรรค ก้าวไกล ไม่อาจไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นได้และจากแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ชี้แจงในทำนองว่า นายปดิพัทธ์ ลาออก โดยที่พรรคไม่ได้มีมติขับออกจากพรรคเพราะทำผิดวินัยร้ายแรง จะส่งผลให้สมาชิกภาพความเป็น สส.ของนายปดิพัทธ์ สิ้นสุดลงในทันที” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวว่า หากพรรคก้าวไกล มิได้มีการดําเนินการตามข้อบังคับพรรคก้าวไกลและกฎหมาย การกระทําดังกล่าวเป็นการสมคบคิดหรือ แสดงเจตนาลวง ระหว่างพรรคก้าวไกลกับนายปดิพัทธ์ อันเข้าข่ายกระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทําอันอาจเป็นปฏิปักษ์ หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัย ว่าเพียงแค่อาจเป็นปฏิปักษ์ ก็ต้องห้ามแล้วหาจําต้องมีเจตนา ประสงค์ต่อผล หรือต้องรอให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงขึ้นจริงเสียก่อนไม่

“หากนายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบแล้ว พรรคก้าวไกลมิได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อบังคับพรรคก้าวไกล และกฎหมาย และเป็นการสมคบคิดหรือแสดงเจตนาลวง โดยหวังผลเพื่อให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับตําแหน่งผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และ นายปดิพัทธ์ ยังคงดํารงตําแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป อันเป็นการสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายซึ่งเป็นการกระทําอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกรณีเป็นความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว ขอท่านได้โปรดยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อ สั่งยุบพรรคก้าวไกลต่อไป” นายศุภชัย กล่าว

‘รัฐบาล’ เผย!! ‘นทท.ต่างชาติ’ เพิ่มขึ้นทุกภูมิภาคในหนึ่งสัปดาห์ สร้างรายได้กว่า 9 แสนลบ. สะท้อนผลสำเร็จจากนโยบายรัฐฯ

(8 พ.ย.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย พบว่านักท่องเที่ยวชาวยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 28.75 หรือ 32,053 คน และนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียขยับเพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวเลขในช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2566 

นายชัย กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ (30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2566) จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลปรากฏว่า สถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยสอดคล้องกับการประเมินดังกล่าว โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 557,554 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 66) เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 10.26 หรือเพิ่มขึ้น 51,882 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทั้งสิ้นกว่า 954,239 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ

นายชัย กล่าวว่า โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวของเที่ยวบินจากยุโรป และภูมิภาคเอเชียตะวันออก การมีวันหยุดต่อเนื่องในเทศกาลดิวาลีของอินเดีย รวมทั้งสะท้อนผลสำเร็จจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งการยกเลิกบัตร ตม.6 ด่านสะเดา เป็นการชั่วคราว การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ วีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน รวมถึงการขยายวันพำนักให้กับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียอีกด้วย

นายชัย กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน พลิกฟื้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ พร้อมชื่นชมความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกันอย่างบูรณาการทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผลสำเร็จจากมาตรการเชิงรุกต่าง ๆ ของรัฐบาล

ไพ่เด็ด!! ‘ซอฟต์พาวเวอร์-ดิจิทัล วอลเล็ต’ สมการอำนาจละมุน ในกำมือ ‘อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา’

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่เอี่ยมอ่อง ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร’ นั่งเป็นประธานการประชุมพรรควันแรก นอกจากบอกกล่าวลูกพรรคเรื่องการได้พบทูตหลายประเทศแล้ว ยังได้เลี้ยวมาพูดถึงงานถนัดที่รับผิดชอบอย่าง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ที่เกิดอาการดรามามาจากผู้กำกับหนัง ‘สัปเหร่อ’ ที่พึมพำออกมาว่า “ซอฟต์พาวเวอร์หมายถึงอะไรกันแน่…??”

คุณหนูอุ๊งอิ๊งบอกกับที่ประชุมพรรค สรุปสั้น ๆ ว่า…

“ซอฟต์พาวเวอร์ อธิบายอย่างง่ายว่า เป็นอำนาจละมุน ไม่ต้องใช้อาวุธหรือความรุนแรง แต่เป็นอำนาจในการชนะใจผ่านวัฒนธรรม อาทิ ช็อกมิ้นต์ พอได้ความนิยมในช็อกมิ้นต์ขึ้น ช็อกมิ้นต์ขายดีขึ้น อันนี้คือวัฒนธรรมที่ถูกโอบรับโดยคนในประเทศ แต่นี่เป็นเพียงภาพเล็ก...สำหรับซอฟต์พาวเวอร์ที่กำลังเกิดขึ้นเราต้องการผลักดันให้ Global มากขึ้น โดยเรามี 11 สาขาที่ได้แถลงไปแล้ว…”

ก็ไม่มีอะไรผิดหรอก...กับคำว่า ‘อำนาจละมุน’ อะไรที่ว่า เพราะคำว่า ‘ซอฟต์แวร์’ ราชบัณฑิตยังแปลว่า ‘ละมุนภัณฑ์’ เลย แต่ถ้าไปถาม สว.กวีซีไรท์ อย่างเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ แกจะบอกว่า ซอฟต์พาวเวอร์ หากจะแปลตรง ๆ คือ ‘ไม้นวม’ แต่ความหมายจริง ๆ ของมันน่าจะเป็นว่า…

‘ภูมิพลังวัฒนธรรม’

อันนี้ เล็ก เลียบด่วน ค่อนข้างเห็นด้วยกับคำของอาจารย์เนาวรัตน์นะ แต่ที่สุดของที่สุด ตอนนี้ไม่มีใครยอมเรียกขานด้วยภาษาไทยหรอก…

คงจะใช้ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ทับคำทับศัพท์กันสถานเดียว…

ก็ต้องรอ ‘อุ๊งอิ๊งค์’ เธอโชว์ผลงานชิ้นโบแดง หนึ่งในนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ปีหน้าก็คงมีการเสนอกฎหมายรองรับองค์กรของซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะแข็งแกร่งกว่าองค์การมหาชน…

แต่นโยบายเรือธงที่ร้อนฉ่ากว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ คือ นโยบายเติมเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่ทั้งนายกฯเศรษฐา และคุณอุ๊งอิ๊ง เรียกร้องให้ สส. ของพรรคช่วยกันตีปี๊ป...แต่จะตีปี๊ปว่าอย่างไรต้องรอการแถลงของนายกฯ ในวันที่ 10 พ.ย. เพียงคนเดียว…

‘เล็ก เลียบด่วน’ พยายามเลียบ ๆ เคียง ๆ กระซิบถาม สส.พรรคเพื่อไทย 2-3 คนว่า เค้าโครงรูปร่างของดิจิทัล วอลเล็ต เป็นอย่างไร ได้รับคำตอบเหมือนกันว่า.. “ตอบไม่ได้จริง ๆ เพราะนายกฯ ยังไม่บอก…” ก็ว่ากันไป...รอลุ้นระทึก ว่าจะ ‘เปรี้ยงปร้าง’ หรือ ‘โป้งจอด’ 

แต่ก่อนถึงวันที่ 10 พ.ย. ก็คือ วันที่ 9 พ.ย. นายกฯ มีออร์เดิร์ฟร้อน ตอน 19.00 น. ทางช่อง 11 หอยม่วง รายการพิเศษ ‘Chance of Posibility จากนโยบายสู่การลงมือทำจริง 60 วันภายใต้รัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน’ ให้ดูชม…

แถลงผลงานวันที่ 9 และ 10 พ.ย. เสร็จ วันที่ 12 พ.ย. นายกฯ ของเราก็จะเหาะเหินไปประชุมเอเปกในวันที่ 12 พ.ย. ให้ ‘บิ๊กอ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รักษาราชการแทน…

ไป ๆ มา ๆ นายกฯ เศรษฐา ‘นายกฯ สูงยาวถุงเท้าแดงของเรา’ ที่ดูเก้ ๆ กัง ๆ และพลาดพลั้งบ่อยในการพูดจา…ทำท่าจะตีตั๋วยาว เพราะสายข่าวแจ้งว่า คุณหนูอุ๊งอิ๊งต้องใช้เวลาบ่มเพาะบารมีอีกพักใหญ่ ๆ ด้วยความละมุน ในขณะที่เศรษฐาก็ปรับตัวเข้าที่เข้าทางมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความละมุนกว่าเดิม

ถ้าไม่สะดุดขาตัวเอง หรือก้าวพลาดจริง ๆ รัฐบาลเพื่อไทยก็ลากยาวต่อไปเรื่อย ๆ...ทั้งหัวหน้าพรรคและนายกฯ อยู่ในช่วงอำนาจละมุน…

ใครเสี้ยมให้ระแวงให้ทะเลาะกันช่วงนี้เสียเวลา…ไม่เชื่อไปถามคนป่วยชั้น 14 รพ.ตำรวจ!!

‘กลุ่มธุรกิจไทย’ เผย งาน ‘CIIE’ หนุนการสื่อสาร-ขยายตลาดดียิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถการค้า-เจาะกลุ่มเป้าหมายตรงจุด-กระตุ้นยอดขายพุ่ง

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, กรุงเทพฯ รายงานว่า ผู้นำวงการธุรกิจไทย กล่าวว่า ‘งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน’ (CIIE) ครั้งที่ 6 ถือเป็นงานแสดงสินค้าระดับสูง ที่มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชั้นนำเข้าร่วม และสร้างเวทีอันกว้างใหญ่สำหรับผู้ประกอบการต่างชาติเข้าสู่ตลาดจีน

‘หลี่เจียชุน’ วัย 48 ปี ผู้ค้าอัญมณี และประธานสมาคมนักธุรกิจยุคใหม่ไทย-จีน ย้ายมาไทยพร้อมกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก และก่อตั้ง ‘บริษัท ไทยแลนด์ หย่งไท่ จิวเวลรี จำกัด’ (Thailand Yongtai Jewelry) ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งนำสู่การมีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจการค้าอัญมณี

หลี่ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว ก่อนมีการจัดงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 5-10 พ.ย. ว่า งานมหกรรมฯ ขยับขยายกลุ่มมิตรสหาย และเขาเข้าร่วมงานทุกครั้งมาตั้งแต่ปี 2018 โดยปีนี้นับเป็นการเข้าร่วมงานครั้งที่ 6 แล้ว

ไทยเป็นศูนย์กลางการแปรรูปทับทิมและไพลินระดับโลก และอัญมณีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเสาหลักของไทย โดยหลี่และบริษัทของเขาได้เข้าร่วมงานมหกรรมฯ ตามคำเชิญจากตลาดแลกเปลี่ยนอัญมณีและหยกแห่งประเทศจีน (China Gems & Jade Exchange) ในปี 2018

หลี่ กล่าวว่า บริษัทของเขาได้ลงนามสัญญาจะซื้อจะขายจำนวนมาก และทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่งานมหกรรมฯ รวมถึงแข่งขันกับแบรนด์ชื่อดังมากมาย และเรียนรู้จากแต่ละฝ่ายผ่านงานนี้ ขณะเดียวกันสามารถสื่อสารกับลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มชื่อเสียงของเราในจีน

งานมหกรรมฯ ในปีนี้จัดทางออฟไลน์อย่างเต็มรูปแบบ และบูธของหลี่ขยายพื้นที่จากเดิม 36 เป็น 72 ตารางเมตร โดยขนาดบูธที่เพิ่มขึ้นสะท้อนความน่าดึงดูดของงานมหกรรมฯ ที่มีต่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วม และเขาขยายบูธเพราะเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์มากมายจากงานนี้

หลี่ เผยว่า งานมหกรรมฯ ไม่เพียงแสดงการเปิดกว้างของตลาดจีน แต่ยังแสดงพัฒนาการของบริษัทเขาตลอดหลายปีมานี้ด้วย โดยการขยายบูธเป็นเครื่องแสดงการหยั่งรากลึกในตลาดจีนยิ่งขึ้น และปีนี้เขาวางแผนนำเสนออัญมณีกว่า 1,000 รายการ และเพชรพลอย 5,000 กะรัต

การเจรจาพูดคุยกับลูกค้าชาวจีนโดยตรง ทำให้หลี่พบว่า ความเข้าใจของลูกค้าชาวจีนที่มีต่อวัฒนธรรมอัญมณีนั้นลึกซึ้งเพิ่มขึ้น โดยชาวจีนแสวงหาและรู้จักอัญมณีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามกำลังการบริโภคที่พัฒนาดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะความต้องการของลูกค้ามีความหลากหลายเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเขาเชื่อว่าอุตสาหกรรมอัญมณีในจีนมีโอกาสรออยู่มากมาย

นอกจากมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ หลี่ยังมีส่วนร่วมช่วยผู้ประกอบการชาวไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ผ่านสมาคมฯ โดยเขานำพาผู้ผลิตอัญมณีไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งแรกในปี 2018 มากกว่า 40 ราย และตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 70 รายในงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 2 ซึ่งครอบคลุมผู้จัดแสดงสินค้าอาหารและการแพทย์ด้วย

ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี ‘แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (BRI) ที่นำเสนอโดยจีน ซึ่งงานมหกรรมฯ ที่เป็นงานแสดงสินค้านำเข้าระดับชาติงานแรกของโลก มีกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ เข้าร่วมกันอย่างแข็งขัน โดยปัจจุบันมีบริษัทจากกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ลงทะเบียนเข้าร่วมนิทรรศการผู้ประกอบการและธุรกิจของงานมหกรรมฯ ครั้งนี้มากกว่า 1,500 แห่ง

หลี่ กล่าวว่า งานมหกรรมฯ สร้างโอกาสใหม่แก่ไทยและกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ในการเข้าสู่ตลาดจีน โดยรัฐบาลไทยยกย่องงานมหกรรมฯ เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมการค้า และกระตุ้นบริษัทต่างๆ เข้าร่วมอย่างแข็งขันเป็นจำนวนมาก

“เราจะยังคงส่งเสริมผู้ประกอบการชาวไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ และนำเสนอสินค้าไทยสู่ตลาดจีนมากขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันจะมุ่งนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูงจากจีนมาสู่ไทยและทั่วโลกด้วย” หลี่ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top