Monday, 23 June 2025
NewsFeed

‘ภูมิธรรม-นลินี’ เยือนนครเซี่ยงไฮ้ เดินหน้าหนุนเจาะการค้าจีนระดับท้องถิ่น จ่อคว้าโอกาสประชุม JC ‘ไทย-จีน’ ขยายตลาดใหม่-ส่งออกสินค้าไทยเพิ่ม

(8 พ.ย. 66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 4 - 6 พ.ย. 66 ว่า การได้พบกับนายหวัง เหวินเต้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน เป็นโอกาสอันดีที่ได้กระชับความสัมพันธ์ทางด้านการค้าของทั้งสองประเทศ โดยในปีนี้จีนได้จัดงาน ‘China International Import Expo’ (CIIE) ครั้งที่ 6 ขึ้น ตามนโยบายการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจของจีนที่ให้ประเทศต่าง ๆ มีส่วนร่วม ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมงานใน 2 ส่วน คือ การจัดนิทรรศการ ‘Country Exhibition Thailand Pavilion’ ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศไทย และการจัดแสดงสินค้า ‘Enterprise and Business Exhibition’ เน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตรของไทย ซึ่งมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก

ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง และทั้งสองฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เสร็จสิ้นแล้วจึงเป็นโอกาสอันดี ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (JC) ไทย - จีน ครั้งที่ 7 ในระยะอันใกล้นี้ เพื่อสานต่อเป้าหมายทางการค้าและจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมฉบับใหม่ การเปิดตลาดสินค้าเกษตร การอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างไทยและจีน เพื่อส่งเสริมการขยายมูลค่าการค้ากันระหว่างกัน

“ที่ผ่านมาไทยและจีนมีความร่วมมือทางการค้าลงไปถึงในระดับมณฑล/ท้องถิ่น โดยกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้จัดทำบันทึกความเข้าใจกับเมืองหรือมณฑลของจีนแล้ว 4 ฉบับ คือ ไห่หนาน กานซู่ เซินเจิ้น และยูนนาน โดยในอนาคตจะทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางการค้ากับเมืองหรือมณฑลอื่นเพิ่มเติม เช่น เซี่ยเหมิน ซานซี เฮร์หลงเจียง และเหอเป่ย

ทั้งนี้ จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ที่มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกับไทยสูงที่สุดติดต่อกันถึง 11 ปี ตั้งแต่ปี 2556 โดยปีที่แล้วมีมูลค่าการค้ารวม 105,196.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าส่งออกหลักของไทยไปจีน ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก มันสำปะหลัง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ เป็นต้น” นางนลินี กล่าว

‘รศ.ดร.ดนุวัศ’ แนะ!! 6 หนทาง พลิกไทยโตยั่งยืน ยัน!! แนวคิดแจกเงินหมดคลัง ไม่ช่วยคนไทยรวย

จากรายการ CONTRIBUTOR EP.29 ออนแอร์ผ่านช่องทาง THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 6 พ.ย.66 ได้เปิดเผยถึงแนวทางปฏิรูปประเทศไทยต่อจากนี้ ซึ่งจะมีผลลัพธ์อันดีต่อการเติมเงินลงไปในกระเป๋าคนไทยได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังส่งผลไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโตได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ผ่านมุมมองของ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่กล่าวไว้ว่า…

จากนี้ไป คือ ช่วงเวลา ‘วัดกึ๋น’ ผู้บริหารของประเทศไทย!!

หากต้องการสร้างเศรษฐไทยยุคใหม่ ที่มีทั้งความปลอดภัยให้แก่ระบบเศรษฐกิจ, การคลัง และสร้างรายได้แก่ประชาชนได้อย่างยั่งยืน ผู้นำของประเทศ จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะขับเคลื่อนแนวทางเหล่านี้ให้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ดังนี้...

>> เรื่องแรก ‘ปฏิรูป’
สถานการณ์ของประเทศไทยในวันนี้ แค่ ‘เปลี่ยน’ หรือปรับ ไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะปัญหาต่าง ๆ บางทีต้องรื้อใหม่ตั้งแต่โครงสร้าง ซึ่งผมมองว่า ต่อจากนี้ประเทศไทยต้องใช้คำว่า ‘ปฏิรูป’ โดยการปฏิรูปนี้ต้องเข้าไปสะเทือนหลายโครงสร้างของประเทศ ทั้งการเมือง, เศรษฐกิจ, การศึกษา องค์กรด้านความมั่นคง และกฎระเบียบที่ย่อหย่อน ต้องเขย่ากันใหม่ตั้งแต่รากฐาน ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ดี แต่ไม่พอ อย่างเรื่องการศึกษา พูดมานาน ทั้งแนวทางการเรียนการสอนแบบใหม่ การพัฒนาบุคลากรครูผู้สอน และรวมถึงการเท่าทันกับเทรนด์อาชีพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหล่านี้พูดกันมานาน แต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น นั่นก็เพราะมันไม่ง่าย เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องเยอะ กระทบคนเยอะ นี่จึงเป็นตัววัดฝีมือผู้บริหารประเทศที่ต้องทรงวิสัยทัศน์

>> เรื่องที่ 2 ‘ตระหนักใน 3 ทักษะเปลี่ยนโลก’
ในโลกยุคการศึกษา 4.0 มี 3 เรื่องใหญ่ ๆ ที่ภาคการศึกษาต้องทำ นั่นก็คือ 

1. ทักษะด้านดิจิทัล ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโค้ดดิ้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็เห็นว่าระบบการศึกษาไทยกำลังให้ความสำคัญอยู่ 

2. ทักษะในการเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ต้องเท่าทันโลก 

3. ทักษะด้านซอฟต์สกิล ซึ่งเป็นเรื่องของภาวะส่วนบุคคล ที่ต้องมีไหวพริบ ควบคุมอารมณ์ได้ดี มีทักษะในการอยู่ร่วมกันในสังคม เพื่อนำมาสู่การทำงานและสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือทำงานกันเป็นทีมได้ ซึ่ง 3 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ World Economic Forum ให้ความสำคัญกับการอยู่ในโลกดิจิทัลอย่างมาก แต่โลกการศึกษาไทยอาจจะยังไม่ได้เน้น และเราต้องเร่งขับเคลื่อนเรื่องนี้ เพราะผมมองว่ามันสำคัญมากกับการใช้ชีวิตในโลกยุคหลังจากนี้

>> เรื่องที่ 3 ‘โลกนอกกะลา’
การเปิดรับต่อองค์ความรู้นอกประเทศ เป็นสิ่งที่ยังเป็นปัญหาในสังคมไทย ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องฝากความหวังไว้ที่สื่อบ้านเรา ช่วยเปิดโลกให้คนไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในต่างประเทศ ทั้งการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม, การศึกษา และเรื่องอื่น ๆ ต้องเติมเข้ามาให้คนไทยได้รับรู้กันมากขึ้น เพราะในวันนี้คนไทยจำนวนไม่น้อย เริ่มคิดว่า พวกเขาคือ ศูนย์กลางของจักรวาล สิ่งที่เขารู้คือสิ่งที่เป็นบรรทัดฐาน และคิดว่าเรื่องราวแคบ ๆ ในประเทศ คือ คำตอบที่ถูกต้อง …ผมเคยถามคำถามหนึ่งกับนักศึกษาว่า รู้ไหมนายกฯ คนก่อนของเยอรมนี (อังเกลา แมร์เคิล) อยู่ในตำแหน่งกี่ปี ไม่มีใครตอบได้ …เขาอยู่ในตำแหน่ง 16 ปีครับ แต่บ้านเราพอมีนายกฯ ที่อยู่ในตำแหน่ง 8 ปีก็โวยวายกันแล้ว เป็นต้น

>> เรื่องที่ 4 ‘หยุดสร้างผลงานเพื่อเรียกคะแนนเสียง’
ด้วยหนทางในการต่อสู้ทางการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศ พรรคการเมืองโดยมากก็มักจะสร้างผลงานระยะสั้นออกมา เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเข้าไปปฏิรูปโครงสร้างบางอย่างที่แม้จะเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็มักจะใช้เวลานาน แต่ผมอยากให้เห็นภาพแบบนี้ว่า เรื่องโครงสร้างพื้นฐานบ้านเรา ที่กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้รัฐบาลที่อยู่ต่อเนื่องนาน ๆ อาจจะไม่ได้เห็นก็ได้ เฉกเช่นเดียวกันกับระบบคมนาคมขนส่งในยุโรป, อังกฤษ, อเมริกา กว่าจะทำได้ก็เป็น 100 ปี หรือ ชินคันเซ็น ในญี่ปุ่นก็สร้างมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลลัพธ์ของมันคือ เมื่อระบบโครงสร้างที่ดีเกิดขึ้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจไหลตามมาโดยอัตโนมัติ เหมือนที่ญี่ปุ่น สถานีรถไฟใหญ่ ๆ อยู่ตรงไหน ความเจริญจะอยู่ตรงนั้น เกิดห้าง, โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ร้านขายของ และอีกมากมายที่มีเม็ดเงินมหาศาลเกิดการหมุนเวียนในพื้นที่ ฉะนั้นนโยบายที่มาจากแรงผลักดันทางการเมือง เพียงเพื่อล่าคะแนนเสียงจากประชาชนในช่วงเลือกตั้ง ไม่ยั่งยืน!! 

>> เรื่องที่ 5 ‘สร้างคนต้นน้ำ-ปลายน้ำ’
ประเทศไทยต้องยกระดับขึ้นไปทั้งแผง ต้องผสานพลังขนานใหญ่จากทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน โดยเฉพาะกับบุคลากร ที่ต้องสร้างกันตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ’ แบบเข้มแข็ง เริ่มที่ระบบการศึกษาที่ต้องสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัลโลก ตลาดงาน รวมถึงสถาบันครอบครัวก็ต้องเข้มแข็งด้วย ขณะเดียวกันในส่วนของ ‘ปลายน้ำ’ ก็ต้องส่งเสริมให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หรือ SMEs เหล่านี้ต้องสอดคล้องไปด้วยกัน ตลาดงานได้คนเก่ง สร้างการเติบโตทางธุรกิจ แล้วภาษีก็จะไหลวนคืนสู่ประเทศ แต่วันนี้ทุกภาคที่ว่ามายังแยกเป็นส่วน ๆ ไม่ทำงานประสานพลังกัน เราต้องยกระดับหลากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทำงานร่วมมือกัน ก้าวขึ้นไปพร้อมกันแบบยกแผง

>> เรื่องที่ 6 ‘แจกเท่าไร คนไทยก็ไม่รวย’
วิธีง่าย ๆ ในการทำให้คนที่เงินในกระเป๋ามากขึ้น ก็คือ แจกเงิน เพิ่มรายได้ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำได้ทันที ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แต่โจทย์นี้มันไม่ง่าย หากต้องการให้เงินในบัญชีคนไทยงอกเงยได้อย่างยั่งยืน ซึ่งก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องชี้วัดเชิงนโยบายว่าผู้บริหารประเทศมีความแหลมคมแค่ไหน กลับกันคนไทยจะมีเงินในกระเป๋าได้มากขึ้นจริง ๆ ต้องมาจากความสามารถในการทำงานที่มากขึ้น แล้วรายได้ที่ความมั่นคงอย่างยั่งยืนจะมากตาม ฉะนั้นแจกเงินหมดคลังไป คนไทยก็ไม่รวย

เหล่านี้เป็นโจทย์สำคัญ ที่ผู้นำของประเทศ, รัฐบาล และทุกหน่วยงานที่จะมีบทบาทต่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย คงจะรอช้าไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่า แนวคิด ‘ปฏิรูป’ นี้มันไม่ง่าย แต่ถ้าไม่ทำตอนนี้ โอกาสที่จะเติมเงินใส่กระเป๋าคนไทย และสร้างสรรค์เศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้กว่าที่เป็นอยู่อย่างยั่งยืน ก็คงจะไม่ง่ายด้วยเช่นกัน และการสร้างแค่นโยบายเชิงประชานิยม จนทำให้คนในประเทศเสพติดจนเป็นนิสัย ก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาอีกด้วย

‘ชัยวุฒิ’ มอง ห้ามซื้อเหล้าหลังเที่ยงคืน แค่จำกัดสิทธิ์ ชี้ ไม่ช่วยทำให้คนเลิกเหล้า – ดื่มน้อยลง 

‘ชัยวุฒิ’ ระบุ จำกัดเวลาซื้อเหล้าหลังเที่ยงคืน เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ชี้ ไม่ช่วยให้คนเลิกเหล้าหรือลดการดื่ม เชื่อมีวิธีอื่นที่ทำแล้วได้ผลมากกว่า ถึงเวลาเลิกดัดจริตได้แล้ว 

จากกรณีที่มีการถกเถียงถึงประเด็นขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 เพื่อช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยว แต่สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึงตี 2 เท่านั้น

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้มุมมองต่อประเด็นดังกล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่าการกำหนดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นการจำกัดสิทธิ์ประชาชน เลิกดัดจริตได้แล้ว !!

ทั้งนี้ การรณรงค์ไม่ให้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังเที่ยงคืนถึงตี 4 หรือแม้ว่าจะเปิดขาย 24 ชั่วโมง เชื่อว่า ไม่มีผลต่อการทำให้คนเลิกเหล้าหรือลดเหล้า เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันมีการจำกัดเวลาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากคนอยากจะดื่มเหล้าหลังเที่ยงคืน ก็สามารถหาซื้อได้อยู่แล้ว

“อย่าไปดัดจริตเลยครับ มันปฏิบัติไม่ได้หรอก เพราะวิถีชีวิตคนไทยไม่ได้ทุกอย่างเป๊ะตามเวลาขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าการรณรงค์เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ ควรจะไปทำแบบอื่น ซึ่งมีวิธีอื่นอีกเยอะที่สามารถทำได้ผลมากกว่า ส่วนเรื่องจำกัดเวลา หากมองให้ลึกลงไป ถือเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากเกินจำเป็น ควรจะยกเลิกได้แล้ว”

ในส่วนของคนบางกลุ่มที่มองว่า การเที่ยวสังสรรค์อาจจะทำให้เสียงานนั้น นายชัยวุฒิ มองว่า ในปัจจุบัน คนมีวุฒิภาวะมากขึ้น บ้านเมืองเจริญขึ้น ในส่วนของการสังสรรค์ ดื่มเหล้าของคนทำงานนั้น เชื่อว่าคนส่วนใหญ่รู้เวลาที่เหมาะสม อย่างเช่น การเที่ยวสังสรรค์ในวันหยุดบ้าง ตามวิถีชีวิตของคนที่เขาไม่ต้องทำงาน เมื่อมีเวลาก็อยากดื่มอยากสังสรรค์กับเพื่อน ทั้งนี้ กฎระเบียบหรือกฎหมายเก่า ๆ ที่จำกัดสิทธิ์บางอย่าง ซึ่งทำให้คนไทยเป็นเหมือนคนที่ไม่มีเหตุผล และไม่มีวุฒิภาวะ ควรจะปรับปรุงแก้ไข และเลิกดัดจริตได้แล้ว อะไรที่ทำได้ หรืออะไรที่ไม่ควรทำ ก็ยึดเอาจริงตามนั้น อย่าไปฝืนธรรมชาติมากเกินไป

‘รองผู้ว่าฯ’ สงสัย!! เพราะ ‘โครงสร้างพัง’ หรือ ‘ขนหนักเกิน’ หลังเกิดเหตุ ‘ถนนยุบ’ กลืนรถบรรทุกหายไปเกือบทั้งคัน

(8 พ.ย.66) ที่ปากซอยสุขุมวิท 64/1 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทม. พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุฝาท่อปิดถนนทรุด ซึ่งมีรถสิบล้อตกลงไป เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ซึ่งบ่อดังกล่าวเป็นบ่อร้อยสายไฟของการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งต้องตรวจสอบว่าเป็นเพราะสาเหตุใดถึงยุบตัว โดยอาจเกิดจากการบรรทุกน้ำหนักเกิน ได้ติดต่อประสานทางหลวง มาตรวจวัดว่ารถบรรทุกดังกล่าวน้ำหนักเกินหรือไม่ รวมทั้งปัญหาของการปิดเปิดฝาที่เปิดไว้ เพื่อดำเนินการร้อยสายไฟลงดิน อาจมีปัญหาเรื่องความแข็งแรง

บรรยากาศช่วงหนึ่งของการลงพื้นที่ นายวิศณุ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า บทสรุปตอนนี้จะมีการยกรถขนดินออก โดยมีการคุยว่าเราต้องชั่งน้ำหนักรถก่อน แต่เนื่องจากรถมีน้ำหนักเยอะ จึงจะต้องแยกชั่งน้ำหนักดินออกแล้วนำไปเก็บไว้อีกคัน ซึ่งตอนนี้สงสัยเรื่องการบรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้โครงสร้างถนนพัง หรือน้ำหนักปกติ แต่โครงสร้างเกิดการพังเอง ก็ต้องพิสูจน์กัน

“เรื่องนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เราก็จะเก็บข้อมูล โดยการเอาตาชั่งเข้ามาวัด แต่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้ คือเร่งเปิดการจราจร จะต้องมีการยกรถออก เสร็จแล้วการไฟฟ้านครหลวง ก็จะเสริมเสาบ่อใหม่ โดยใช้คานเหล็กใหม่เป็น 2 ตัว จากเดิมที่มีตัวเดียว ซึ่งตามการออกแบบมันเพียงพอ แต่ต้องเผื่อไว้ และปิดฝาบ่อ ซึ่งอาจจะเปิดการจราจรได้เร็วที่สุดภายในเย็นนี้ ให้ทัน เพราะรถจะติดมาก แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการจราจรเส้นนี้ ถ้าไม่จำเป็นก็หลีกเลี่ยงไปก่อน ตอนนี้จะรีบยกออกก่อน แล้วก็ปิดฝาบ่อให้ได้ เสริมโครงสร้าง แล้วก็เปิดการจราจร อันนี้คือเรื่องด่วนที่สุดแล้ว” นายวิศณุกล่าว

นายวิศณุ กล่าวอีกว่า เรื่องการดำเนินการเอาผิด ตอนนี้ก็ต้องดูเรื่องน้ำหนักรถบรรทุก ต้องเอาเครื่องชั่งที่กำลังเข้ามาชั่งว่า รถบรรทุกคันนี้น้ำหนักเท่าไหร่ เราก็เข้มงวดในเรื่องของการ ควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก ความจริงแล้วตั้งแต่เกิดเหตุที่มักกะสันมา เราได้รับแจ้งเหตุจาก กรมทางหลวง แต่ กทม.ไม่มีเครื่องมือวัดน้ำหนักรถบรรทุก

“ช่วงระยะสั้น เร่งด่วนที่สุดเลย ก็ประสานงานขอความร่วมมือจากกรมทางหลวง และจะขอความร่วมมือไปยังกรมทางหลวงชนบทด้วย เพื่อขอทีม Mobile Unite หรือ หน่วยวัดเคลื่อนที่ ไปวัดตามจุดเสี่ยงที่จะเกิด เช่น ใกล้ไซต์งานก่อสร้าง ที่เราจะเข้มงวดกวดขันมากขึ้น” นายวิศณุ กล่าว

นายวิศณุ กล่าวอีกว่า บทลงโทษค่อนข้างแรง ตามกฎหมายพ.ร.บ.ทางหลวง การบรรทุกน้ำหนักเกินมีโทษรุนแรง ด้านเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่อยู่ภายความดูแลของ กทม. ก็คือเจ้าหน้าที่ทางหลวงท้องถิ่น หรือ เส้นทางที่อยู่ในพื้นที่ของกรมทางหลวง ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงจะเป็นคนกำกับดูแล เราตรวจจับได้แล้วส่งตำรวจ ซึ่งตำรวจจะเป็นคนทำสำนวนเพื่อแจ้งข้อหาต่อไป โทษรุนแรง

'รมว.พลังงาน' ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมัน คาด 2-3 วัน ปริมาณการใช้น้ำมันจะเข้าสู่สภาวะปกติ

จากกรณีที่มีการเผยแพร่สถานีบริการน้ำมันหลายแห่งไม่มีน้ำมันให้บริการ โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 รวมถึงน้ำมันประเภทอื่นที่ลดราคาตามมาตรการรัฐบาลและกระทรวงพลังงานที่ลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินเพื่อช่วยลดภาระประชาชนจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานนั้น

(8 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวว่าสถานีบริการน้ำมันบางแห่งมีน้ำมันไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า...

ปริมาณการใช้น้ำมันช่วงก่อนหน้าที่จะมีการลดราคาน้ำมัน โดยเฉพาะในช่วงระหว่างวันที่ 4 - 6 พฤศจิกายน 2566 ตัวเลขเบื้องต้น มีการใช้น้ำมันลดลงกว่า 60% ซึ่งปกติน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 จะมีการใช้ประมาณวันละ 17 ล้านลิตร ก็เหลือเพียงประมาณวันละ 7 ล้านลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงจากวันละ 6 ล้านลิตร เหลือวันละประมาณ 2 ล้านลิตร รวมทั้ง E20 และ E85 ก็มีปริมาณลดลงเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะประชาชนได้รับทราบข่าวสารล่วงหน้าในนโยบายการลดราคาน้ำมันเบนซินของกระทรวงพลังงาน จึงชะลอการใช้บริการ

นอกจากนั้น ก็มีการเปลี่ยนการเติมชนิดน้ำมันจากน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มาเป็น 91 ทำให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ทางกรมธุรกิจพลังงาน ก็ได้มีการสั่งการให้ผู้ค้าน้ำมันให้เตรียมปริมาณน้ำมันสำรองในสถานีบริการให้เพียงพอ แต่เนื่องจากประชาชนได้ชะลอการเติมในช่วงก่อนที่จะมีการลดราคาน้ำมัน ทำให้วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งเป็นวันแรกที่มีการลดราคาน้ำมัน ทำให้ปริมาณการใช้เพิ่มสูงขึ้นมากจนหลายสถานีบริการมีปริมาณน้ำมันไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย 

อย่างไรก็ดี ทางกรมธุรกิจพลังงานได้สั่งการให้ผู้ค้าน้ำมันเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็วเพื่อลดผลกระทบกับประชาชน คาดว่าภายใน 2 - 3 วันนี้ การใช้บริการจะกลับสู่ภาวะปกติ

“หลังจากที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ผมได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงานเร่งประสานผู้ค้าน้ำมันทุกราย เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบการใช้น้ำมัน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบก็พบว่า ปริมาณการเติมน้ำมันในช่วงวันที่ 4 - 6 พฤศจิกายน ลดลงเป็นอย่างมาก คาดว่าน่าจะเกิดจากประชาชนได้ชะลอการเติมน้ำมันเพื่อที่จะมาเติมน้ำมันในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งจะเป็นการลดราคาน้ำมันเป็นวันแรก จึงคาดว่าภายใน 2 – 3 วันนี้ ปริมาณน้ำมันในสถานีบริการจะเข้าสู่ภาวะปกติ และขอย้ำว่าการปรับลดราคาครั้งนี้ เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน สถานีบริการไม่ได้รับการชดเชยจากภาครัฐ ดังนั้น สถานีบริการที่ซื้อน้ำมันในราคาสูงก่อนหน้าวันปรับลดราคาจะขาดทุนในสต๊อก จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะกักตุนน้ำมัน แต่จากราคาที่ลดลงส่งผลให้ประชาชนชะลอการเติมน้ำมันก่อนหน้านี้เพื่อรอเติมน้ำมันราคาต่ำในวันที่เริ่มปรับลดราคาพร้อม ๆ กัน ทำให้สถานีบริการน้ำมันหมด ซึ่งจะเกิดในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ” นายพีระพันธ์ุ กล่าว

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงได้ลงนามคำสั่งกระทรวงพลังงานที่ 47/2566 แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ติดตามและ ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการไม่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศขึ้นทันที

“เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อนและได้รับบริการจากสถานีน้ำมันตามปกติ ผมจะให้คณะทำงานชุดนี้รับเรื่องมาและตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน โดยประชุมกันแล้วในบ่ายวันนี้ เพื่อกำหนดแนวทางการตรวจสอบสถานีบริการทั่วประเทศ และจะจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกรณีเป็นการเฉพาะที่กระทรวงพลังงาน โดยประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ที่ โทร. 02 140 7000 และหากพบว่าสถานีบริการหรือผู้ประกอบการใดตั้งใจงดให้บริการประชาชนจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายทันที” นายพีระพันธุ์กล่าวทิ้งท้าย

‘หมอมนูญ’ เตือน ปลายฝนต้นหนาว ‘ไวรัส hMPV’ ระบาดหนัก สยอง!! ไม่มียาต้านไวรัส-ไม่มีวัคซีนป้องกัน ต้องรักษาตามอาการ

(8 พ.ย. 66) นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ข้อความแจ้งเตือนเรื่องไวรัส hMPV ระบาดช่วงปลายฝนต้นหนาว ผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC’ ระบุว่า…

“ช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว คือตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน มีการระบาดของเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส Human Metapneumovirus (hMPV) ควบคู่ไปกับเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV)

“อาการของโรคนี้คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 และ RSV มีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว ไอ มีเสมหะ มีน้ำมูก เหนื่อย หายใจไม่สะดวก แยกยากจากไวรัสตัวอื่น ๆ ต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการถึงจะบอกได้

“ปัจจุบันการตรวจ hMPV ทำได้ง่ายโดยการแยงจมูก ให้ผลเร็ว ทำให้พบเชื้อนี้มากกว่าแต่ก่อน พบบ่อยในกลุ่มเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ เชื้อไวรัส hMPV มักจะเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนล่างหลอดลมและปอดในคนสูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน หอบหืด โรคไต ทำให้เกิดอาการเหนื่อย จนต้องให้ออกซิเจน บางคนถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว เชื้อนี้ไม่มียาต้านไวรัสและไม่มีวัคซีนป้องกัน ให้การรักษาตามอาการ

“ผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง มาโรงพยาบาลวันที่ 24 ตุลาคม 2566 ด้วยไอมาก มีน้ำมูกใส เจ็บคอบ้าง เหนื่อย หายใจลำบาก 1 วัน มีไข้สูง ตรวจร่างกาย อุณหภูมิ 39 องศาเซลเซียส มีเสียงผิดปกติในปอด ขาบวมเล็กน้อย เจาะเลือด เลือดจางเล็กน้อย เม็ดเลือดขาวปกติ

“การทำงานของไต BUN 96 Cr 8.9 ระดับออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้วต่ำมาก 84% เอกซเรย์ปอดมีฝ้าขาวในปอดทั้ง 2 ข้าง(ดูรูป) แยงจมูกตรวจหาแอนติเจนของไวรัส พบเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) ให้ออกซิเจนด้วยอัตราการไหลที่สูงทางจมูก (High-flow nasal cannula)

“ให้สเตียรอยด์ ต่อมาต้องฟอกไต เอกซเรย์ปอดแย่ลง แล้วค่อย ๆ ดีขึ้น (ดูรูป) อาการเหนื่อย ไอค่อย ๆ ดีขึ้น นอนรักษาในรพ. 12 วัน ในที่สุดเอกซเรย์ปอดดีขึ้นมาก (ดูรูป) กลับบ้านได้ ไม่ต้องใช้ออกซิเจน

“ภรรยาผู้ป่วยอายุ 68 ปี แข็งแรงดี ก็ติดเชื้อ hMPV จากผู้ป่วยวันที่ 25 ตุลาคม 2566 แต่อาการน้อย มีน้ำมูก เจ็บคอ ปวดหัว ปวดตัวบ้างไม่มีไข้ ไม่ไอ หายเองใน 5 วัน”

‘รมต.พวงเพ็ชร’ เผย ‘นายกฯ’ กำชับ ใช้สื่อรัฐเผยผลงานรัฐบาลให้มากที่สุด

(8 พ.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ตึกไทยคู่ฟ้าว่า ตนได้เข้าพบนายกฯ คนละวงประชุมกับรัฐมนตรีท่านอื่น โดยนายกฯ เรียกตนไปหารือเพื่อเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการจัดงานที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 พ.ย. คืองานแถลงนโยบายครบรอบ 2 เดือนของรัฐบาล และในวันที่ 10 พ.ย. จะมี 2 งานคือแถลงเรื่องนโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท และงาน Thailand Winter Festival ซึ่งตนต้องมีหน้าที่ดูแลการถ่ายทอดสด ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ โดยนายกฯ กำชับว่าอะไรที่เป็นผลงานของรัฐบาลให้เผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบให้มากที่สุดและถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

‘ออสเตรเลีย’ เดินหน้าประสานรอยร้าว-เคลียร์ใจทุกข้อขัดแย้ง ‘จีน’ งัดกลยุทธ ‘Kungfu Panda Diplomacy’ หวังพิชิตใจ ‘สี จิ้นผิง’

‘นายแอนโทนี แอลบานีส’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ของัดทุกกลยุทธ ขุดทุก Soft Power ที่รู้จัก มาเพื่อทำภารกิจสานสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนปักกิ่ง หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ดำดิ่งสู่ระดับเลวร้ายมานานกว่า 7 ปี

เมื่อไม่นานนี้ นายแอนโทนี แอลบานีส ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ที่มาเยือนจีนอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี 2016 ในสมัยของ ‘นายแมลคัม เทิร์นบุลล์’ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าระดับทวิภาคี ให้กลับมามีบรรยากาศที่ดีขึ้นอีกครั้ง และยังเป็นการมาเพื่อเคลียร์ใจในประเด็นที่เคยขัดแย้ง จนสร้างความเย็นชาต่อกันมานานหลายปี ส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกกุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อวัว และไวน์ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ของออสเตรเลียไปยังตลาดจีน

ซึ่งต้องยอมรับว่า จีนเป็นตลาดนำเข้าสินค้าออสเตรเลียรายใหญ่ที่สุดมานานหลายสิบปี นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาจีนนับแสนต่อปีที่เดินทางมาศึกษาต่อในออสเตรเลีย ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดในปี 2019 มากกว่า 1.6 แสนคน และถือเป็นสัดส่วนนักเรียนต่างชาติมากที่สุดของออสเตรเลียอีกด้วย

จนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จีน-ออสเตรเลีย’ เริ่มเลวร้ายลงตั้งแต่ปี 2017 เมื่อออสเตรเลียออกมากล่าวหาว่า จีนพยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศ ตามมาด้วยการตัดสินใจดำเนินตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ในการแบนอุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของ ‘Huawei’ รวมถึงการออกมาเรียกร้องให้สอบสวนคดีต้นกำเนิดไวรัส Covid-19 โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจมาจากเมืองอู่ฮั่น

และล่าสุด ได้มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงไตรภาคีระหว่างประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา (AUKUS) ที่มีเป้าหมายเพื่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ได้เติมเชื้อไฟในความบาดหมางระหว่างจีน และออสเตรเลียเรื่อยมาจนถึงวันนี้

โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อรัฐบาลจีนคว่ำบาตรสินค้านำเข้าจากออสเตรเลีย และตั้งกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 116.2% – 218.4% รวมถึงการรณรงค์ไม่ให้นักศึกษาจีนเดินทางมาเรียนต่อในออสเตรเลีย จนยอดนักศึกษาจีนหล่นฮวบกว่า 5 หมื่นคนในปีการศึกษา 2022

ทำให้นายแอนโทนี แอลบานีส ผู้นำออสเตรเลียคนปัจจุบัน ต้องมาคิดทบทวน นโยบายที่แล้วมา และขอเดินหน้าฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง ซึ่งการเยือนจีนในครั้งนี้ยังถือเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีที่ ‘โกห์ วิทแลม’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรก เดินทางมาเยือนจีน ในปี 1973 

หลังจากที่ได้พบหน้ากับผู้นำจีนแล้ว นายแอนโทนี แอลบานีส ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เป็นการพูดคุยด้วยบรรยากาศชื่นมื่น แถมยังมีการเล่นมุก หยอกล้อกันด้วยเรื่องความน่ารักของ ‘แพนด้า’ อีกด้วย

นายแอนโทนี เล่าว่า “สี จิ้นผิง เล่าถึงการไปเยือนนิวซีแลนด์เมื่อเร็วๆ นี้ และเอ่ยปากชมว่าไวน์ของที่นั่นรสชาติดีมาก ผมจึงเสริมทันทีว่า ถ้าพูดถึง ‘ไวน์แดง’ ของออสเตรเลียเหนือชั้นกว่ามาก จากนั้น สี จิ้นผิง ก็พูดถึงตัว ‘แทสเมเนียนเดวิล’ สัตว์พื้นถิ่นของออสเตรเลีย และชมว่ามันน่ารักดี ผมบอกเขาไปทันทีว่า น่ารักไม่เท่าแพนด้าของจีนหรอก ผู้นำจีนรีบตอบทันทีว่า แพนด้าก็ไม่ได้น่ารักทุกตัวหรอกนะ จากนั้นก็ได้หยิบตัวละครในแอนิเมชันดัง อย่าง ‘Kungfu Panda มาคุยกันต่อ” ซึ่งผู้นำออสเตรเลียค่อนข้างพอพึงใจในการเจอกัน ระหว่างเขาและผู้นำสี จิ้นผิง ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น

แต่ทว่า สื่อตะวันตกบางสำนักได้ออกวิพากษ์วิจารณ์ นายแอนโทนี แอลบานีส ว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อที่ ‘แปลกประหลาดที่สุด’ ในบรรดาผู้นำออสเตรเลียที่ผ่านมา และแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความละมุนละม่อมต่อรัฐบาลจีน จากที่เคยแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวมาโดยตลอด และตั้งคำถามว่าจะมีผลต่อนโยบายเกี่ยวกับจีนของรัฐบาลออสเตรเลียหรือไม่

ด้านนายแอนโทนี ตอบแบบกลางๆ ว่า ถึงระบบการเมืองของจีนจะแตกต่างจากออสเตรเลีย แต่มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะสวมหมวกใบที่แตกต่างจากเรา เพราะพวกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันได้ ถ้าหากเรารู้จักแสวงหาจุดร่วม และสงวนจุดต่าง

แต่ทั้งนี้ ผู้นำออสเตรเลียย้ำว่า ออสเตรเลียยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา และยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนด้วยเช่นกัน เราไม่ต้องการเป็นกันชน คนกลางระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการพูดคุยกับผู้นำจีนในวันนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากการเจอหน้ากันครั้งแรก ในงานประชุมสุดยอดผู้นำ G-20 ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี

นับเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีน ที่มีความบาดหมาง และเย็นชาต่อกันมานานหลายปี อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่นายแอนโทนี แอลบานีส ยังอยู่ในตำแหน่ง ถึงไม่อาจจะรับประกันได้ว่าผู้นำออสเตรเลียคนต่อไป จะมีนโยบายต่อจีนที่ต่างออกไปหรือไม่ แต่สำหรับ ‘แพนด้า’ นับเป็นสัญลักษณ์ทูตสันถวไมตรี ที่ใช้เป็นสื่อกลางของชาวจีนได้ดีเสมอ

‘สุริยะ’ สั่ง!! ‘ทอท.’ เร่งลดความแออัดภายในสนามบิน พร้อมรับนักท่องเที่ยว ‘อินเดีย-ไต้หวัน’ 10 พ.ย.นี้

(8 พ.ย.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารชาวอินเดียและไต้หวันตามนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาลนั้น ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียและไต้หวันให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยได้ไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 - 10 พฤษภาคม 2567 ระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวของชาวอินเดียและไต้หวัน เพื่ออำนวยความสะดวก และสร้างแรงจูงใจให้กับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศในช่วงปี 2566-2567

“ตนได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือในการเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวให้ดีที่สุด ตั้งแต่เดินทางเข้าสู่ประเทศตลอดจนถึงการเดินทางกลับออกจากประเทศไทย เบื้องต้นได้สั่งการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ รวมถึงหาแนวทางการดำเนินการ เพื่ออำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอื่น ๆ พร้อมทั้งให้ประสานงานกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อให้กระบวนการทุกขั้นตอนมีความสะดวกรวดเร็ว ไม่ให้ผู้โดยสารเกิดความแออัด หรือใช้เวลานานหลังจากลงจากเครื่องบิน”

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการร่วม (Single Command Center) เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานร่วมของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการในทุกขั้นตอนในท่าอากาศยาน ทำหน้าที่ตรวจสอบติดตามการให้บริการ และกวดขันการบริหารการจราจรบริเวณหน้าท่าไม่ให้เกิดความแออัดหนาแน่น และเก็บบันทึกข้อมูลการให้บริการ ภาพถ่ายกล้องวงจรปิด เพื่อนำมาวิเคราะห์ประกอบการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมการในด้านต่าง ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทางในประเทศไทย ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานในภูมิภาค การเตรียมความพร้อมการเดินทางภายในกรุงเทพมหานคร (กทม.) การเตรียมความพร้อมการเดินทางไปต่างจังหวัดทางรถไฟและรถโดยสาร การเตรียมความพร้อมการเดินทางในต่างจังหวัด

ส่วนการเตรียมความพร้อมสำหรับความปลอดภัยในการท่องเที่ยวทางน้ำอีกทั้งให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติตามหลักการเดียวกัน คือ การให้บริการที่มีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย สะอาดสวยงาม พนักงานให้บริการด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และมีอัตราค่าบริการที่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมได้เดินหน้าบริหารจัดการทุกขั้นตอนการบริการที่เป็นประตูสู่ประเทศไทย พร้อมรองรับปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประตูและเป็นศูนย์กลางการเดินทางของภูมิภาค กระตุ้นการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความมั่นคงของประเทศ

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทยนั้น จากข้อมูลกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาข้อมูล กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 พบว่า ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวนทั้งสิ้น 557,554 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 79,651 คน

โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด จำนวน 73,297 คน รองลงมา ได้แก่ จีน จำนวน 67,443 คน, รัสเซีย จำนวน 39,136 คน, อินเดีย จำนวน 30,547 คน และเกาหลีใต้ จำนวน 30,255 คน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 22,622,522 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 954,239 ล้านบาท

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ให้การต้อนรับผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และคณะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พร้อมรับมอบเงินรางวัลศาลเจ้ามาตรฐานของศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย

วันนี้ (วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ นายวันชิด ศิรสีห์ รองผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ  ให้การต้อนรับนายขวัญเมือง บุญประสงค์ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง  พร้อมรับเงินมอบรางวัลศาลเจ้ามาตรฐาน ประจำปี พ.ศ. 2566 ของศาลเจ้าไต้ฮงกง รวมถึงนำเยี่ยมชมหอประวัติมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยมี นายณัฐวัตร ก้อนทอง รักษาการผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม / หัวหน้าสำนักกฎหมายและคดี  และนางนภาพร เชิญเกียรติประดับ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน ร่วมในพิธี ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

โดยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ พร้อมด้วย นายณัฐวัตร ก้อนทอง รักษาการผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม / หัวหน้าสำนักกฎหมายและคดี เข้ารับมอบรางวัลศาลเจ้าไต้ฮงกงมาตรฐาน ประจำปี พ.ศ. 2566 กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จากนายบรรจบ จันทรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ณ โรงแรม เอส ดี อเวนิว  เขตบางพลัด กรุงเทพมหานครฯ

* ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง *

พลังศรัทธาองค์หลวงปู่ไต้ฮงในประเทศไทย มีจุดเริ่มต้นจากเมื่อปี พ.ศ.2439 นายเบ๊ยุ่น ได้อัญเชิญรูปจำลองหลวงปู่ไต้ฮงจากอำเภอเตี้ยเอี้ย มายังประเทศไทย ประดิษฐานอยู่ที่ร้านกระจกย่านวัดเลียบ ผู้คนเมื่อทราบต่างก็พากันมาสักการบูชาที่จำนวนมาก จนต้องย้ายไปประดิษฐานที่ซอยดอนกุศล ถนนเจริญกรุง  ช่วงนั้นเกิดโรคระบาดประชาชนต่างมากราบไหว้หลวงปู่ เพื่อช่วยให้คุ้มครองปลอดภัยและหายจากโรค ทำให้เกิดความศรัทธา บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและจัดการเก็บศพอนาถาไปฝัง ต่อมาในปี 2452-2453 พระอนุวัตน์ราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) ได้ร่วมกับพ่อค้าคหบดี รวม 12 ท่าน ได้เห็นความสำคัญและประโยชน์แห่งกุศลเจตนาของผู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ไต้ฮง จึงจัดตั้งคณะเก็บศพไต้ฮงกงขึ้น พร้อมสร้างศาลเจ้าไต้ฮงกงขึ้นที่บริเวณถนนพลับพลาไชย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เพื่อประดิษฐานองค์หลวงปู่ไต้ฮง  เมื่อศาลเจ้าไต้ฮงกงสร้างเสร็จสมบูรณ์ ได้อัญเชิญรูปจำลองของหลวงปู่ที่นายเบ๊ยุ่น คหบดีนำมาจากประเทศจีนมาประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้าไต้ฮงกงเป็นการถาวร โดยศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตั้งอยู่ที่ 326 ถนนเจ้าคำรพ แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ 10100


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top