Saturday, 21 June 2025
NewsFeed

หลายรัฐในสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง ‘บ.เมตา แพลตฟอร์มส อิงก์’ ชี้!! ปลูกฝังเยาวชนเสพติดโซเชียล เพื่อเพิ่มกำไรให้องค์กร

(27 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (24 ต.ค.) ร็อบ บอนตา อัยการสูงสุดประจำรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ได้ร่วมเป็นผู้นำแนวร่วมที่ประกอบด้วยอัยการสูงสุดระดับรัฐ 33 คน ยื่นฟ้องดำเนินคดีของรัฐบาลกลางต่อเมตา แพลตฟอร์มส อิงก์ (Meta Platforms Inc.) และบริษัทในเครือ โดยระบุว่าบริษัทฯ ออกแบบและปรับใช้รูปแบบบริการที่เป็นอันตรายบนอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก ที่ทำให้เด็กและวัยรุ่นเสพติดจนได้รับผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ

บอนตาระบุผ่านแถลงการณ์ว่าคดีดังกล่าวถูกยื่นฟ้องในศาลชั้นต้นของสหรัฐฯ สำหรับเขตทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยอัยการกำลังสืบหาการใช้คำสั่งห้ามและการช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อจัดการกับการประพฤติโดยมิชอบของเมตา

อัยการสูงสุดระดับรัฐ 8 คนได้ประกาศยื่นฟ้องเมตา เมื่อวันอังคาร (24 ต.ค.) ในแต่ละศาลรัฐของตน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามดังกล่าว

อนึ่ง การร้องเรียนของรัฐบาลกลางและรัฐเป็นผลมาจากการสอบสวนทั่วประเทศที่บอนตาประกาศเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2021

บอนตาระบุว่าการสอบสวนได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งสรุปได้ว่าเมตา ทำร้ายเด็กและวัยรุ่นด้วยการปลูกฝังการเสพติดเพื่อเพิ่มผลกำไรขององค์กร

ในคดีความข้างต้น เมตาถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางและรัฐ โดยคำร้องเรียนของรัฐบาลกลางระบุว่าการประพฤติมิชอบของเมตา อาทิ การสร้างโมเดลธุรกิจที่เน้นให้ผู้ใช้วัยรุ่นใช้เวลาบนแพลตฟอร์มมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การใช้รูปแบบแพลตฟอร์มที่เป็นอันตรายและชักจูงทางจิตวิทยา ขณะที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของรูปแบบเหล่านี้ รวมถึงการเผยแพร่รายงานที่มุ่งแสดงอัตราความเสียหายต่อผู้ใช้ที่อยู่ในระดับต่ำอย่างไม่ถูกต้อง

บอนตาระบุว่าแม้จะมีหลักฐานมากมายว่าแพลตฟอร์มของเมตาเชื่อมโยงกับอันตรายต่อผู้ใช้หนุ่มสาว แต่เมตากลับปฏิเสธที่จะจัดการกับอันตรายเหล่านั้น และยังคงปกปิดและมองข้ามผลกระทบด้านลบของแพลตฟอร์มต่อไป

อนึ่ง ส่วนหนึ่งของรัฐ 33 แห่งที่ร่วมยื่นฟ้องร้องเมตา ได้แก่ แอริโซนา แคลิฟอร์เนีย โคโลราโด คอนเนตทิคัต เดลาแวร์ จอร์เจีย ฮาวาย ไอดาโฮ และอิลลินอยส์ ขณะรัฐฟลอริดากำลังยื่นฟ้องร้องต่อศาลชั้นต้นของสหรัฐฯ ประจำเขตตอนกลางของฟลอริดา

ส่วนโคลัมเบีย แมสซาชูเซตส์ มิสซิสซิปปี นิวแฮมป์เชียร์ โอกลาโฮมา เทนเนสซี ยูทาห์ และเวอร์มอนต์ ได้ดำเนินการยื่นฟ้องที่เกี่ยวข้องในศาลระดับรัฐด้วยเช่นกัน

ถอดกลยุทธ์ 'ท่องเที่ยวไทย' ยุคดิจิทัล พิชิตเป้า 25 ล้านนักท่องเที่ยว พร้อมวอนคนไทยต้อง Land of Smile ไม่เผลอ Crocodile Smile

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 28 ต.ค.66 ได้พูดคุยกับ คุณนรินทร์ ทิจะยัง ผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถึงภาพรวมการท่องเที่ยวไทยในปี พ.ศ. 2566 โดยมีเนื้อหาดังนี้...

ปีนี้ประเทศไทยตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวเข้าไปอยู่ที่ 25 ล้านคน ขณะนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองไทยประมาณ 21 ล้านคนแล้ว ซึ่งมีโอกาสเป็นไปตามเป้า 

ส่วนผลกระทบเรื่องสงครามในตะวันออกกลางก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ อาจมีการชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศ (ททท.) มีการกระจายความเสี่ยงของนักท่องเที่ยวไว้หลากหลายตลาด ทั้งในยุโรป, สหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ซึ่งมีการกระจายไว้หลายส่วน 

โดย Top 5 ก็จะเป็นนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย, จีน, เกาหลีใต้, อินเดีย และรัสเซีย ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยเราก็ตั้งเป้าไว้ทั้งปี เฉลี่ย 250 ล้านคน/ครั้ง 

ทั้งนี้ คุณนรินทร์ ได้เล่าถึงในส่วนของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ด้านการท่องเที่ยวไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า...

"ตอนนี้เรามีการวางแผนไว้ทั้ง Before Trip During Trip และ End of trip ซึ่งแต่ละส่วนจะมีเครื่องมือขับเคลื่อน เช่น Before Trip ก็จะมีแพลตฟอร์ม Social Media ที่เป็น Marketing Tools ซึ่งทาง ททท. มีมากถึง 9 แพลตฟอร์ม พร้อมผู้ติดตามรวมแล้วประมาณ 10 ล้าน (Follower) ด้วยการส่งเสริมให้เห็นถึงภาพการเดินทางจริงของนักท่องเที่ยวได้มิติต่างๆ ของไทย 

"ส่วน During Trip คือ ในช่วงระหว่างการเดินทาง ก็จะมีสื่อสังคมออนไลน์คอยให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเกิดการใช้จ่าย ณ แหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ 

"และ End of trip คือ เมื่อท่องเที่ยวเสร็จ ก็จะมีการรับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว เป็น Voice Of Social ถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง มีความประทับใจส่วนใดบ้างหรือไม่ เพื่อประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ส่วนยุทธศาสตร์ของการท่องเที่ยวในด้านดิจิทัล คุณนรินทร์ ได้กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้...

1.การพัฒนาเครื่องมือทางการตลาดดิจิทัล เช่น ในอนาคตเราเตรียมใช้ Social Listening เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเสียงจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่าพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างไร ชอบสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ เพื่อนำมาประมวลผลและทำเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวให้ตรงใจชาวต่างชาติต่อไป

2.การพัฒนาโครงสร้างข้อมูลให้พร้อม โดยเฉพาะ Data นำข้อมูลมาสอนให้พนักงานของ ททท. เข้าใจและใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ มากขึ้น 

3.การพัฒนาองค์กรให้มีสมรรถภาพสูงและมีธรรมาภิบาลด้วย ส่วนของ Smart Data ในการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจทางหลวง สำนักงานอุตุนิยมวิทยา โดยนำข้อมูลต่างๆ มา ทำให้เกิดข้อมูลพร้อมใช้สำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งยังเป็นการรวบรวมข้อมูลทางการตลาดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าร่วมโครงการ เช่น โครงการท้าทาย ของ ททท. ซึ่งรวบรวมข้อมูลในลักษณะ Core Plus ขึ้นมา เพื่อสร้างฐานข้อมูลชุดใหม่เพื่อให้กับนักท่องเที่ยวได้

นอกจากนี้ ยังมองถึงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วยการนำ เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Technology) มาใช้ตามวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศและส่งมอบคุณค่าที่ดีและพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน โดยเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมไหนที่มีความสอดคล้องกับการท่องเที่ยว ก็จะถูกเลือกนำมาใช้ เช่น เทคโนโลยีที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวตระหนักถึงการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทราบว่ามาเที่ยวเมืองไทยแล้วไม่ทำลายธรรมชาติ เป็นต้น

"อย่างไรก็ตาม อีกเรื่องสำคัญ คือ ต้องขอฝากคนไทยให้ช่วยกันต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้ม มีไมตรีจิต เพราะเราคงไม่อยากให้นักท่องเที่ยวพูดว่า เมื่อก่อนเป็น Land of smile แต่ตอนนี้เป็น Crocodile smile แล้ว ผู้ประกอบการจึงไม่ควรเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว หรือหลอกลวงให้นักท่องเที่ยวซื้อรายการนำเที่ยว สินค้าต่างๆ ในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น" คุณนรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

‘Calyp Sea’ เรือไม้สุดชิคย่านสัตหีบ ชวนฟิน!! ช่วง Low Season ‘พายเรือ-ดำน้ำ-ชมพระอาทิตย์ตกดิน’ ครบจบในที่เดียว!!

วันนี้ THE STATES TIMES ขอแนะนำที่เที่ยวช่วง Low Season ใกล้กรุงเทพฯ สามารถเดินทางมาเที่ยวเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าช่วงวันหยุดนี้จะไปไหน ขอแนะนำ เรือไม้สุดชิคของ Calyp Sea เลย...

สำหรับเรือไม้ของ Calyp Sea นั้น มีกิจกรรมบนเรือให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พายเรือซับบอร์ด ดำน้ำดูปะการัง นอนชมพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น หรือหากใครเป็นสายถ่ายรูป ก็สามารถถ่ายรูประหว่างเรือกำลังล่อง หรือในขณะที่เรือจอดก่อนลงไปทำกิจกรรมอื่นๆที่ทางเรือจัดไว้ให้ได้

ในส่วนของการบริการของ Calyp Sea นั้น จะมีอาหารและเครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟให้ในระหว่างล่องเรือ หรือหากท่านใดสนใจนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นไปดื่มบนเรือ ก็สามารถนำไปได้และทางเรือก็มีแก้วไวน์พร้อมไว้บริการเช่นกัน

ช่วงเวลาในการเดินเรือจะมีทั้งรอบเช้าและรอบบ่าย โดยจะให้บริการแบบ Private Trip เพียงแค่ 2 รอบต่อวันเท่านั้น

Sunrise : 8.00 -12.00 (เช้า)
Sunset : 13.00 - 18.00 (พระอาทิตย์ตก)

หากท่านใดล่องเรือช่วง Sunset จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน บนดาดฟ้าเรือ ให้ความโรแมนติกกับ Vanilla Sky ไปอีกแบบ บอกเลยว่าทริปนี้ห้ามพลาด!!

ทางเรือสามารถออกทริปสูงสุดได้ 10 ท่าน

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด: สะพานปลา สัตหีบ จังหวัดชลบุรี https://maps.app.goo.gl/vFriHcxFLMsauBoEA?g_st=ic
ติดต่อสอบถาม: 082-2096913
 Instagram: calypsea_
 Facebook: Calypsea.2023
Line: https://lin.ee/d8GRMGp

‘พิธา’ บรรยายพิเศษที่ ‘ฮาร์วาร์ด’ ชี้ ประชาธิปไตยทั่วโลกถดถอย ยกเหตุการณ์ชวดเก้าอี้นายกฯ เพราะเกมการเมืองสุดพิสดาร

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่กำลังเดินสายเยือนสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ ได้รับเชิญจากศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้เป็นผู้บรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘Moving Forward : Thailand, ASEAN & Beyond’ (ก้าวไปข้างหน้า : ประเทศไทย อาเซียน และโลก) ท่ามกลางนักศึกษาและผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายจำนวนมาก

นายพิธา เริ่มการบรรยาย โดยระบุว่าในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตนเคยนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนทุกคน และสิ่งที่ตนได้รับการศึกษาจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการเมืองเปรียบเทียบ พรรคการเมือง คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จของตน จากการเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในตำราให้เป็นความจริง ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ จากจุดเริ่มต้น ที่ตนเคยเป็นเพียงแค่ผู้นำอ่อนหัดของพรรคการเมืองที่มีอายุเพียง 3 ปี ในเกมที่ออกแบบมาเพื่อให้เราแพ้ การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิสดาร กติกาในรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นคุณกับเรา แต่เราก็ชนะมาได้

ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนกำลังศึกษาอยู่ที่นี่ สามารถกลายเป็นความจริงได้ เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการรณรงค์ทางการเมืองของทุกคนในอนาคตได้ โจทย์ต่างๆ ที่ทุกคนได้รับจากชั้นเรียนที่ฮาร์วาร์ดนี้ ทั้งการเตรียมพาวเวอร์พอยต์นำเสนอ การประชุมกลุ่ม ฯลฯ ล้วนแต่มีความหมายจริงๆ และวันหนึ่งอาจนำพาให้ทุกคนได้มาเป็นผู้บรรยายที่นี่เหมือนกับตนก็เป็นได้

นายพิธา กล่าวต่อว่า เป็นเพราะสิ่งที่ตนได้เรียนรู้จากที่ฮาร์วาร์ดนี่เอง ที่ร่วมก่อรูปความคิดและนโยบายการรณรงค์ของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเอาทหารออกจากการเมือง การทลายทุนผูกขาด และการกระจายอำนาจ นโยบายเหล่านี้คือที่มาของชัยชนะของตนและพรรคก้าวไกล แต่ก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ตน ที่เป็นผู้ชนะจากการเลือกตั้งปี 2566 ด้วยความเห็นชอบของคน 14.1 ล้านเสียง หรือ 36 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เข้าไปมีอำนาจบริหาร และถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลด้านเทคนิค

นี่คือการต่อสู้ระหว่างการเมืองของผู้ได้รับการเลือกตั้งและผู้ได้รับการแต่งตั้ง ในประเทศไทยสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 750 คน มาจากการเลือกตั้ง 500 คน และมาจากการแต่งตั้งโดยทหาร 250 คน ทุกคนคำนวณได้ว่าเราต้องการ 376 เสียง แต่เราได้เพียง 324 เสียง ทั้งที่เราสามารถรวบรวมเสียงพรรคการเมืองที่สะท้อนเจตจำนงการปฏิรูป และความหวังของประเทศได้สำเร็จแล้ว แต่เราก็ยังแพ้ด้วยตัวเลขจาก ส.ว. แต่งตั้ง องค์ประชุมวันนั้นจึงเอาชนะแคนดิเดตนายกที่มาจากการเลือกของประชาชนได้

นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่ปรากฏการณ์เฉพาะ แต่กำลังเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่ประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคาม และสันติภาพของโลกกำลังเปราะบาง ในปีแรกที่ตนมาถึงที่นี่ในปี 2006 Freedom House เคยออกผลสำรวจพบว่าประชากร 48 เปอร์เซ็นต์ ของโลกอยู่ในสังคมเสรี แต่ตัวเลขวันนี้ตกมาอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว นี่คือสิ่งที่สะท้อนสภาวะถดถอยของประชาธิปไตย ซึ่งแม้แต่ในประเทศที่ประชาธิปไตยตั้งมั่นที่สุดแล้ว ก็กำลังเผชิญกับการลดน้อยถอยลงเช่นกัน เหตุใดประชาธิปไตยจึงถดถอยทั่วโลก สำหรับตน ต้นตอของเรื่องนี้ย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็น

ระหว่างที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันมันก็นำพามาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม-เสรีนิยมใหม่ ที่เป็นการรวมศูนย์ความมั่งคั่งไว้ที่คนหมู่น้อย ในเวลาที่ตนเกิดมาความห่างระหว่างผู้มั่งคั่ง 1 เปอร์เซ็นต์บนสุดของโลกกับที่เหลือ ห่างกัน 8 เท่า วันนี้ความห่างนั้นถ่างไปถึง 16 เท่าแล้ว เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในสังคมไทย กำลังครอบครองความมั่งคั่ง 60 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศอยู่ นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากตั้งคำถามกับประชาธิปไตย ขณะที่ประชาธิปไตยคือการจัดสรรอำนาจอย่างเป็นธรรม แต่ในขณะเดียวกันมันก็นำพามาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ความมั่งคั่ง และต่อมากลายเป็นสิ่งที่ซ้ำเติมให้เกิดความล่มสลายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือหลังวิกฤติโควิด

นายพิธา กล่าวต่อว่า ดังนั้น โจทย์สำคัญจากนี้ คือเราจะทำอย่างไรเพื่อรักษาโครงสร้างสังคม ที่ทั้งสามารถจัดสรรอำนาจอย่างเป็นธรรม และจัดสรรความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมไปพร้อมๆ กันได้ ให้การเติบโต กระจายดอกผลไปอย่างทั่วถึง ประเทศต้องไม่จดจ้องอยู่ที่แค่การทำกำไร แต่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิในที่ดินทำกิน การกระจายที่ดิน การสร้างรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนทำงานของเรา หรือสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘สังคมประชาธิปไตย’

ซึ่งหลายท่านในที่นี้อาจจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่สิ่งที่ตนเสนอ คือมันถึงเวลาแล้ว ที่เราทุกคนต้องกลับมาคิดถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมในการก้าวไปข้างหน้า สิ่งที่ตนคิดมาตลอดในการทำงานทางการเมืองที่ผ่านมา คือเมื่อใดก็ตามที่ตนและพรรคก้าวไกลสามารถจัดการปัญหาในประเทศได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเอาทหารออกจากการเมือง การทลายทุนผูกขาด และการกระจายอำนาจ เมื่อนั้นเราจะยังเหลือการเปลี่ยนแปลงสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ แต่คือการเปลี่ยนแปลงโลกผ่านนโยบายต่างประเทศ นั่นคือการออกไปบอกกับทั่วโลกว่าประเทศไทยกลับมาแล้ว และเราจริงจัง เราเป็นอำนาจกลาง เราไม่ใช่ประเทศเล็กๆ

เราเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียน และด้วยการทำงานร่วมกันกับประเทศอาเซียน แม้จะไม่ใช่ทุกประเทศที่สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่อย่างน้อยที่สุดด้วยการทำงานร่วมกันกับประเทศผู้ร่วมก่อตั้ง อย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ถ้าเรารวมกันได้ นั่นคือตัวเลขทางเศรษฐกิจ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และประชากร 670 ล้านคน ประเทศใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจหรือไม่ก็ไม่อาจปฏิเสธเราได้

นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า แต่ตราบใดที่เราที่ยังไม่สามารถจัดการปัญหาในประเทศของเราเองได้ ไทยจะมีความน่าเชื่อถืออะไรไปเป็นศูนย์กลางของอาเซียนได้ ในการทำให้อาเซียนมีความหมายขึ้นมา เราต้องเข้าไปมีบทบาทต่อโลกและมีความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจหลัก ไม่ว่าจะต่อปัญหาเมียนมา, รัสเซีย-ยูเครน, อิสราเอล-ฮามาส สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นห่างออกไปจากประเทศไทย แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศไทยทั้งสิ้น เราต้องมองออกไปข้างนอก เพื่อให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกอย่างแท้จริง และด้วยความร่วมมือกับสมาชิกอาเซียน เราสามารถบอกกับโลกได้ว่าความชอบธรรมคืออำนาจ ไม่ใช่อำนาจคือความชอบธรรม บอกกับโลกได้ว่าเรากำลังจะกลับมาเป็นอำนาจกลาง ที่จะมีส่วนฟื้นระเบียบโลก ประเทศไทยกลับมาแล้ว เราเอาจริง และเราจะทบทวนนโยบายต่างประเทศของเราอีกครั้ง

หลังจากที่เราหายไปจากเวทีโลกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาภายใต้การปกครองของกองทัพ เราต้องการสร้างสมดุลให้โลกอีกครั้ง และในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเลือกข้าง แต่คือการยืนหยัดในหลักการ เราต้องวิจารณ์เพื่อนเราได้ และก็ต้องพูดคุยกับคู่แข่งของเราได้ด้วย ในฐานะอำนาจกลาง เราสามารถกำหนดตัวชี้วัดใหม่ในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยได้ มากกว่าแค่เรื่องของการค้าการลงทุนและพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา ให้มีเรื่องของสิ่งแวดล้อม สภาวะโลกร้อน การควบคุมอาวุธปืน แบ่งปันทุกข์ เรียนรู้ร่วมกัน และหาทางออกร่วมกันได้

“นี่คือสิ่งที่เราทำร่วมกันได้เพื่อบรรลุสิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ เปลี่ยนการต่อสู้ให้เป็นพลัง เปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นความมั่งคั่ง เปลี่ยนคุณค่าให้เป็นชัยชนะร่วมกัน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพวกเราทั้งหมด ถ้าทุกคนทำร่วมกันโดยที่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เราจะหายไปจากการออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการสร้างสันติภาพ นี่คือบทบาทที่เราทำร่วมกันได้ ในการทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้ โดยที่มีประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผมยังคงคาดหวังที่จะได้เป็นสะพานเชื่อมผู้คนกับผู้คน สภากับสภา ภาครัฐกับภาครัฐ ภาคเอกชนกับภาคเอกชน และรัฐบาลกับรัฐบาลด้วยกัน” นายพิธากล่าว

‘อิหร่าน’ ส่งออกอาหาร-สินค้าทางการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 ยก ‘อิรัก-อัฟกัน-UAE-รัสเซีย-ปากีฯ’ คู่ค้าด้านอาหารที่สำคัญ

สภาอุตสาหกรรม เหมืองแร่ และการพาณิชย์ของอิหร่าน ประกาศว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปีปฏิทินอิหร่าน 1402 (21 มีนาคม - 22 กันยายน 2566) มีการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง และอาหารมากกว่า 3.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าราว 2,428 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ไซยิดรูฮุลลอฮ์ ลาตีฟี โฆษกคณะกรรมการพัฒนาการค้า Khaneh Sanat กล่าวว่า ร้อยละ 94 ของน้ำหนัก และร้อยละ 84 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศได้ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมี อิรัก อัฟกานิสถาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัสเซีย และปากีสถาน เป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารที่สำคัญที่สุดของอิหร่าน 

ลาตีฟี กล่าวด้วยว่า สินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมที่มีมูลค่า 345 ล้านดอลลาร์ มะเขือเทศ มูลค่า 159 ล้านดอลลาร์ และผลิตภัณฑ์ประมงที่มีมูลค่ามากกว่า 140 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกอื่น ๆ ของอิหร่านในภาคส่วนนี้ ได้แก่ ถั่วพิสตาชิโอ, แตงโม, ไข่ไก่, หญ้าฝรั่ง, อินทผาลัม, ลูกเกด, มะเขือเทศเข้มข้น, มันฝรั่ง, แอปเปิ้ล และลูกพีช เป็นต้น

โดย ลาตีฟี ได้เน้นย้ำว่า การส่งออกมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นแรงผลักดันและกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และบรรดาผู้กำหนดนโยบายและบรรดาผู้ผลิตควรคำนึงถึงคุณภาพ ความต่อเนื่องของอุปทาน, ราคาที่สามารถแข่งขันได้ ตลอดจนรสนิยม และความยืดหยุ่นของตลาดเป้าหมาย การจัดระเบียบองค์กรต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และการใช้วิทยาการความรู้ที่ทันสมัย, บรรจุภัณฑ์, การขนส่งที่เหมาะสม และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจกับการพัฒนาของตลาดประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดที่ห่างไกล หากดำเนินงานในลักษณะนี้ก็จะสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเงินตราที่เหมาะสมได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

‘อิสราเอล’ ส่งหน่วยรบภาคพื้นดิน พร้อมด้วยโดรน-เครื่องบินขับไล่ บุกโจมตีตอนกลางของฉนวนกาซา สังหาร ผบ.ระดับสูงฮามาสดับ

(27 ต.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซีและเอเอฟพีรายงานว่า ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา กองกำลังภาคพื้นดินของอิสราเอล สนับสนุนด้วยเครื่องบินขับไล่และโดรนหลายลำ ได้บุกเข้าไปโจมตีในพื้นที่ตอนกลางของฉนวนกาซา ซึ่งโจมตีถูกเป้าหมายของฮามาสหลายสิบแห่ง

“ในส่วนหนึ่งของปฏิบัติการดังกล่าว เครื่องบินขับไล่และโดรนของกองกำลังป้องกันอิสราเอล (ดีไอเอฟ) ได้โจมตีหลายเป้าหมายในพื้นที่ชูจาอียาและที่อื่นๆ ในฉนวนกาซา” แถลงการณ์ของไอดีเอฟระบุ และกล่าวว่า เป้าหมายเหล่านั้นรวมถึงฐานยิงจรวดต่อต้านรถถัง กองบัญชาการและศูนย์ควบคุมทางทหารตลอดจนนักรบฮามาส โดยหลังเสร็จสิ้นภารกิจ ทหารอิสราเอลได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่มีกำลังพลคนใดได้รับบาดเจ็บ

ก่อนหน้านั้น ไอดีเอฟแถลงอ้างว่า เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอิสราเอลได้สังหาร ‘ชาดี บารุด’ รองหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของกลุ่มฮามาส ที่มีส่วนร่วมกับ ‘ยาห์ยา ซินวาร์’ หัวกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ในการวางแผนบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ ไอดีเอฟยังเผยแพร่คลิปวิดีโอโจมตีทางอากาศที่อ้างว่าได้สังหารนายบารุดเป็นการยืนยันอีกด้วย

ชาวบ้านเกาะสาหร่าย ร้องศรชล.แก้ปัญหาลักลอบใช้เครื่องมือผิดกฎหมายคราดปลิงทะเลลูกบอล ส่งจีน-เวียดนาม

วันนี้ 27 ต.ค. 2566 ที่ท่าเทียบเรือเจ้าท่า สาขาสตูล ตำบลตำมะลัง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 โดยพลเรือโทสุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช มอบนโยบายนาวาเอก แสนย์ไท บัวเนียม ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจพื้นที่ตอนใต้ จว.สตูล ศรชล.ภาค 3/รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล,นาวาเอก รัฐพล  แก้วกระจาย หัวหน้าศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดสตูล ศรชล.ภาค 3 , นายสุขเกษม ศรีงาม เจ้าพนักงานประมงชำนาญงาน  หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล)ประมงจังหวัดและประมงอำเภอเมืองสตูล  บูรณาการกำลังจากหน่วยงานใน ศรชล.จังหวัดสตูล ประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดสตูล ศรชล.ภาค 3 สำนักงานประมงจังหวัดสตูล ด่านศุลกากรสตูล ศูนย์บริหารจัดการด่านตรวจประมงเขต 9 (สตูล) สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสตูล ตำรวจน้ำสตูล ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดสตูล หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล) และ ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ จำนวน 30 นาย นำเรือ ศรชล.2906 และ เรือ เจ้าท่า 188 ออกตรวจสอบและแสดงกำลังในการป้องกันและป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเลบริเวณพื้นที่ตำมะลัง - ตันหยงโป - เกาะสาหร่าย และได้พบปะพูดคุยสร้างความรับรู้ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลให้กับผู้นำชุมชนบ้านเกาะสาหร่าย ต.เกาะสาหร่าย อ.เมืองสตูล จว.สตูล

เกี่ยวกับข้อมูลเรือพื้นบ้านใช้เครื่องมือทำประมงผิดกฎหมาย (คราดปลิงทะเลลูกบอล ) หลังได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านเกาะสาหร่าย ว่ามีการลักลอบใช้เครื่องมือผิดกฎหมายคราดปลิงทะเลลูกบอล สร้างความเสียหายให้ทรัพยากรธรรมชาติและเครื่องมือประมงของชาวบ้าน ซึ่งการออกลาดตระเวนพร้อมเพิ่มความถี่ในการตรวจตรารอบเกาะสาหร่ายในครั้งนี้ แม้จะไม่พบการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว   

ด้านนาวาเอกแสนย์ไท บัวเนียม รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล (ศรชล.สตูล) พร้อมคณะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงรับฟังปัญหา  จากผู้นำชาวบ้านในพื้นที่และเชิญเจ้าของแพรับซื้อปลิงทะเลลูกบอล มาแจ้งถึงการรับซื้อปลิงทะเลลูกบอลจากกลุ่มเรือประมงที่ใช้เครื่องมือคราดในครั้งนี้มีความผิดทางกฎหมายจากการลงพื้นที่รับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงจากชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ได้เสนอแนะ 3 ประเด็นใหญ่คือ 1 ให้มีการรวมตัวกันผู้นำชุมชน ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อทำการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น 2. หากเกินขีดความสามารถให้แจ้งมายัง ศรชล.หรือ ว่าสำนักงานประมงจังหวัด/หรือว่าหน่วยปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ 3 ศรชล.ได้เพิ่มความถี่ในการลาดตระเวน/เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาการกระทำความผิดประมงผิดกฎหมายเพื่อจำกัดเสรีในการกระทำความผิดกฎหมาย ควบคุมดำเนินคดีการกระทำความผิดต่อไป โดยลักษณะของการกระทำความผิดเป็นการใช้เครื่องมือคราดปลิงทะเล สร้างความเสียหายให้ทรัพยากรและเครื่องมือประมงอื่น เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ สำหรับการแก้ไขปัญหาประมง และการกระทำความผิดประมง เป็นปัญหาซับซ้อนที่ต้องร่วมมือกัน ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐประชาชนและผู้ทำอาชีพประมง ในทุก ๆ เรื่องการสร้างความตระหนักรู้วินัย/ทุกคนต้องร่วมมือกันเชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย

สำหรับปลิงทะเลลูกบอล การข่าวพบว่ามีการซื้อขายกิโลกรัมละ 60-70 บาทในตัวปลิงที่มีขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก 35 บาท มีการจับเพื่อส่งขายไปเป็นยาบำรุงร่างกาย ในประเทศเวียนดนามและจีน ซึ่งชาวบ้านเกาะสาหร่ายหากเดินหาริมชายหาดหลังน้ำลดสามารถทำได้   

สำหรับคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดสตูล ได้ประกาศ เรื่อง  กำหนดเครื่องมือทำการประมง วิธีการทำการประมง และพื้นที่ทำการประมง ที่ห้ามใช้ทำการประมงจับสัตว์น้ำ พ.ศ.2560 เครื่องมือประมงปประเภทคราดประกอบกับเรือยนต์ทำการประมงปลิงทะเล ทำให้เกิดการทำลายหน้าดิน หญ้าทะเล ปะการัง อันเป็นแหล่งวางไข่และเลี้ยงตัวอ่อนของสัตว์น้ำ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อชาวประมง อาศัยมาตรา 28 วรรคหนึ่ง (3) และวรรคสอง มาตรา 71 (1)แห่งพระราชกำหนดประมง พ.ศ.2558  (มีโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาท  ถึงหนึ่งแสนบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมง)

ด้านนายรอดาษ นากมา ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 ตำบลเกาะสาหร่าย ยอมรับว่า ปัญหาการลักลอบทำประมงด้วยการใช้เครื่องมือ คราดปลิงทะเลลูกบอล มีจริง โดยมีการใช้เรือประมาณ 10 ลำเป็นเรือหางพร้อมเครื่องมือคราดสร้างความเสียหายให้กับเครื่องมือประมงของชาวบ้าน ซึ่งปัญหานี้มีมาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 2 ปีแล้วที่ชาวบ้านเกาะสาหร่ายประสบปัญหา โดยกลุ่มเรือที่เข้ามาทำส่วนใหญ่มาจากต่างถิ่น จึงอยากให้ศรชล.เข้ามาช่วยเหลือ ตรวจตรา ป้องปรามการกระทำผิด  

‘เจ๊จุก คลองสาม’ แชร์ภาพป้าย ‘ไม่เอา สส.คุกคามทางเพศ’ กระทุ้ง ‘ก้าวไกล’ ใช้เวลาสอบนาน ประชาชนรอไม่ไหว

(27 ต.ค. 66) หลังจากนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมการวินัย เปิดเผยความคืบหน้าของการสอบสวนกรณี สส.พรรคก้าวไกลฝั่งธนฯ ที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ โดยคาดว่าจะรู้ผลสอบปม สส.คุกคามทางเพศภายในต.ค.นี้ และเตรียมเปิดเผยต่อสาธารณะ 

ต่อประเด็นนี้ในโลกโซเชียล ยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทวิตเตอร์ เจ๊จุก คลองสาม ได้โพสต์ภาพป้ายข้อความที่ระบุว่า พี่น้อง ปชช.จอมทอง-ท่าข้าม ไม่เอาสส.คุกคามทางเพศ 

โดย เจ๊จุก คลองสาม ระบุว่า ประชาชนจะอยู่ด้วยความหวาดระแวงขนาดไหน ถ้ารู้ว่าผู้แทนของตัวเองมีนิสัย #คุกคามทางเพศ ทำไม #ก้าวไกล ใช้เวลาในการตรวจสอบนานจัง ชาวบ้านเขาทนไม่ไหว ต้องขึ้นป้ายไล่แล้วเนี่ย

‘เสียวหมี่’ เปิดตัว ‘HyperOS’ เป็นระบบปฏิบัติการของตัวเอง เผยข้อดี ‘ลื่นไหล-เสถียร’ มากขึ้น!! พร้อมใช้งาน 31 ต.ค. นี้

(27 ต.ค. 66) สำนักข่าวCNBC รายงานว่า เสียวหมี่ ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติจีน เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ เรียกว่า 'HyperOS' และพร้อมให้ลูกค้าใช้งาน 31 ต.ค. นี้ เมื่อโทรศัพท์ อุปกรณ์สวมใส่ เช่น นาฬิกา และโทรทัศน์รุ่นล่าสุดของเสียวหมี่เริ่มจำหน่ายในจีน

เสียวหมี่ ระบุว่า ระบบ HyperOS สร้างโดยลีนุกซ์ และระบบเสียวหมี่ลีลาที่พัฒนาเอง ซึ่งระบบนี้ทำให้ความลื่นไหลของภาพมีความเสถียรมากขึ้น และลดการใช้พลังงานไฟฟ้าเมื่อเทียบกับระบบแอนดรอยด์

เสี่ยวหมี่ ยังเผยเกี่ยวกับความเร็วของระบบประมวลผล ความปลอดภัยของระบบ HyperOS และบอกแนวทางการใช้ระบบในสมาร์ตโฟน รถยนต์ และแล็ปท็อป ซึ่งสามารถแชร์คอนเทนต์และเข้าถึงกล้องของผู้อื่นในระบบใหม่ได้อย่างง่ายดาย

ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เสียวหมี่ได้พัฒนาธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนสร้างรายได้ประมาณ 22% ของรายได้ทั้งหมดในบริษัทในไตรมาสสอง เป็นรองรายได้จากสมาร์ตโฟนที่มีสัดส่วน 37% และเมื่อวันพฤหัสบดี (26 ต.ค.) บริษัทได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน 3,999 หยวน หรือราว 19,900 บาท,เครื่องซักผ้าราคา 1,999 หยวน หรือประมาณ 9,900 บาท, และตู้เย็น 2,999 หยวน ราว 14,800 บาท และมีแอปพลิเคชันให้ลูกค้าควบคุมการตั้งค่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเสียวหมี่ได้

ด้าน 'เหลย จุน' ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เสียวหมี่ เผยผ่านโซเชียลมีเดียจีนเมื่อวันพุธ (25 ต.ค.) ว่าบริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ด้วย แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่

ทั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งต่างพยายามสร้างความจงรักภักดีในตัวแบรนด์ หรือสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าด้วยการมีระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเอง เช่น ระบบ iOS ของแอปเปิ้ล และแอนดรอยด์ของกูเกิล

ด้านหัวเว่ย บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนได้พัฒนาระบบปฏิบัติการเป็นของตนเองเช่นกัน เรียกว่า HarmonyOS เพื่อแทนที่แอนดรอยด์ และบริษัทได้ปรับระบบให้เข้ากับสมาร์ตโฟน แล็ปท็อป แท็บเล็ต และชุดโทรทัศน์ ทั้งยังจำหน่ายซอฟต์แวร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของพาร์ตเนอร์ด้วย

เปิด 30 อันดับประเทศ 'ขนาดเศรษฐกิจใหญ่’ ที่สุดในโลก ประจำปี 2023

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) หรือจีดีพี ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้วัด ‘ขนาดเศรษฐกิจ’ ของประเทศ ปี 2023 โดย ‘สหรัฐอเมริกา’ ครองอันดับ 1 ส่วน ‘ประเทศจีน’ พี่ใหญ่แห่งเอเชีย รั้งอันดับที่ 2 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 30 อันดับประเทศ 'ขนาดเศรษฐกิจใหญ่’ ที่สุดในโลก ประจำปี 2023 มาไว้ให้ชมกัน แอบกระซิบว่า ประเทศไทยก็ติดอันดับด้วยนะ แต่จะลำดับที่เท่าไหร่…ไปดูกันเลย!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top