Friday, 20 June 2025
NewsFeed

'อนุทิน' ย้ำ!! 'อบจ.14 จว.ใต้' มุ่งมั่นทำงานเพื่อ ปชช.ให้มากที่สุด ขจัดปัญหา 'ยาเสพติด-อาวุธ-มาเฟีย' เสริมภาพบวกท่องเที่ยว

(26 ต.ค.66) ที่รร.มุกดาราบีช วิลล่า แอนด์ สปา รีสอร์ท ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้ โดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกฯ, น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย ผู้บริหารระดับสูง, นายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย, นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกอบจ.พัทลุง ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคใต้, พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคกลาง ตัวแทนสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคต่าง ๆ และบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้กว่า 1,000 คน ร่วมรับฟัง

นายอนุทิน กล่าวว่า "ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทุกคนล้วนมีความสำคัญในการทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแล้ว ยังต้องทำให้พี่น้องประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุขกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนได้มาพบกันในวันนี้ เพราะเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเราทุกคนมีอยู่แค่เพียงคำเดียวคือ ประชาชน ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันดูแลการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องทำงานเก่ง มีเพื่อนมาก มีสายสัมพันธ์ให้มาก มีความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน และกำหนดเป้าหมายที่ดีร่วมกัน คือทำให้บ้านเมืองเจริญ ทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขสบาย มีความสะดวก มีโอกาส มีเงิน มีกิน มีใช้ ซึ่งเป็นภารกิจที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกจังหวัดต้องร่วมกัน เพราะท่านคือหน่วยงานหลักที่มีความสำคัญต่อท้องถิ่น เป็นหน่วยบริการสาธารณะที่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนได้รับบริการที่เกิดประโยชน์สุขมากที่สุด"

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า "พวกเรามีความสุขเมื่อเห็นพี่น้องประชาชนมีความสุข ตนจึงให้แนวทางการทำงานกับกระทรวงมหาดไทยว่า 'ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที' ต้องทำให้การทำงานต่าง ๆ ทั้งงานตามนโยบายและตามฟังก์ชัน ตามพื้นที่ ตอบสนองพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที การทำงานปัจจุบันเราจะล้าหลังไม่ได้ คนที่ข้าราชการต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ พี่น้องประชาชน ต้องตอบสนองสิ่งที่พี่น้องประชาชนคาดหวัง ต้องตอบสนองเสียงเรียกร้องของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด มากกว่าที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมั่นใจว่าเรามีเป้าหมายเดียวกัน มีทิศทางเดียวกัน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย เราคือเพื่อนร่วมงานกัน"

นายอนุทิน กล่าวว่า ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านมาตรการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ตนได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดท่องเที่ยว ต้องมีการประชุมเรื่องการให้ความปลอดภัยในระดับที่มีมาตรฐาน ต้องสร้างการรับรู้ ต้องทำความเข้าใจ และให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย และเราต้องทำให้เขารู้ว่าถ้าเกิดอันตรายจะต้องทำอย่างไร โดยส่งเสริมการบูรณาการกลไกอาสาสมัคร ทั้งสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการดูแลความปลอดภัย ในเรื่องสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือกรมการปกครอง อยู่ระหว่างการยกร่างกฎกระทรวงขยายเวลาการให้บริการในพื้นที่ท่องเที่ยว โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ในแต่ละพื้นที่ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ (Public Hearing) แล้วรายงานมายังกรมการปกครองเพื่อรวบรวมประมวล นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกฎกระทรวงต่อไป ซึ่งจะเป็นโอกาส เป็นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า "กระทรวงมหาดไทยจะทำทุกอย่าง เพื่อให้เกิดโอกาสและสร้างรายได้ของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น พวกเราในฐานะผู้รักษากฎหมายต้องทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมให้มีการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องการห้ามพกพาอาวุธ ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์เข้า ห้ามมีการลักลอบจำหน่ายหรือเสพยาเสพติด เน้นย้ำว่ายาเสพติด อาวุธ ค้าประเวณี ใช้แรงงานเด็ก เรื่องที่ไม่สามารถรับได้ในศีลธรรมทั่วไป ห้ามให้เกิดขึ้น รวมถึงการส่งเสริมธรรมาภิบาลในจังหวัด ต้องอย่าให้ผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีกำลังมากกว่าไปข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า ในพื้นที่คนจะมีอิทธิพลหรือบารมีกว่าไม่ว่า แต่อย่านำไปข่มเหงพี่น้องประชาชนที่อ่อนแอ เราในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น"

‘กรมทรัพย์สินทางปัญญา’ ขึ้นทะเบียน ‘มังคุดทิพย์พังงา’ เป็นสินค้า GI มุ่งจัดระบบควบคุมคุณภาพสินค้า-สร้างมูลค่าเพิ่ม-ดึงรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน

(26 ต.ค. 66) นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียน ‘สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์’ หรือ ‘GI’ เพื่อคุ้มครองสินค้าที่มีอัตลักษณ์เฉพาะในแต่ละท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกทั้งยังเป็นการควบคุมคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค

ล่าสุด กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) รายการใหม่ คือ ‘มังคุดทิพย์พังงา’ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดพังงา ที่มีการเพาะปลูกกันมาอย่างยาวนาน มีชื่อเสียงและมีผลผลิตจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น จีน เวียดนาม เป็นต้น สร้างรายได้เข้าสู่ชุมชนกว่า 280 ล้านบาท

‘มังคุด’ ถือเป็นราชินีแห่งผลไม้เมืองร้อน รสชาติอร่อย เป็นที่นิยมของผู้บริโภค โดยชื่อ ‘ทิพย์พังงา’ มีความหมายว่า ‘ผลไม้ของเทวดาที่มีรสเลิศจากจังหวัดพังงา’ มีลักษณะเด่นคือ เป็นมังคุดพันธุ์พื้นเมือง ผลทรงกลม เปลือกค่อนข้างหนา แห้ง แตกลาย เนื้อสีขาว หนานุ่ม ไม่ฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยว ปลูกและผลิตในเขตพื้นที่จังหวัดพังงา ซึ่งสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่มีความลาดชัน ดินระบายน้ำดี อีกทั้งลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน ทำให้จังหวัดพังงามี 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูร้อน

ด้วยสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศดังกล่าว ประกอบกับกระบวนการปลูกมังคุดของเกษตรกรชาวพังงาที่เน้นการดูแลรักษาแบบธรรมชาติ จึงเกิดเพลี้ยไฟในช่วงออกดอกและติดผลอ่อน มีผลดีคือ ทำให้โครงสร้างของผิวเปลือกเปลี่ยนแปลง มีรอยแยกระหว่างเซลล์เกิดเป็นช่องว่างบนผิว ทำให้ผิวของผลมังคุดส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลาย ระบายน้ำในผลออกมาได้ดี ส่งผลให้เนื้อมังคุดสีขาว แห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ และเปลือกมังคุดค่อนข้างหนาทำให้เนื้อมังคุดไม่ช้ำง่าย

‘มังคุดทิพย์พังงา’ ถือเป็นสินค้า GI ลำดับที่ 3 ของจังหวัดพังงา ต่อจากทุเรียนสาลิกาพังงา และข้าวไร่ดอกข่าพังงาที่ได้ขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะเดินหน้าส่งเสริมการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า และสนับสนุนช่องทางการตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และสร้างรายได้ให้เกษตรกรในชุมชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ขอเชิญชวนทุกท่านติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหว และร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการสินค้า GI ได้ที่ Facebook Page : GI Thailand หรือโทรสายด่วน 1368

‘พวงเพ็ชร’ จับมือ TikTok ปั้นนักเล่าข่าวโซเชียล ชู!! ‘ถูกต้อง-แม่นยำ-รวดเร็ว’ ด้วยสไตล์ที่ดึงดูด

(26 ต.ค.66) ที่โรงแรม เอส ซี ปาร์ค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลุยงานสื่อสารงานรัฐให้โดนใจ สไตล์ Content creator ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารออนไลน์ของบุคลากรภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพและก้าวทันยุคดิจิทัล โดยเน้นการสื่อสารในรูปแบบคลิปสั้น ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยม ซึ่งเป็นเทรนด์การสื่อสารยุคใหม่ที่พบว่ามีการเข้าถึงมากขึ้น และสร้างกระแสสังคมได้รวดเร็ว ว่องไว และสามารถกระจายสู่กลุ่มเป้าหมายได้ทั่วทุกมุมโลก 

โดยในวันนี้มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อโซเชียลมาให้ความรู้และทักษะด้านการสื่อสารออนไลน์ในหัวข้อที่น่าสนใจ ประกอบด้วย หัวข้อ ‘ทำ Tiktok ให้เข้าถึงตรงใจได้อย่างไร’ โดย นางสาวนิดา คล้ายพันธุ์ จาก Tiktok Thailand และ นางสาวพิมญาดา เดชบุญญาภิชาติ หัวข้อ ‘เล่าข่าว ปัง ปัง กับ 3 ตัวตึง Tiktok’ โดย นายภัควัฒน์ รัตนสิริอำไพ (คุณปอนด์ ออนนิวส์) นายจิรายุ จันทรวงศ์ (คุณเบ็นซ์) และ นายกฤษฎิ์กุล ชุมแก้ว (คุณแต๋ง After Yum) หัวข้อ ‘ตัดคลิปอย่างไรให้ได้ 1 ล้านวิว’ โดย ผศ.เวทิต ทิงจันทร์ หัวหน้าภาควิชาสื่อสารดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม และทีมงาน หัวข้อ ‘เส้นทางสู่นักเล่าข่าวสไตล์บอลลี่’ โดย นายศรัญ แก้วประจันทร (คุณบอลลี่ขยี้ข่าว) และทีมงานโซเชียลมีเดียกรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงกิจกรรมประชันคลิปที่ปัง คลิปที่โดน

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในความเป็นสื่อของรัฐ นอกจากมีการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ เชื่อถือได้แล้ว ความรวดเร็วและความน่าสนใจของสื่อที่นำเสนอออกไปก็มีส่วนสำคัญ เพราะนอกจากเป็นการป้องกันการเกิดข่าวปลอม ยังเป็นการสร้างกระแสความนิยมในสื่อภาครัฐ ผ่านการนำเสนอในช่องทางโซเชียลมีเดีย ที่กำลังได้รับความนิยม อย่างเช่น Tiktok, Reels, Thread จึงถือเป็นการสื่อสารรูปแบบใหม่ที่พัฒนาตามกระแสความนิยม การประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ จึงนับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นสื่อภาครัฐปรับตัวต่อวิธีการสื่อสาร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ รวมถึงแนวทางการพัฒนาประเทศในทุกมิติตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผ่านการสื่อสารที่เข้าถึงได้ง่ายและเป็นกันเอง โดยวิทยากรชั้นนำและผู้มีประสบการณ์ในแวดวงสื่อออนไลน์

‘หยก’ แจง!! เหตุชูไอแพดสูง หวิดโดนหัวนายกฯ โอด!! ‘เศรษฐา’ เมินเดินหนี จึงต้องเข้าชูสูงประชิด

จากกรณีเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 น.ส.ธนลภย์ (สงวนนามสกุล) หรือ ‘หยก’ เยาวชนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ น.ส.อันนา อันนานนท์ ได้บุกยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่คุกคามตนเอง เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2565 ในเหตุการณ์การชุมนุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้ถือไอแพดที่เขียนข้อความ “112 จะไม่ถูกใช้รังแกประชาชนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย” และ “คดีตากใบจะสิ้นสุดในปีหน้า” โดยพยายามถือให้นายกฯ เห็นข้อความในไอแพด  โดยจังหวะหนึ่งขณะที่ น.ส.ธนลภย์ ถือไอแพด เกือบจะชนศีรษะของนายกรัฐมนตรี

หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ได้พยายามเข้าไปพูดคุยกับ น.ส.ธนลภย์ เพื่อขอความร่วมมือให้หยุดเท่านี้ เนื่องจากนายกฯ ได้รับหนังสือร้องเรียนไปแล้ว

ล่าสุด วันนี้ (26 ต.ค. 66) น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้ออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยได้โพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมแคปชันระบุว่า…

“อธิบายสาเหตุที่ต้องชูป้ายเมื่อวาน (25 ตุลาคม 2566) เพราะสิ่งที่หยกต้องการถามนายก และพรรคเพื่อไทย คือ เรื่องความยุติธรรมตากใบก่อนคดีจะสิ้นสุดในปีหน้า และ 112 ที่เคยบอกจะไม่มีใครถูกรังแก”

โดยในคลิปวิดีโอ น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ ได้อธิบายไว้ว่า ตนไม่ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องเดียวกันกับ น.ส.อันนา เนื่องจาก น.ส.อันนา นั้นได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึง นายเศรษฐา ทวีสิน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่คุกคามตนเอง เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2565 ในเหตุการณ์การชุมนุม รวมถึงผู้เสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวอีก 3 คนที่โดนจับ โดยมีบางคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

และในส่วนของตนนั้น ต้องการที่จะถามหาความยุติธรรม กรณีเหตุการณ์ที่ตากใบ ก่อนที่คดีจะสิ้นสุดอายุความในปีหน้า (2567) และประเด็น ม.112 ที่ทางนายเศรษฐาเคยสัญญาว่าจะไม่มีใครถูกกฎหมายข้อนี้เพื่อใช้รังแกทางการเมือง แต่ตนนั้นยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกับนายเศรษฐา เนื่องจากนายเศรษฐา ได้เดินออกไปอีกทาง 

นอกจากนี้ หยกยังได้บอกว่า นายเศรษฐามีท่าทีที่เมินเฉยและไม่สนใจตนอีกด้วย จึงทำให้ตนตัดสินใจที่จะชูไอแพดให้สูงขึ้น เพื่อหวังจะให้นายเศรษฐา ได้เห็นข้อความที่ตนต้องการจะสื่อ และเรื่องที่ตนพยายามจะเรียกร้องกับทางนายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทย มิได้มีเจตนาจะทำให้ไอแพดโดนศีรษะของนายเศรษฐาแต่อย่างใด

‘เทศกาลกลองฮ่องกง’ ชูแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางดนตรีจากทั่วโลก ปิดท้ายแสง-สี-เสียงแบบจัดเต็ม!! ประทับความสนุกในดวงใจผู้ชมไม่รู้ลืม

เมื่อไม่นานนี้ ‘ไชน่าเคม กรุ๊ป’ (Chinachem Group) ฮ่องกง ได้ร่วมจัดงานเทศกาลกลอง ภายใต้ธีม ‘One Beat, One World : Connecting Through The Drum’ และคอนเสิร์ตดนตรีสด 5G ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของเทศกาลกลองฮ่องกง ซึ่งเป็นการแสดงที่หาชมได้ยากรายการหนึ่ง จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมเชิงบวก ผ่านพลังของการตีกลอง และทำให้ฮ่องกงเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เมืองหลวงแห่งการจัดงาน’

ศาสตราจารย์หยาน ฮุ่ยชาง ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ และผู้ควบคุมวง ฮ่องกงไชนีสออเคสตรา (Hong Kong Chinese Orchestra) กล่าวว่า วงฮ่องกงไชนีสออเคสตรา ได้นำเสนอการแสดงดนตรีสู่สาธารณชน เพื่อส่งเสริมเรื่องราวของศิลปะจีนและฮ่องกงที่วิจิตรงดงาม และสืบทอดมายาวนาน ผ่านเทศกาลกลองที่มีชื่อว่า ‘One Beat, One World : Connecting Through The Drum’ และคอนเสิร์ตดนตรีสด 5G ซึ่งได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ศูนย์วัฒนธรรมอาร์ตปาร์ค เกาลูนตะวันตก โดยภายในงานได้มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การตั้งกลองสันติภาพขนาดยักษ์สูง 3.47 เมตรให้ทุกคนได้เล่น, การแสดงบนเวทีโดยทีมที่ชนะการแข่งขันกลอง Hong Kong Synergy, ขบวนพาเหรดที่แสดงโดยทีมตีกลองจำนวน 24 ทีม และการแสดงกลองที่ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม หรือซอฟต์พาวเวอร์ของจีน ได้แก่ Yan'anCity An'sai Waist Drum Troupe จากมณฑลส่านซี, ทีม Chengnan Zhongjing Yingge จากซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง และคณะกลอง Shanxi Jiangzhou

ซึ่งภายในคอนเสิร์ตการแสดงสด 5G ในรอบชิงชนะเลิศสุดอลังการนี้ ยังมีการแสดงกลองอันโดดเด่นจากทั่วโลก นำโดย ยาน ฮุยชาง (Yan Huichang ) ผู้นำวงฮ่องกงไชนีสออเคสตรา (Hong Kong Chinese Orchestra) ร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งได้แก่ โดริ (Dori) จากประเทศสาธารณรัฐเกาหลี, โยสุเกะ โอดะ (Yosuke Oda) จากประเทศญี่ปุ่น, อะซากูโน (Azaguno) จากประเทศแอฟริกา, แอปบอส กรุ๊ป (Abbos Group) จากประเทศอุซเบกิสถาน และแอนโทนี เฟอนันเดส (Anthony Fernandes) ผู้มีชื่อเสียงด้านกลองระดับโลก

โดยการแสดงแต่ละชุดได้สะท้อนถึงประเพณีการตีกลองอันยาวนานจากทั่วโลก ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนดนตรีและวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงตีกลองของญี่ปุ่นที่ทรงพลังและสะเทือนอารมณ์ โดนใจผู้ชมอย่างลึกซึ้ง, ซามุล โนริ (Samul nori) เครื่องเคาะจังหวะแบบดั้งเดิมของเกาหลี ที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่จังหวะอันทรงพลัง, การเคลื่อนไหวของร่างกายที่กระฉับกระเฉง, การแสดงที่มีชีวิตชีวา และกลุ่มเครื่องเพอร์คัชชัน ของแอปบอสกรุ๊ป จากอุซเบกิสถาน ที่ทำให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม สร้างบรรยากาศโดยรวม ซึ่งรวมถึงกลุ่มเอ้อหูที่ได้จัดแสดงงิ้วกวางตุ้ง ‘The Floral Princess’ ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างมาก

ซึ่งในคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผ่านเทคโนโลยี 5G ที่ได้ดึงดูดให้มีผู้เข้าชมสดและผู้ชมออนไลน์จำนวนกว่า 16,000 ราย เพื่อดื่มด่ำไปกับโลกแห่งเครื่องเพอร์คัชชันอันน่าหลงใหล น่าตื่นเต้น และจังหวะที่น่าเร้าใจบนเวที ซึ่งผู้เข้าชมสดจะได้รับกลองสีน้ำตาล สำหรับการเล่นโต้ตอบกับวงออเคสตราและนักเพอร์คัชชัน ถือเป็นการปิดท้ายคอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยความหลงใหล และมีชีวิตชีวามากที่สุด

ซึ่งในการจัดงานครั้งต่อไป ก็หวังว่าจะมีการแสดงกลองจากประเทศไทย อาทิ กลองสะบัดชัย หรือกลองยาว เดินทางไปร่วมภายในงาน จึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไปพิจารณากันด้วย

โดยผู้สนใจจะสามารถชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/live/rohXU0OI8UQ?si=YE-OTyvxwOOnMNv0 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดติดต่อ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 062-7341267 และ 086-4978941

กระทรวงพลังงาน-สหพันธ์การขนส่งทางบก แห่งประเทศไทย บุกกระทรวงพลังงานยื่นหนังสือรองนายกฯ ตรึงราคาก๊าซ NGV

วันที่ 26 ต.ค. เวลา 15.00 น. นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือต่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ตรึงราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ (NGV) ตามที่ คณะรัฐมนตรีมีมติให้ใช้ NGV ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งเบนชินและดีเซลให้ได้ร้อยละ 10 ภายใน ปี พ.ศ. 2551 และทดแทนให้ได้ร้อยละ 25 ภายในปี พ.ศ. 2552 ในวาระยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 นั้น

ต่อมามีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซNGV ตามกรอบแนวทางการปรับโครงสร้างราคาตาม มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ นับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2557 เป็นต้นมา ทำให้ราคา ขายปลีก ก๊าซ NGV ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีราคา 8.50 บาท/กิโลกรัม และจากสถานการณ์ราคาก๊าซ NGV ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการขนส่งที่สมัครใจใช้รถบรรทุกเครื่องยนต์ NGV ต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ที่สูงมากและมีผลกระทบถึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ประชาชนได้รับโดยตรง และเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้รถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล ก๊าซ NGVถือเป็นพลังงานสะอาดที่ก่อให้เกิดมลภาวะในระดับต่ำเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ

โดยเฉพะน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ในภาคขนส่ง การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซ NGV เพื่อทดแทน การใช้น้ำมันดีเซลในภาคขนส่ง จึงเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และการพิจารณากำหนดราคาก๊าซ NGV จะก่อให้เกิดแรงจูงใจต่อผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เป็นเชื้อเพลิงปรับเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV แทน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรถบรรทุกและรถโดยสาร

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีประกาศราคาขายปลีกก๊าซ NGV มีผล 16 กันยายนที่ผ่านมา 19.59 บาท/กิโลกรัม และได้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ NGV มีผล 16 ธันวาคม 2566 บาพ/กิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดีเซล ทางสหพันธ์การขนส่งทางบก แห่งประเทศไทย จึงขอให้กระทรวงพลังงานตรึงราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ราคา 18.59 บาท/กิโลกรัม ต่อไป เพื่อส่งเสริมสนับสนุน ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ลดการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือเกิดมลภาวะที่เป็นมลพิษทางอากาศน้อยที่สุดในบรรดาเชื้อเพลิงทั้งหมด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ลงพื้นที่ชุมชนบ้านติ้ว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ตรวจเยี่ยมครอบครัวตำรวจและประชาชนที่ประสบอุทกภัย

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค.66) เวลาประมาณ 17.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) ที่รับผิดชอบงานบรรเทาสาธารณภัย และงานบริการประชาชน ตามที่ ผบ.ตร. มอบหมาย ได้ลงพื้นที่ชุมชนบ้านติ้ว และ สภ.บ้านติ้ว ต.บ้านติ้ว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ที่ประสบอุทกภัย มอบข้าวสาร อาหารแห้ง และถุงยังชีพ ให้กับครอบครัวข้าราชการตำรวจ และพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยกว่า 300 หลังคาเรือน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ ข้าราชการตำรวจ สภ.บ้านติ้ว จว.เพชรบูรณ์ ที่ตัวอาคารที่ทำการและอาคารบ้านพัก ประสบอุทกภัยเช่นเดียวกัน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประสบอุทกภัยนี้ เป็นส่วนหนึ่งในหน้างานที่รับผิดชอบ ประกอบกับส่วนตัวก็มีความตั้งใจที่จะมาให้กำลังใจเพื่อนข้าราชการตำรวจ และพี่น้องประชาชนที่ประสบภัย จึงได้จัดเตรียมถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง มาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน พร้อมทั้งถือโอกาสกำชับข้าราชการตำรวจในพื้นที่ ให้ช่วยกันตรวจตราดูแลรักษาความปลอดภัยบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ไม่ให้โจรผู้ร้ายออกอาละวาด ก่อเหตุลักทรัพย์ ซ้ำเติมพี่น้องประชาชนอีก และในวันพรุ่งนี้ คือวันศุกร์ที่ 27 ต.ค.66 ก็จะไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด ต่อไป

ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา เข้าพบเลขาธิการคณะกรรมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC

เมื่อวันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 เวลา 15.00 – 17.00 น. ที่สำนักงาน EEC ชั้น 25 อาคาร NT TOWER (CAT TOWER) เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ดร.โอกาส เตพลกุล ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา  พร้อมคณะ เข้าพบ ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC เพื่อร่วมหารือแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดฉะเชิงเทรา ตามแนวนโยบายของการพัฒนาพื้นที่ EEC  โดยมีการนำเสนอประเด็นเข้าสู่การพัฒนา จำนวน 4 ประเด็น ประกอบด้วย

1.การผลักดันโครงการถนนวงแหวนรอบเมืองฉะเชิงเทรา
2.แนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา (โครงการผันน้ำคืนถิ่น)
3.การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน “โครงการรถไฟเชื่อมฉะเชิงเทรา-แอร์พอร์ต เรล ลิงก์
4.โครงการขยายโซนนิ่งสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสถานบันเทิงจังหวัดฉะเชิงเทรา

ด้าน ดร.โอกาส เตพลกุล กล่าวว่าในการเข้าพบครั้งนี้ได้การตอบรับจากเลขาธิการคณะกรรมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นอย่างดี พร้อมร่วมมือกันหาแนวทางการขับเคลื่อนและการพัฒนาจังหวัดฉะเชิงเทราในด้านต่างๆต่อไป

(ศรีสะเกษ) กองทัพบก มทบ.25 ร่วมกับ ภาคเอกชน มอบเสื้อกันหนาว โครงการ 'KUBOTA พลังใจสู้ภัยหนาว' ปีที่ 24

วันที่ 26 ตุลาคม 2566 พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย คุณอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25 และคณะร่วมพิธีมอบเสื้อกันหนาว 2500 ตัว ตามโครงการ "KUBOTA พลังใจสู้ภัยหนาว" ปีที่ 24 ที่ โรงเรียนบ้านบักดอง ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ และ ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลคำเนียม อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษโดยมี นายนพ พงศ์ผลาดิสัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พันเอก โถมวัฒน์ สว่างวิทย์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดศรีสะเกษ(ท) พันเอก สุรังค์ วิทยาวงศรุจิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน  พันโท สุริยะ สุระ ผบ.ป.6 พัน.16 พันโท เสนีย์ ศรีชาดา ผบ.ป.6 พัน.106 นายปิยะชาติ ศรีมารุต กรรมการผู้จัดการ นายสุรชัย ตรงมหวิเศษ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด บริษัท สยามคูโบต้า ลีสซิ่ง จำกัด และคณะผู้บริหาร บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารส่วนราชการอำเภอขุนหาญ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนจำหน่ายคูโบต้าเจริญชัย สาขากันทรลักษ์ และ พี่น้องประชาชนชาวอำเภอขุนหาญ อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ 

พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 กล่าวว่า กองทัพบก เป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรม "คูโบต้าพลังใจ สู้ภัยหนาว" ร่วมกับ บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผนึกกำลังส่งมอบเสื้อกันหนาวสร้างความอบอุ่นในวันนี้ ขณะนี้หลายพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษ เริ่มมีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นด้วยอุณหภูมิที่ลดลง เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งยังมีพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ประสบปัญหาขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มกันหนาว สำหรับ มณฑลทหารบกที่ 25 เป็นหน่วยงานที่ให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ รวมถึงในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ผู้บัญชาการทหารบก และความทุ่มเทของกำลังพลในพื้นที่ ในการเข้าดูแลบรรเทาความเดือดร้อนให้เร็วที่สุดในทุกภัยพิบัติ สำหรับความร่วมมือกับสยามคูโบต้าในปีนี้ มณฑลทหารบกที่ 25 ได้ใช้ศักยภาพของหน่วยที่ขึ้นตรงต่อกองทัพบก เตรียมความพร้อมดำเนินการลำเลียงเสื้อกันหนาวไปแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่เป้าหมายโดยเร็วทันต่อสถานการณ์ภัยหนาว ด้วยหน้าที่ของกองทัพบก เรายึดมั่นในการดูแลและใกล้ชิดประชาชน พร้อมเสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในการดูแลความสงบเรียบร้อย ตลอดจนพร้อมให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมดีๆ 

เช่นนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นพลังช่วยสร้างกำลังใจให้แก่พี่น้องประชาชนทุกท่าน นายสุรชัย ตรงมหวิเศษ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด และคณะผู้บริหาร บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัทสยามคูโบต้า ลีสซิ่ง จำกัด กล่าวว่า โครงการ "KUBOTA พลังใจสู้ภัยหนาว" ของ สยามคูโบต้า ปีนี้ เป็นปีที่ 24 ที่ดำเนินการต่อเนื่องตลอดมา สิ่งที่คูโบต้า เล็งเห็นก็คือ ความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่หางไกลและประสบกับภัยหนาว จึงได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมา แล้วปีนี้ สยามคูโบต้า ได้ร่วมกับ กองทัพบก เป็นปีที่ 4 ได้ทำการได้มอบเสื้อหนาวจำนวน 10,000 ตัว ให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยหนาว และแน่นอนในเรื่องของการห่วงใยดูแลพี่น้องเกษตรกร สยามคูโบต้า  เล็งเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และโครงการนี้จะเป็นโครงการที่ทาง สยามคูโบต้า จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดไป 

กระบี่-องคมนตรี ติดตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่จังหวัดกระบี่

เมื่อวานนี้ 26 ต.ค.2566 พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมด้วย พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี ในฐานะ รองประธานอนุกรรมการฯ และคณะ ได้เดินทางไปติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยมี นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมและรายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริในพื้นที่

โอกาสนี้หน่วยงานต่าง ๆ ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ แนวทางแก้ปัญหา ของ องคมนตรี ในการเดินทางตรวจติดตามครั้งที่ผ่านมา อาทิ สำนักงานชลประทานที่ 15 กรมชลประทาน ได้รายงานความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหยา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลปลายพระยา อำเภอปลายพระยา ที่ยังประโยชน์เรื่องน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค แก่ราษฎรในพื้นที่ 4 หมู่บ้าน ของ ตำบลปลายพระยา จำนวน 800 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตร 3,932 ไร่ โดยปัจจุบัน กรมชลประทาน ได้พัฒนาอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ด้วยการสร้างถนนรอบอ่าง ระยะทาง 7,800 เมตร เตรียมก่อสร้างท่อส่งน้ำให้กับราษฎรในพื้นที่ หมู่ที่ 3 และ หมู่ที่ 9 ตำบลปลายพระยา บางส่วน จำนวน 200 ครัวเรือน ที่ยังคงขาดแคลนน้ำ รวมถึงเตรียมก่อสร้างสถานีสูบน้ำและระบบท่อส่งน้ำ และได้ขยายเขตไฟฟ้าให้แก่ราษฎร หมู่ที่ 1 ต.ปลายพระยา ที่อาศัยอยู่ด้านเหนือของอ่างเก็บย้ำคลองหยาฯ ซึ่งอดีตไม่มีไฟฟ้าใช้ ทั้งนี้หากโครงการแล้วเสร็จจังหวัดกระบี่ เตรียมขยายผลโครงการโดยการส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ต่อไป

นอกจากนี้ ได้มีการรายงานความคืบหน้า โครงการปลูกข้าวเพื่อบริโภคครบวงจรในนิคมสหกรณ์อ่าวลึก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ , โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าทุ่งทะเล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ , โครงการอ่างเก็บน้ำบางกำปรัด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ , โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำเขียว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ , โครงการทำนบดินคลองสังกาอู้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ , โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก 

ในช่วงบ่าย องคมนตรี และคณะฯ เดินทางไปยัง โครงการอ่างเก็บน้ำบางกำปรัด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พื้นที่หมู่ที่ 6 บ้านโคกหาร ตำบลโคกหาร อำเภอเขาพนม ซึ่งเป็นโครงการชลประทานขนาดกลาง มีความจุน้ำ 16 ล้านลูกบาตรเมตร ที่ช่วยสนับสนุนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค แก่ ราษฎร หมู่ที่ 2,3,4,5,6,7,9 และหมู่ที่ 10 ตำบลสินปุน หมู่ที่ 1,2,3,4,5 และหมู่ที่ 6 ตำบลโคกหาร อำเภอเขาพนม จานวน 1,200 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร จานวน 16,909 ไร่ แต่ทั้งนี้ยังคงมีราษฎร หมู่ที่ 4 บางส่วน และหมู่ที่ 7 ตำบลโคกหาร  หมู่ที่ 3 บางส่วน หมู่ที่ 7 และหมู่ที่ 10 ตำบลสินปุน ยังขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค และทำการเกษตร กรมชลประทาน จึงได้ดำเนินโครงการช่วยเหลือด้วยการสร้างระบบท่อส่งน้ำ จาก อ่างเก็บน้ำบางกำปรัดอันเนื่องมาจากพระราชดาริ เพื่อขยายพื้นที่ส่งน้ำให้กับราษฎร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษา สำรวจ และออกแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 และจะเสนอขอสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างจาก สำนักงาน กปร. ในปี พ.ศ. 2568 วงเงินงบประมาณ 35 ล้านบาท ต่อไป

จังหวัดกระบี่ มีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวม 17 โครงการ ที่เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มี จำนวน 8 โครงการ โครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อม 3 โครงการ โครงการส่งเสริมอาชีพ 1 โครงการ โครงการพัฒนาแบบบูรณาการและโครงการพัฒนาด้านอื่น ๆ จำนวน 5 โครงการ ซึ่งได้สร้างประโยชน์สุขให้แก่ราษฎรเสมอมา...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top