Friday, 20 June 2025
NewsFeed

‘มะกัน’ ผวา!! คนร้ายใช้ปืนไรเฟิลบุกกราดยิงในบาร์-วอลมาร์ต ที่รัฐเมน ดับสลด 22 ศพ บาดเจ็บครึ่งร้อย ตร.เร่งล่าตัว-สั่งร้านค้าปิดให้บริการชั่วคราว

(26 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเหตุกราดยิงในเมืองลูอิสตัน รัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในคืนวันพุธ ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) ครอบคลุมสถานที่ 3 แห่งซึ่งเป็นบาร์ ร้านอาหาร และวอลมาร์ต สโตร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้เผยแพร่ภาพผู้ต้องสงสัย เป็นชายคนหนึ่งพร้อมอาวุธปืนไรเฟิล

ทั้งนี้ มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 22 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากกว่า 50-60 ราย และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนประชาชนให้อยู่ในสถานที่พักอาศัย และให้ร้านค้าผู้ประกอบการหยุดให้บริการ

โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจลูอิสตันยังคงเร่งไล่ล่าผู้ก่อเหตุ พร้อมเผยภาพผู้ต้องสงสัย และยานพาหนะที่คาดว่าใช้ในการหลบหนี

สำหรับ เมืองลูอิสตัน มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 38,000 คน ใช้เวลาขับรถ 45 นาทีไปทางเหนือของพอร์ตแลนด์ รัฐเมน

'กรณ์' หวั่น!! รัฐอาจกู้เงินต่างประเทศ เตือน!! ไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมเท่าไร

(26 ต.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ในหัวข้อ 'รัฐบาลจะกู้เงินต่างประเทศ !!?' ระบุว่า...

เมื่อใครเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง ก็จะมีเจ้าหน้าที่การตลาดของวาณิชธนกิจจากต่างประเทศ เช่น JPMorgan Goldman Sachs หรือ UBS ขอคิวเข้าพบ

และหนึ่งบริการที่เขาจะพยายามเสนอขายคือ ‘การออกพันธบัตรดอลลาร์’ พูดให้คนไทยเข้าใจง่าย ๆ คือ *เสนอให้รัฐบาลกู้เงินต่างประเทศนั่นเอง*

ซึ่งวันนี้ผมเห็นรัฐบาลออกมาแสดงเจตจำนงจะออกพันธบัตรกู้เงินสกุลดอลลาร์ พร้อมคำอธิบายว่าเพื่อเป็นการ ‘เปิดตลาด’ และเพื่อสร้างราคาอ้างอิง (benchmark) - นั่นคือคำอธิบายที่พนักงานมาร์เก็ตติ้งธนาคารมักจะใช้ในการขายบริการนี้ ดังนั้น ผมคาดว่าครั้งนี้ก็ไม่ต่าง

แต่ก่อนที่รัฐบาลจะคล้อยตาม ผมขอให้ไตร่ตรองให้ดีครับ เพราะจังหวะเวลานี้ ต้องขอบอกว่าไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมเลยที่ไทยเราจะออกไปกู้เงินต่างประเทศในลักษณะแบบนี้

หากเป็นสองปีก่อน หรือแม้แต่ปีที่แล้ว ในช่วงก่อนที่ดอกเบี้ยจะขึ้น และในช่วงที่สภาพคล่องมีล้นเหลือยังพอว่า…

แต่วันนี้หากรัฐบาลไทยออกพันธบัตรกู้เงินสกุลดอลลาร์ น่าจะต้องมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยรัฐบาลอเมริกาอยู่ประมาณ 1% คือเท่ากับเราต้องจ่ายดอกเบี้ย 6% ขึ้นไป พร้อมกับการรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (เทียบกับการกู้เงินบาทโดยรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ย 3.3% - แพงกว่ากันประมาณ 2 เท่า)

ช่วงนี้ตลาดพันธบัตรผันผวนสูง และต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลไทยไม่ได้กู้เงินต่างประเทศแบบนี้มาตั้งแต่ยุควิกฤตต้มยำกุ้ง!

ดังนั้นเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน เราต้องออกไปเปิดตัวในจังหวะที่ดี ทั้งในแง่สภาวะตลาดและในแง่ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของเรา

ยิ่งถ้ามีการโยงว่า ‘รัฐบาลไทยออกพันธบัตรกู้เงินต่างประเทศครั้งแรกในรอบ 25 ปี เพื่อนำไปแจกเงินโครงการประชานิยม’ อันนี้ไม่ดีแน่นอน!

'พิมพ์ภัทรา' เอาจริง!! ออก 8 มาตรการปราบสินค้าออนไลน์ไร้มาตรฐาน ลั่น!! ต้องกวาดล้างให้หมดไปจากท้องตลาดภายใน 6 เดือน

(26 ต.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังจากการลงพื้นที่ดูแลประชาชน มักจะได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนเรื่องการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่มีมาตรฐานอยู่เป็นระยะ ตนจึงสั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เข้มงวดในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ต้องกวาดล้างให้หมดไปจากท้องตลาดภายใน 6 เดือน 

ทั้งนี้ ภายใต้ภารกิจ 'Quick Win' ได้ออก 8 มาตรการเร่งด่วน เพื่อกำกับดูแล ควบคุม และส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ถูกหลอกจากการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ ได้แก่...

1) มาตรการ 3 ร. (เร่งตรวจ เร่งกำกับ เร่งปราบ)  
2) มาตรการจับจริง-ปรับจริง 
3) มาตรการเชื่อมโยงข้อมูล 
4) มาตรการให้ความรู้  
5) มาตรการขยายผลอย่างยั่งยืน 
6) มาตรการสร้างความตระหนัก 
7) มาตรการใกล้ชิดประชาชน 
8) มาตรการเพิ่มอาวุธ 

โดยคาดว่าทั้ง 8 มาตรการจะสามารถกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพที่จำหน่ายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ให้หมดไปจากท้องตลาด

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ลงพื้นที่ตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาด และทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปภายใน 6 เดือน รวมทั้ง ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ได้แก่...

1) มาตรการ 3 ร. (เร่งตรวจ เร่งกำกับ เร่งปราบ) โดยเพิ่มความถี่ในการตรวจสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และนำข้อมูลที่ได้มาขยายผล เพื่อให้รู้ถึงพิกัดโกดังเก็บสินค้า พิกัดการโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ และให้ทราบถึงแหล่งที่มาทั้งโรงงานที่ผลิตและช่องทางการนำเข้าของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างสูงสุด  

2) มาตรการจับจริง-ปรับจริง หากพบสินค้าไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. สมอ. จะออกหนังสือแจ้งผู้ประกอบการให้มาให้ข้อมูลร้านค้า และรายละเอียดของสินค้า หากพบว่ามีความผิดจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

3) มาตรการเชื่อมโยงข้อมูล โดยการชี้แจงให้ทุกแพลตฟอร์มทราบมาตรการในการดำเนินคดีกับสินค้าที่มีการโฆษณาโดยไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. และให้ทุกแพลตฟอร์มจัดทำระบบที่บังคับให้ผู้จำหน่ายสินค้าควบคุมต้องแสดง QR Code ข้อมูลใบอนุญาต และภาพในการโฆษณาต้องแสดงเครื่องหมาย มอก. ด้วย 

4) มาตรการให้ความรู้  สมอ. จะเชิญร้านค้าออนไลน์ และแพลตฟอร์ม หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการป้องกันการโฆษณา การจำหน่าย และการลักลอบขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และให้ทราบถึงการกระทำความผิดฐานเป็นผู้ให้พื้นที่ในการโฆษณาและเป็นผู้มีส่วนได้ผลประโยชน์จากการขายสินค้าดังกล่าว 

5) มาตรการขยายผลอย่างยั่งยืน โดย สมอ. จะขยายผลให้ทราบถึงแหล่งที่มาของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเพื่อให้ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด และจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการ หรือผู้เกี่ยวข้อง ที่แจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับแหล่งที่มาของสินค้า 

6) มาตรการสร้างความตระหนัก โดยขอความร่วมมือแพลตฟอร์มให้แสดงอินโฟกราฟิกแจ้งเตือนผู้บริโภคให้รู้วิธีการสังเกตสินค้าที่มีมาตรฐานทุกครั้งที่มีการค้นหา Keyword (คีย์เวิร์ด) เช่น คำว่า 'ปลั๊กพ่วง' / 'พาวเวอร์แบงค์' หรือ 'หลอดไฟ' ฯลฯ 

7) มาตรการใกล้ชิดประชาชน สมอ. จะทำคอนเทนต์ออนไลน์ให้ความรู้แก่ประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าที่มีมาตรฐาน 

8) มาตรการเพิ่มอาวุธ มีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจศึกษาข้อกฎหมาย ข้อจำกัด และแนวทางการแก้ปัญหาในการลงโทษร้านค้าออนไลน์ที่กระทำความผิด รวมทั้งผู้มีส่วนได้ผลประโยชน์จากการขายสินค้าด้วย 

ทั้งนี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้ภารกิจ 'Quick Win' เพื่อกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปภายใน 6 เดือน นายวันชัยฯ กล่าว

'ยูโอบี' ชวนท่องโลกศิลปะครั้งที่ 14 ในรูปแบบ 'Exhibition Trail' พร้อมสัมผัส 5 ไฮไลต์พิเศษ!! ตั้งแต่วันนี้-29 ตุลาคม 2566

'ยูโอบี' เปิดประสบการณ์ใหม่ ชวนคนรักงานศิลป์ท่องโลกศิลปะในรูปแบบ Exhibition Trail สร้างประสบการณ์ร่วม เชื่อมโยงแนวคิด สร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้ผู้ชมระหว่างชมนิทรรศการ

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ชวนคนรักงานศิลป์ร่วมชมนิทรรศการจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันนี้ – 29 ตุลาคม 2566 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2566 - 5 มกราคม 2567 ณ อาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ เพื่อนำเสนอผลงานที่ได้รับรางวัลจากการประกวดจิตรกรรมยูโอบีประจำปีนี้ ให้ผู้สนใจได้เข้าชม และเสริมสร้างแรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะที่ถูกสร้างสรรค์โดยศิลปินทั้งรุ่นใหม่และรุ่นอาชีพ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ จัดกิจกรรม on-ground workshop ชวนท่องโลกศิลปะในรูปแบบ Exhibition Trail สร้างประสบการณ์ร่วม เชื่อมโยงแนวคิดสร้างสรรค์ระหว่างชมนิทรรศการ พิเศษเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น

พบ 5 ไฮไลต์ ความพิเศษของนิทรรศการจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 ที่เอามาฝากกัน

1. ผลงานชนะเลิศประเภทศิลปินใหม่หรือสมัครเล่น ประจำปี 2566 ผลงานศิลปะของรุ่นเล็กที่ความสามารถไม่เล็ก ผลงาน Joy ของนายสันติภาพ เพ็งสวย สัมผัสได้ถึงความสุขของเด็กนักเรียนที่ได้รับการเติมเต็มจากศิลปะ แม้อุปกรณ์การเรียนการสอนในโรงเรียนอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ

2. ผลงานชนะเลิศประเภทศิลปินอาชีพ ปีนี้ นางสาวปรัชญา เจริญสุข เจ้าของผลงาน ปากน้ำชุมพร โดดเด่นในเรื่องการใช้เทคนิคสื่อผสมบนผ้าใบ (ไมโครพลาสติก) เพื่อสื่อสารถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ได้อย่างกระทบความรู้สึกที่สุด ผลงานนี้คว้าเงินรางวัล 750,000 บาท และยังมีโอกาสต่อเนื่องในการประกวดระดับภูมิภาค ณ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อชิงรางวัลชนะเลิศ UOB Southeast Asian Painting of the Year พร้อมเงินรางวัลอีก 13,000 เหรียญสิงคโปร์ และโอกาสในการเป็นศิลปินในพำนัก ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

3. ผลงานศิลปะของผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย รวมอีก 12 ผลงาน ที่ล้วนแล้วแต่มีพลังดึงดูดความสนใจในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป บางผลงานสวยแทบลืมหายใจ บางผลงานมีเทคนิคที่ไม่รู้ว่าเอาความคิดสร้างสรรค์นี้มาจากที่ไหน ใครเห็นก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพความทรงจำ แชร์ความประทับใจไว้บนโซเชียลมีเดีย

4. ผู้นำชมของหอศิลปกรุงเทพฯ รู้หรือไม่ ที่หอศิลปกรุงเทพฯ ก็มีผู้นำชมนิทรรศการ เพื่อให้ผู้ชมได้รับข้อมูลและเข้าถึงสิ่งที่ศิลปินต้องการสื่อได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ทางหอศิลปกรุงเทพฯ ได้จัดให้มีผู้นำชมให้ข้อมูลแก่ผู้ชมระหว่างวันเสาร์และอาทิตย์ โดยมีทั้งผู้นำชมที่เป็นเจ้าหน้าที่ของหอศิลปกรุงเทพฯ เอง และอาสาสมัคร(Volunteer Docent) หลากหลายวัยที่ต่างหลงใหลในศิลปะและต้องการช่วยให้ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะสามารถเข้าถึงศิลปะได้มากขึ้น ช่วยขยายฐานผู้ชมที่รักในงานศิลปะให้กว้างยิ่งขึ้น

5. Exhibition Trail เคยร่วมเทรลในหอศิลป์หรือยัง? ถ้ายังไม่เคย ห้ามพลาดกิจกรรมเทรลสุดชิค ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เทรลรอบนิทรรศการศิลปะ และเป็นภัณฑารักษ์จัดแกลเลอรีพิเศษเฉพาะตัว ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ระหว่างวันที่ 12-29 ตุลาคม 2566 ผู้ชมนิทรรศการจะได้รับ Trail Kit ในรูปแบบแผ่นพับ สำหรับทำเทรลในนิทรรศการจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 ซึ่งในแผ่นพับจะมี Self Gallery และสติกเกอร์ภาพผลงานที่จัดแสดงอยู่ภายในงานทั้งสิ้น 20 ชิ้น ให้ผู้ชมสามารถเลือกจัดผลงานลงบนห้องความรู้สึก 4 ห้อง ได้แก่ Room of Self, Room of Love, Room of Fear และ Room of Dream ได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมในการตีความนิทรรศการ กระตุ้นการเรียนรู้ ได้รับประสบการณ์ใหม่ที่มากกว่าการเข้าชมนิทรรศการทั่วไป ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นต่อนิทรรศการ เกิดแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังได้แง่คิดใหม่ที่นำไปต่อยอดได้ในอนาคต

ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการชมนิทรรศการจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ 14 กับกิจกรรม Exhibition Trail ได้ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ วันละ 3 รอบ ในเวลา 13.00 น. 14.00 น. และ 15.00 น. 

ระหว่างวันที่ 12 - 29 ตุลาคม 2566 ณ โถง ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ถึง 5 มกราคม 2566 ณ อาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ ถนนสุขุมวิท)

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางอีเมล [email protected] หรือติดตามข่าวสารได้ทาง www.facebook.com/uob.th และ www.uob.co.th/uobandart

น่ารัก น่าภูมิใจ!! ‘วีระศักดิ์’ ชมหนัง ‘สัปเหร่อ’ เล่าเรื่องราวธรรมดาๆ ผ่านมุมมองที่เรียบง่าย แต่แฝงแง่คิด-คติธรรมเพียบ!!

(26 ต.ค. 66) นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กล่าวถึง หนัง ‘สัปเหร่อ’ พร้อมชื่นชมในแง่มุมการนำเสนอเรื่องราวของทีมผู้สร้าง โดยระบุว่า…

“พาครอบครัวไปดูหนัง ‘สัปเหร่อ’ มาแล้ว
คนเต็มโรง มีเสียงคิกคักขบขันกันตลอดเรื่อง

ในฐานะลูกอีสาน คุณพ่อเป็นชาวอุบล คุณแม่จากศรีสะเกษ ผมแอบอมยิ้มกับความเรียบง่ายสไตล์ผู้บ่าวไทบ้านของทีมผู้สร้าง ที่หยิบจับความเป็นไปอย่างปกติของชาวบ้านในย่านนี้ออกมาเผยผ่านประสบการณ์อาชีพสัปเหร่อ ที่ย่อมมีในทุกคุ้มวัด ทุกตำบล แต่ถูกมองข้ามมานาน

มุกกลัวผี มุกเพื่อนฝูงแซวกัน มุกผู้เฒ่าผู้แก่ที่ให้ความเมตตา แต่ก็มีสถานะสำคัญที่ชุมชนยกย่องให้บทบาท มีมุก LGBTQ มุกเด็กแว้นท้องถิ่น มุกเจ้าหน้าที่ในงานบริการในชนบท

แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงคติธรรม ระหว่างแดนของผีกับคน คนปล่อยวางได้กับคนที่ยึดติด คนที่เห็นค่าของผู้อื่นและเห็นค่าในตนเอง

หนังสร้างด้วยฉากง่ายๆ แต่ให้อะไรเกินกว่าที่คิด ไม่ประดิษฐ์ ไม่ประดับมากไป ใช้ภาษาอีสานตลอดเรื่อง แต่มีซับไทย และซับอังกฤษวิ่งใต้ภาพตลอด

น่ารัก และน่าภูมิใจครับ”

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

‘เวียดนาม’ ยิ้ม!! ‘ทุเรียน’ ผงาด 9 เดือนแรก ปี 66 แหล่งรายได้ใหญ่สุดในหมู่ ‘ผัก-ผลไม้’ ส่งออก

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฮานอย เผยว่า สำนักข่าวท้องถิ่นของเวียดนามรายงานว่า มูลค่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนาม ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2023 ทะลุ 1.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5.89 หมื่นล้านบาท) ส่งผลให้ทุเรียนกลายเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุด ในอุตสาหกรรมผักและผลไม้ของเวียดนาม

สำนักงานศุลกากรเวียดนามระบุว่า ตัวเลขข้างต้นสูงกว่าตัวเลขจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 14 เท่า

รายงานระบุว่า ยอดส่งออกทุเรียนแซงหน้าขนุน, แก้วมังกร, แตงโม, กล้วย และลิ้นจี่ จนขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่ง ครองสัดส่วนร้อยละ 38.7 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของอุตสาหกรรมดังกล่าว

ปัจจุบัน ‘จีน’ ยังคงเป็นตลาดส่งออกทุเรียนที่สำคัญของเวียดนาม โดยเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียน 422 แห่ง และโรงบรรจุหีบห่อทุเรียน 153 แห่งที่ได้รับสิทธิส่งออกทุเรียนสู่จีน

อนึ่ง มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนาม ช่วงเดือนมกราคม-กันยายน สูงถึง 4.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.52 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

พิจิตร-ป.ป.ช. พิจิตร ลุยตรวจ เทศบาลเมืองบางมูลนากสร้างถนน ค.ส.ล. พร้อมวางท่อระบายน้ำชาวบ้านร้องเดือดร้อนเหตุสร้างไม่เสร็จสักที

วันที่ 26 ตุลาคม 2566 นาย วราพงษ์ อินต๊ะโมงค์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยกลุ่มงานป้องกันการทุจริต ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างถนน ค.ส.ล. พร้อมวางท่อระบายน้ำ ค.ส.ล. ถนนประเวศน์เหนือ สายหลังบริเวณแยกซอยบ้านนายสุรินทร์ อินทร์น้อย หลังได้รับการแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่ามีการก่อสร้างล่าช้า 

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าโครงการดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองบางมูลนาก ได้รับงบประมาณก่อสร้างตามเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 820,000 บาท

วัตถุประสงค์ของการก่อสร้างเพื่อให้ประชาชนสัญจรเข้าออกได้สะดวก เนื่องจากเป็นบริเวณติดกับแหล่งชุมชน หน่วยงานทำการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) กำหนดราคากลางจำนวน 660,000 บาท 

โดยผู้ที่ชนะการเสนอราคาและเป็นคู่สัญญาได้แก่ บริษัท เบญจกาญจน์ (2015) จำกัด สัญญาจ้างเลขที่ 22/2566 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ราคาตามสัญญาจ้าง 655,789 บาท ระยะเวลาสัญญาเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม – 23 สิงหาคม 2566 รายละเอียดการก่อสร้าง เป็นการก่อสร้างถนน ค.ส.ล. ขนาดกว้าง 3.5 เมตร ยาว 117 เมตร หรือมีพื้นที่ ค.ส.ล. ไม่น้อยกว่า 393 ตารางเมตร วางท่อระบายน้ำ ค.ส.ล. ไม่น้อยกว่า 0.4 เมตร ความยาวบ่อพัก 117 เมตร 

ซึ่งปัจจุบันครบกำหนดสัญญาแล้ว แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ 

โดยมีความคืบหน้างานเทคอนกรีตไปแล้วระยะทางกว่า 70 เมตร ยังคงเหลืออีกประมาณ 40 เมตร และงานฝาท่อระบายน้ำต่าง ๆ ดำเนินการแล้ว ทางเทศบาลให้ข้อมูลว่าเนื่องด้วยเป็นช่วงที่ฝนตกติดต่อกันทำให้การก่อสร้างติดขัด ล่าช้าและเสร็จไม่ทันตามสัญญา 

ซึ่งทางเทศบาลฯได้แจ้งสงวนสิทธิ์ค่าปรับแก่ผู้รับจ้างในการชำระค่าปรับรายวัน วันละประมาณ 1,639 บาท ตามกำหนดในสัญญาแล้ว ทางด้านผู้รับจ้างกำลังจัดทำแผนการดำเนินงานส่งให้ทางเทศบาล ซึ่งทางเทศบาลคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จได้ในประมาณอีก 2 สัปดาห์ 

ซึ่งทางสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพิจิตร ได้กำชับให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชน และให้ระมัดระวังเรื่องฝาท่อระบายน้ำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจรไปมาของประชาชน

ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพิจิตร ได้รับเอกสารหลักฐานการก่อสร้างเพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้ว หากพบประเด็นที่เป็นเหตุสงสัยอื่นใดจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ตำรวจภาค 4(ร้อยเอ็ด) สกัดยาบ้าทะลักเข้าทางอีสานกว่า 9 แสนเม็ด ขณะลำเลียงก่อนเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 4 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.พิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.สุริเดช วรรณสุทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด,พ.ต.อ.วีระ หางนาค ผกก.สืบสวน ภ.จว.ร้อยเอ็ด โดยเมื่อวันที่ 23 ต.ค.66 ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด สามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติด 3 คน ขณะกำลังขนยาบ้า 840,000 เม็ด เพื่อนำไปส่งลูกค้าในจังหวัดร้อยเอ็ด 

โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1(เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จนทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน ก่อนการจับกุม ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนติดตามพฤติการณ์ของขบวนการค้ายาเสพติดที่นำยาเสพติดจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ส่งไปยังลูกค้าในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด จนกระทั่งทราบว่าจะมีการขนยาบ้าล็อตใหญ่ผ่านทางจังหวัดร้อยเอ็ด อีกครั้ง จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 23 ต.ค 66 ตำรวจชุดจับกุม ได้พบรถกระบะยี่ห้อ Toyota สีดำ ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี และรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi สีฟ้าทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร ขับไปบนถนนสายโพนทอง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งตรงกับข้อมูลที่สืบสวนทราบมาว่าเป็นรถขนยาเสพติด 

จึงได้สกัดจับกุม จากการตรวจค้นรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi ทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร มีนายเชิดศักดิ์หรือเหลิน เป็นผู้ขับขี่ พบยาบ้าจำนวน 340,000 เม็ดภายในรถ ในขณะที่รถกระบะ Toyota ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี ได้ขับขึ่หลบหนี ตำรวจชุดจับกุมจึงไล่ติดตามจนกระทั่งจับกุมได้ที่ บริเวณใกล้ป่าละเมาะข้างทาง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยมีนายธนากรหรือชล เป็นผู้ขับขี่ และมีนางประมวญหรือมวล นั่งไปด้วย ซึ่งรับว่านำยาบ้าจำนวน 490,000 เม็ด ซุกซ่อนไว้ภายในป่าละเมาะ ตำรวจชุดจับกุมยึดเป็นของกลาง จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้ารวมทั้งสิ้น 830,000 เม็ด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพนทอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสอบสวนขยายผลหาผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดต่อไป

'ก้าวไกล' เย้ย!! ทางตัน 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ปรับเงื่อนไขไร้กระตุ้น ศก. ลั่น!! รอบนี้ฝ่ายค้านใจดี แต่เปิดสมัยประชุมหน้า จองกฐินถล่ม

(26 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่มีการปรับลดเงื่อนไขว่า ปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องมีการปรับหลักเกณฑ์โดยการที่คัดกรองคนรวยออก ก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลน่าจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้กับนโยบายนี้แน่นอนจึงจำเป็นต้องทำจำนวนคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ลดลง ซึ่งถึงแม้ว่าจะลดลงแล้วก็ยังมีคนที่จะได้รับอยู่ที่ประมาณ 43-49 ล้านคนอยู่ดีดังนั้นโอกาสที่จะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ก็มีค่อนข้างน้อย และมีข้อเสนอออกมาอีกว่าจะใช้งบผูกพันปีละ 1 แสนล้านบาทภายใน 4 ปี ตนคิดว่าก็ยิ่งชัดเจนว่างบประมาณปี 2567 มีที่ว่างให้ทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเพียงแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น

“กรณีจำเป็นที่ต้องผูกพันไปถึง 4 ปี ก็เท่ากับว่าจะมีร้านค้าบางส่วนที่ไม่ได้เงินสดไปทันที และต้องรอแลกเป็นหลายรอบปีงบประมาณ ก็จะกระทบกับร้านค้า อาจจะไม่มีแรงจูงใจมากพอ ถ้าหากต้องการเงินสดมาหมุนเวียนในร้านค้าของตนเอง ก็อาจจะไม่เข้าร่วมโครงการด้วยซ้ำไป” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนพูด ตอกย้ำว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาถึงทางตันแล้ว เนื่องจากไม่สามารถให้ธนาคารของรัฐ ธนาคารออมสินดำเนินโครงการนี้ไปก่อนได้ จึงติดข้อจำกัดหลักที่เป็นตอใหญ่คือเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งตนคิดว่าการปรับเงื่อนไขครั้งนี้ต้องพิจารณาด้วยว่ายังคงสามารถทำได้ตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมผลที่คาดว่าจะได้รับดั้งเดิมหรือไม่ ถ้าเงื่อนไขเปลี่ยนไปหมดแล้ว อาจจำเป็นที่ต้องทบทวนวิธีการใหม่ทั้งหมด ทบทวนนโยบายใหม่ทั้งหมด

เมื่อถามว่าการปรับเงื่อนไขทำให้จำนวนผู้ได้รับลดลงมากน้อยอย่างไร และสะท้อนอะไรบ้าง น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่าลดไปได้นิดเดียวเองสำหรับคนที่มีเงินเดือนเกิน 25,000 บาท รวมถึงเงื่อนไขบัญชีเงินฝาก ลดไปได้ 13 ล้านคน

“ถ้าเกิดเงินเดือนเกิน 50,000 บาท ยิ่งลดไปได้น้อยใหญ่เลย ลดไปได้แค่ 7 ล้านคน ดังนั้น เกณฑ์นี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในแง่ของการที่จะประหยัดงบประมาณลง ก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงว่าจะทำอย่างไรกันต่อ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ถ้าสุดท้าย รัฐบาลกลับไปทางเลือกที่ 3 ที่ให้เฉพาะคนที่ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตนมองว่าอาจจะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป อาจจะเป็นโครงการประคับประคองเยียวยาค่าของชีพคนที่มีรายได้น้อยหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน จะกลายเป็นการเปลี่ยนรูปแบบวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นชัดเจน ย้ำว่าคำว่าทบทวนหมายถึงอาจจะให้เปลี่ยนวิธีการมากกว่ายกเลิกโครงการ ตนเข้าใจดีว่าสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนก็สำคัญ

“ดิฉันเข้าใจว่าเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ แต่ก็สามารถที่จะบอกกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าติดปัญหาในเรื่องอะไรดิฉันคิดว่าประชาชนน่าจะเข้าใจได้ว่ารัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีอุปสรรคชิ้นใหญ่คืองบประมาณ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่าสุดท้ายจะเหมือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องรอดูว่าจะเป็นรูปแบบนั้นหรือไม่ตอนนี้งบประมาณที่ไปทบทวนในแต่ละหน่วยงานของรัฐทำการเสร็จแล้ว และเริ่มทยอยส่งกลับมาที่สำนักงบประมาณดังนั้น สำนักงบประมาณมีข้อมูลอยู่ในมือแล้วว่าจะสามารถที่จะตัดลดงบหรือไกล่เกลี่ยงบประมาณปี 2567 ได้เท่าไหร่

“ดังนั้น ถ้าไม่ทำงบประมาณผูกพันข้ามปีทางออกทางเดียวก็คือให้เฉพาะคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มันก็จะไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไปเป็นเพียงแค่เยียวยาค่าของชีพ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะยังรอให้มาติผลการประชุมกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ออกมาก่อน เรายังใจดีให้รัฐบาลกลับไปคิดทวนลงรายละเอียดทุกอย่าง และให้คณะกรรมการชุดใหญ่มีข้อเสนอกับคณะรัฐมนตรี เราจะได้ทำการตรวจสอบกันต่อไป หลายกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรก็รอที่จะพูดคุยอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปิดสมัยประชุม แต่หากเปิดสมัยประชุมเราก็จะมีการพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างแน่นอน พร้อมย้ำสื่อมวลชนให้สอบถามร้านค้าว่าหากมีการทยอยจ่ายเงินสดไม่ได้ทันที ร้านค้าเข้าร่วมโครงการอยู่หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ตอนนี้แหล่งเงินจากธนาคารออมสินไม่สามารถใช้ได้แล้ว ถ้าจะใช้ธนาคารออมสินต้องแก้ไขกฎหมาย ส่วนการออก พ.ร.ก.กู้เงินเหมือนช่วงโควิดนั้น เป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แต่ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า พ.ร.ก. จะออกได้เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ซึ่งต้องกลับไปถามสำนักบริหารหนี้สาธารณะว่าจะยอมหรือไม่ ในกรณีที่ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนและเสี่ยงต่อการขัดต่อรัฐธรรมนูญ บอกว่าอาจเป็นการฆ่าตัวตายได้

บิ๊กดีล!! WHA เซ็นขายที่นิคมฯ 250 ไร่ให้ ‘ฉางอาน ออโต้ฯ’ ตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรก เพื่อส่งออกทั่วโลก

(26 ต.ค. 66) บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในเครือดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่กับบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด หนึ่งในกลุ่มยานยนต์ชั้นนำ 4 กลุ่มของจีน จำนวน 250 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด 4 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บนพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อสร้างโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า นับเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ครั้งสำคัญแห่งปี 2566 สะท้อนถึงศักยภาพและการบูรณาการด้านการส่งเสริมการลงทุนอันโดดเด่นของประเทศไทย และมาตรฐานการจัดการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป นับเป็นการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรชั้นนำของโลก

ในพิธีลงนามในสัญญาครั้งสำคัญนี้ ได้รับเกียรติจาก มิสจาง เซียว เซียว อัครราชทูตจีน ประจำแผนกพาณิชย์ สถานทูตจีนประจำประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมีนางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด และกรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ลงนามในสัญญา

นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด และกรรมผู้จัดการและประธานกรรมการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ใช้เงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 8,862 ล้านบาท เพื่อตั้งฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา ทั้งประเภท BEV, PHEV, REEV (Range Extended EV) สำหรับจำหน่ายในไทยและส่งออกสู่ภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และแอฟริกาใต้ ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ 100,000 คันต่อปี รวมถึงจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า คาดว่าจะเริ่มผลิตรถยนต์ได้ในปี 2568 โดยบริษัทยังเล็งเห็นถึงศักยภาพของไทยมากกว่าการเป็นฐานการผลิต จึงมีแผนจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ในไทยในระยะต่อไปอีกด้วย

ด้วยทำเลที่ตั้งและชื่อเสียงของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของภูมิภาค ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 มีทำเลที่ตั้งอันโดดเด่นบนพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายของอีอีซี ทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ ระบบสาธารณูปโภคและบริการระดับเวิลด์คลาส รวมไปถึงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง และการขยายคลัสเตอร์ยานยนต์ในอีอีซีด้วย

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนของฉางอานฯโดยเลือกดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่ในไทย ซึ่งการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แห่งปี ของความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน ในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ประเทศไทยคือจุดหมายด้านการลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทคจากต่างประเทศที่สำคัญของเอเชีย

ปัจจุบัน การเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการขยายคลัสเตอร์ยานยนต์ในอีอีซีอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์ ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าสำคัญของโลกต่อไป โดยที่ผ่านมาบีโอไอได้อนุมัติโครงการยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 23 โครงการจาก 16 บริษัท และภายในปี 2573 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะมีสัดส่วน 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของประเทศไทย หรือ 725,000 คันต่อปี

นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 เป็นนิคมอุตสาหกรรมลำดับที่ 9 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมด 2,443 ไร่ (รวมพื้นที่ส่วนขยาย) ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของอีอีซีที่เอื้อต่อการส่งออกสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ได้รับการออกแบบให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate)

โดยมีโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานระดับโลก เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมล่าสุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง การรักษาความปลอดภัย การควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการผลิตและการบำบัดน้ำเสีย และมีการเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมส่วนกลางของดับบลิวเอชเอ (Unified Operation Center หรือ UOC) ทำให้บริษัทฯ สามารถตรวจสอบสภาวะด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน The Ultimate Solution for Sustainable Growth

“การตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยของฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าบนเวทีโลก เพราะนอกจากแสดงถึงความเชื่อมั่นของฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย ที่มีต่อประเทศไทยทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพของตลาด นโยบายเชิงรุกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่ครบวงจรพร้อมรองรับการผลิต ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะแผนยุทธศาสตร์ชาติในการผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก ตลอดจนการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ และการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร สู่การบรรลุเป้าหมายการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle) ภายในปี 2573 หรือ 2030 ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050” นางสาวจรีพร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top