Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

‘อาจารย์น้ำนุ่น’ ชี้!! ข้อจำกัด ‘ละครไทย’ สร้างภายใต้ปัจจัยเหนี่ยวความบูม ต่างจาก ‘เกาหลีใต้’ เสรีคอนเทนต์ สร้างสรรค์ได้อิสระจนของดีล้นตลาด

จากกรณีเมื่อไม่นานนี้ ที่ ‘คุณบอย เอนเตอร์เทน’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า “ดาราไทยกำลังตกงาน ล่าสุดละครลดการผลิต รายการทีวีขอลดค่าตัว ดาราหันไปหาอาชีพใหม่หนีตายแล้ว ไม่ดังอยู่ยาก เรื่องเยอะก็ไม่จ้าง ดาราไทยมูลค่าการตลาดสูงลิ่ว ค่าตัวแพงสวนทางคุณภาพ พัฒนาแค่เรื่องหล่อสวย แต่ขาดความยั่งยืนเรื่องฝีมือ หรือจะเรียกว่ามีตัวจริงไม่กี่คนก็ได้” ซึ่งสวนทางกับเกาหลีใต้ ที่ปัจจุบันนี้เกาหลีใต้มีซีรีส์ที่ล้นตลาดกว่าหนึ่งร้อยเรื่องที่ยังหาคิวออนแอร์ไม่ได้ 

จากกรณีดังกล่าวนี้ ทางรายการ ‘ถลกข่าว ถลกปัญหา’ ประจำวันที่ 5 ก.ย. 66 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, MAYA Channel ช่อง 44, NAVY AM RADIO AM 720 kHz และวิทยุ KCS RADIO ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร บุญนาจเสวี ได้เชิญ ผศ.ดร.อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์ หรือ ‘อาจารย์น้ำนุ่น’ อาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการสื่อสาร วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มาร่วมถกในเชิงวิชาการ ถึงข้อจำกัดในวงการ ‘ละครไทย’ โดย อ.น้ำนุ่น เผยว่า...

หากย้อนไปดูทีวีบ้านเราตอนนี้ เช่น ช่อง 3 จะเห็นว่าเริ่มนำละครเก่ามารีรัน ส่วนช่อง 7 รีรันได้สักพักใหญ่แล้ว และบางช่องอย่าว่าแต่รีรัน มีการไปเอาซีรีส์เกาหลี หรือซีรีส์จีนมาออนแอร์ โดยที่ไม่ผลิตละครอีกแล้ว ซึ่งจริงๆ มันเป็นมาสักพักแล้ว และดิฉันเองก็เคยเขียนเรื่องนี้ลง THE STATES TIMES เมื่อหลายปีก่อน และพอผ่านมาหลายปี เราก็ยังไม่เดินไปไหนเลย ในขณะที่รอบบ้านเราเริ่มเร่งเครื่องกันแล้ว 

อันที่จริงประเทศไทยเรามีทรัพยากรที่ดีและมีคนที่เก่ง แต่เวลาเราจะพัฒนาอะไร ควรต้องไปด้วยกันทั้ง ‘อุตสาหกรรม’ จะพัฒนาไปแค่ภาคอุตสาหกรรมที่เป็นสถานี หรือเป็นช่องที่ผลิตไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เปรียบเหมือนวงการกีฬา ที่บางชนิดกีฬามักไม่ได้รับความนิยมเหมือนกันกับกีฬาหลักๆ 

ทีนี้ถ้าหากหันไปมองเกาหลีใต้ เราก็ต้องยอมรับว่า เขามีนโยบายในการสนับสนุน Soft power ล่วงหน้าก่อนเรามาราว 20 ปีที่แล้ว แปลว่าเขาไม่ได้เกิดจากความฟลุ้ก แต่เกิดได้จากสิ่งที่รัฐบาลได้วางนโยบายไว้ว่าเขาต้องการจะผลักดัน Soft power ผ่านซีรีส์ ผ่านละครต่าง ๆ และก็ทําอย่างเป็นระบบ

หลังจากนั้น พอมันบูม ก็จะเริ่มมีเงินหมุนเวียนเข้ามาในอุตสาหกรรม ทําให้เขาพัฒนาได้ต่อเนื่องและไปไกลก่อนเรามาก มากขนาดที่สามารถเข้าไปตีได้ทุกตลาดและทุกช่วงเวลา อย่างตอนที่โควิด19 ระบาดหนัก เขาก็สามารถนำซีรีส์ต่างๆ เข้าเจาะช่องทางอย่าง Netflix ที่กินเวลาชีวิตผู้คนในช่วงนั้นได้ทันที เพราะเนื้อหา โปรดักชัน มีความน่าติดตาม พอ Netflix เห็นแบบนี้ ก็กล้าให้เงินสนับสนุนมาทำ ทำให้มีเงินทุนหนุนเข้าสู่อุตสาหกรรมซีรีส์เกาหลีใต้ได้หลากหลายทาง

"วันนี้อุตสาหกรรมรอบข้างไทยอย่างเกาหลีและจีน มีซีรีส์มหาศาลที่พร้อมเทมาบ้านเรา ยิ่ง Netflix ที่เพิ่งประกาศลงทุน 85,000 ล้านบาท เพื่อสร้างคอนเทนต์เกาหลี ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปี 2016 เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าคนทั่วโลกดูคอนเทนต์จากทางเกาหลีมากที่สุด ก็ยิ่งทําให้ Netflix กล้าเอาเงินไปลงทุนกับทางฝั่งของเกาหลีค่อนข้างมากขึ้น ซึ่งนั่นก็จะทำให้เราต้องเจอคอนเทนต์เกาหลีไหลเทตามมาอีกมากมาย”

"ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า การที่เขาแข็งแรงและได้รับการตอบรับจากผู้ชมไม่ใช่แค่คนไทยนั้น ล้วนมาจากเนื้อหาที่เป็นจุดเด่น ซึ่งมันใหม่และแตกต่าง ขณะเดียวกันกองเซ็นเซอร์ของเขาน้อยกว่าบ้านเรา อย่างบ้านเราเห็นเหล้าไม่ได้ แต่เกาหลีกระดกโซจูโชว์ จนทําให้โซจูกลายเป็น Soft power ของเกาหลีไปโดยอัตโนมัติ แต่บ้านเรายังมีข้อจํากัดอีกหลายอย่างที่แตะประเด็นอ่อนไหวไม่ได้อย่างเราจะพูดถึงประเด็นพระในวัดอีกมุมหนึ่ง ที่เราเห็นข่าวว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ทําไมพอเป็นหนังกลับสร้างไม่ได้ คือประเทศไทยมีการปิดกั้นในการสร้างเนื้อหา เพราะมีกองเซ็นเซอร์”

"ดิฉันไม่ได้ต้องการจะบอกว่าอะไรผิดหรือถูก แต่การทำงานของพวกเขา (เกาหลีใต้) อยู่ภายใต้การทําอะไรที่ได้มากกว่าบ้านเรา มันเลยไม่ไปจํากัดความคิดสร้างสรรค์ของคนทํางาน และนั่นก็ทำให้หลายๆ อย่างในซีรีส์เกาหลีที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากตัวซีรีส์ กลายเป็น Soft power ไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็น อาหาร การแต่งกาย วัฒนธรรม หรือสถานที่ท่องเที่ยว ที่ถูกสอดแทรกเข้าไป"

อย่างไรก็ตาม อ.น้ำนุ่น ก็เริ่มเห็นสัญญาณที่เริ่มดีขึ้นในไทย หลังจากเริ่มมีหน่วยงานในไทยพยายามเข้ามาสนับสนุน Soft Power ในเชิงอุตสาหกรรมบันเทิง ผ่านกระแส T-pop ที่เริ่มขยายวง ควบคู่ไปกับการรีรันละครที่ขายได้ตลอด เช่น บุพเพสันนิวาส หรือ ทองเนื้อเก้า ซึ่งเป็นละครดีรีรันกี่ทีก็ยังขายได้ รวมถึงละครรีเมกบางเรื่องที่ยังตราตรึงหัวใจคนไทยอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น คนไทยยังเปิดรับคอนเทนต์ดีๆ เสมอ และฐานคนดูก็ไม่ได้น้อยลง แต่อย่างใด ยกตัวอย่าง เช่น ‘มาตาลดา’ ตอนจบมีการรับชมผ่านออนไลน์ 7 แสนกว่าวิว ซึ่งไม่น้อยเลย…เขาแค่เปลี่ยนช่องทางในการรับชม แปลว่าคนดูไม่ได้ดูน้อยลง และประชากรพร้อมดู คำถาม คือ คุณพร้อมที่จะเสิร์ฟผลงานให้เขาได้ดูหรือเปล่าเท่านั้นเอง ในระยะนี้อาจจะได้เห็นละครรีรันเพราะช่องอยากจะลดค่าใช้จ่าย เนื่องจาก ‘เงินเฟ้อ’ ขึ้นตามสถานการณ์โลก ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เลยแพงขึ้น ค่าออกกองแพงขึ้น ก็เลยไม่แปลกที่เห็นละครรีรัน แต่ในอนาคตพอมันกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ เราควรจะได้เห็นละครน้ำดีใหม่ๆ เยอะขึ้น

เมื่อถามถึงแนวโน้มในเมืองไทยกับการลดกำลังผลิต การลดค่าตัว หรือละครรีรันที่ถูกรีรันอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้ จะลากยาวไปอีกนานแค่ไหน? อ.น้ำนุ่น มองว่า...

"เรื่องนี้ต้องมอง 2 มุม อย่างมุมแรกการนำละครฮิตมารีรัน มันคือช่วงโควิด-19 ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะออกกองไม่ได้ เขาก็เลยต้องรีรันละคร ส่วนสถานการณ์จะเป็นอีกนานไหม มันต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของสถานี อาจจะบอกไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งเราไม่ใช่คนที่อาจจะอยู่ในฝั่งของการออกนโยบายของสถานี”

"แต่อีกมุมหนึ่ง มองว่า ช่องกําลังหยั่งเชิงอะไรอยู่หรือไม่ ว่าละครประเภทไหนกําลังจะมา…เช่นตอนนี้เอาบุพเพสันนิวาสมาปูก่อน อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาจะมีบุพเพสันนิวาส 2 หรือเปล่า นั่นก็คือ 'พรหมลิขิต' ซึ่งตรงนี้อาจเป็นการปูทางเพื่อดูว่าคนยังสนใจละครแนวนี้อยู่หรือไม่...สิ่งนี้น่าสนใจ”

"ส่วนเรื่องค่าตัวนักแสดงหรือทีมงานอันนี้ คงตอบยาก เพราะเท่าที่พอทราบ เบื้องหน้าเขายังรู้สึกว่ารายได้หรือค่าตัว ยังไม่คุ้มกับการทํางานของเขา แต่ก็มีข่าวออกมาว่า คนเบื้องหน้าบางรายอาจจะได้ค่าตัวที่มันสูงแล้ว จนทําให้การรับงานมันน้อยลง"

ส่วนข้อคำถามที่ว่า ‘คนกลัวว่าถ้าทําละครมาแล้วดาราไม่ดัง จะขายยาก แล้วนักแสดงหน้าใหม่จะเกิดได้ยังไงนั้น? อ.น้ำนุ่น มองว่า...

"จริง ๆ แล้ว เราจะเห็นว่าทุกช่อง มีการปูนักแสดงหน้าใหม่ไว้อยู่แล้ว เวลาจะมีละครสักเรื่องหนึ่ง นักแสดงหน้าใหม่คงไม่ได้เล่นเลยหรอก แต่จะไปเป็นตัวสองตัวสามก่อน เพื่อดูกระแส หรือเอานักแสดงเบอร์ใหญ่มาเพื่อเล่นประกบคู่บทพระ-นาง ซึ่งมันจะเป็นการ ‘หมุนเวียนคน’ แต่ถ้าทั้งเรื่องเป็นนักแสดงใหม่หมดเลย...มันยาก!! นอกจากซีรีส์ ซีรีส์ที่เราดูกันทางช่อง GMM25 หรือ ONE ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของเขาคือ ‘วัยรุ่น’ จะเป็นคนละแบบ อันนั้นเราอาจจะได้เห็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เขาไปตีตลาดออนไลน์ ขายจิ้น และพอไปตีตลาดทางออนไลน์ได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็ค่อยกลับเข้ามาเล่นในช่องสถานี ซึ่งเราก็จะได้เห็นการเติบโตของนักแสดงที่มาจากสายวายและเซ็นสัญญากับทางช่อง ในเชิงของละครโดยเฉพาะละครหลังข่าว ภายใต้การประกบกันระหว่างนักแสดงเก่ากับนักแสดงใหม่ ที่มาเล่นรวมคละๆ กัน เพื่อให้เกิดการส่งต่อระหว่างรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง”

ท้ายสุด อ.น้ำนุ่น ยังได้แนะนำให้วงการละครไทยคิดต่ออีกด้วยว่า "โอกาสของละครไทย กับทิศทางการซื้อลิขสิทธิ์ละครเกาหลีเข้ามาทำใหม่ อาจจะไม่ได้ต่อยอดอะไรให้กับช่องได้จริง เพราะการสร้างละครเอง มันได้ทั้งเรตติ้ง ได้ทั้งโฆษณา ได้ทั้งลิขสิทธิ์เป็นของตน ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การปั้นนักแสดงให้ดัง แล้วไปเก็บกินข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นอีเวนต์ พรีเซนเตอร์ ดังนั้นส่วนตัวก็ยังเชื่อว่าละครหลังข่าวของบ้านเรา คงจะยังไม่ยอมให้ซีรีส์เกาหลีมาทดแทนช่วงเวลานี้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้"

‘ลดภาษี-อุดหนุนเงินเข้ากองทุน’ ทางออกปัญหา ‘พลังงานแพง’ ช่วยลดภาระ ปชช. ควบคู่สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ

(6 ก.ย. 66) ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนโยบายจัดการด้านพลังงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 6 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสาระสำคัญจาก ดร.พรายพล ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

“สำหรับการจัดการเรื่องราคาน้ำมัน ทางเดียวที่เห็นได้ชัดในตอนนี้คือรัฐบาลต้องเข้ามาอุดหนุน จะทั้งทางลดภาษีสรรพสามิต หรือการอุดหนุนผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ได้ทั้งนั้น อีกทั้งอยู่ในอำนาจของรัฐบาลที่จะทำได้ด้วย ที่พูดมานี้หมายถึงตัวน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีความจำเป็นในการขนส่ง รถโดยสาร”

ดร.พรายพล กล่าวว่า ปัจจุบันนี้รัฐได้อุดหนุนน้ำมันดีเซลผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยควบคุมให้ราคาน้ำมันไม่สูงขึ้น โดยอุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 5.60 บาท แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็เก็บภาษีสรรพสามิตลิตรละเกือบ 6 บาท ถ้าเทียบดูแล้ว ฟากที่รัฐเก็บเข้ามาและจ่ายออกไปก็พอ ๆ กัน โดยสรุปก็คือรัฐเก็บภาษีได้ไม่กี่สตางค์ต่อลิตร 

ส่วนทางด้านของน้ำมันเบนซิน ในขณะนี้มีการเก็บภาษีเต็มที่คือ 5 บาทกว่า ๆ ต่อลิตร และอุดหนุนเข้ากองทุนลิตรละประมาณ 2 บาทกว่า ๆ อาจจะฟังดูไม่เป็นธรรม แต่หากมองราคาที่หน้าปั๊มจะเห็นว่า ราคาขายปลีกของเบนซินสูงกว่าดีเซล

ดร.พรายพล กล่าวต่อว่า แนวคิดรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา จะมองว่าคนที่ใช้เบนซินจะเป็นคนที่มีกำลังจ่ายมากกว่าคนที่ใช้น้ำมันดีเซล เพราะการใช้น้ำมันดีเซลจะใช้ในรถบรรทุก ขนส่ง รถโดยสาร ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ จึงนำเงินมาช่วยอุดหนุนมากหน่อย แต่น้ำมันเบนซินใช้ในรถยนต์ส่วนตัว รถที่มีราคาแพง จึงมีการอุดหนุนที่น้อยกว่า 

เมื่อถามว่านอกเหนือจากภาษีที่ต้องจัดการ โครงสร้างราคาน้ำมันส่วนไหนที่สามารถจัดการได้อีกบ้าง เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง ดร.พรายพล กล่าวว่า จะต้องดูให้ครอบคลุมทั้งโครงสร้างพลังงาน ส่วนเรื่องของค่าการกลั่นที่เคยเป็นประเด็นก็ควรจับตาดูด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีการขยับขึ้นลงเสมอ ๆ และแม้ทั่วโลกจะมีค่าการกลั่นสูงเหมือนกันหมด แต่ก็น่าคิดว่าจะทำให้ค่าการกลั่นลดลงได้หรือไม่ สำหรับปีนี้ก็ลดลงต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่แนวโน้มในช่วง 10 ที่ผ่านมาก็ยังสูง แต่คิดว่าก็น่าจะมีแนวทางที่จะลดลงได้

ส่วนค่าการตลาดที่ผ่านมาถือว่าไม่สูงเท่าไหร่ เฉลี่ยแล้วลิตรละ 2 บาท หากจะให้ลดลงอีกก็คงลดได้ไม่มากเท่าไหร่ เพราะก็ต้องมีช่องให้ผู้ประกอบการทำกำไรด้วย หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านก็อยู่ในเกณฑ์ใกล้ ๆ กัน 

เมื่อถามว่าจากนโยบายของพรรคการเมืองหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรีในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ไม่มีการอนุญาตให้นำเข้าเสรีใช่หรือไม่?

ดร.พรายพล กล่าวว่า เท่าที่ผมทราบ ค่อนข้างเปิดกว้างและเสรี ยกเว้นแต่เพียงก๊าซหุงต้ม ส่วนที่เหลือไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย การเสรีค้าในที่นี้หมายถึงเสรีภายใต้กรอบกฎหมาย และผู้นำเข้าจะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะไปนำเข้ามาขาย เพราะก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย เพราะน้ำมันเป็นวัตถุอันตราย หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่

อีกเรื่องที่ต้องระวังคือเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เช่น หากเราไปซื้อน้ำมันจากรัสเซียในราคาถูก ก็อาจจะโดนจับตามองจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เพราะตอนนี้มีการคว่ำบาตรกันอยู่ 

สำหรับประเด็นราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในอ่าวไทย ประชาชนซื้อราคาสูงมาก แต่กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีซื้อในราคาถูก สามารถแก้เขาให้มีราคาเท่ากันได้หรือไม่? ดร.พรายพล กล่าวว่า การปรับราคาก๊าซธรรมชาติให้มีราคาถูกเท่ากันก็มีวิธีการทำให้เป็นไปได้ ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ประกอบการที่ขายแก๊สก็ต้องมีรายได้ลดลง และต้องเป็นการหารือระหว่างรัฐและผู้ประกอบการ ส่วนบริษัทรัฐวิสาหกิจก็ต้องทำตามนโยบายของรัฐบาล แต่ก็ต้องเห็นใจให้เขาสามารถทำกำไรได้ด้วย

เมื่อถามว่าจะบริหารจัดการให้เกิด ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’ สามารถทำได้อย่างไรบ้าง? ดร.พรายพล กล่าวว่า ความมั่นคงในที่นี้คือการมีปริมาณที่เพียงพอและมีคุณภาพที่ยอมรับได้ โดยต้องดำเนินการอยู่บนพื้นฐานอำนาจของรัฐ เช่น ด้านภาษี หรือกลไกของกองทุนน้ำมัน เพราะหากออกนโยบายที่กดดันทางผู้ประกอบการมากเกินไป ก็อาจจะไม่มีเสถียรภาพในการให้บริการและไม่เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานตามมาได้

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะใช้มาตรการหรือวิธีการใดในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน 

นาทีทอง!! ‘เศรษฐา’ โชว์ฟอร์มบริหารราชการแผ่นดิน ร่ายคาถากำราบ ‘นักการเมือง’ โหยเงิน-หิวอำนาจไม่ให้แผลงฤทธิ์

วันนี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เริ่มต้นกันแบบตรงไปตรงมาว่า ขอแสดงความยินดีปรีดากับ ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ที่จะได้เริ่มงานสมบูรณ์แบบเต็มคาราเบล...หลังจากผ่านการแถลงนโยบายในวันจันทร์ที่ 11 ก.ย. ที่จะถึงนี้หลังจากที่เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณกันเป็นที่เรียบร้อย   

ต้องขีดเส้นใต้หลายเส้นไว้ตรงนี้ว่าการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปฏิสันถาร ให้กำลังใจ พร้อมชื่นชมนายกฯ เศรษฐา ทวีสินว่าเป็นคนเก่ง ตามที่คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว เปิดเผยกับนักข่าวนั้นมีคุณค่าเหนืออะไรอื่น...ต้องน้อมใส่เกล้าฯ รำลึกไว้ในทุกเมื่อ…และพึงระลึกว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ได้ถวายสัตย์ฯ เอาไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ด้วยถ้อยคำว่า  

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

พูดก็พูดเหอะ…ในอดีตรัฐมนตรีบางคนผ่านการถวายสัตย์ฯ หลายต่อหลายครั้ง แต่ไปทุจริตคดโกงสุดท้ายก็เข้าคุกเข้าตะราง…

ดูหน้าดูตา ครม.เศรษฐา ยังไม่ถึงกับต้องร้องว๊าววว!! แต่ขณะเดียวกันก็พอจะเข้าใจได้ว่าภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลผสม และระบบโควตาแบบการเมืองไทยได้แค่นี้ก็พอไปได้…สำคัญว่าหัวขบวนอย่าง ‘เสี่ยนิด’ เศรษฐา จะโชว์กึ๋นโชว์ฟอร์มความเก่งออกมาได้ยังไง จะรักษาดุลยภาพความเป็นตัวของตัวเอง กับการแทรกแซงจากภายนอกได้มากน้อยแค่ไหน…มีศิลปะในการบริหารจัดการอย่างไร...และป้องกันการถอนทุนของนักการเมืองบางคนที่หิวโหยทั้งอำนาจและเงินตราได้แค่ไหน?

รัฐบาลลุงตู่ 9 ปีที่ผ่านไป ก็มีการทุจริตโกงกินกันพอประมาณ แต่ตัวผู้นำไม่มีบาดแผล ก็เป็นภูมิคุ้มกันที่ดี ตรงนี้แหละที่เศรษฐาต้องยึดถือว่าคือผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่แท้จริง ทนทานและดีงามกว่าผู้มากบารมีชั้น 14 เป็นไหน ๆ

มาถึงบรรทัดนี้ก็ต้องขอแสดงความยินดีและห่วงใยไปยัง ‘บิ๊กอ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ที่ถูกจัดวางเป็นรองนายกฯ อันดับ 1 เรียกขานว่า สร.2 นอกจากดูกระทรวงการค้าแล้วยังต้องมาดูงานความมั่นคง ดูแลตำรวจให้นายกฯ เศรษฐาด้วย..อันนี้น่ายินดี แต่ที่น่าห่วงคือสุขภาพของสหายใหญ่หรือบิ๊กอ้วนวันนี้ไม่น่าจะฟิตปั๋งเหมือนแต่ก่อน...หรือจะให้ฟิตปั๋งแบบ ‘บิ๊กทิน’ สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ก็คงไม่ได้ รายนั้นวันเสาร์ที่ผ่านมายังไปส่ายสะโพกโยกเต้นร้องเพลงลูกทุ่งฉลองวันเกิดของสหายศรชัย-อดิศร เพียงเกษ ที่สนามกอล์ฟดังเมืองกาญจน์อยู่เลย…

พูดถึง ‘บิ๊กทิน’ ก็คงปวดหัวในการจัดทัพทีมงาน ทั้งงานรูทีนธุรการ งานที่ปรึกษา ฝ่ายเสนาธิการทั้งโอลด์เติร์ก ยังเติร์ก และนักวิชาการ-นักการเมือง...ตามข่าวเบื้องต้นทราบว่าจะเอา พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ ‘บิ๊กเล็ก’ อดีตเลขาธิการ สมช. สายตรงลุงตู่เป็นเลขานุการรัฐมนตรี พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ‘บิ๊กแป๊ะ’ อดีตปลัดกลาโหมยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี...

ราย ‘บิ๊กแป๊ะ’ นั้นน่าจะแน่แล้ว...แต่ราย ‘บิ๊กเล็ก’ ข่าวยังไม่ยืนยัน แต่ถ้าได้ทั้งสองท่าน ‘บิ๊กเล็ก เลียบด่วน’ ขอบอกว่าดีแน่...แต่ ‘บิ๊กแม้ว’ ว่าไงล่ะ…ท่านบิ๊กทิน!!??

สวัสดี

‘รมช.คลัง’ ยัน!! วิธีโอนเงิน เงินดิจิทัล 10,000 ใช้ระบบบล็อกเชน ไม่ได้โอนผ่านเป๋าตัง

(6 ก.ย. 66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีช่องทางการจ่ายเงินในโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยปฏิเสธข่าวที่ว่าจะโอนเงิน 10,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ที่เคยถูกใช้ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาก่อนหน้านี้นั้น

ยืนยันว่า นโยบายนี้ จะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) อยู่เบื้องหลัง ซึ่งถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากเทคโนโลยีแบบเดิม เพื่อประโยชน์ของการพัฒนาประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

‘น้องแตงไทย’ วัย 8 ขวบ เอ่ยปาก!! “ขอเรียนสักลาย” ด้าน ‘พ่อแจ๊ส’ มั่นใจในฝีมือ ยื่นแขนให้ลงเข็มคนแรก

(6 ก.ย.66) เป็นอีกครอบครัวคนบันเทิงที่ไม่เคยปิดกั้นลูกๆ เมื่อ ‘น้องแตงไทย’ ลูกสาวคนเล็กวัย 8 ขวบของนักแสดงตลกชื่อดัง ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ และภรรยา ‘แจง ปุณณาสา’ ที่ลูกสาวคนเก่งเอ่ยปากบอกอยากเรียนสักลาย โดยล่าสุดแจงได้ออกมาเผยภาพถ่ายน้องแตงไทยจับอุปกรณ์เครื่องสักลงบนแขนพ่อ พร้อมเขียนเล่าเรื่องราว บอกว่า

“แตงไทย : มี้ไออยากเรียนสัก พี่ช่าเขารับสอน
มี้ : ลูกจะกล้าหรอลูก
แตงไทย : ไออยากเรียน
มี้ : อืมมม OK

หลังจากนั้นมีก็คุยกับพี่ช่าเรื่องเวลาค่ะและชั่วโมงการเรียน พี่ชาบอกว่าต้องลองก่อนนะพี่ เพราะเขาต้องจับเครื่องสัก และลองสักหนังเทียมก่อนค่อยลงหนังจริงก็เลยบอกพี่แจ๊สว่าเธอมาเป็นแบบให้ลูกหน่อยสิ พี่แจ๊ส งง แล้วถามว่าลูกจะทำได้เหรอ แต่เขาก็โอเค

ใครจะไปเชื่อว่าเด็กแปดขวบจะขอทำอะไรแบบนี้รอชมใน @misstangdiary ได้เลยนะคะอาทิตย์หน้าค่ะ เขาทำได้จริงๆ ขอบคุณชาช่า มากเลยนะคะที่ช่วยสอนน้อง @chacharitaa @pepper.inker เราต้องไม่หยุด ความชอบ ต้องลองทุกอย่างจนเขาหาตัวตนเจอ ท่าอย่างเท่!!!!!”

‘แพทริค ณัฐวรรธ์’ ผ่านการคัดเลือกติด 1 ใน 4 ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เปิดการศึกษา ม.ดัง ในจีน

(6 ก.ย.66) เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘แพทริค ณัฐวรรธ์’ หรือมีชื่อจีนว่า หยิ่นเฮ่ายวี๋ (尹浩宇) ศิลปินสัญชาติไทยหนึ่งในสมาชิกวง INTO1 ได้สอบผ่านเเละเข้าเรียนระดับปริญญาตรีสาขาการเเสดงของมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนอย่าง Beijing Film Academy

เเละล่าสุด ‘แพทริค ณัฐวรรธ์’ ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 4 ตัวเเทนนักศึกษา ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการศึกษาของนักศึกษาใหม่ ‘Beijing Film Academy’ ประจำปี 2023 ผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครกว่า 500 คน

‘เวนิส’ เตรียมทดลองเก็บค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ หัวละ 5 ยูโร หวังคุมจำนวน นทท.ล้นเมือง กระทบผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น

(6 ก.ย. 66) ‘เวนิส’ เมืองท่องเที่ยวชื่อดังในประเทศอิตาลี ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เตรียมจะทดลองเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมือง 5 ยูโร (หรือราว 190 บาท) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค้างคืน โดยจะนำระบบนี้มาทดลองใช้ในปีหน้า ในความพยายามจัดการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ไหลบ่าเข้าสู่เมืองประวัติศาสตร์แห่งสายน้ำอันแสนโรแมนติกของยุโรปแห่งนี้ มากจนล้นเกินจนกระทบต่อผู้คนในท้องถิ่น

จากการเปิดเผยแผนการนี้ของสภาเมืองเวนิส เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า ค่าธรรมเนียมเข้าเมืองจะทดลองใช้เป็นเวลา 30 วันในปีหน้า โดยจะเน้นไปที่วันหยุดธนาคารช่วงฤดูใบไม้ผลิและสุดสัปดาห์ในฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวถึงจุดสูงสุด โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยวที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป

“วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะหาความสมดุลใหม่ระหว่างสิทธิของผู้อยู่อาศัย เรียนหนังสือ หรือ ผู้ทำงานอยู่ในเมืองเวนิส กับผู้ที่มาเที่ยวชมเมือง” ซิโมเน เวนทูรินี สมาชิกสภาการท่องเที่ยวเมืองเวนิส กล่าว และว่า นี่ไม่ใช่การสร้างรายได้ โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแผนงานเมืองเท่านั้น โดยกำหนดเวลาทดลองตามแผนการนี้และจะดำเนินการอย่างไรนั้น จะได้รับการเห็นชอบหลังจากมีการอนุมัติแผนงานในขั้นสุดท้ายของสภาเมืองแล้ว ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

แผนเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองเวนิสนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงครั้งแรกในปี 2019 นั้น ได้ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปและด้วยเหตุผลทางเทคนิคและในแง่ของกระบวนการขั้นตอน

อย่างไรก็ดี การหลั่งไหลกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวสู่เมืองเวนิส ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้อยู่อาศัยในใจกลางเมืองเวนิสประมาณ 50,000 คน จนท่วมท้นตามตรอกแคบๆ ของเมือง โดยการมีนักท่องเที่ยวล้นเมือง เป็นปัญหาที่รุมเร้าเมืองเวนิสที่มีความเปราะบางมานานแล้ว

แผนการข้างต้น ยังนับเป็นการสนับสนุนความเคลื่อนไหวที่มีก่อนหน้านี้ในเดือนกรกรกฎาคม เมื่อผู้เชี่ยวชาญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เสนอแนะให้เพิ่ม เมืองเวนิส อยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย โดยอ้างว่าอิตาลีไม่ได้ดำเนินการมากเพียงพอที่จะปกป้องเมืองเวนิสจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการท่องเที่ยวที่มากล้นเกิน

เปิดโอกาสคนไทยสู่อาชีพใหม่ใน 'แฟรนไชส์ เอสเอ็มอี เอ็กซ์โป 2023' 7-10 กันยายน 2566 ที่บีซีซี ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว

จากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 ได้ประชาสัมพันธ์ชวนคนไทยมีอาชีพที่งาน 'แฟรนไชส์ เอสเอ็มอี เอ็กซ์โป 2023' (Franchise SMEs EXPO 2023) 

โดยใครที่อยากเริ่มธุรกิจส่วนตัว คิดลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ ต้องไปงานนี้ งานแสดงแฟรนไชส์ที่จะสร้างอาชีพให้กับคุณ งานจัดระหว่างวันที่ 7-10 กันยายน 2566 ที่บีซีซี ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว 

ทั้งนี้ ในงานสามารถพบกับโปรโมชันส่วนลดพิเศษสุด ๆ จากธุรกิจแฟรนไชส์ แบบเยอะ ครบ คุ้ม เฉพาะภายในงานนี้เท่านั้น!! พร้อมการเปิดตัวแฟรนไชส์ใหม่ ๆ อาทิ...

* แฟรนไชส์หมวดอาหารและขนม
* แฟรนไชส์หมวดเครื่องดื่ม แฟรนไชส์ชา แฟรนไชส์กาแฟสด 
* แฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก
* แฟรนไชส์การศึกษา
* ระบบซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารจัดการร้าน / POS
* พบกับธุรกิจเครื่องหยอดเหรียญทำเงิน 24 ชม. 
* ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย เมล็ดกาแฟ เครื่องชงกาแฟ บรรจุภัณฑ์ในธุรกิจอาหารเครื่องดื่มเบเกอรี่ 
* พบกับบูธธุรกิจดาราชื่อดัง คุณอรอนงค์ ปัญญาวงศ์, คุณต๊ะ บอยสเก๊าท์

นอกจากนี้ ยังสามารถลงทะเบียนร่วมฟังเสวนาได้ฟรีทุกวัน...

- วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2566 เวลา 13.00 - 14.00 น. หัวข้อ 'กลยุทธ์เลือกแฟรนไชส์น่าลงทุนและเหมาะกับคุณ' โดย คุณเศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์, CFE กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีโนซิส จำกัด มืออาชีพสร้างแฟรนไชส์ และจับคู่แฟรนไชส์น่าลงทุน

- วันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2566 เวลา 12.30 - 13.30 น. หัวข้อ 'Inspiration for the next startup' โดย คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด

- วันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2566 เวลา 14.00 - 15.00 น. หัวข้อ 'เส้นทางอาชีพสายครีเอเตอร์ นักออกแบบตัวการ์ตูน-มาสคอต' โดยคุณสัญญา เลิศประเสริฐภากร ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ (Creative Director) จากไซโลสตูดิโอ ผู้สร้างสรรค์ตัวการ์ตูน ติดลมห้อยเวหา

- วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566 เวลา 12.30 - 13.30 น.หัวข้อ 'การทำการตลาดบนแอปพลิเคชัน TikTok' โดยคุณแอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต CEO บริษัท Uppercuz Creative ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดออนไลน์มากกว่า 9 ปี

เข้าร่วมชมงานฟรีทุกวัน 10.30 - 20.00 น. ลงทะเบียนเข้าชมงานรับฟรีเครื่องดื่ม 1 แก้ว 

สำหรับในครั้งนี้ จัดโดยบริษัท สกุล วี กรุ๊ป จำกัด สนใจติดต่อ โทร. 064-983-6919, 094-241-9664

ผบ.ตร.สั่งด่วนให้ ผบช.ก. นำชุดหนุมานประสาน ภ.7 ไล่ล่าคนร้ายอุกอาจยิงสารวัตรทางหลวงดับ หากขัดขืนใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด พร้อมสั่งปูพรมกวาดล้างอิทธิพลในพื้นที่ ขยายผลดำเนินการผู้เกี่ยวข้องทุกราย

วันนี้ (7 ก.ย.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  “กรณีเหตุคนร้ายอุกอาจเหิมเกริม ยิงตำรวจทางหลวง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เสียชีวิต และ  พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. บาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดในพื้นที่ ต.ตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบแล้ว สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมชุดหนุมาน และ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เร่งรัดออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งตำรวจรู้ตัวแล้ว พร้อมไล่ล่าติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว หากขัดขืนพร้อมจะใช้มาตรการเด็ดขาดดำเนินการ

ผบ.ตร.ยังได้สั่งการเพิ่มเติม ให้ ผบช.ภ.7 และ ผบช.ก ปูพรมระดมกวาดล้างอิทธิพลในพื้นที่ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ คนร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยให้เน้นตรวจค้นอาวุธปืน ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ รวมทั้งการขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย"

ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย มิจฉาชีพปลอมบัญชีไลน์อาจารย์หลอกลวงนักศึกษาให้กู้ยืมเงิน กยศ.

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ได้รับรายงานจากการตรวจสอบสถิติการรับแจ้งความผ่านศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์พบว่า ในช่วงที่ผ่านมามีผู้เสียหายหลายรายซึ่งเป็นนักศึกษาสถาบันการศึกษาต่างๆ ถูกมิจฉาชีพปลอมบัญชีไลน์แอดมิน แอบอ้างเป็นครูอาจารย์หลอกลวงนักศึกษาที่อยู่ภายในกลุ่ม Line Open Chat แจ้งว่าให้ผู้กู้รายใหม่ปี 2566 มีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด จำนวน 310 บาท พร้อมกับให้แจ้งชื่อ-นามสกุล และสถานะแอปพลิเคชันของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ผ่านบัญชีไลน์ชื่อ “งานลงทะเบียน” ตามลิงก์ที่ส่งเข้ามาในกลุ่มดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อทำตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว คนร้ายจะส่งลิงก์ให้ผู้เสียหายกดเพื่อยืนยันทำการโอนเงินผ่านบริษัทที่ให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ อ้างว่าเพื่อเป็นการตรวจสอบบัญชี โดยจะแจ้งผลให้ผู้เสียหายทราบภายในเวลา 2 ชั่วโมง ต่อมาคนร้ายจะแจ้งผู้เสียหายว่าธุรกรรมดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ จะส่งลิงก์ให้ผู้เสียหายกดเพื่อยืนยันทำการโอนเงินอีกครั้ง จำนวน 1,310 บาท ผู้เสียหายทราบว่าถูกหลอกลวงจึงมาแจ้งความให้ดำเนินคดีกับคนร้ายดังกล่าว 

ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 1 – 31 ส.ค.66 มีประชาชนถูกหลอกลวงให้กู้เงินออนไลน์กว่า 1,578 เรื่อง หรือคิดเป็น 8.97% สูงเป็นลำดับที่ 3 ของจำนวนเรื่องการรับแจ้งความออนไลน์ และมีความเสียหายรวมกว่า 70.6 ล้านบาท บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงประชาชนให้กู้เงินผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งถือว่าเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันมิจฉาชีพจะฉวยโอกาสปลอมบัญชีสื่อสังคมออนไลน์แอบอ้างเป็นบุคคลต่างๆ เพื่อหลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อ แล้วก่อเหตุตามแผนประทุษกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในกลุ่ม Line Open Chat ซึ่งผู้ใช้หรือสมาชิกจะสามารถตั้งชื่อหรือใช้ภาพโปรไฟล์ใดก็ได้ มิจฉาชีพมักจะแอบอ้างเป็นผู้ที่ทำหน้าที่แอดมินของกลุ่ม ที่ผ่านมานอกจากการหลอกลวงในเรื่องเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แล้ว ยังคงพบว่ามิจฉาชีพมักส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มแจ้งเตือนว่าจะลบกลุ่มเดิม ให้สมาชิกย้ายหรือติดตามไปยังกลุ่มใหม่ผ่านลิงก์ที่แนบมาให้ เมื่อเข้าไปในกลุ่มของมิจฉาชีพแล้วจะมีบัญชีอวตารหลายบัญชีทำหน้าที่พูดคุยหลอกลวงผู้เสียหายที่เข้ากลุ่มมา ในลักษณะว่าทำงานเสริมออนไลน์แล้วได้รับเงินจริง อย่างไรก็ตามการหลอกลวงให้กู้ยืมเงิน มิจฉาชีพมักแอบอ้างเป็นผู้ให้บริการเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย หลอกลวงเหยื่อผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ผ่านข้อความสั้น (SMS) และผ่านการโทรศัพท์ไปยังประชาชน โฆษณาชวนเชื่อในลักษณะต่างๆ เพราะฉะนั้นประชาชนต้องพึงระวังการกู้เงินในลักษณะดังกล่าว ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องหรือไม่ หากจำเป็นต้องกู้เงินควรเลือกกู้เงินจากสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ และศึกษารายละเอียดของผู้ให้กู้ให้ดี รวมถึงมีสัญญาการกู้ที่ชัดเจนและเป็นธรรม เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบ หากพบเห็นความผิดปกติ หรือขอเสนอที่ดีเกินไปควรหลีกเลี่ยง อย่าหลงเชื่อว่าตัวเองนั้นโชคดี

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันการถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว ดังนี้

1.หากผู้ให้บริการเงินกู้รายใด แจ้งให้ผู้กู้โอนเงินก่อน ไม่ว่าจะเป็นค่าใด หรือเพื่อสิ่งใดก็ตาม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ
2.ระวังบัญชี Line Open Chat แอดมินปลอม บัญชีแอดมินจริงจะมีไอคอนวงกลมมงกุฎขาวพื้นสีน้ำเงิน หรือมงกุฎน้ำเงินพื้นขาว อยู่ด้านล่างขวาของรูปโปรไฟล์ 
3.บัญชีแอดมินจริงจะอยู่เป็นชื่อลำดับแรกๆ ต่อจากชื่อบัญชีของเราเสมอ 
4.ระวังบัญชีไลน์ทางการปลอม ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนโล่สีเขียว หรือโล่สีน้ำเงิน หรือไม่ 

5.ไม่ควรกู้เงินผ่านแอปพลิเคชัน ที่ถูกส่งลิงก์แนบมากับข้อความสั้น (SMS) หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ
6.ไม่ควรหลงเชื่อเพียงเพราะมีการสร้างความน่าเชื่อ เช่น สอบถามข้อมูลส่วนตัว ให้ทำสัญญาเงินกู้ และขอเอกสารต่างๆ เช่น สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีเงินฝาก คล้ายกับการขอกู้ที่ธนาคารจริง
7.ช่วยกันแจ้งเตือนผู้อื่น และกดรายงานบัญชีสแปมที่น่าสงสัย โดยการกดรายงานที่รูปโปรไฟล์ของสมาชิกนั้นๆ แล้วกดปุ่ม รายงานปัญหา 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top