Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า...

รพ.สนามราชโยธิน ปตอ. (หรือ รพ.สนาม ปตอ.1 แจ้งวัฒนะ) ขอกราบขอบพระคุณ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ติดตั้งทั้งระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง [WIFI] และระบบสัญญาณมือถือ [ทั้ง 4G และ 5G] เพื่อระบบปฏิบัติการทางการแพทย์หรือที่เรียกว่าเทเลเมดิซีน [Telemedicine] ให้แก่ รพ.สนาม ปตอ.1 อย่างทุ่มเทจนดึกดื่น ทำให้ รพ.สนาม ปตอ.1 สามารถรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ รพ.สนาม ปตอ.1 ได้ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่ได้รับทราบภารกิจจาก ศบค.และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

เมื่อคืนนี้เป็นคืนแรก รถพยาบาล รพ.มงกุฎวัฒนะไปรับตัวผู้ติดเชื้อที่ไม่สามารถเข้า รพ.สนาม จนถึงตี 4 กำลังพลทุกนายของ รพ.มงกุฎวัฒนะยังคงฮึกเหิมในสงครามต่อสู้โควิด-19 อย่างเต็มใจ พร้อมใจ เป็นปึกแผ่น...พูดง่าย ๆ แบบทหารว่า กำลังพลทุกนายมีจิตใจรุกรบครับ

คืนแรกของ รพ.สนามราชโยธิน ปตอ. หรือ รพ.สนาม ปตอ.1 ขลุกขลักและเช้านี้ก็ยังขลุกขลักต่อตามที่ผมเรียนให้ทราบทั่วกันไปแล้ว แต่ทีมงาน รพ.มงกุฎวัฒนะ กำลังแก้ไขเพื่อให้ระบบงานราบรื่นที่สุดโดยเร็ว อย่างไรก็ตามเราต้องใช้เวลาในการแก้ไข ไม่สามารถดีดนิ้วแล้วเห็นผลทันตานะครับ

วันนี้ที่ 20 เม.ย. 64 รพ.สนาม ปตอ.1 จะรับผู้ติดเชื้อที่คงค้างมาหลายวันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ไม่สามารถรับตัวเข้า รพ.สนามได้ ทั้งนี้หัวหน้าพยาบาลศูนย์ควบคุมโรคติดเชื้อ รพ.มงกุฎวัฒนะจะติดต่อไปยังผู้ติดเชื้อแต่ละรายให้เตรียมตัวและรอรถพยาบาลจาก รพ.มงกุฎวัฒนะไปรับ และจะเริ่มขยายผลปฏิบัติการรับการส่งต่อในฐานะหน่วยสมทบขึ้นตรงต่อกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขโดยเร็วที่สุด

จีงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอประทานอภัยในความไม่สะดวกทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นและขอกราบขอบพระคุณ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ไว้ ณ ที่นี้

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ และ รพ.สนามราชโยธิน ปตอ.

20 เม.ย.64 เวลา 10.01 น.

หมายเหตุ 1] ตามที่ผมประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.64 นี้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะจัดตั้ง ไอ ซี ยู สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขนาด 12 เตียง โดยไม่ใช้ร่วมกับ ไอ ซี ยู สำหรับผู้ป่วยทั่วไป (แยกอาคารสถานที่อย่างเด็ดขาด) แต่ด้วยความจำกัดของพื้นที่จึงดำเนินการได้เพียง 6 เตียงเท่านั้น ซึ่งเพียงพอกับการพึ่งตนเองของ รพ.มงกุฎวัฒนะและเครือข่าย รพ.สนามระดับ 1-2 ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบ

หมายเหตุ 2] "ราชโยธิน ปตอ" แปลตรง ๆ ว่า "ทหารพระราชา ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน" โดยคำว่า ราช แปลว่า พระราชา , โยธิน แปลว่า ทหาร , ปตอ ย่อมาจาก ปืนใหญต่อสู้อากาศยาน...ผมตั้งชื่อ รพ.สนามราชโยธิน เพราะเป็นชื่อที่สง่างามสมเกียรติของกองทัพและทหารทุกนายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้กรุณาจัดตั้ง รพ.สนามขึ้นในค่ายทหารเพื่อพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/100000491468200/posts/6097362783623377/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

หากย้อนหลังกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2014 เป็นช่วงปีแรก ๆ ที่ท่านประธาน สี จิ้นผิง เพิ่งก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำจีนได้ไม่นาน และได้ไปเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ

การเยือนมองโกเลียคราวนั้น สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์กลางสภาผู้แทนมองโกเลีย ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของการมาเยือนครั้งนั้น และมักมีการหยิบยกขึ้นมาอ้างอิง และตีความจนถึงปัจจุบัน ถึงนโยบายของจีนต่อประเทศเล็กๆ หลังเทือกเขาอย่างมองโกเลียว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นใด ในยุคของสี จิ้นผิง

ในคำพูดของสี จิ้นผิง ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีน - มองโกเลีย ที่ยาวนานนับร้อย ๆ ปี และสำหรับจีนแล้ว มิตรประเทศเพื่อนบ้านอันมีค่ายิ่งกว่า "ทองคำ" ที่พร้อมจะจับมือร่วมกันด้วยความจริงใจ เพื่อบรรลุถึงสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาคนี้

นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังย้ำในเรื่องของการไว้ใจซึ่งกันและกัน และการเคารพในความต่าง ลดความขัดแย้ง และหาจุดสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ดินแดน ซึ่งจะเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่าง จีน-มองโกเลียไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่จะกลายเป็นชัยชนะร่วมกันของทั้งจีน และ มองโกเลียนับจากนี้

หลังจากวันนั้นผ่านมานาน 8 ปีที่มองโกเลียได้เปลี่ยนผ่านผู้นำประเทศไปแล้ว 1 คน แต่ท่านประธาน สี จิ้นผิง ยังดำรงตำแหน่งอยู่ และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเมื่อมาการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจีนมอบสิทธิ์ให้ผู้นำจีนสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดชีพ

นิตยสาร Time ได้สัมภาษณ์ นายซักเคีย แอลแบค ดอร์จ อดีตประธานาธิบดีมองโกเลียในสมัยที่สี จิ้นผิง มาเยือนมองโกเลียในฐานะผู้นำจีนเป็นครั้งแรก และได้พูดคุยอย่างสนิทสนมกันถึงเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมร่วมกันระหว่าง 2 ชาติ ที่นายซักเคีย เคยมองว่าน่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดีสำหรับการพัฒนาประเทศมองโกเลีย

แต่มาถึงวันนี้ นายซักเคีย แอลแบคดอร์จ กลับมองไม่เห็นท่าทีที่แสดงถึงความเป็นมิตร และเคารพในสิทธิ์ และความต่างของชนชาติมองโกเลีย อย่างที่สี จิ้นผิง ได้กล่าวในวันนั้น เมื่อจีนได้รุกคืบอย่างแข็งกร้าว เพื่อผสานกลืนวัฒนธรรมในดินแดนมองโกเลีย ที่เป็นส่วนหนึ่งในเขตปกครองตนเองของจีน ด้วยการบังคับให้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษากลางในการเรียนการสอนในมองโกเลียในทุกแห่ง ลดชั่วโมงการเรียนภาษามองโกเลีย และสนับสนุนให้ครอบครัวชาวจีนฮั่น ส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียน 2 ภาษาในเขตมองโกเลียมากขึ้น

และเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 เป็นต้นมา ทางการจีนจะบังคับให้วิชาหลัก วรรณคดี ประวัติศาสตร์ สังคมและการปกครอง ต้องเรียนเป็นภาษาจีนทั้งหมด ซึ่งนโยบายนี้ถูกใช้ในเขตปกครองตนเองในซินเจียง และ ธิเบต เพื่อให้ภาษาจีนเป็นส่วนหนึ่งในการส่งผ่านค่านิยม และการดำเนินชีวิตแบบจีนสู่ชนกลุ่มน้อย ซึ่งทางจีนมองว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดโอกาสทางการศึกษา และตลาดแรงงานอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อไม่มีเรื่องภาษามาเป็นอุปสรรค

แต่สำหรับชาวมองโกเลียมองว่า นี่คือการกลืนกินรากเหง้าด้านภาษา และวัฒนธรรมของชาวมองโกเลีย และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็มีความเสี่ยงที่ภาษามองโกเลียจะสูญพันธุ์ไม่เกินรุ่นลูก รุ่นหลานของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ของชาวมองโกเลียใน ซึ่งผู้ปกครอง และนักเรียนเชื้อสายมองโกเลียกว่า 3 แสนคนประท้วงไม่ยอมไปลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรภาคบังคับใหม่ จนทางการจีนต้องออกหมายจับแกนนำผู้ประท้วง และกลุ่มผู้ปกครองในข้อหาละเมิดกฎหมาย ที่ขัดขวางเด็กไม่ให้เข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับของรัฐ จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนถึงวันนี้

และนอกจากเขตมองโกเลียใน ที่เป็นส่วนหนึ่งของจีน ยังมีคำสั่งตรงจากรัฐบาลจีนถึงสถานฑูตจีนประจำกรุงอูลานบาตอร์ ให้ย้ำการใช้นโยบายภาษาจีนในโรงเรียนมองโกเลีย เพื่อขัดขวางแนวความคิดเรื่องการแยกดินแดนในเขตมองโกเลียใน และการรวมตัวกันระหว่างชาวมองโกเลียฝ่ายเหนือและใต้

อดีตประธานาธิบดีมองโกเลีย จึงได้ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์นโยบายกลืนวัฒนธรรมของจีนอย่างเปิดเผยในวันนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าประเทศมองโกเลียไม่สามารถปิดกั้นอิทธิพลจากจีนได้

เนื่องจากภูมิประเทศที่ถูกปิดล้อมด้วยชาติมหาอำนาจใหญ่ถึง 2 ชาติ จีน และ รัสเซีย ที่ล้วนแต่มีอิทธิพลทั้งในด้านความมั่นคง และ การเมืองของมองโกเลีย ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้น จีนก็เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของมองโกเลีย ดูจากตัวเลขการส่งออกสินค้าจากมองโกเลียกว่า 90% ไปสู่ตลาดของจีนเพียงที่เดียวเท่านั้น

แม้ผู้นำปัจจุบันของมองโกเลียอย่าง นายคัลต์มา บัตทุลกา จะพยายามสานสัมพันธ์กับรัสเซียมากขึ้น แต่ก็ไม่อาจลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับจีนไปได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ Covid-19 ที่รัฐบาลมองโกเลียก็ได้รับความช่วยเหลือ และวัคซีนบริจาคของจีนเป็นจำนวนมาก ยังไม่นับแผนการลงทุนร่วมกันในระยะยาวอีกหลายโครงการ

ดังนั้น มองโกเลียจึงอยู่ในสถานะที่ถูกบีบอยู่ระหว่างประเทศมหาอำนาจ ที่แผ่อิทธิพลเข้าสู่ดินแดนนี้อย่างเข้มข้น แม้ว่าชาวมองโกเลียส่วนใหญ่จะยอมรับในคุณค่าของสังคมอุดมเสรีภาพ และประชาธิปไตยตามแบบแผนตะวันตก แต่ประเทศมองโกเลียในตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะ "เลือกข้าง" และเปราะบางเกินกว่าที่จะเป็นสนามรบของสงครามตัวแทนระหว่างฟากเสรีนิยม และ สังคมนิยม ซึ่งสุดท้ายฝ่ายที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุด ก็คือชาวมองโกเลียด้วยกันเอง

การต่อสู้เพื่อรักษาสมดุลระหว่างขั้วอำนาจจากต่างประเทศ และปกป้องอัตลักษณ์ วัฒนธรรมของชาวมองโกเลียให้ได้ จึงกลายเป็นโจทย์สำคัญผู้นำมองโกเลีย ที่ต้องหาจุดร่วม และจุดต่างที่ลงตัว ร่วมกับผู้นำอย่าง สี จิ้นผิง ผู้ซึ่งเมื่อตัดสินใจเดินหน้าสิ่งใด จะต้องทำให้สุดทาง

และเชื่อว่าท่านประธานสี จิ้นผิง ไม่ได้ลืมคำพูดของตนที่เคยพูดไว้กลางสภาในมองโกเลียเมื่อ 8 ปีก่อน เพียงแต่คำพูดนั้น อาจไม่ได้หมายถึงจีน แต่หมายถึงมองโกเลียต่างหากนั่นเอง

 

อ้างอิง:

https://time.com/5953518/mongolia-china-russia-problems/

https://thediplomat.com/2020/09/chinas-crackdown-on-mongolian-culture/

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-53981100


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ร่วมโลกกันไม่ได้!! คนไทยในสหรัฐฯ ถูกกระทำไม่เลิก หลังกลุ่มคนเถื่อนมะกันทำร้ายแมวคนไทยตาย ซ้ำกระทืบเจ้าของ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจนิ่งเฉย สังเวย ‘แอนตี้เอเชีย’ อย่างเจ็บปวด

เรื่องของการเหยียดและรังเกียจคนเอเชียและคนไทยในสหรัฐอเมริกา ยังเป็นปมปัญหาใหญ่ที่เริ่มลุกลามต่อชีวิตคนหัวดำที่นั่นอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Nampeung Schaeffer ได้มีการอัปเดตอีกเหตุการณ์ที่คนไทยในสหรัฐฯ ถูกกระทำ จนชาวเน็ตต่างออกทรงแค้นแทนว่า…

อัพเดท : ขอขอบคุณรุ้งเจ้าของเรื่องและเจ้าทุกข์ที่อนุญาตให้นำเรื่องมาลงนะคะ สำหรับท่านใดที่อยากจะเห็นภาพเหตุการณ์ สามารถตามฮัชแท็กด้านล่างสุดของโพสต์ไปได้เลยนะคะ

กำลังตามข่าวเคสของคุณผู้หญิงคนหนึ่งในห้องกฎหมาย คือ น่าเศร้ามาก และน่าโกรธมาก เรื่องคือ คุณผู้หญิงคนไทยคนนี้ เขาพาน้องหมาชิบะ กับน้องแมวสองตัว และนกแก้วไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแถวบ้าน แถบ Brooklyn, NY อยู่ ๆ ก็มีเด็กอายุสิบกว่าขวบชาวผิวสีน้ำตาลที่มาจากแถบอเมริกาใต้มาวิ่งมาลากและกระชากสายจูงแมวเขาไป และโยนแมวขึ้นฟ้า แมวตกลงมาที่พื้น แล้วโดนเด็กเปรตลากไปอีกประมาณ 3-4 ก้าว

พอแมวตั้งตัวได้ตกใจวิ่งหนี และมาชักดิ้นชักงอและตาย ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของแมวเลยถามเด็กว่าทำอะไรลงไป (คิดว่าเขาคงจะตะคอกไม่ก็ใช้เสียงดังใส่เด็กด้วยละ นาทีนั้นนี่เนอะ เป็นเราก็คงสติหลุด) และจากนั้นเขาก็ไปบอกแม่ว่า "ลูกคุณมารังแกแมวฉัน" แต่คำตอบที่ได้จากแม่เด็ก คือ "ก็นี่ละเพราะแกพาแมวมาเดินเล่น อิบิช!”

จากนั้นคนในครอบครัว ก็พากันมารุมเถียงผู้หญิง (ไทย) คนนั้น และผู้ชายในกลุ่มอีกคนก็เดินมาตบนกที่ไหล่ของสามีเขา จนบินตกไปอยู่กลางถนน แล้วพวกนั้นก็หัวเราะใส่ทั้งครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายในครอบครัวนั้นก็ไปรังแกหมาเขา ดึงหางหมาเขาจนยกลอย คุณผู้หญิงเขาเลยสวนกลับ เถียงกันไปเถียงกันมา เลยกลายเป็นครอบครัวนั้นพากันรุมกระทืบผู้หญิงคนไทยคนนั้น ทั้งตบ ทั้งนั่งทับเขา แถมจะเอามือจกตาเขา เด็กเล็กก็มีโวยวายชูนิ้วกลางใส่ โวกเวกทั้งครอบครัว

ส่วนสามีของผู้หญิงคนไทยเจ้าของแมว ก็ได้เข้าไปห้ามคนพวกนั้นก็ถูกต่อยเข้าหน้าจนจมูกหัก เลือดสาด จนมีชายผิวสีที่เห็นเหตุการณ์สองคนเข้ามาช่วยห้าม พร้อมทั้งถามฝั่งนั้นว่าต้องรุมทำเขากันขนาดนี้เชียวหรือ แต่ครอบครัวพวกนั้นกลับบอกว่าโดนผู้หญิงเขาทำร้ายลูกพวกมันก่อน และขึ้นรถหนีออกไปจากเหตุการณ์ ชาวประชาแถวนั้นที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้ว่ามันไม่จริง และยังมีคนที่จะไปเป็นพยานให้คุณเขาด้วย

แต่ที่พีค คือ พอไปแจ้งตำรวจ ว่าโดนทำร้ายร่างกาย แถมแมวก็โดนฆ่าตาย ตำรวจก็อิดออดบอกหลักฐานไม่พอ แถมขู่ต่าง ๆ นานา ว่าผู้หญิงคนไทยคนนั้นเป็นฝ่ายรังแกเด็กก่อนให้ยอมรับ และหาว่าเพราะเขาเอาแมวออกไปเดินเล่นเอง เป็นความผิดเขาเองอีกที่เอาสัตว์เลี้ยงตัวเองไปเดินเล่น! เผลอ ๆ ตัวเขาเองจะติดคุกถ้ายังตามเอาเรื่อง สองอาทิตย์กว่าแล้วคดีไม่ขยับ เปลี่ยนนักสืบไปสามคนก็ไม่ได้เรื่อง แต่พอมีสำนักข่าวติดต่อผู้หญิงเจ้าของแมวไป เพื่อขอข้อมูลจะเอามาทำข่าว ตำรวจกลับรีบบอกผู้เสียหายว่า อย่า! อย่าเพิ่งให้ข้อมูล ขอให้นักสืบเขาทำงานก่อน เรานี่ถึงกับอุทานในใจเบา ๆ ว่าเห้! สองอาทิตย์ที่ผ่านมามรุงทำอะไรกันอยู่ พอนักข่าวจะลงนี่เกิดให้ความสำคัญมาทันที

โอ้ย!! อ่านจบเมื่อคืนนี้จิตตกเลย นึกภาพใครมาทำหมาเราแบบนี้ ถึงแม้ว่าตามกฏหมายที่นี่จะกำหนดว่า สัตว์เลี้ยงมีค่าแค่เท่ากับทรัพย์สินก็เถอะ ใครก็ไม่รู้อยู่ ๆ พุ่งเข้ามาใส่ แค่มาดึงหางหมาเรา เรานี่คงตบมันให้หัวคลอนไปละ เอาเรื่องแน่ละยิ่งมารุมทำร้ายร่างกายด้วย

ไม่รู้เรื่องนี้จะจบยังไง แต่อยากให้เรื่องนี้ได้ออกข่าวที่นี่มาก ครอบครัวที่ทำกับผู้หญิงคนนี้นี่เข้าข่ายอันตรายต่อสังคมคนรอบข้างทีเดียว ครั้งนี้ทำได้ครั้งหน้ามันจะทำอีกไหม โดยเฉพาะเด็กเปรตนั่นวันนี้ฆ่าแมวได้หน้าตาเฉย วันหน้าโตขึ้นมาจะเป็นแบบไหน

ปล. น้องแมวที่เสียชีวิตเขามีเพจเขานะ เข้าไปแสดงความเสียใจ หรือไปดูภาพเก่า ๆ ความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแมวได้

Ponzucoolcat

IG : https://instagram.com/ponzucoolcat?igshid=8ifquaddc6x6

มีคลิปสารคดีสั้นที่เคยมาถ่ายทำเกี่ยวกับน้องแมวและนกแก้วเพื่อนรักด้วย https://youtu.be/JssUogfgirE

#justiceforponzu

 

ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10165258341600602&id=833860601


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เว็บไซต์ The Isaan Record แถลงไม่ใช่องค์กรล้มเจ้าและจะดำเนินการฟ้องร้องผู้กล่าวหา

จากกรณีที่มีเว็บไซต์ข่าวบางแห่งได้กล่าวหาว่า เว็บไซต์ The Isaan Record ผลิตเนื้อหาล้มเจ้านั้น กองบรรณาธิการฯ ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงตามที่กล่าวหา แต่ The Isaan Record เป็นองค์กรที่ผลิตข่าวเชิงลึก และ สารคดีเชิงข่าว ในรูปแบบวิดีโอและรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้คนอีสานที่เป็นประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยและมีพื้นที่ที่มากที่สุด โดยมีสโลแกนว่า “สื่ออีสาน เพื่อคนอีสาน”

ที่ผ่านมานำเสนอเรี่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมอีสาน สิทธิมนุษยชนและคนชายขอบ โดยมีผลงานเป็นซีรีส์เรื่องยาว อาทิ ซีรีส์ชุด “ลมหายใจหน้าฮ้านหมอลำ” ซีรีส์ชุด “ความหวานและอำนาจ” ซีรีส์ชุด “ความรัก เงินตราและหน้าที่ : เมียฝรั่งในอีสาน” ซีรีส์ชุด “พลังคนรุ่นใหม่แห่งที่ราบสูง” ซีรีส์ชุด “LGBTIQ+ อีสาน” เป็นต้น โดยนำเสนอทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้รับสารได้เข้าใจคนอีสานมากขึ้น

ทั้งนี้มีบรรณาธิการภาษาไทย หทัยรัตน์ พหลทัพ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2562 โดยเคยเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการและผู้สื่อข่าวอาวุโสองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) แต่ได้ลาออกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เป็นต้นมา จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Thai PBS

อีกทั้ง Mr.David Streckfuss ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้ง เว็บไซ์ The Isaan Record แต่เป็นผู้ดูแลต่อจาก Lizzie Presser และ Glenn Baker ชาวอเมริกัน 2 คนที่ทำงานในโครงการ Princeton in Asia (PIA) ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้ก่อต้ังมาตั้งแต่ปี 2554

การกล่าวหาเว็บไซ์ The Isaan Record ไม่ว่าทางวาจาหรือการนำเข้าด้วยเครื่องมือทางอิเล็คทรอนิคส์ ทางกองบรรณาธิการจะปรึกษาทีมทนายและดำเนินการฟ้องร้องต่อไป

กองบรรณาธิการ The Isaan Record

วันที่ 20 เมษายน 2564

 

ที่มา: https://theisaanrecord.co/statement-of-the-isaan-recordth/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

อินเดียดำดิ่งกลับสู่วิกฤติ Covid-19 ระบาดรุนแรงอีกครั้ง ตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อทะลุ 2.7 แสนรายภายในวันเดียว ทำให้อินเดียมีผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 2 แสนรายติดต่อกันเป็นวันที่ 5 แล้ว นับเป็นสถิติการติดเชื้อ Covid-19 ที่น่ากลัวที่สุดในโลกแล้วในขณะนี้

ล่าสุดรัฐบาลอินเดียประกาศล็อคดาวน์กรุงนิว เดลี เมืองหลวงของอินเดียนาน 1 สัปดาห์เต็ม เริ่มตั้งแต่คืนนี้ จันทร์ที่ 19 เมษายน ไปจนถึงวันที่ 26 เมษายนนี้ โดยมีคำสั่งให้ชาวนิว เดลี งดออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 5 บริษัทเอกชนทุกแห่งปิด และทำงานเฉพาะที่บ้านเท่านั้น งดอิเว้นท์ กิจกรรมทุกประเภทในช่วงนี้ การแข่งขันกีฬาสามารถทำได้แต่ไม่ให้มีคนดู วัด โบสถ์ สุเหร่า เปิดได้ แต่ห้ามบุคคลภายนอกเข้า

สิ่งที่ยังอนุญาตคือ ธนาคาร งานด้านสาธารณสุข โรงพยาบาล ยังคงต้องเปิดตลอด ซุปเปอร์มาร์เกต ร้านอาหารเปิดได้ แต่เฉพาะซื้อกลับได้ งานรับส่งอาหาร และพัสดุยังสามารถทำได้ตามปกติ

แต่ก็นับเป็นการปิดเมืองโดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งหลังจากที่รัฐบาลอินเดียเคยพยายามล็อคดาวน์มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้นานเพราะผลกระทบกับชาวอินเดีย ผู้ใช้แรงงาน รับค่าจ้างรายวันมีจำนวนมากมายมหาศาล ที่จำเป็นต้องเดินเท้าหลายร้อย หลายพันกิโลเพื่อกลับภูมิลำเนา

Arvind Kejriwal หัวหน้าคณะรัฐบาลอินเดียยอมรับว่า ระบบสาธารณสุขของอินเดียมาถึงจุดขีดสุดแล้ว การระบาดรอบนี้หนักมาก ถ้าเราไม่ตัดสินใจล็อคดาวน์จำกัดการแพร่ระบาด อาจจะเลวร้ายหนักกว่านี้ แม้การล็อคดาวน์แค่เพียงสัปดาห์เดียวจะหยุดการแพร่ระบาดไม่ได้ แต่ช่วยให้การระบาดช้าลงสักหน่อยก็ยังดี

ตอนนี้ชาวอินเดียกำลังตื่นตระหนกกับคลื่นการระบาดระลอกใหม่ ที่มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าทั้งเตียง ทั้งยา และถังอ็อกซิเจนสำหรับผู้ป่วย ICU หมดแล้ว

แต่ข่าวลือนั้น ไม่ได้ไกลเกินจริงมากนัก เพราะโรงพยาบาลหลายแห่งขาดแคลนเตียงจริง ๆ จนต้องให้คนไข้ 2 คน แชร์เตียงร่วมกัน ส่วนอ็อกซิเจนก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

การระบาดระลอกใหม่ เป็นผลพวงจากงานเทศกาลกุมภเมลา พิธีจุ่มศีลล้างบาปในแม่น้ำคงคงที่จัดขึ้นทุก ๆ 12 ปี และมีผู้มาร่วมชุมนุมอย่างหนาแน่นเกินล้านคน ที่กลายเป็น Super Spreader ล่าสุดของอินเดีย

แม้อินเดียจะเป็นประเทศศูนย์กลางที่ผลิตวัคซีน Covid-19 และได้ฉีดวัคซีนในประเทศแล้วถึง 122 ล้านเข็ม แต่การระบาดที่รุนแรงจนเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดีย ที่แพร่ระบาดง่ายกว่าเดิม แถมทนต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายคนยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

Covid is no joke. กลายเป็นเชื้อโรคฆ่ายาก เดนตายไปซะแล้ว

 

ที่มา: หรรสาระ By Jeans Aroonrat https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=284522323172993&id=104132041212023

แหล่งข้อมูล:

https://www.straitstimes.com/asia/south-asia/new-delhi-to-impose-week-long-lockdown-as-cases-soar-chief-minister

https://www.straitstimes.com/asia/south-asia/two-to-a-bed-in-delhi-hospital-as-indias-covid-crisis-spirals

https://www.ndtv.com/delhi-news/delhi-announces-6-day-lockdown-see-whats-open-whats-not-2416895

https://www.france24.com/en/asia-pacific/20210419-calls-for-more-oxygen-hospital-beds-as-india-s-covid-19-crisis-deepens

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-56798255

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-56507988


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

นายกรัฐมนตรี ร่วมบำเพ็ญกุศลองค์พระหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 239 ปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ

นายกรัฐมนตรี ร่วมบำเพ็ญกุศลองค์พระหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 239 ปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ

เมื่อเวลา 07.45 น.วันที่ 21 เม.ย. 2564 ก่อนจะเดินทางเข้าทำเนียบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้แทนประชาชน ทำหน้าที่ประธานพิธีบำเพ็ญกุศลทางศาสนาพุทธและจัดพิธีบวงสรวงสังเวยตามพิธีพราหมณ์อย่างเรียบง่าย ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาองค์พระหลักเมือง ครบรอบ 239 ปี และ 21 เม.ย. คือวันตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 239 ปี

โดยนิมนต์พระสงฆ์ ประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อความเป็นศิริมงคลของประชาชนชาวไทยทุกคนและประเทศชาติ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘รองโฆษก ปชป.’ แนะรัฐบาล เร่งหามาตรการช่วยแบ่งเบาภาระช่วงใกล้เปิดเทอมฯ ให้เป็น ‘ผู้ปกครองและเด็กชนะ’ ฝ่าวิกฤติโควิด

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาการใช้เงินตามโครงการ เราชนะ ไปจนถึง 30 มิ.ย.นี้ และมีการพิจารณาในการดำเนินการโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ว่า ตนขอขอบคุณรัฐบาลแทนประชาชนที่เข้าใจถึงสถานการณ์ความยากลำบากในช่วงของการระบาดระลอกใหม่ เพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 ชนิดนี้ สามารถแพร่เชื้อได้ง่ายและอันตรายต่อผู้ติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งจากยอดติดเชื้อที่ยังคงอยู่ในระดับหลักพัน และคาดว่าจะยังคงสถานการณ์แบบนี้อีกหลายวัน ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกชักหน้าไม่ถึงหลัง พะว้าพะวังเป็นอย่างมาก

ดังนั้น การขยายระเวลาใช้สิทธิตามโครงการดังกล่าว ถือว่ารัฐบาลได้นำเสียงของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร่วมพิจารณา ซึ่งมติ ครม.ที่เกิดขึ้นจะเป็นการแบ่งเบาภาระประชาชนได้เป็นอย่างดี มีข้อพิสูจน์แล้วว่า ประชาชนต่างมีความกล้าในการจับจ่ายซื้อของมากขึ้น เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนเงินทั้งประชาชนผู้ใช้สิทธิ์และร้านค้าผู้เข้าร่วมโครงการ ทำให้ภาพรวมสามารถประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเอาไว้ได้

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่มีความกังวลในช่วงนี้คือความวิตกกังวลของผู้ปกครองที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายให้กับลูกหลานในวัยเรียน ถึงแม้กระทรวงศึกษาธิการจะพยายามให้มีการเปิดเรียนในวันที่ 17 พ.ค.นี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด จะเบาบางลงวันไหน ดังนั้นหากรัฐบาลมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ปกครองให้ผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากเพื่อสร้างอนาคตของชาติแล้ว จะต้องนำแนวคิดที่เคยมีผู้เสนอ เช่น การลดค่าเทอม 40 % การสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาค้นคว้าฟรี หากจะต้องมีการเรียนผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น หรือการขยายสิทธิ์ของโครงการเยียวยาของรัฐบาล ให้ครอบคลุมหรือระบุวัตถุประสงค์ว่า จะต้องใช้จ่ายให้กับบุตรหลานในการเรียนเท่านั้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และสร้างความสบายใจให้กับเด็กในช่วงเวลาใกล้เปิดเทอมที่จะถึงนี้

“ผมเข้าใจว่า ขณะนี้ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนส่วนใหญ่ นอกจากค่าชุดนักเรียน หนังสือ และอุปกรณ์การเรียนพื้นฐานแล้ว ก็มาจากการที่โรงเรียนเก็บเป็นเงินบำรุงหรือเงินอุดหนุนการศึกษา เพื่อดำเนินการจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมตามแต่ละโรงเรียน ซึ่งถือว่า เป็นภาระของผู้ปกครองที่จำเป็นจะต้องใช้จ่าย เพื่ออนาคตของบุตรหลาน ดังนั้น แนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมาโดยตลอดคือการสนับสนุนเด็ก ๆ ให้มีอนาคตสดใส โดยพยายามแก้ไขปัญหาระหว่างทางให้มีน้อยที่สุด

ในสถานการณ์ท่ามกลางการระบาดของโควิดขณะนี้ ผมจึงอยากให้รัฐบาล หามาตรการในการช่วยเหลือเด็กนักเรียนและผู้ปกครองอย่างรวดเร็วที่สุด โดยรัฐบาลจะต้องประสานงานในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความร่วมมือ จนมาออกเป็นมาตรการเร่งด่วน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบาก และทำให้เป็น ‘ผู้ปกครองและเด็กชนะ’ ได้ในที่สุด ” นายชัยชนะกล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘แรมโบ้’ กางปีกป้อง ซัด ‘โอ๊ค’ ไล่ ‘บิ๊กตู่’ หวังให้พ่อกับอากลับมาเป็นนายกฯ หรือ โวลั่นสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่ควรลาออก

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทาง เฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาโควิด-19 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่าพาประเทศฝ่าโควิด เหมือนตาบอดคลำทาง ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ชี้ต้องให้ลาออก ให้คนมีความสามารถมาบริหาร ว่าแม้นายพานทองแท้ จะมองว่าการแก้ไขปัญหาโควิดของนายกฯ และรัฐบาล เหมือนตาบอดคลำทาง แต่ที่ผ่านมา 2 ครั้ง นายกฯ และรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้มาแล้ว และครั้งนี้ตนเองมั่นใจว่านายกฯ จะสามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ อย่าได้มาใช้นิสัยเดิม ๆ มาซ้ำเติมทำร้ายจิตใจคนที่ทุ่มเททำงานแก้ปัญหา

เรื่องการแถลงข่าวของนายกฯ หากนายพานทองแท้ตั้งใจฟังก็จะเห็นว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว และจะทำอะไรต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการวัคซีนที่กำลังทยอยเข้ามาฉีดให้กับประชาชน อีกทั้งนายกฯ ได้มีการติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศก็มีแนวโน้มว่ามีแนวทางในการจัดหาวัคซีนมากขึ้นอย่างแน่นอน และในเดือนมิถุนายนนี้เราก็จะมีวัคซีนจำนวนมาก เพราะสามารถผลิตได้ในประเทศ สามารถที่จะคำนวณฉีดให้กับประชาชนได้โดยภายในปีนี้จะสามารถฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุดอย่างน้อยร้อยละ 60

นายเสกสกล กล่าวว่า คนทำงานอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรต้องลาออก เพราะต้องแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและพัฒนาประเทศ ซึ่งเชื่อว่าหากเป็นคนอื่นน่าจะทำไม่ได้เท่ากับพล.อ.ประยุทธ์ เพราะคงจะไม่เห็นความสำคัญของประชาชน ประเทศชาติ จะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวของตัวเองเท่านั้น เหมือนผู้นำบางตระกูลก่อนหน้านี้ นายพานทองแท้ คงจำได้แน่นอน ขอให้นายพานทองแท้ เปิดใจรับฟังคนอื่นบ้าง ไม่ใช่จะว่ากล่าวตำหนิเพียงอย่างเดียว การบริหารจัดการสถานการณ์โควิด ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายแต่ทั้งนายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทำอย่างดีที่สุด ทั้งนี้นายพานทองแท้ จะไม่ให้กำลังใจนายกฯ แต่ก็ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และคนทำงาน ให้กำลังใจคนไทยในการช่วยกันฝ่าฟันสถานการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้

"นายพานทองแท้ ไล่นายกฯ ให้ออกจากตำแหน่ง ขอถามกลับว่าคงอยากให้คุณพ่อหรือคุณอา กลับมาเป็นนายกฯ อีกใช่ไหม ช่วยถามหัวใจคนไทยส่วนใหญ่หน่อยว่า รับได้หรือเปล่า ก่อนจะไล่ใคร ช่วยย้อนกลับมามองตัวเองก่อน อย่าเอาอคติความแค้นส่วนตัวมาจ้องทำลายคนอื่น เพราะสิ่งที่เสียหายในอดีตมากมายมหาศาล นายกฯ คนนี้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา ยังไม่ได้ทำให้ประเทศชาติประชาชนเสียหายอะไร แต่ในภาวะวิกฤติทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหากับโควิด ประเทศเราก็ย่อมส่งผลกระทบความเดือดร้อนบ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เหมือนการทุจริตคอร์รัปชัน โกงบ้านโกงเมืองแต่อย่างใด" นายเสกสกล กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ลือหึ่ง!! ห้ามนำเข้า 5 กลุ่มสินค้าไทยทางด่านเมียวดี เหตุบริษัทใต้เงากองทัพ หวังฮุบโอกาสทางการค้าเอง

เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีประกาศว่าห้ามนำเข้า 5 กลุ่มสินค้าจากไทยผ่านทางด่านเมียวดี อันได้แก่ น้ำอัดลม, กาแฟปรุงสำเร็จ, ชาปรุงสำเร็จ, กาแฟปรุงสำเร็จ, นมข้นหวานและนมข้นจืด

หลังจากออกข่าวมาได้วันสองวัน ก็มีกระแสบอกออกมาว่า การที่รัฐบาลทหารประกาศแบบนี้เพราะว่าต้องการให้คนเมียนมาหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพเป็นเจ้าของบ้างล่ะ หรือมีข่าวถึงขั้นประกาศห้ามส่งออกสินค้าจากไทย 5 กลุ่มนี้ไปยังเมียนมาบ้างล่ะ เอย่าก็อยากจะแถลงไขเป็นข้อๆ ดังนี้นะคะ

1.) ประกาศนี้ประกาศไปยังด่านศุลกากรเมียวดี เพราะสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีการนำเข้ามายังเมียนมาแต่ละปีเป็นจำนวนมาก เช่น มูลค่าของกลุ่มสินค้าน้ำอัดลมในปี 2563 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 552 ล้านบาท ดังนั้นหากมีการขนส่งที่ไม่ทำให้สินค้าไม่เน่าเสียหาย แล้วยังผ่อนถ่ายความแออัดของการขนสินค้าที่เมียวดีออกไปได้ดี ก็คือทางเรือนั่นเอง

2.) ในเมียนมาเอง นอกจากสินค้าของบริษัทที่มีกองทัพเป็นหุ้นส่วนแล้ว ก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่มีสินค้าที่ผลิตในประเทศโดยเฉพาะชา, กาแฟปรุงสำเร็จ, น้ำข้นหวานและนมข้นจืด ซึ่งมีผู้ประกอบการชาวเมียนมาหลายรายที่เป็นเจ้าตลาดในเมียนมาอยู่ อาทิเช่น One Tea หรือ PEP รวมถึงน้ำอัดลมบางยี่ห้อ ก็ตั้งฐานการผลิตในเมียนมาแล้ว เช่น เป็ปซี่ และ โค้ก ก็มีฐานการผลิตในเมียนมาแล้วตอนนี้

3.) ในประกาศได้มีประกาศชัดเจนว่าให้ปรับเปลี่ยนการขนส่งจากทางรถเป็นทางเรือแทน ซึ่งผลกระทบน่าจะเกิดกับผู้ลงทุนที่จำเป็นต้องสั่งสินค้าให้เต็มตู้หากอยากได้สินค้าเข้าตามเวลา แต่หากไม่สั่งเต็มตู้ ก็ต้องรอขนพร้อมกับสินค้าอื่น ๆ ซึ่งอาจจะส่งผลถึงยอดขายได้ แต่เอย่าเชื่อว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่น่าจะกระทบ โดยเขาเหล่านั้นน่าจะเลือกนำเข้าสินค้ามาเต็มคอนเทนเนอร์มากกว่าการจะรอรวมคอนเทนเนอร์กับสินค้าอื่น ๆ

4.) หากต้องการจะแบนสินค้ากลุ่มนี้จริง ๆ ทำไมต้องทำแค่ที่ไทยและที่ด่านแม่สอดเท่านั้น ทำให้ไม่ห้ามนำเข้าทุกด่าน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลทหารจะทำให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพถือหุ้นอยู่ อย่างว่าเงินอยู่ในมือผู้ซื้อมันเป็นสิทธิ์ของผู้ซื้อที่จะซื้อสินค้าหรือต่อให้มีแบรนด์เดียว ผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือกจะไม่ซื้อหาหรือบริโภคก็ได้

ฉะนั้นข่าวเรื่องรัฐบาลทหารต้องการให้คนเมียนมาหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพเป็นเจ้าของ จึงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นและยิ่งถ้าเรื่องแบนสินค้าไทยนี่ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เพราะในประกาศระบุชัดเจนว่าให้ส่งทางเรือ!!

เอย่าวิเคราะห์ว่าจากเหตุการณ์ประท้วงและการประทะกันระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่ม KNU ทำให้ข้าราชการชายแดนส่วนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวกะเหรี่ยง ทำการอารยะขัดขืนไม่มาทำงาน รวมถึงความไม่ปลอดภัยหากส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางมาประจำที่นี่

ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้น่าจะเป็นมาตรการชั่วคราวที่ทางรัฐบาลทหารพยายามหาทางออกให้ผู้ประกอบการไทยในเมียนมาหรือแม้กระทั่งผู้ประกอบการเมียนมาเองที่รับสินค้าไทยเข้ามาจำหน่ายให้สามารถนำสินค้าเข้ามาขายเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อไปได้ ในยุคที่ Fake News ยังกลายเป็นข่าวได้อะไรก็เกิดขึ้นได้

ในตอนนี้การหาข้อมูลรอบด้าน จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักธุรกิจหรือทำธุรกิจในเมียนมา

การฟังความข้างเดียวแล้วจับมาแปลผล อาจจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของคุณได้ โดยเฉพาะเมียนมาในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่โอกาสพร้อมจะเป็นของคนที่ไม่ท้อแท้ และรู้จริงในสถานการณ์ปัจจุบันอย่างที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เพราะเศรษฐกิจเป็นเรื่องปากท้อง...ไม่ใช่การเมือง!!

 

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พฤติกรรมการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ปัจจุบันนายหน้าเถื่อนใช้สื่อออนไลน์โฆษณาจัดหางานอย่างเปิดเผย พร้อมแอบอ้างรู้จักเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พบขบวนการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ อาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 โฆษณาการจัดหางาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่าคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน และสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้แม้เป็นช่วงแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 โดยเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการรายละ 10,000 –50,000 บาท แบ่งเป็นค่าดำเนินการ ค่าออกวีซ่า ค่าประกันภัย ฯลฯ ภายหลังรับเงินจะตัดขาดการติดต่อ จนผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกลวง และเข้าแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งประเทศที่พบคนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ แคนาดา สวีเดน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวน 13,523,004 บาท

“รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญและเน้นย้ำให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศให้เดินทางไปทำงานอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เนื่องจากแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศถือเป็นกลุ่มแรงงานที่นำรายได้เข้าประเทศไทย เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้มีการสอดส่องดูแล และตรวจสอบผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีผู้คิดฉวยโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าวหลอกลวงคนหางาน

ซึ่งหากตรวจสอบพบว่าผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้คนหางานที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินหรือโอนเงินให้กับผู้ใด และสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd โดยปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 129 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงมหานคร 90 บริษัท และกระจายอยู่ในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ 39 บริษัท ที่ผ่านมาตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2563 - เมษายน 2564 ด่านตรวจคนหางานได้ตรวจสอบเอกสารคนหางานที่เดินทางผ่านด่านตรวจคนหางานทั้งสิ้น 17,922 ราย ตรวจสอบผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 785 ราย และระงับการเดินทาง จำนวน 254 ราย


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top