Monday, 19 May 2025
NewsFeed

‘แน็ก ชาลี’ โชว์ท่ายาก!! ขณะเล่นแทรมโพลีน ชาวเน็ตอดแซวไม่ไหว “แย่งเด็กที่ไหนเล่นอีก”

(14 ส.ค.66) นอกจากจะสร้างความปังในเรื่องของการแต่งตัวลุคต่าง ๆ ล่าสุด ‘หนุ่มแน็ก ชาลี’ โชว์เล่นแทรมโพลีนผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @charliepotjes งานนี้เหล่า FC มาคอมเมนต์แซวมากมาย 

อาทิ คนมีความร้ากมักจะดูเด็กลงไปนิดนึง 555555 แต่ไม่ดูเด็กนะคะ ดูหล่อ, กางเกงดึงสูงได้อีก นี่ว่าาาา, โอโหหห แน็กแฟนเก๋ นี่โคตรจะเท่เลยค่ะ ว่าแต่.... แย่งเด็กคนไหนเล่นคะ?, แฟนคลับชาวจีน ชอบท่านี้, ที่คิดว่าการมีแฟน จะทำให้แน็กเบาลง.. แต่ก็, กดชัตเตอร์ (Burst Mode) รัวๆ เลยใช่ไหมคะ...เป็นต้น

DSI ประสานความร่วมมือ O.U.R. ปฏิบัติการจับกุมเครือข่ายเผยแพร่ภาพลามกอนาจารเด็ก

วันนี้ (วันที่ 14 สิงหาคม 2566) ภายใต้การอำนวยการของพันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท พเยาว์ ทองเสน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สั่งการให้ นายเขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ และนายยศสันธ์ เรืองสรรงามสิริ รองผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยี และสารสนเทศ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการส่วนคดีละเมิดทางเพศเด็ก พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันตรวจค้นและจับกุมชายไทย 1 ราย อายุ 19 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีพฤติการณ์โฆษณาขายสื่อลามกอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในแพลตฟอร์มไลน์ ในราคาตั้งแต่ 150-500 บาท พบภาพนิ่งและคลิปวิดีโอลามกอนาจารเด็กสวมชุดนักเรียนระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา เป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 5,000 ไฟล์ โดยมีเจ้าหน้าที่ O.U.R. ประสานความร่วมมือในการปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ส่วนคดีละเมิดทางเพศเด็ก ได้ทำการสอบสวนกรณีนี้เป็นคดีพิเศษที่ 37/2566 และได้รวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งยื่นคำร้องต่อศาลออกหมายจับผู้ต้องหารายดังกล่าว และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ห้องพักแห่งหนึ่งในตำบลหลักหก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี จึงได้แจ้งข้อเท็จจริงให้ทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์แสวงหาประโยชน์ทางเพศจากบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยมีการโฆษณาเชิญชวนให้สมัครเข้ากลุ่มไลน์เพื่อดูสื่อลามกอนาจาร และแสวงหาประโยชน์จากการผลิตและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก  จากนั้นได้แจ้งข้อหาให้ทราบว่าเป็นความผิดฐานครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น, ส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น, เพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลาย โดยประการใด ๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก, ประกอบการค้าหรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนให้เช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287/1, 287/2 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มาตรา 14 (4),(5) 

ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกับองค์การ Operation Underground Railroad (O.U.R.) โดยมีการใช้ “ฮิดู” สุนัขปฏิบัติการ ซึ่งเป็น ESD K9 นานาชาติตัวแรกของ O.U.R. ที่ได้รับการฝึกฝนจาก Jordan Detection Training Center ช่วยค้นหาอุปกรณ์เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในสถานที่อีกด้วย ถือเป็นการบูรณาการร่วมกันกับทุกภาคส่วน เพื่อต่อต้านอาชญากรรมการละเมิดทางเพศเด็กและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก 

การแสวงหาประโยชน์เกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็กเป็นอาชญากรรมที่นานาชาติให้ความสำคัญ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและสิทธิของเด็ก หากผู้ปกครองช่วยสอดส่องพฤติการณ์ของบุตรหลาน จะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะช่วยปกป้องบุตรหลานจากภัยดังกล่าวได้ ทั้งนี้ หากมีข้อมูลหรือเบาะแสเกี่ยวกับละเมิดทางเพศเด็ก หรือมีการเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก สามารถแจ้งมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ โทรศัพท์สายด่วน 1202 (ฟรีทั่วประเทศ) โดยข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสจะถูกเก็บรักษาเป็นความลับ

‘ดาวเทียม THEOS-2’ ฝีมือคนไทยดวงแรก เตรียมขึ้นสู่อวกาศ ก.ย.นี้ เพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี รองรับการเติบโตของธุรกิจอวกาศ

(14 ส.ค.66) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานะโครงการระบบดาวเทียมสำรวจพร้อมระบบภาคพื้นดิน และระบบแอปพลิเคชันภูมิสารสนเทศสำหรับโครงการระบบดาวเทียมเพื่อการพัฒนา ‘THEOS-2’ ประกอบและทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว เก็บไว้ภายใต้สภาวะควบคุมสภาพแวดล้อม ณ Airbus Test Facility เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โดยคาดว่า จะปล่อยสู่วงโคจรได้ปลายเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน 2566 ณ ฐานปล่อยจรวดในเมืองเฟรนช์เกียนาในทวีปอเมริกาใต้

ขณะที่ดาวเทียมเล็ก THEOS-2A ประกอบและทดสอบแล้วเสร็จ เก็บไว้ภายใต้สภาวะควบคุมสภาพแวดล้อม ณ อาคารประกอบและทดสอบแห่งชาติ AIT อุทยานรังสรรค์นวัตกรรม (SKP) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี คาดว่า จะนำส่งขึ้นสู่อวกาศในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ณ ฐานปล่อยจรวดภายในศูนย์อวกาศสาธิต ธาวัน เมืองศรีหริโคตา ประเทศอินเดีย

“ดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจโลกดวงแรกของไทย มีการพัฒนาออกแบบโดยฝีมือคนไทย จะขึ้นสู่ห้วงอวกาศเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งกำหนดการสามารถเลื่อนได้ตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง” นางสาวรัชดา กล่าว

ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยดำเนินการเตรียมความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศหลายส่วนและมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกิจการด้านอวกาศของประเทศ อาทิ สถานีควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียมและการพัฒนาระบบปฏิบัติการดาวเทียมภาคพื้นดิน ระบบคลังข้อมูลจากดาวเทียมที่พร้อมใช้ ศูนย์ปฏิบัติการความเป็นเลิศและนวัตกรรมการบินและอวกาศที่ได้รับการรับรองคุณภาพและมาตรฐานสากล

รวมถึงศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ ตั้งอยู่ภายในอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นศูนย์ที่มีความทันสมัยได้มาตรฐานสากล เพื่อรองรับการพัฒนาชิ้นส่วนอุปกรณ์ สร้าง ประกอบ และทดสอบดาวเทียม

รวมทั้ง รัฐบาลให้ความสำคัญของการพัฒนากำลังคน เพื่อรองรับการเติบโตของกิจการด้านอวกาศ ภายใต้โครงการ THEOS-2 ซึ่งหลังจากที่วิศวกรดาวเทียมของไทย 22 คน ได้ไปฝึกฝน เรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจริงอย่างเข้มข้น ณ สหราชอาณาจักรและกลับมาต่อยอดให้กับบุคลากรในประเทศ

จากนั้นจะมีการดำเนินการต่อในเรื่อง การสร้างวิศวกรใหม่ โดยการรับวิศวกรรุ่นใหม่ หรือที่มีความสนใจในการสร้างดาวเทียมมาร่วมทีมพัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ที่สนใจทั่วไป ทั้งภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัยและประชาชนทั่วไป และในอนาคตอันใกล้เรากำลังจะสร้างดาวเทียมดวงใหม่โดยฝีมือคนไทย 100% ในนาม ‘THEOS-3’

“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อขับเคลื่อนไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น และมีแนวคิดที่ต้องการให้ไทยพัฒนาส่วนของเทคโนโลยีอนาคตเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งก็เพื่อการแข่งขันในโลกสมัยใหม่ เท่าทันวิวัฒนาการ และเพื่อความก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม นำพาประเทศและประชาชนให้คุ้นชินกับอุตสาหกรรมอนาคต พัฒนาสู่ประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” นางสาวรัชดา กล่าว

‘คณะกรรมการไต่สวน’ ชงยกคำร้อง ‘พิธา’ ผิด ม.151 เหตุขณะยื่นสมัครไม่พบไอทีวี ประกอบกิจการ-มีรายได้

(14 ส.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณี นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ระบุเมื่อเร็วๆ นี้ว่า สำนวนการสอบสวน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกลกรณีรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา 151 เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (6) เพราะเหตุมีชื่อถือครองหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 ได้ถูกส่งมายังชั้นสำนักงาน กกต.นั้น มีรายงานว่า ผลสอบที่คณะกรรมการไต่สวนดำเนินการสืบสวนไต่สวนเสร็จสิ้น ได้เสนอความเห็นว่า เห็นควรให้ยกคำร้อง ด้วยเหตุผลว่า การดำเนินการตามมาตรา 151 เป็นคดีอาญาที่ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ขณะเปิดสมัครรับเลือกตั้ง สส.66 วันที่ 4-7 เมษายน ไม่พบว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีการประกอบกิจการอยู่และมีรายได้จากการทำสื่อ

ทั้งนี้ คณะกรรมการไต่สวนได้สรุปสำนวนและเสนอรายงานไปยังเลขาธิการ กกต. ซึ่งได้มอบรองเลขาธิการ กกต.ให้ดำเนินการจ่ายสำนวนดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้อง และปัญหาหรือข้อโต้แย้งพิจารณา ตามที่ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด 2563 กำหนด ก่อนที่จะเสนอให้ กกต.วินิจฉัย

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเรื่องร้องเรียน ร้องคัดค้านของคณะอนุฯวินิจฉัยหลายกรณี เมื่อสอบสวนแล้วไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการไต่สวน โดยเมื่อคณะอนุฯวินิจฉัยได้รับสำนวนหากเห็นว่ามีประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน มีข้อสงสัยก็จะดำเนินสอบสวนเพิ่มเติม รวมทั้งการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง ซึ่งในกรณีคาดว่า คณะอนุฯวินิจฉัยจะมีการสอบสวนเพิ่มเติม และแจ้งให้นายพิธาได้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี กกต.ยื่นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ขอให้วินิจฉัยสถานะ สส.ของนายพิธา จากเหตุเดียวกัน ก่อนที่จะสรุปสำนวนพร้อมความเห็นเสนอ กกต.พิจารณา เช่นที่เคยดำเนินการกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เมื่อครั้งถือหุ้นสื่อ บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด

สำหรับการดำเนินการตามมาตรา 151 นั้น หากที่สุด กกต.มีมติเห็นว่า ผู้สมัครรายนั้นรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งแต่ยังคงลงสมัคร ก็จะให้ทางเจ้าหน้าที่สำนักงาน ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนเมื่อดำเนินการสอบสวนแล้วเสร็จก็จะส่งเรื่องให้กับอัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ซึ่งที่ผ่านมาในกรณีของนายธนาธร แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่า นายธนาธรมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 แต่เมื่อ กกต.ดำเนินคดีอาญาอัยการกลับมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยมาตรา 151 นั้น กำหนดไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! ความร่วมมือ ‘อินโดฯ-มาเลย์-ไทย’ ปี 64 ก้าวหน้า ดัน GDP โต หนุนร่วมพัฒนาทุนมนุษย์-การท่องเที่ยว เชื่อมโยงเศรษฐกิจแบบไร้รอยต่อ

(14 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีต่อผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย ‘อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย’ (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT – GT) โดยกว่า 30 ปีที่ผ่านมา อนุภูมิภาคมีพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก ช่วยลดช่องว่างการพัฒนาภายในประเทศและอนุภูมิภาค ส่งเสริมบทบาทของประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 6 สาขา คือ 1.) สาขาการค้าและการลงทุน 2.) สาขาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม 3.) สาขาการท่องเที่ยว 4.) สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 5.) สาขาการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตรและสิ่งแวดล้อม และ 6.) สาขาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ยังได้ขยายพื้นที่ความร่วมมือครอบคลุม 35 รัฐ และจังหวัดของทั้ง 3 ประเทศ โดยมีมูลค่า GDP ภายในอนุภูมิภาคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 12,790 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2527 เป็น 405,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2564 และมีมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นจากในปี พ.ศ. 2527 ที่ 97,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 618,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2564

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ด้านโครงการความเชื่อมโยงทางกายภาพตามแนวระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 6 สาขา มีกว่า 36 โครงการก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยโครงการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนอย่างไร้รอยต่อของทั้งสินค้า บริการ และคน อาทิ โครงการรถไฟเชื่อมหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์-กัวลาลัมเปอร์, โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 (สุไหงโก-ลก-รันเตาปันยัง), โครงการทางด่วนสุมาตรา และการฟื้นฟูการเชื่อมโยงทางอากาศ ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ภายใต้แผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) สาขาความร่วมมือต่างๆ มีความก้าวหน้าอย่างมาก อาทิ โครงการเพื่อพัฒนาเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน การเสริมสร้างการเชื่อมโยง และการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ส่วนทิศทางการดำเนินงานในอนาคตนั้น มุ่งเน้นใน 6 ประเด็น เช่น การเพิ่มขีดความสามารถของทุนมนุษย์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยว ภายในช่วงปีแห่งการท่องเที่ยว IMT-GT และการเร่งการลงนามกรอบความร่วมมือด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และตรวจโรคพืชและสัตว์ ระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เป็นต้น

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียินดีที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผลักดันความร่วมมืออินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย จนเกิดความสำเร็จที่จับต้องได้ เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ และเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ กว่า 30 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง IMT-GT ตั้งแต่ปี 2536 ทั้ง 3 ประเทศได้ร่วมกันสร้างความก้าวหน้าที่สำคัญในการพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคและภูมิภาค มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกัน เพื่อทำให้อนุภูมิภาคนี้มีการบูรณาการ มีนวัตกรรม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และยั่งยืน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เกิดการเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ

'เพชร โอสถานุเคราะห์' เจ้าของเพลงดัง เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ) เสียชีวิตแล้ว ในวัย 69 ปี คาดหัวใจวายเฉียบพลัน

(15 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพชร โอสถานุเคราะห์ อดีตนักร้องชื่อดัง และอดีตผู้บริหารบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อคืนวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

โดยญาติพี่น้องเตรียมนำร่างของ เพชร โอสถานุเคราะห์ ไปบำเพ็ญกุศลที่ศาลโอสถานุเคราะห์ วัดธาตุทอง กรุงเทพฯ และจะมีการแถลงข่าวช่วงบ่ายวันนี้

เพชร โอสถานุเคราะห์ เป็นอดีตนักร้องที่โด่งดังมีผลงานที่เป็นที่รู้จักในเพลง เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ) นอกจากนี้เพชรยังเคยเป็นรองประธานกรรมการบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

สำหรับ ประวัติ เพชร โอสถานุเคราะห์ เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2497 เป็นบุตรชายของนายสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และนางปองทิพย์ โอสถานุเคราะห์

เพชรเกิดที่กรุงเทพฯ เพชรเริ่มเรียนที่โรงเรียนสมประสงค์จนถึง ป.3 จากนั้นก็ย้ายไปเรียนต่อที่ โรงเรียนพิพัฒนาถึงชั้นม.4 (มศ 3 ในอดีต) ย้ายไปเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่ Teaneck High School ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

หลังจากจบแล้วก็กลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพเป็นเวลา 2 ปี แล้วจึงกลับไปเรียนต่อจนจบปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจ สาขาการตลาดที่ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นอิลลินอยส์ และกลับมาทำงานโฆษณา ก่อนออกผลงานเพลง แล้วหันไปทำงานนิตยสารสำหรับผู้หญิง จากนั้นก็ขยายไปทำงานด้านรายการโทรทัศน์ คือ รายการผู้หญิงวันนี้ และมีงานแต่งเพลงเคยแต่งเพลง หมื่นฟาเรนไฮต์ ให้วงไมโคร

สำหรับงานเพลง เพชรมีผลงานอัลบั้มแรกชุด ธรรมดา…มันเป็นเรื่องธรรมดา มีเพลงดังอย่าง ‘เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ)’ ในปี 2530 และกลับเข้าวงการเพลงอีกครั้งหลังจากหายหน้าไปร่วม 20 ปีเพื่อทำงานเพลงอีกครั้ง ในปี 2550 ได้ออกผลงานอัลบั้มที่ 2 Let’s Talk About Love ที่ได้ผู้กำกับมิวสิกวิดีโออย่าง เป็นเอก รัตนเรือง, วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง, อภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุล มาร่วมทำ โดยมิวสิกวิดีโอแต่ละชิ้นมีงบประมาณราว 20,000 ถึง 1 ล้านบาท และในปี พ.ศ. 2551 ได้นำผลงานชุดแรกไปรีมาสเตอร์ที่ประเทศอังกฤษ และนำกลับมาวางจำหน่ายใหม่

‘ลิซ่า BLACKPINK’ ถูกพบอยู่กับ ‘เฟรเดอริก อาร์โนลด์’ โซเซียลฮือฮา!! ตอกย้ำกระแสข่าวเดตของทั้งคู่เข้าไปอีก

(15 ส.ค.66) หลังจากสื่อเกาหลีเผยแพร่คำแถลง YG Entertainment ต้นสังกัด BLACKPINK ข่าวการเดตของ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ กับ ‘เฟรเดอริก อาร์โนลด์’ (Frédé-ric Arnault) ทายาทมหาเศรษฐีเครือแบรนด์หรู LVMH ครั้งแรก ว่า “เราไม่สามารถยืนยันข่าวการออกเดตของลิซ่าได้”

ล่าสุดพบว่าวันที่ 14 ส.ค 66 ในโลกโซเชียลทั่วโลกสุดฮือฮาได้มีการแชร์ภาพลักษณะคล้าย ‘ลิซ่า’ กับ ‘เฟรเดอริก อาร์โนลด์’ อยู่ด้วยกัน พร้อมยังเผยอีกว่าเป็นภาพที่เพิ่งถ่ายวันนี้ ยิ่งตอกย้ำกระแสข่าวการเดตของทั้งคู่ พร้อมทั้งสร้างเสียงหวีดกันรัวๆ ในโซเชียล แสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก

‘อนุพงษ์’ ยัน!! เบี้ยผู้สูงอายุตอนนี้ยังเหมือนเดิม เชื่อ ระเบียบใหม่ช่วย ปชช.ได้ประโยชน์ทั่วถึงมากขึ้น

(15 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุ ว่า การจ่ายเดิมทางกรมบัญชีกลางเห็นว่าผู้ที่มีรายได้อื่นๆ เช่น บำนาญ คงจะรับเงินไม่ได้ต้องเรียกคืน และในที่สุดก็มีปัญหา จนรัฐบาลต้องจ่ายเงินคืนให้ จากนั้นได้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่ง พม.ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ โดยกฤษฎีกาตีความว่าระเบียบที่ออกนี้ ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่า ประชาชนจะต้องมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ รัฐบาลต้องช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นการที่กำหนดว่าจะให้ใครตามระเบียบเดิมไม่ได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการออกระเบียบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า แต่อย่างไรก็ตามการจะให้นี้ต้องทั่วถึงและเป็นธรรม โดยจะมีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นผู้กำหนดว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นธรรม ถ้าจะให้ทั่วถึงจ่ายทุกคนก็ได้ หรือจะไปกำหนดกลุ่ม คนที่มีรายได้มากอาจจะไม่ต้องจ่ายก็ได้ ซึ่งระเบียบนี้ก็เปิดทางไว้ อย่างไรก็ตามถ้าคณะกรรมการผู้สูงอายุยังไม่กำหนด ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จ่ายแบบเดิมได้ ทั้งผู้ที่ได้รับอยู่แล้วและผู้ที่จะอายุครบ 60 ปีใหม่ สามารถจ่ายตามเกณฑ์เดิมได้

เมื่อถามว่า จะรอให้คณะกรรมการผู้สูงอายุพิจารณาก่อนใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า แล้วแต่คณะกรรมการจะพิจารณาอย่างไร แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีอำนาจที่จะไปทำ เพราะมันคงผูกพันกับรัฐบาลใหม่แล้ว เนื่องจากใช้งบประมาณมาก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้รัฐบาลได้ทำหนทางไว้หมดแล้ว รัฐบาลใหม่มาจะทำอย่างไรก็สามารถทำได้หมด ดังนั้นตอนนี้ผู้สูงอายุเดิมรับเงินอย่างไรก็รับไปตามเดิม ผู้สูงอายุใหม่ก็สามารถรับได้ตามเกณฑ์เดิม ตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อถามว่า ตอนนี้ประชาชนยังไม่ต้องกังวลใจในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ต้องกังวล และถ้าตนมองในตอนนี้ประชาชนจะได้ประโยชน์ทั่วถึงตามรัฐธรรมนูญ เป็นธรรม และมีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต หนทางเราเตรียมไว้ให้แล้ว ออกทางไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

‘เวฬาภิรมย์’ เปิดประสบการณ์อาหารไทย ใจกลางกรุง สงบ เงียบ เมนูเพียบทั้งคาว-หวาน โดดเด่น น่าลิ้มลอง

วันนี้ THE STATES TIMES ขอพาทุกท่านลัดเลาะเข้าสู่สาทร ซอย 1 เพื่อมาพบกับโอเอซิสแห่งใหม่ล่าสุดใจกลางเมืองที่ โรงแรมวิลล่าเทวา รีสอร์ทแอนด์ โฮเทล กรุงเทพ (Villa Deva Resort  and Hotel Bangkok) ที่นี่ซึ่งเป็นรีสอร์ทและโรงแรมสุดหรูที่มีเสน่ห์เอกลักษณ์ความเป็นไทยในบรรยากาศ เงียบสงบร่มรื่นเหมาะกับความเป็นส่วนตัว

เปิดประสบการณ์ชิมอาหารไทยในแบบฉบับ Authentic Thai Fine Dining โดยเชฟจิ๊บผู้ที่ผ่านการแข่งขันทำอาหารจากเวทีต่างๆมากมาย เชฟจิ๊ปนั้นได้บรรจงรังสรรค์งานศิลปะบนเมนูอาหารไทยให้ออกมามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสวยงาม ชวนน่าลิ้มลองทั้งคาว-หวาน โดยการนำอาหารไทยทั้ง4ภาคมาผสมผสานกันได้อย่างอร่อยลงตัว ณ ห้องอาหาร เวฬาภิรมย์ (Vela Bhirom) ซึ่งมีความหมายว่า “เวลาแห่งความรื่นรมย์” และแน่นอนว่า เมนูอาหารกับประสบการณ์ที่ได้รับนั้นเหมาะสมกับความหมายของชื่อร้านเป็นอย่างมาก มีให้เลือกลิ้มลองกันทั้งแบบที่เป็น Fine dining และ A la carte แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าก่อนมารับประทาน

ห้องอาหารนั้นมีทั้งโซน Indoor และ Outdoor สามารถเลือกนั่งได้ตามใจชอบ ในส่วนของโซน Indoor ตกแต่งด้วยการคุมโทนสีน้ำตาลกับแผงไม้สักแท้ลายคลื่นทะเล พร้อมกับผนังหินลวดลายวิจิตรหายากซึ่งให้ความรู้สึกหรูหรา เหมาะกับการมากินข้าวในโอกาสสำคัญกับคนพิเศษ  แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศสบาย ๆ ไม่เน้นทางการมากนัก เหมาะกับการมาแฮงเอาต์กับเพื่อน ๆ แนะนำโซน Outdoor ที่ทางโรงแรมลงทุนทำช่องแอร์ปล่อยแอร์เย็นออกมา Cool Down ปรับอุณหภูมิให้ลดลง เพื่อให้นั่งสบายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงตอนเย็น ๆ ไวน์บาร์กับบรรยากาศริมสระว่ายน้ำริมสวนที่สุดชิลมาก แถมถ่ายรูปสวยด้วยจริงๆ

ทางเชฟได้ทำอาหารหลายหลาย อาทิ มะเขือย่างกุ้งคั่วพริกเกลือผักชีฝรั่ง ที่ผสมผสานนำเอาอาหารภาคกลาง มาปรับให้เข้ากับกุ้งแม่น้ำ จนเป็นเมนูที่เลิศรส และถูปากใครหลายคน 

เมี่ยงคำปูนิ่ม ทางร้านได้รังสรรค์เมนูนี้จนเป็นที่ยอมรับในความอร่อยและความแปลกใหม่ที่สามารถกินกับปูนิ่มทอดกรอบได้เข้ากันอย่างลงตัว

ยำส้มโอน้ำมะขามกะปิคั่ว กะปิคั่ว อาหารไทยโบราณ เมนูประเภทเครื่องจิ้ม ที่เคี่ยวสมุนไพรกับกะทิจนข้น แตกมันสวยงาม รสชาติหวาน เค็ม ตัดด้วยรสเปรี้ยวหวานของส้มโอ สุดฟินในทุกคำที่กิน

ห้องอาหาร เวฬาภิรมย์ (Vela Bhirom) ตั้งอยู่ชั้นล่างข้าง Lobby  โรงแรม Villa Deva Resort and Hotel Bangkok  หากใครต้องการมา Staycation มาพักผ่อนเปลี่ยนที่นอนก็สามารถจองที่พักกันเข้ามาได้ บอกเลยว่าโรงแรมสวยมาก บรรยากาศเหมือนยกรีสอร์ทมาอยู่ในกรุงเทพฯทั้งที่อยู่ใจกลางสาทรนี่เอง 

สาย Staycation สามารถโทรสำรองโต๊ะ ได้ที่ เบอร์ : 02-821-3888

'อัษฎางค์' เบิกเนตร 'วิโรจน์' หลังพ่นวาทกรรม 'พิสูจน์ความจน' แสดงถึงการด้อยความรู้ เก่งแต่สร้างความเกลียดชังให้คนในชาติ

(15 ส.ค. 66) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า Age Pension หรือที่เมืองไทยเรียกว่า ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ นั้นในทุกประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก ต้องมีการ Tests ซึ่งก็คือ ‘การพิสูจน์ความจน’ ก่อนที่จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ

ถ้าไม่มีการการตรวจสอบคุณสมบัติผู้จะได้รับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ ก็จะทำให้ผู้ที่มีรายได้สูงหรือมีทรัพย์สินมากอยู่แล้วได้รับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ เหมือนคนที่ไม่มีรายได้และไม่มีทรัพย์สมบัติ

ไหนเรียกร้องความเท่าเทียม ตกลงคุณต้องการนำ ‘ภาษีกู’ มาแบ่งจ่ายให้เศรษฐีได้รับเบี้ยผู้สูงอายุเหมือนคนจนหรือ? คุณต้องการแบบนั้นจริงหรือ?

สส.วิโรจน์ พรรคก้าวไกล ออกมาโวยรัฐ ‘เอาหน้า’ เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน หรือสร้างความเกลียดชังของประชาชนต่อรัฐ หรือออกมาแสดงการถึงการด้อยความรู้ กันแน่ ?

สส.วิโรจน์ ใช้คำว่า “การพิสูจน์ความจน คือการกลุ่มอนุรักษ์นิยมต้องแต่จะกดคนให้จนและพยายามตัดเบี้ยผู้สูงอายุ”

ผมจะช่วยเปิดกระโหลก เปิดกะลาให้ท่าน สส.ผู้ทรงเกลียด

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีสวัสดิการแห่งรัฐดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก็กำหนดว่า ผู้ที่เกษียณอายุ ต้อง ‘การพิสูจน์ความจน’ ก่อนจะมีสิทธิ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ”

รายละเอียดสำหรับการ ‘การพิสูจน์ความจน’ ของออสเตรเลียนั้นเยอะมาก และต้องใช้เวลาอ่านทำความเข้าใจอย่างมากถึงจะเข้าใจได้ทั้งหมด ไม่ใช่เหมือนเมืองไทยที่ใครอายุ 60 ก็รับเบี้ยผู้สูงอายุทันทีถ้วนหน้า

เงินภาษีของประชาชนต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมิใช่หรือ แล้วทำไมถึงยินดีที่จะจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุซึ่งเป็นเงิน ‘ภาษีกู’ ให้กับเศรษฐี ซึ่งเขาไม่ได้เดือดร้อน

เบี้ยผู้สูงอายุเพียง 600 หรือ 3,000 (ตามนโยบายก้าวไกลที่ออกมาหาเสียงว่าจะให้คนแก่ตอนก่อนเลือกตั้ง จนคนแห่ไปกาให้ก้าวไกล ก่อนที่ก้าวไกลจะมาประกาศหลังเลือกตั้งว่ายังทำไม่ได้) ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุวัยเกษียณ แต่ไม่มีผลอะไรกับเศรษฐีเลย เอาเงินก้อนนี้ไว้จ่ายผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์หรือไม่มีรายได้ ไม่ดีกว่าหรือ เพราะผู้สูงอายุวัยเกษียณกำลังเพิ่มขึ้นทุกปี

ขอยกตัวอย่าง การพิสูจน์ความจน เพื่อรับเบี้ยผู้สูงอายุในออสเตรเลียเล็กน้อย (ความจริงรายละเอียดเยอะมาก) ได้แก่

ต้องมีรายได้ต่ำจริงหรือไม่มีรายได้เลย

ผู้สูงอายุวัยเกษียณบางท่านยังคงมีรายได้จากทรัพย์สินเช่น การขายทรัพย์สินต่าง ๆ (เช่น บ้าน) รายได้จากการเล่นหุ้น, เป็นหุ้นส่วนบริษัท หรือบางท่านยังทำงานอยู่แม้จะเลยวัยเกษียณแล้วก็ตาม

แรงงานที่ออสเตรเลียไม่ได้เกษียณที่อายุ 60 (รุ่นผมเกษียณด้วยอายุ 67)

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนไทยวัยเกิน 60 ที่ยังทำงานมีรายได้สูงมากในออสเตรเลีย แอบกลับมารับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ จากรัฐบาลไทยด้วย ได้ 2 ต่อ ทั้งที่รายได้สูงอยู่แล้ว คุณอยากได้แบบนี้ใช่มั้ย

หรือคนไทยวัยเกษียณที่อยู่เมืองไทยก็ตาม แต่เขายังคงมีรายได้จากการทำงาน มีรายได้มหาศาลจากการขายทรัพย์สินต่าง ๆ (เช่น บ้าน) มีรายได้จากการเล่นหุ้น หรือเป็นหุ้นส่วนบริษัท แต่เขาได้รับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ เท่ากับผู้สูงอายุคนอื่น ๆ ที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีเลย

คุณ สส. คุณทนาย คุณอาจารย์นักวิชาการ คุณนักเรียกร้องสิทธิ์

พวกคุณเรียกสิ่งนี้ว่าความเท่าเทียมกันหรือ?

พวกคุณโจมตีว่า การพิสูจน์ความจนหรือกฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนด เพื่อให้ได้คนที่สมควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในเรื่อง ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ ว่ารัฐกดขี่คนจน ผู้เฒ่าผู้แก่หรือ

ทั้งที่เป็นการใช้เงินจาก ‘ภาษี’ ให้ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นไปตามหลักสากลที่ทั่วโลกเขาทำกัน

เปิดกระโหลกออกจากนอกกะลา กันเสียที

อย่าฟังแต่เสียงโกหก เพื่อหาเสียงของนักการเมืองจอมบิดเบือนเสียทีพี่น้องไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top