Monday, 19 May 2025
NewsFeed

‘CPALL’ อนุมัติโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงาน ครั้งที่ 4 หนุนการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ-สร้างความจงรักภักดีกับองค์กร

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 66 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘CPALL’ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2566 ได้มีมติอนุมัติโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงาน ครั้งที่ 4 (Employee Joint Investment Program – EJIP) ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดจากการที่บริษัท และ บริษัทย่อย มีนโยบายให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัท และเกิดความจงรักภักดีอยู่กับองค์กร โดยโครงการดังกล่าว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2569 รวมระยะเวลา 3 ปี

ทั้งนี้ พนักงานที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- เป็นพนักงานตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้ไม่รวมกรรมการบริษัทฯ และ ที่ปรึกษา
- พนักงานจะต้องมีอายุการทำงาน นับจนถึงวันเริ่มจ่ายเงินสะสมไม่น้อยกว่า 3 ปี
- พนักงานที่มีอายุการทำงานไม่ครบ 3 ปี ต่อมาภายหลังมีอายุการทำงานครบ 3 ปี ให้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตามรอบของระยะเวลาที่บริษัทฯ กำหนดไว้
- กรณีที่พนักงานได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารให้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการได้ เมื่อมีอายุงานรวมแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี

รูปแบบของโครงการ
1.) บริษัทและบริษัทย่อยจะหักเงินเดือนพนักงานผู้ที่มีสิทธิและสมัครใจเข้าร่วมโครงการในอัตราร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือนจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการเพื่อสะสมเข้ากองทุน
2.) บริษัทและบริษัทย่อยจะจ่ายสมทบเพิ่มเข้ากองทุนในอัตรา 80% ของเงินที่หักจากพนักงานทุกเดือน
3.) บริษัทหลักทรัพย์ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการ จะนำเงินสะสมของพนักงานรวมกับเงินสมทบของบริษัท และบริษัทย่อยไปทำการซื้อหุ้น CPALL ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่กำหนดของทุกเดือน

ผลประโยชน์ในหุ้น
- เงินปันผลจะตกเป็นของพนักงานโดยตรง
- ผลประโยชน์ด้านราคาจะตกเป็นของพนักงานเมื่อมีการขาย
- พนักงานสามารถใช้สิทธิอื่นๆ ในหุ้นที่ถือ เช่น สิทธิการจองหุ้นเพิ่มทุน ใบสำคัญแสดงสิทธิการเข้าประชุมผู้ถือหุ้น

วิธีการขายหุ้นในโครงการ
- พนักงานไม่มีสิทธิขายหุ้นจนกว่าจะครบกำหนดอายุโครงการ เว้นแต่ พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ถึงแก่กรรม ขอลาออกจากโครงการ หรือ เกษียณอายุ
- บริษัทกำหนดให้พนักงานที่เข้าร่วมโครงการมีสิทธิขายหุ้นก่อนครบกำหนดอายุโครงการได้เมื่อโครงการมีอายุครบครึ่งหนึ่ง (1 ปี 6 เดือน) โดยให้ขายหุ้นได้ในจำนวนไม่เกินครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่มีอยู่
- พนักงานที่ขอลาออกจากโครงการจะไม่มีสิทธิได้เงินสมทบของบริษัท ในระยะเวลาที่เหลือของโครงการ รวมทั้งไม่มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการในครั้งถัดไป 1 ครั้ง (ถ้ามี)

‘ส.ก.วิพุธ’ จี้!! กทม. ตรวจเข้มร้านที่ สส.ก้าวไกลมีเรื่องวิวาท พบเปิดเกินเวลา-ส่งเสียงรบกวน ชาวบ้านเคยร้องเรียนแต่ไร้ผล

(13 ส.ค. 66) นายวิพุธ ศรีวะอุไร ส.ก.เขตบางรัก กล่าวถึงกรณีเหตุทะเลาะวิวาทระหว่าง สส.พรรคก้าวไกล กับประชาชนรายหนึ่ง ในสถานบันเทิงซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตบางรัก ว่า เหตุทะเลาะวิวาทในสถานบันเทิงดังกล่าว ตามที่ปรากฏในคลิปเกิดขึ้นในช่วงเวลา 02.30 น. ซึ่งเป็นการเปิดเกินเวลา และไม่ใช่ครั้งแรกที่พบว่ามีการเปิดเกินเวลา เหตุการทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ส่งผลให้ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

นายวิพุธกล่าวว่า ประชาชนเคยร้องเรียนร้านนี้มาที่สภากรุงเทพมหานครแล้ว ในเรื่องของการเกินเวลา และส่งเสียงรบกวนทำให้ผู้คนแถวนั้นได้รับผลกระทบ ไม่สามารถพักผ่อนและใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยประชาชนได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้แต่อย่างใด

ล่าสุดได้ร้องเรียนมาที่ตน ในฐานะรองประธานคณะกรรมการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อย ของสภากรุงเทพมหานคร จึงขอให้กรุงเทพมหานครและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกับร้านอาหารที่เปิดเกินเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในอนาคต

‘แพนเค้ก เขมนิจ’ หยิบผ้าไทยมาสวม อวดเอกลักษณ์ชาติ สวยโดดเด่น เป๊ะหัวจรดเท้า เผย ภูมิใจทุกครั้งที่ใส่ผ้าไทย

(13 ส.ค. 66) ด้วยรูปร่างแสนเพอร์เฟกต์… ความสูง 175 ซม. ไม่แปลกใจที่นางเอกสาว ‘แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์’ จะชนะคว้ารางวัล ‘Thai Supermodel 2004’ จนได้มีโอกาสเฉิดฉายโลดแล่นในวงการนานเป็น 10 ปี

นอกจากงานแสดงแล้ว ยังมีงานพิธีกร เดินแบบบรันเวย์ทั้งในไทย และต่างประเทศตลอด และล่าสุด สาวแพนเค้กก็ได้ใส่ชุดสวยๆ ที่ถักทอจากผ้าไทย พร้อมบอกเล่าความภูมิใจว่า…

“ใส่ผ้าไทยให้สนุก ใส่ผ้าไทยให้มีความสุข

เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาแชร์ สิ่งที่รัก เกี่ยวกับผ้าไทยค่ะ และ แม่ก็คือต้นแบบในการแต่งตัวของแพนมาตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ และวันนี้ได้มาที่นี่ @sacit_official มีทุกอย่างของแรงบันดาลใจ และ ร้านมากมายที่ตอบโจทย์ให้เราสวมใส่ผ้าไทยได้อย่างสนุกค่ะ #แพนแพนผ้าไทย”

‘รมว.สุชาติ’ ห่วงคนหางาน ถูกนายหน้าหลอกไปทำงานที่ดูไบ ลวงให้ใช้วีซ่าท่องเที่ยวทำงาน ย้ำ!! อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด

(13 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากฝ่ายแรงงานประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่ามีแรงงานไทยถูกนายหน้าชักชวนให้มาทำงานออนไลน์ผิดกฎหมาย ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผ่านเฟซบุ๊ก เพจ ‘คนไทยในดูไบ’ โดยประกาศรับสมัครพนักงานการตลาด แอดมิน และระบุอย่างชัดเจนว่าให้ทำงานเว็บพนันออนไลน์ เมื่อไปถึงนายจ้างจะยึดหนังสือเดินทางไว้ และให้หลอกคนไทยผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อมาลงทุน หรือหลอกลวงเอาทรัพย์สิน เมื่อปฏิเสธการทำงาน นายจ้างจะคิดค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก

ซึ่งที่ผ่านมามีเหยื่อหลงเชื่อและเดินทางไปทำงานหลายราย  แต่เมื่อเกิดปัญหามักเอาผิดกับนายจ้างไม่ได้เนื่องจากไม่มีหลักฐาน เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เอามือถือเข้าสถานที่ทำงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาผมได้กำชับกรมการจัดหางานให้ทำงานอย่างหนักเพื่อกวาดล้างมิจฉาชีพที่หลอกลวงคนไทยไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจลักลอบทำงานผิดกฎหมาย พร้อมประกาศเตือนและได้ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบกรณีแรงงานไทยถูกหลอกไปทำงานผิดกฎหมายอยู่บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งเดินทางไปด้วยความสมัครใจ จึงขอย้ำเตือนผู้ที่คิดจะลักลอบเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีผิดกฎหมายว่าไม่คุ้มค่า เพราะอาจไม่ได้ทำงานตามที่ตกลง ถูกบังคับใช้แรงงาน และเสี่ยงถูกทำร้ายร่างกาย

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ต้องทำงานอย่างเข้มงวดและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเพื่อป้องกันมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อโดยการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้วิธีเดินทางไปทำงานต่างประเทศถูกต้องตามกฎหมาย 5 วิธี ได้แก่ บริษัทจัดหางานจัดส่ง, กรมการจัดหางานจัดส่ง, เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง, นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงาน และนายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงาน

และเตือนภัยคนหางานให้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของมิจฉาชีพ ผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งปราบปรามผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ช่วงเดือน  ตุลาคม 2565 – กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาดำเนินคดี ตามมาตรา 66 กับผู้ที่กระทำการโฆษณาชักชวนคนหางานไปทำงานต่างประเทศผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ข้อหา “โฆษณาการจัดหางานไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด” จำนวน 36 คดี ตรวจพบการกระทำความผิดของสาย/นายหน้า ทั้งสิ้น 142 ราย ผู้เสียหายถึง 471 คน ค่าเสียหาย 32,750,330 บาท

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจไปทำงานต่างประเทศสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ตนจะเดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันการหลอกลวงผ่านระบบ e – Service กรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือที่ Facebook : กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

จนท.อพยพประชาชน-นักท่องเที่ยวลงจากหอไอเฟล หลังเจอขู่วางระเบิด ก่อนพบว่าเป็นการเตือนภัยผิดพลาด

(13 ส.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์และซีเอ็นเอ็นรายงานว่า มีการอพยพประชาชนลงจากหอไอเฟลและบริเวณใกล้เคียง ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม เป็นเวลานานหลายชั่วโมงหลังมีการขู่วางระเบิด อย่างไรก็ดี ล่าสุด หอไอเฟลได้เปิดให้นักท่องเที่ยวกลับขึ้นไปบนอาคารได้อีกครั้ง

สถานีโทรทัศน์บีเอฟเอ็มทีวีของฝรั่งเศสระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้อพยพนักท่องเที่ยวที่อยู่บนหอไอเฟลทั้ง 3 ชั้นลงมาจากตัวอาคาร รวมถึงอพยพผู้คนที่อยู่บริเวณลานใกล้กับตัวหอไอเฟล เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งตั้งแนวกั้นรักษาความปลอดภัย เปลี่ยนเส้นทางการสัญจรบนท้องถนนโดยรอบ และมีการส่งทีมเก็บกู้ระเบิดมาตรวจสอบในที่เกิดเหตุ

โฆษกของเอสอีทีอี บริษัทผู้ให้บริการหอไอเฟลกล่าวว่า “นี่เป็นมาตรการตามปกติในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง” อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง แหล่งข่าวจากทางตำรวจฝรั่งเศสเผยว่า นักท่องเที่ยวสามารถกลับขึ้นไปบนหอไอเฟลอีกครั้ง เนื่องจากการขู่วางระเบิดดังกล่าวเป็นเพียงการเตือนภัยผิดพลาด

หอไอเฟลถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังและเป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส มีนักท่องเที่ยวเกือบ 7 ล้านคนเดินทางไปชมหอไอเฟลทุกปี ทั้งนี้ การอพยพนักท่องเที่ยวลงจากหอไอเฟลเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยในปี 2019 เจ้าหน้าที่ต้องอพยพประชาชนลงจากหอไอเฟล หลังพบเห็นชายคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นไปบนหอไอเฟล

‘DSI’ สั่งฟ้อง ‘นอท-แทนไท’ พร้อมพวก  ฐานโยงฟอกเงินพนันกว่า 500 ล้าน

(13 ส.ค. 66) จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกองคดียาเสพติด นำโดย นายพงษธร อินอำนวย ผู้อำนวยการกองคดียาเสพติด และคณะพนักงานสอบสวน ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 6/2566 เกี่ยวกับแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ของ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ ‘นอท กองสลากพลัส’ และบรรดานายทุนของนายพันธ์ธวัช ไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุด นายพงษธร อินอำนวย ผอ.กองคดียาเสพติด และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า สำหรับคดีพิเศษที่ 6/2566 ตนได้มีการประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการนับจำนวนสลากลอตเตอรี่ที่ได้ยึดมาจากกองสลากพลัส และตรวจสอบว่าเป็นสลากลอตเตอรี่จริงหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการนับจำนวนของกลาง อีกทั้งเจ้าหน้าที่งานธุรการจะต้องทำการบันทึกลงเลขในเอกสารว่า ลอตเตอรี่จำนวนดังกล่าวนี้มีทั้งหมดกี่ใบ เป็นหมายเลขใด และจากงวดใดบ้าง ซึ่งจำนวนของกลางลอตเตอรี่ที่ได้ตรวจยึดมีประมาณ 10 ล้านฉบับ

ส่วนจำนวนผู้ต้องหาที่คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องมี 4 ราย ประกอบด้วย นิติบุคคล 2 ราย ได้แก่ 1.) บริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด 2.) บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด ส่วนบุคคลอีก 2 ราย คือ 1.) นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กองสลากพลัส และ 2.) นายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด

โดยสั่งฟ้องความผิด 2 ข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันและร่วมกันฟอกเงิน ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนเตรียมส่งสำนวนให้พนักงานอัยการคดีพิเศษภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้

นายพงษธร เผยอีกว่า สำหรับสำนวนคดีพิเศษที่ 6/2566 นี้ดำเนินการในส่วนของการขายลอตเตอรี่บนแพลตฟอร์มกองสลากพลัส เพราะจากพยานหลักฐานพบว่าเป็นการจัดให้มีการเล่นพนัน เนื่องจากทางนายพันธ์ธวัช ได้มีการกำหนดราคา เข้าลักษณะการรับกิน - รับจ่ายเอง โดยการเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นองค์ประกอบในการเล่น โดยมีนายแทนไท รับหน้าที่เป็นนายทุนให้ อีกทั้งเมื่อนายแทนไทต้องรับเงินจากนายพันธ์ธวัช เจ้าตัวจะใช้บัญชีธนาคารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮล ดิ้ง จำกัด ในการรับเงิน จึงทำให้ทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในเรื่องเส้นทางการเงินและถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ส่วนจำนวนเงินที่มีการโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังนายแทนไท พบมูลค่า 200 ล้านบาท ขณะที่เส้นเงินจากนายแทนไทโอนไปยังนายพันธ์ธวัช มีมูลค่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายแทนไทก็ยังไม่ได้เงินคืนจากนายพันธ์ธวัช จากการร่วมลงทุนกองสลากพลัส ซึ่งนายแทนไทก็ได้ยื่นเอกสารแจ้งมายังดีเอสไอว่า ได้ดำเนินการฟ้องเรื่องเงินกับนายพันธ์ธวัช แต่พนักงานสอบสวนก็ยืนยันว่าให้พิสูจน์เรื่องนี้ในชั้นศาลแทน เพราะพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ในตอนนี้ พนักงานสอบสวนสามารถใช้พิจารณาจนเห็นสมควรแก่การสั่งฟ้องทั้ง 4 ราย ตามฐานความผิดข้างต้น

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับจำนวนเงิน 200 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังบัญชีธนาคารของนายแทนไทนั้น นายแทนไทได้เคยเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดยชี้แจงว่า เงินจำนวน 200 ล้านบาท ที่ให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินของบริษัท โดยแบ่งเป็น 2 ยอด ได้แก่ 150 ล้านบาท และ 50 ล้านบาท และเป็นการจ่ายผ่านแคชเชียร์เช็ค ส่วนสาเหตุที่ไว้วางใจให้กู้ยืมเงิน เนื่องมาจากฝั่งนายพันธ์ธวัชมีการติดต่อมา เพื่อเสนอแนวทางการทำธุรกิจ อยากได้เงินกู้ รวมถึงนายพันธ์ธวัชยังได้แจ้งว่า จะกู้ยืมเงินเพื่อไปประกอบธุรกิจสลากกินแบ่งออนไลน์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นายพันธ์ธวัชมีกระแสข่าวเกิดขึ้น นายแทนไทได้พยายามบอกยกเลิกสัญญา กระทั่งนายพันธ์ธวัชได้นัดหมายวันที่ 30 ม.ค. 66 เพื่อทำการโอนคืนเงินให้นายแทนไท สำหรับสาเหตุที่นายแทนไทต้องยกเลิกสัญญาเพราะว่าในฐานะนายทุน ก็จะต้องพิจารณาว่านายพันธ์ธวัชและบริษัทฯ จะสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่ เพราะนายแทนไทก็มีความจำเป็นต้องปกป้องเงินทุนของตัวเองด้วย พร้อมกันนี้ ยืนยันว่าเงินที่นายแทนไทให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด ไม่ใช่เงินจากการทำธุรกิจผิดกฎหมายแต่อย่างใด

‘น้องแพรว’ ลูกสาวคนเก่งของ ‘แม่ตุ๊ก ชนกวนันท์’ ดีกรีแชมป์ไอซ์สเก็ต แถมฉายแววนางแบบตามรอยแม่

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 66 เป็นประเด็นที่พูดถึงกันในวงกว้างของวงการแม่และเด็ก กับการเลี้ยงดูลูกให้เติบโตให้เข้ากับยุคสมัยที่โลกหมุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วันแม่ ปี 2566 นี้ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ‘ตุ๊ก ชนกวนันท์ รักชีพ’ คุณแม่ลูกสองที่ตอนนี้ลูกสาว ‘น้องแพรว’ กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเป็นวัยรุ่น คุณแม่อย่างตุ๊ก รับมืออย่างไรหลังถูกมองว่าผลักดันลูกมากเกินไป จากการให้เรียนเสริมมากมายหลายกิจกรรม

รวมถึงการส่งลูกเรียนในโรงเรียนทางเลือก จนถึงวันที่ลูกกำลังออกมาเผชิญโลกกว้าง ลูกได้ประโยชน์ และเสียอะไรไปบ้าง

แพรวเป็นนางแบบตามรอยแม่ตุ๊กแล้ว
แม่ตุ๊ก : “นางไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าแม่เคยเป็นนางแบบ มันเริ่มจากที่นางเห็นเพื่อนไปเรียน แล้วก็อยากเรียนบ้าง พอได้ไปลองแล้วเขาชอบเลย ก็ได้เรียนไปคอร์สนึง แล้วก็ไปออดิชั่น แล้วก็ได้งานเป็นค่าจ้างมา แต่ตรงนี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่นางความชอบหลักของแพรว ที่เขาชอบมากจริงๆ คือฮอกกี้ กับ ฟิกเกอร์สเก็ต

จากที่เรามองเขาในฐานะนางแบบก็โอเคนะ ถ้าไม่นับความสูงที่ยังไม่ผ่านมาตรฐาน ก็คือโอเค ไปได้ ไม่ได้ดูเขิน แต่ด้วยความเป็นนางแบบก็ยังต้องสูงกว่านี้ ควรเกิน 170 ซม. ถือว่าอยู่ในระหว่างเรียนรู้ ยังไม่ได้ประกอบอาชีพ พอโอกาสว่ามันจะมีเข้ามาไหม ตอนนี้น้องก็มีความสุขและสนุกที่ได้ทำมัน เดินแบบเสร็จเขาก็รู้สึกฟิน รู้สึกชอบ”

ส่งเสริมให้ลูกสาวแพรว เรียนในหลากหลายด้านที่สนใจ ซึ่งตุ๊กยอมรับว่าตอนนี้ตัดออกไปหลายอย่างเพราะสู้ค่าเรียนไม่ไหว
แม่ตุ๊ก : “แพรวเรียนฟิกเกอร์ไอซ์สเก็ต ไอซ์ฮ็อกกี้ ว่ายน้ำบัลเล่ต์ ร้องเพลงโอเปร่า เปียโน ไวโอลิน ฮาร์ป ศิลปะ ขี่ม้า ก็กำลังจะเบาๆ ลงแล้ว ตัดออกไปหลายตัว ด้วยค่าใช้จ่ายเป็นหลักเลย มันหนักจริงๆ เราก็ตัดจนเหลือตามกำลังของเรา ในส่วนของแม่ เราให้เขา ตามใจเขาในแบบที่เขาต้องการประมาณนึง และความไหวของเราประมาณนึง พอลองแล้ว ก้าวมาได้สักพักเหมือนได้รู้ทรง ยกตัวอย่างเช่น เรากินไวน์แพงๆ สักครั้นนีง แต่เราไม่ได้จะต้องกินไวน์แพงๆ ทุกวัน

แพรวก็ลองเรียนมา 3 ปีแล้ว พอทุกๆ อย่างมันขึ้นอินเตอร์มีเดียหมด บางอย่างมันก็ต้องการเพิ่มรายละเอียด สังเกตไหมว่าเด็กคนไหนทำอะไร เขาก็มักจะทำกันอย่างเดียวเพื่อให้ได้เป็นตัวจริงของสิ่งนั้นๆ แต่ขนาดลดลงแล้ว ของแพรวยังดูเยอะอยู่เลย พอเยอะๆ เขามันก็ดึงเวลากัน ทุกอย่างต้องอาศัยการฝึกซ้อม ไม่ใช่สักแต่เรียน”

สอนลูก ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ แต่ขึ้นอยู่กับการมีเวลาฝึกซ้อม หลังลูกสาว ฝันอยากเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ
แม่ตุ๊ก : “เขามาบอกตุ๊กว่าแม่จ๋าหนูอยากเป็นนักกีฬาว่าน้ำ ตุ๊กก็บอกแพรวเธอเป็นไม่ได้ เพราะนักกีฬาว่ายน้ำก็ต้องซ้อม 5 วันเหมือนกัน แต่ยูไปทัวร์จุ่มได้อาทิตย์ละวัน มันไม่เพียงพอเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แต่เรารู้ว่านี่คือสิ่งที่ลูกเราถนัด ซึ่งเราเรียนรู้มาว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ แต่ขึ้นอยู่กับการมีเวลาฝึกซ้อม ทุกอย่างมันต้องมีเวลาฝึกซ้อม”

ที่เรียนทั้งหมดคือสิ่งที่แพรวอยากทำ ลูกกระหายการเรียนรู้ ไม่ได้ยัดเยียดลูก
แม่ตุ๊ก : “ใช่ คำถามนี้ตุ๊กไม่ได้อยากตอบ แต่ตุ๊กเจอคนมาถามคำถามนี้เยอะว่าที่เรียนทั้งหมดน้องเลือกหมดเลยเหรอ คือถ้าน้องเขาไม่ชอบแล้วมันจะเริ่มตรงไหนได้ ไม่มีอยู่แล้ว เริ่มต้นเราเรียนโรงเรียนแนววอลดอร์ฟที่ไม่ได้สนับสนุนให้เด็กทำกิจกรรม แพรวเพิ่งจะได้ลองเรียนหลังจากที่ออกมาแล้ว น้องก็จะช้าในทุกอย่าง กล้ามเนื้อเขาแข็งแรงไม่ทันกับคนอื่นๆ ที่เรียนมาตั้งแต่ 3 ขวบแต่แพรวเพิ่งมาเรียนตอน 11 ขวบ ทำให้เขาขาดโอกาส หรือแม้แต่การเข้าสู่ทีมชาติ

มันมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่มันก็ไม่ใช่น้อยๆ ตัวแม่เองก็ไม่ได้จัดเต็มให้เขาหรอก แต่เราก็พยายามจะให้ทุกอย่างเท่าที่เราจะให้เขาได้ ด้วยธรรมชาติของแพรวเขาเป็นคนกระหายการเรียนรู้ แต่ในเมื่อเราไม่ไหว เราก็บอกลูกไปตรงๆ ช่วงนี้เราก็ให้เขาลองทุกอย่าง พอขึ้นมัธยมปลายอาจจะเข้าสู่โหมดวิชาการแล้ว ก็อาจจะหยุดทุกอย่างเลยก็เป็นได้”

กับมุมมองว่าเด็กในยุคนี้เรียนเยอะเกินไปไหม เมื่อเทียบกับสมัยก่อน เด็กๆ เลิกเรียนก็กลับบ้านมาทำงานบ้าน วิ่งเล่นกับเพื่อนตุ๊ก ชนกวนันท์ มองโลกในปัจจุบันกับโลกเมื่อก่อนมันคนละแบบกันเลย
แม่ตุ๊ก : “แต่คำว่าเรียนเยอะคืออะไร ลูกไม่ได้เรียนวิชาการ แต่เป็นการทำกิจกรรมเสริมที่เขาชอบ สมัยก่อนอยากจะเรียนก็ไม่มีให้เรียนไหม โลกมันคงจะแบบกับแต่ก่อนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันนะ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้สมัยก่อนมันก็ไม่มีให้ทำ สำหรับตุ๊ก ลูกเดินมาบอกว่าเขาอยาก เราซัพพอร์ตได้ก็ซัพพอร์ต วันไหนไม่ไหวก็บอกเขา ตุ๊กมองแค่ช่วงเวลานั้นๆ เราไม่ได้หวังให้เขาเล่นเพื่อเป็นทีมชาติ แค่อยากรู้อะไรก็ไปเรียน ในเมื่อสิ่งที่ลูกอยากรู้เราเป็นแม่สอนเองไม่ได้ ก็ส่งให้เขาได้ลองไปเรียนรู้เอง”

ร้องไห้ เล่าครั้งหนึ่งเคยเจอคนสนิท พูดใส่ ไม่ต้องดันลูกหรอก เดี๋ยวโตไปก็ได้ดีเอง
แม่ตุ๊ก : “เหมือนเป็นมายด์เซ็ตของคนสมัยนี้แล้วกับคำว่าเรียนเยอะไปไหม เราไม่ได้จะเรียนไปทำอะไร เพราะลูกไปเรียนแล้วลูกมีความสุข เอาจริงๆ ตุ๊กเองเหนื่อยกับคำถามนี้มากนะ ครั้งนึงมีเพื่อนที่สนิทกันมาพูดกับเราว่า ไม่ต้องดันหรอก เดี๋ยวโตไปก็ได้ดีเอง เราก็รีบหันหลังให้แล้วน้ำตาไหลอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ดันหรือไม่ดันไม่รู้นะ แต่ในความรู้สึกเราคือ โห… หาเงินจะไม่ทันอยู่แล้วมาใช้คำว่าดัน (ร้องไห้) หูยยยย มันคือแบบ เสียใจมาก มันดูไม่ออกเลยเหรอว่านี่เด็กโดนบังคับหรือเด็กอยากเรียนเอง ทุกวันนี้คนที่พูดเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเราร้องไห้นะ เรารู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่ได้มองเราเลวร้าย แต่เขาไม่เข้าใจ”

ย้อยเล่าตัวเอง เป็นเด็กมุ่งมั่นกับการเรียน ไม่สนใจทำกิจกรรมอะไรเลย
แม่ตุ๊ก : “เราเป็นเด็กเรียนเกรด 4.00 แบบเรียนอย่างเดียว ไม่ทำกิจกรรมใดๆ เหมือนก่อนเรามีความคิดที่เข้าใจผิด เราเข้าใจว่าเด็กเก่งกีฬา คือคนไม่เก่ง เราอยากเก่ง เราเรียนอย่างเดียว ไม่เอากิจกรรมเลย แต่จริงๆ แล้วควรจะใช้สมองทั้งสองด้านร่วมกัน ตุ๊กมองว่าสิ่งที่เรามอบให้ลูกในตอนนี้สักวันนึงมันก็จะผ่านไปเป็นงานอดิเรกของเขา ทุกอย่างที่เราเข้าวงการทุกวันนี้ เราเห็นทุกอย่างแข่งขันไปหมด ผู้ปกครองขิงกันสุดๆ มันไม่ใช่ธุรกิจพันล้านที่ต้องมาฆ่ากันขนาดนี้ นั่งมองแล้วก็เศร้า หรือว่าเราประหลาด ทำไมต้องตีกันขนาดนี้ วันนึงมันก็จะผ่านไป วันนี้ลูกมองเราอยู่ว่าเราทำอะไร แล้ววันนึงลูกก็จะเป็นคนแบบเรานี่แหละ”

วันนี้แพรวเข้าสู่วัยรุ่น รักสวยรักงาม ไม่ห้าม มองเป็นศิลปะ
แม่ตุ๊ก : “เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นความชอบของนางมาตั้งแต่เด็กๆ แพรว 2 ขวบ ทาเล็บให้อาม่า แบบเรียบมากๆ เรารู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาชอบจริงๆ เพราะเรื่องอื่นลูกเราก็ไม่เรียบร้อย แล้วชอบการแต่งหน้ามาตั้งแต่ 2-3 ขวบ แบบไม่ใช่เด็กเล่น แข่งไอซ์สเก็ตจะจ้างช่างแต่งหน้ามาแต่งให้ เขาก็ขอร้องว่าเขาจะแต่งหน้าเอง เขาชอบที่จะทำเอง ทุกวันนี้ที่โรงเรียนเขาไม่ได้ห้ามแต่งหน้า แต่งตัว แพรวก็หน้าแน่นไปโรงเรียนทุกเช้าเลยจ้า ทุกวันนี้ตุ๊กแต่งหน้าไปงานแพรวก็จะมาช่วยแต่งหน้าให้

แล้วเรื่องนี้ตุ๊กจะไม่ยุ่ง ไม่ห้าม ในทัศนคติของตุ๊กเรารู้สึกว่าลูกไม่ได้มีอะไรเกินเลย ถึงเกินเลยก็ไม่ยุ่งอยู่ดี แม่ไม่มีความรู้สึกอะไรที่จะไปก้าวก่ายตรงนี้ มองว่าเขาทำงานศิลปะมากกว่า”

พ่อแม่หลายคนเป็นห่วงเรื่องของสังคมเด็กยุคนี้ ส่วนตัวตุ๊ก ชนกวนันท์ บอกสิ่งสำคัญที่สุดคือทัศนคติของพ่อแม่ ที่จะบ่มเพาะให้ลูกอยู่ในสังคมรูปแบบไหนก็ได้
แม่ตุ๊ก : “ลูกเราก็เป็นส่วนของสังคมในตอนนี้ ตุ๊กก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าคนอื่นที่เขาเป็นห่วง แสดงว่าเขามองว่าของเราดี เขาเลยเป็นห่วง แต่ทุกคนเป็นห่วงกันหมดเลย แล้วตกลงใครเป็นห่วงใคร เลยคิดว่ามุมมอง ทัศนคติของเรามันสำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราอยู่ในสังคมแบบไหนก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธว่าเราไม่เป็นห่วงเลยนะ มันก็มีเป็นห่วง ได้คุยกับหมอ ก็รู้ว่าตอนนี้มันมีโรคซึมเศร้าเยอะจริงๆ หรือดรามา หรือเมื่อก่อนก็มีแต่ไม่ถูกพูดถึง ทำไมเอะอะบอกว่าเด็กซึมเศร้าตั้งแต่อายุน้อยๆ หมอบอกสังคมทุกวันนี้อยู่ยากจริงๆ โลกในโซเชียลมันดูดีมาก แต่มันไม่ได้ 100% บางทีเราเจอเพื่อน เขาปวดหัวไมเกรนมาก ทำไมเราไม่รู้เลยเพราะเห็นจากไอจีก็ดูดี หรือบางทีแม่ๆ ทุกคนลงใบเกรดลูก แต่เราเป็นคนที่ไม่ได้ลงอะไรแบบนี้ แต่ทุกคนลงหมดไง โลกมันเลยอยู่ยาก ลูกเราก็ได้เห็นแล้วรู้สึกทำไมพวกเขาเรียนดีกันจัง แล้วทำไมเราเรียนไม่ได้ ก็เข้าใจนะ บางทีเราเองเห็นยังรู้สึกเลยว่าทำไมทำได้กัน เก่งจังเลย ทำไมเราทำไม่ได้”

ส่วนตัวไม่ได้บ่มเพาะลูกให้ต้องเป็นที่ 1 แต่ปลูกฝังให้เคารพและให้เกียรติผู้อื่น
แม่ตุ๊ก : “แพรวไม่หวั่นไหวเลย ไม่เลยจริงๆ เราไม่ได้เลี้ยงเขามาแบบปลูกฝังว่าต้องได้ที่ 1 เขาสนุกกับสิ่งที่เขาทำ เขาอยู่กับปัจจุบันมากกว่า อยู่กับสิ่งที่เขาทำอยู่ ว่าปีนี้เขาจะทำอะไรบ้าง นี่เป็นข้อดีของเขาที่เขาได้จากโรงเรียนวอลดอร์ฟ จะต่างจากยุคเรา ที่เราจะไม่ทำอะไรเลย นอกจากจะเอนฯ ให้ติดให้ได้เป็นหมอ ไม่สนอะไรเลย มัธยมปลายของเราคือไม่สนอะไรเลย นอกจากจะเป็นหมอให้ได้ วิธีที่ตุ๊กใช้คือแทนที่จะบอกกินสิลูก มันเสียดายของ หามากว่าจะได้มันยาก คือกินสิลูก กินแล้วมีแรงจะได้ไปช่วยคนอื่น มันคือทัศนคติที่เราให้กับลูก เราไม่ได้ให้ว่าเขาจะต้องเป็นหนึ่ง เป็นเลิศ แต่สิ่งที่เราซีเรียสเลยคือ เรื่องของการเคารพครู จะต้องตั้งใจเรียน ให้เกียรติครู ให้เกียรติคน เคารพ นึกถึงคนอื่น ทุกวันนี้เราก็ยังนั่งเสียใจนะ เวลาต่อว่าลูก เราต่อว่าแรงไป เขาทำผิดอะไรนิดหน่อย ก็เพราะเธอไม่นึกถึงคนอื่นไง ในชีวิตเธอมีแต่ตัวเอง ไม่มีความเอื้ออาทร เรารู้สึกว่าอะไรพวกนี้สมัยนี้มันน้อยแล้ว เราก็เติมๆ ต่อว่าเขาไปเถอะ”

รับสังคมโซเชียลมีผลให้ลูกที่ตั้งใจปลูกฝังเลี้ยงมาเปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน
แม่ตุ๊ก : “ตอนแรกกังวลนะ เขาเปลี่ยนไปจากก่อนที่ยังไม่ได้เล่นโซเชียลไหม ก็เยอะ ทะเลาะกันไหมก็เยอะ ในเรื่องของเวลา บางเรื่องเขาก็ยังไม่รู้เลย เด็กรุ่นเขาตอนนี้คืออินการเมืองไปแล้ว แต่เขายังไม่รู้เลย มันก็ไม่ดีนะ กลายเป็นเขาไม่มีความรู้รอบตัว แต่มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้สนใจ เขาสนใจคลิปสเก็ต คลิปแต่งหน้า ในขณะที่เพื่อนๆ เขาอินการเมือง บางทีเขาก็จะมาถามว่าอันนี้มันหมายความว่ายังไง ส้ม แดง เหลือง ฟ้า ก็คือเป็นเรื่องจริตของเด็กจริงๆ”

‘นิด้าโพล’ ชี้!! ‘อภิสิทธิ์’ เหมาะนั่งหัวหน้าพรรค ปชป. ผลโหวตประชาชน เผย ค้าน ปชป.ร่วมรัฐบาลเพื่อไทย

(13 ส.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “เรื่องวุ่น ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 9-10 สิงหาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับเรื่องวุ่น ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่าง โดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจ เมื่อถามประชาชนถึงการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่มีสิทธิเลือกตั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 58.63 ระบุว่า ไม่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์, รองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า เคยเลือก แต่ไม่ได้เลือกในการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. 2566, ร้อยละ 9.31 ระบุว่า เคยเลือก รวมถึงในการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. 2566 และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ยังไม่เคยไปเลือกตั้งเลย

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนต่อไป พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 37.48 ระบุว่าเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, อันดับ 2 ร้อยละ 24.43 ระบุว่าเป็น นายชวน หลีกภัย, อันดับ 3 ร้อยละ 9.85 ระบุว่าเป็น ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้), อันดับ 4 ร้อยละ 4.27 ระบุว่าเป็น น.ส.วทันยา บุนนาค (มาดามเดียร์), อันดับ 5 ร้อยละ 3.05 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, อันดับ 6 ร้อยละ 2.90 ระบุว่าเป็น ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช, อันดับ 7 ร้อยละ 2.67 ระบุว่าเป็น นายอลงกรณ์ พลบุตร, อันดับ 8 ร้อยละ 1.76 ระบุว่าเป็น นายบัญญัติ บรรทัดฐาน, อันดับ 9 ร้อยละ 1.60 ระบุว่าเป็น นายนราพัฒน์ แก้วทอง ขณะที่ร้อยละ 1.46 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน, นายเดชอิศม์ ขาวทอง, นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข และนายสาธิต ปิตุเตชะ และร้อยละ 10.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุด เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชน หากพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.96 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย, รองลงมา ร้อยละ 19.54 ระบุว่า เห็นด้วยมาก, ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 16.18 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.62 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

กาลเทศะ ‘ชาวเน็ต’ สวดยับ!! สาวเต้นเซิ้งบนรถไฟญี่ปุ่น เสียมารยาท พอโดนสอนกลับด่าสาระแน แถมเหยียดเคยไปญี่ปุ่นรึยัง

ดรามา!! แก๊งคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น เซิ้งบนรถไฟถ่าย TikTok เอาคอนเทนต์ จนคนมองเพียบ ทั้งที่เป็นมารยาทที่ญี่ปุ่นห้ามคุยกันบนรถไฟ พอคนไปเตือนกลับโดนด่าสาระแน บอกคนญี่ปุ่นเขาโอเพ่น

การเดินทางบนรถสาธารณะต้องคำนึงถึงคนอื่นเป็นสำคัญ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ทานอาหาร ไม่ยืนขวางประตู และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร ถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่ต้องพึงนึกถึงเอาไว้ และยิ่งไปในต่างแดนแล้ว ยิ่งต้องศึกษาและระมัดระวังเรื่องมารยาทมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งความอับอายให้กับเพื่อนร่วมชาติได้

ล่าสุด ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปของสาวไทยคนหนึ่ง ที่ขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น แต่เธอกลับไม่รักษามารยาท ส่งเสียงดังและเต้นเซิ้งเพื่อถ่ายคอนเทนต์ TIkTok จนคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติที่อยู่ด้านหลังต่างมองกันเป็นตาเดียว แต่เธอก็ไม่ได้แคร์และยังคงถ่ายคลิปต่อ อีกทั้งยังพบว่าเธอไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อต้องขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นด้วย

ทั้งนี้ บนรถไฟในญี่ปุ่นนั้น จะมีการติดป้ายและขอความร่วมมือผู้ที่ใช้รถไฟให้ปิดเสียงโทรศัพท์ งดการพูดคุยหรือส่งเสียงดังที่ก่อให้เกิดการสร้างความรำคาญต่อผู้โดยสารคนอื่น หากใครที่ต้องการรับสายหรือพูดคุยเรื่องงานหรือในเรื่องที่จำเป็น ก็จะเดินไปคุยตรงรอยต่อของขบวน และพูดคุยด้วยเสียงเบาเพื่อรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด

หลังจากที่คลิปนี้เผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์และสอนมารยาทสาวคนนี้อย่างมาก และเธอก็โต้กลับอย่างเผ็ดร้อน เช่น เมื่อมีคนบอกว่า ไม่อายเหรอ เธอกลับตอบว่า “คนญี่ปุ่นเขาเปิดรับกับเรื่องแบบนี้ พี่เคยไปญี่ปุ่นยังคะ โลกไปถึงไหนแล้ว” หรืออีกคนที่บอกว่า ไปโชว์บ้านนอกให้ต่างชาติดู เธอก็ตอบกลับว่า “แต่ยังดีมีเงินไปเที่ยวให้ต่างชาติดู แล้วคุณล่ะไปบ้างยัง หรืออยู่แค่…”

อีกคนที่มาบอกว่า คนไทยควรปลูกฝังมารยาทในที่สาธารณะมากกว่านี้ คนไทยบางคนเรียนรู้แล้ว แต่บางคนยัง เธอก็ตอบว่า “มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลอ่ะเนอะ จะเต้น จะรำ มันก็ตัวฉันเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลย หรืออยากทำบ้าง? ลองลงรูปตัวเองดู อยากเห็นหน้าคนเมนต์คนนี้จัง” และอีกคนที่บอกว่า “ไม่เกรงใจคนอื่นเวลาถ่ายติดหน้าเขาเหรอ” เธอก็ตอบว่า “ถ้าติดหน้าคุณก็ไปแจ้ง พรบ. คอมพิวเตอร์เอานะ สาระแน” และ สายตาของคนเสื้อดำคือคำตอบ มารยาทสอนไม่ได้เนอะ เธอก็ตอบว่า “สอนตัวเองก็พอเนอะ ไม่ต้องสาระแนสอนคนอื่น อุอิ”

อย่างไรก็ตาม พบว่าคลิปนี้เธอไม่ได้ทำคนเดียว แต่เพื่อน ๆ ก็ยังทำเหมือนกัน โดยมีอีกคลิปที่ทั้งแก๊งนี้ตั้งกล้องถ่ายในพื้นที่สาธารณะที่มีคนเดินพลุกพล่าน และมีคนมองเข้ากล้องกันเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่สนใจ และยังอ้างว่าคนญี่ปุ่นค่อนข้างเป็นมิตร ไปไหนก็มีแต่คนทักขอถ่ายรูป ที่ตรงนั้นก็ที่สาธารณะด้วย

ด้านคนไทยหลายคนที่เห็นต่างไม่พอใจอย่างหนัก เข้าไปรุมต่อว่าถึงความไม่มารยาท และยืนยันว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ห้ามทำที่ญี่ปุ่น แต่ที่ไหนก็ไม่ควรทำแม้กระทั่งประเทศไทย ไม่ใช่ทุกคนจะสนุกกับการใช้พื้นที่สาธารณะถ่ายทำคอนเทนต์ บางคนก็บอกว่า การที่คนญี่ปุ่นมองแต่ไม่พูด ไม่ได้หมายความเขาโอเค จะทำอะไรนอกจากจะให้เกียรติคนอื่นแล้ว ก็ควรให้เกียรติตัวเองด้วยเช่นกัน

‘อียิปต์’ แฉ!! ถูก ‘สหรัฐฯ’ กดดันจัดหาอาวุธให้ยูเครนเพื่อใช้ตอบโต้กลับการโจมตีจากกองกำลังรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 66) มีรายงานว่า พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์ตัดสินใจไม่เข้าร่วมในการจัดหาอาวุธป้อนแก่ยูเครน เพิกเฉยต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ร้องขอซ้ำๆ ให้ผลิตกระสุนปืนใหญ่และอาวุธอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับกองกำลังรัสเซียของทางยูเครน

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานเมื่อวันศุกร์ (11 ส.ค.) อ้างอิงเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าวอชิงตันยังได้ร้องขออียิปต์ จัดหาขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศและอาวุธขนาดเล็กแก่ยูเครนโดยคำขอดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายวาระ ในนั้นรวมถึงระหว่างการพบปะกันระหว่าง ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา และประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ในกรุงไคโร เมื่อเดือนมีนาคม

“ในการสนทนากับพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อียิปต์ไม่ได้ปฏิเสธคำขออย่างสิ้นเชิง แต่พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์บอกเป็นการส่วนตัว ว่าอียิปต์ไม่มีแผนส่งมอบอาวุธ” วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงาน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าข้อความนี้จะไม่เข้าหูวอชิงตัน ด้วยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯมองในแง่บวกว่าอียิปต์จะยอมช่วยเหลือยูเครน โดยบอกกับวอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่า “การพูดคุยหารือระหว่างเรากับคู่หูอียิปต์ ในแง่ผลประโยชน์ร่วมของเราในการยุติสงครามของรัสเซีย ออกดอกออกผล และกำลังเดินหน้าต่อไป”

ก่อนหน้านี้ในปีนี้ มีข่าวว่าอียิปต์ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าพวกเขามีแผนขายจรวดให้รัสเซีย ทั้งนี้ อัล-ซิซี พยายามธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับทั้งวอชิงตันและมอสโก ท่ามกลางวิกฤตยูเครน ปฏิเสธเข้าร่วมโครงการที่นำโดยสหรัฐฯ สำหรับจัดหาอาวุธแก่ยูเครนและลงโทษรัสเซีย

วอลล์สตรีท เจอร์นัล เน้นว่าความล้มเหลวในความพยายามขอแรงสนับสนุนจากอียิปต์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญยิ่งของความขัดแย้ง ซึ่งกองกำลังยูเครนกำลังพยายามบุกทะลวงแนวป้องกันที่น่าเกรงขามของรัสเซีย ในขณะที่สหรัฐฯพยายามรอแรงหนุนหลักทั้งด้านการทหารและการทูตสำหรับเคียฟ

นอกจากนี้ การตัดสินใจของอัล-ซิซี ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระงับเงินช่วยเหลือด้านการทหารของสหรัฐฯ ที่มอบแก่อียิปต์ ก้อนหนึ่งมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ จากงบช่วยเหลือรายปี 1,300 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างอิงเกี่ยวกับประวัติด้านมนุษยชนในประเทศแห่งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top