Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

เตือน!! อย่าคาดหวัง นทท. จีน อย่างเดียว ควรกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนอื่นเพิ่ม

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ประจำวันที่ 6 ส.ค.66 ในประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจกับการท่องเที่ยวไทย โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ใหญ่บ้างเล็กบ้าง จำกัดอยู่ในระดับประเทศบ้าง ระดับภูมิภาคบ้าง หรือเป็นวิกฤตระดับโลกบ้าง บางวิกฤตมีต้นเหตุมาจากภาคการเงินการธนาคาร ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคสาธารณสุข หรือจากการก่อการร้ายและสงคราม 

แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ภาคเศรษฐกิจจะเกิดการหดตัว การว่างงานพุ่งสูงขึ้น ภาคการเงินจะเกิดหนี้เสียสูงขึ้นมาก เป็นเหตุให้เศรษฐกิจภาพรวมฟื้นตัวได้ช้า และภาคธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 25 ปีที่แล้ว ภาคการเงินการธนาคารไทยมีความเข้มแข็งและทนทานขึ้นมาก เมื่อเศรษฐกิจไทยหดตัวจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ระบบการเงินจึงไม่ได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ และไม่เกิดปัญหาหนี้เสียคงค้าง (Debt Overhang) เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ๆ จึงเชื่อกันว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้น ขณะที่ไทยก็น่าจะกลับมาเติบโตได้รวดเร็ว

ยิ่งเมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศเมื่อต้นปีนี้ จึงมีความคาดหวังสูงว่าไทยจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะจีนส่งนักท่องเที่ยวมาไทยมากที่สุด ถึงปีละประมาณ 10 ล้านคนก่อนโควิด-19 

แต่เหตุการณ์ต่อไป อาจหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวแรงแค่ไตรมาสแรกไตรมาสเดียว พอเข้าไตรมาสที่สองก็เริ่มชะลอตัวลงอีก จากภาระหนี้สินคงค้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังกลายเป็นตัวถ่วงการฟื้นตัวของการบริโภค 

สังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าการท่องเที่ยวในปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าที่ทางการกำหนดไว้ที่ 28.5 ล้านคนหรือไม่ ภายใต้การคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนกำลังเตรียมการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) เร็ว ๆ นี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจจีนไม่ให้ชะลอตัวไปกว่านี้ 

"ไทยไม่ควรฝากความหวังไว้ที่การท่องเที่ยวจากจีนเพียงอย่างเดียว ควรจะกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย และอาจเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดไม่ใหญ่นักที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคการลงทุนในประเทศ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า" อ.พงษ์ภาณุ ฝากให้คิด

'ในหลวง' ทรงช่วยเด็กชาย 9 ขวบเมืองคอน หลังถวายฎีกาขอพระเมตตาซ่อมแซมบ้าน

เมื่อวานนี้ (3 ส.ค. 66) นายโสภณ พรหมแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ช่าง เดินทางไปตรวจความคืบหน้าการซ่อมแซมเปลี่ยนซ่อมหลังคาบ้านให้ใหม่ ที่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ภายหลัง ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อายุ 10 ปี นักเรียน ชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านคดศอก ต.ขุนทะเล ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเลขที่ดังกล่าวได้เขียนจดหมายถวายฎีกาถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีข้อความลงวันที่ 4 เม.ย 2566 ว่า 

"กระผมชื่อ ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อายุ 9 ปี 7 เดือน อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช มีความจำเป็นเกี่ยวกับบ้านของกระผม บ้านของกระผมปลวกกินไม้ กระผมนอนตอนกลางคืนกลัวไม้จะหล่นใส่หัวของกระผมวันไหน กระผมหารู้ไม่ กระผมเขียนหนังสือขอความช่วยเหลือจากพระองค์ท่าน ร.10 กระผมไม่มีแม่ ซึ่งแม่กระผมเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2561 ด้วยเนื้องอกในสมอง ตอนนี้กระผมอยู่กับป้า กระผมไม่มีเงินซ่อมแซมบ้าน ขอให้พระองค์ท่านทรงเมตตาเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างกระผมด้วย...."

ต่อมาสำนักงานองคมนตรี ได้มีหนังสือลงวันที่ 4 พ.ค. 2566 ถึง ผวจ.นครศรีธรรมราช กรณี ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาถึง กรณีบ้านพักอาศัยหลังคาบ้าน ที่ทำจากไม้และมีสภาพทรุดโทรมเกรงว่า จะเกิดอันตรายกับครอบครัวของ ด.ช.ธีธัช มีความประสงค์ขอพระราชทานความช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจึงขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่งดังกล่าว

ล่าสุด จังหวัดนครศรีธรรมราช สั่งการเทศบาลตำบลขุนทะเล ดำเนินการช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วโดยทาง นายโสภณ พรหมแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล ลงพื้นที่สำรวจ ซ่อมทันที โดยให้เจ้าหน้าที่ช่าง ดำเนินการรื้อหลังคาไม้ทั้งหมดออกแล้วเปลี่ยนเป็นหลังคาเหล็กที่มั่นคงถาวร โดยใช้งบประมาณซ่อมแซมกว่า 6 หมื่นบาท คาดว่าจะเสร็จภายใน 1 อาทิตย์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ ด.ช.ธีธัช ซึ่งอาศัยอยู่กับป้า สร้างความปลาบปลื้มปิติดีใจให้กับ ด.ช.ธีธัช และนางพรทิพย์ อัฐพร อายุ 54 ปี ผู้เป็นป้า ในความเมตตาของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีเมตตาสั่งซ่อมหลังคาบ้านในครั้งนี้

‘เศรษฐา’ ลั่น!! ถึงเวลาที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมาผงาดอีกครั้ง เชื่อ ศักยภาพคนไทยเทียบ ‘สิงคโปร์ - ฮ่องกง’ ได้แน่นอน

เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 66 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ หรือเอ็กซ์ เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย

โดยระบุข้อความว่า…

“ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะเป็นตัวเลือกตัวที่สาม ผมมั่นใจในศักยภาพของคนไทย และองค์ประกอบทั้งหมดที่ประเทศไทยควรที่จะได้รับเลือกให้เป็นคู่แข่งของสิงคโปร์และฮ่องกง”

‘สส.สรรเพชญ’ ส่งเสียงหนุน พ.ร.ก.ปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ ลั่น!! ปัญหาของ ปชช. รอไม่ได้ ขอสภาฯ ให้ความเห็นชอบ

เมื่อวานนี้ (3 ส.ค. 66) ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ณ ห้องประชุมสุริยัน อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายแสดงความเห็นต่อ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 โดยนายสรรเพชญฯ กล่าวว่า 

"ตนเห็นด้วยกับพระราชกำหนดฉบับนี้ เนื่องจากเป็นปัญหาความเดือดร้อนที่ประชาชนได้รับผลกระทบกันเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศมูลค่ามหาศาล อีกทั้งพระราชกำหนดฉบับนี้ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยของสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ ที่กำลังประสบกับปัญหาที่เกิดขึ้นท่ามกลางโลกไร้พรมแดน"

นายสรรเพชญ ได้กล่าวต่อว่า "ปัจจุบันพฤติกรรมของขบวนการนี้ มีความพยายามที่จะทำให้กระบวนการในการจับกุม และสอบสวนซับซ้อนมากยิ่งขึ้น รวมถึงใช้วิธีการต่าง ๆ ที่จะหลอกล่อ ขู่เข็ญให้ประชาชนหลงเชื่อและตกใจกลัวด้วยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลเครดิตต่าง ๆ จนหลงเชื่อและต้องสูญเสียทรัพย์สิน เมื่อมิจฉาชีพเหล่านี้ได้รับเงินจากผู้เสียหายแล้วก็จะมีการโอนต่อกันเป็นทอด ๆ ผ่านบัญชีม้า ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำงานยากมากยิ่งขึ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นภัยร้ายแรงที่กำลังคุกคามสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน"

นอกจากนี้นายสรรเพชญฯ ยังได้กล่าวให้กำลังใจไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ที่กำลังปฏิบัติงานเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในขณะนี้ รวมถึงได้ตั้งข้อสังเกตในโครงสร้างของคณะกรรมการว่าให้ควรมีภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย รวมถึงหากเป็นไปได้อยากให้มีนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ แต่มีความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีเข้ามาร่วมทำงานด้วยเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

ในตอนท้าย นายสรรเพชญฯ กล่าวว่า "ปัญหาของประชาชนในขณะนี้รอไม่ได้แล้ว การมีพระราชกำหนดฯ นี้จะเป็นเกราะป้องกันและช่วยเหลือประชาชน ซึ่งหากสมาชิกท่านอื่น ๆ มีความเห็นว่าสมควรแก้ก็ค่อยยื่นร่างฉบับแก้ไขกลับเข้ามาเพื่อให้กฎหมายบังคับใช้ต่อไปได้" 

เตรียมพร้อมรับ Digital Nomad นักท่องเที่ยว สายทำงาน เลือก 3 พิกัดในไทยเป็นหมุดหมายในการมาใช้ชีวิต

หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ไลฟ์สไตล์ในการทำงานของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ทั่วโลก เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 15.2 ล้านคน ในปี 2562 เป็น 35 ล้านคนในปี 2565 หรือเติบโตขึ้นกว่า 130% และมีโอกาสแตะระดับ 60 ล้านคน ในปี 2573

จุดเด่นของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad คือ การมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยสูงถึง 6 เดือน ส่งผลให้มีการใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวโดยทั่วไปกว่า 56% และไม่ได้มีฤดูกาลท่องเที่ยวที่ชัดเจนแบบนักท่องเที่ยวกลุ่ม Mass ทำให้สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว โปรไฟล์ของกลุ่ม Digital Nomad จะเป็นชาวอเมริกันเป็นหลักโดยมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของกลุ่ม Digital Nomad ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ สหราชอาณาจักร (7%) รัสเซีย (5%) แคนาดา (4%) และเยอรมัน (4%)

และส่วนใหญ่จะเป็นชาวมิลเลนเนียล (Millennials) หรือกลุ่ม Gen Y โดยกว่า 83% จะประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งอาชีพที่พบได้มากที่สุด คือ งานด้านคอมพิวเตอร์/ไอที นักการตลาด งานออกแบบ นักเขียน และงานด้าน E-Commerce

โดยสถานที่ที่นิยมใช้เป็นที่ทำงานแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

-กลุ่มที่ต้องการเสียงและบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้มีสมาธิในการทำงาน จะเลือกทำงานใน Co-working Space เป็นหลัก

-กลุ่มที่ต้องการความเงียบสงบในการทำงานจะเลือกทำงานในที่พักอาศัยเป็นหลัก

ส่วนด้านค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตของกลุ่ม Digital Nomad จะมีงบประมาณในการใช้จ่ายเฉลี่ย 1,875 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือราว 62,000 บาทต่อเดือน โดยมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยประมาณ 6 เดือน ก่อนจะย้ายเมืองหรือประเทศที่ใช้เป็นสถานที่ทำงานใหม่ต่อไป

สำหรับประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad เป็นอย่างมาก เพราะว่า 5 ปัจจัยหลักในการเลือกจุดหมายปลายทางของกลุ่ม Digital Nomad คือ ค่าครองชีพต่ำและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ความปลอดภัย แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ วีซ่าที่เหมาะสม ร้านกาแฟ/Co-working Space โดยเรื่องค่าครองชีพและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากมีผลต่อกำลังซื้อและประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง ขณะที่เรื่องความปลอดภัย ทั้งความปลอดภัยด้านอาชญากรรมและสภาพแวดล้อมมีความสำคัญรองลงมา

ซึ่ง ประเทศไทยติดอันดับ Top 10 ถึง 3 แห่ง ได้แก่ 1. เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี (อันดับ 1) 2. กรุงเทพฯ (อันดับ 2) 3. จ.เชียงใหม่ (อันดับ 9) 

ด้วยศักยภาพและของ กลุ่ม Digital Nomad ด้าน Krungthai COMPASS ประเมินว่า การเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจหลัก คือ

-ธุรกิจที่พักแรม และร้านอาหาร เช่น ธุรกิจ Co-Living Space, Service Apartment, Hostel, โรงแรม และ ธุรกิจ Co-working Space

-ธุรกิจบริการเช่ารถจักรยานยนต์ เนื่องจากเป็นวิธีการเดินทางหลักของ Digital Nomad

-ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง Community เช่น การจัดกรุ๊ปทัวร์ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำ รวมถึงคลาสออกกำลังกาย เช่น โยคะ มวยไทย เป็นต้น

-ธุรกิจโทรคมนาคม เนื่องจากระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

นอกจากนี้ ธุรกิจต่อเนื่องหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางอ้อมก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ทั้งในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า / ธุรกิจสถานบันเทิง / ธุรกิจการแพทย์

‘มท.1’ เร่งหาแหล่งเงินเยียวยา ปชช.เหตุพลุระเบิดนราธิวาส ลั่น!! ภาครัฐจะดูแลให้ดีที่สุด พร้อมล่าตัวเจ้าของโกดังดำเนินคดี

(4 ส.ค. 66) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิด ตำบลบ้านมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ว่า มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่จะดูแล โดยเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด ซึ่งมีปัญหาทั้งเรื่องความแออัด และปัญหาน้ำท่วม จึงจะใช้แนวทางการปฏิรูปที่ดิน เพื่อจัดรูปแบบใหม่

ซึ่งวันเดียวกันนี้ ได้เตรียมทางเลือกมารายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว ก่อนจะนำไปให้ประชาชนพิจารณา รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องแหล่งเงิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมและอยู่ดีกินดีขึ้น

เมื่อถามถึงกรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าวงเงินที่ใช้ในการฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์นี้น้อยไป พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ดีที่สุด จากแหล่งเงินหลายแห่ง หากดูตามประวัติศาสตร์ การจ่ายเงินเกินอำนาจเป็นไปไม่ได้ กฎหมายอนุญาตให้จ่ายได้เท่าไหร่ รัฐฯ พยายามทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของผู้เสียชีวิตกว่า 10 ราย

เมื่อถามต่อถึงการดำเนินคดีกับเจ้าของโกดังที่หลบหนีไปต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น ขอให้ประชาชนเข้าใจ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะบุคคลที่ทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น

'กรณ์' ชี้!! เร่งแก้ปัญหา Ashton Asoke เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ต้องไม่ผิดกฎหมายและต้องเยียวยาผู้ร้องได้แบบครบมิติ

(4 ส.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีใครต้องรับผิดชอบอย่างไร และจะแก้ไขเยียวยาให้ผู้ร้องอย่างไร ในเคส 'Ashton Asoke' ไว้ว่า...

ประเด็นนี้สำคัญครับ

เมื่อวานผู้ว่าชัชชาติแถลงว่า ให้เวลาโครงการ Ashton 30 วัน++ ในการหาทางออกใหม่ 

และเน้นว่า "แต่วันนี้ทางออกปัจจุบันยังใช้ได้เหมือนเดิม"

ในทางปฏิบัติผมว่าถูกต้อง รีบ ๆ หาทางออกให้ผู้อาศัยในอาคารเดือดร้อนน้อยที่สุด

แต่ในทางกฎหมายผมมองว่ามีประเด็นปัญหา

เพราะเมื่อวานสำนักงานกฎษฎีกาได้ออกมายืนยันว่า สำนักงานฯ ได้มีมติแจ้งไปทาง รฟม. (ผู้ที่ให้โครงการเช่าใช้ที่ของตนเป็นทางออก) ตั้งแต่ปี 2563 ว่า รฟม. ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการนำพื้นที่ให้เอกชนเช่าใช้ ยิ่งศาลพิพากษายืนยันความเห็นนี้ สถานะยิ่งชัดว่า รฟม.ให้เอกชนเช่าใช้ที่นี่ไม่ได้

ดังนั้นประเด็นเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ รฟม. ยังสามารถคงการเปิดทางเข้า/ออกให้โครงการได้โดยไม่ผิดกฎหมาย?

ส่วนทางกทม. ผมมองว่าการให้เวลาทางโครงการไปหาทางออกใหม่ เพื่อมาขอใบอนุญาตใบใหม่นั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล 

...แต่ไม่พอ!! เพราะไม่ได้บรรเทาปัญหาให้กับชาวบ้านเดิมที่ฟ้องร้อง กทม. มาตั้งแต่ปี 58 ว่าโครงการนี้สร้างผิดกฎหมาย พูดง่ายๆ คือความผิดสำเร็จแล้ว 

และที่ผู้ว่าฯ ยังไม่ได้พูดคือส่วนนี้ ว่าใครต้องรับผิดชอบอย่างไร จะแก้ไขเยียวยาให้ผู้ร้องอย่างไร และที่สำคัญที่สุด กทม. จะปรับตัวเองอย่างไรไม่ให้มีการสร้างตึกที่ผิดกฎหมายอีกในอนาคต

‘ลำไย ไหทองคำ’ ชี้แจง ปมแทรกคิว ‘จ๊ะ นงผณี’ ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต หลังถูกมองเป็นต้นเหตุดรามา ยัน!! ไม่ได้รับการแจ้งใดๆ จากเจ้าของงาน

(4 ส.ค. 66) ต้องบอกว่าปมดรามา ‘แทรกคิว’ ขึ้นแสดง หลังจากที่ ‘จ๊ะ นงผณี’ ออกมาไลฟ์ชี้แจงโต้กลับโพสต์ของ ‘ตั๊กแตน ชลดา’ และกล่าวถึงดรามาการแทรกคิวขึ้นแสดงคอนเสิร์ต โดย ‘จ๊ะ นงผณี’ ระบุในบางช่วงบางตอนไว้ว่า…

“เจ้าภาพทักมาเมื่อวันที่ 6 เม.ย. เพื่อสอบถามว่า ถ้าเล่นกลางคืนวันที่ 8 เม.ย. มีคิวไหมคะ? เราก็ตอบเจ้าภาพไปว่า ไม่มีเลยค่ะพี่ฝน ไม่ทัน แล้วผู้จัดการก็โทรหาพี่ฝนซึ่งเป็นเจ้าภาพ พี่ฝนเลยบอกว่า งั้นให้เล่นกลางวัน แสดงเวลา 11.30 – 12.30 น. คอนเฟิร์มนะคะ จ๊ะไปถึงประมาณ 10 โมง เจ้าภาพเดินมาบอกว่า “ขอให้น้องลำไยขึ้นก่อนได้มั้ย เพราะน้องมีงาน 3 งาน” เราก็เลยบอกว่าได้พี่ ให้น้องขึ้นก่อนเลย ซึ่งคิวแรกคือจ๊ะ 11.30 น. พอลำไยขึ้นเสร็จ นักดนตรีเราจะไปเซ็ตต่อน้องลำไย เป็นเรื่องเป็นราวแต่ไม่มีการทะเลาะกันหลังเวที แล้วจ๊ะก็ไม่ได้เจอพี่แตน เพราะว่าจ๊ะไม่ได้อยู่หลังเวที จ๊ะรออยู่ในบ้านของเจ้าภาพ ไม่ได้เจอพี่แตนเลย เห็นแค่ตอนอยู่บนเวที

จ๊ะกำลังจะขึ้นวงที่ 2 เจ้าภาพเดินมาบอกว่า “พี่แตนจะขึ้นก่อน” พูดคำนี้เลย… จ๊ะบอกแล้วหนูจะไปงานทันไหม เพราะหนูมีเล่นต่อที่ชลบุรี จ๊ะเล่นที่ชลบุรีเที่ยงคืนจริงค่ะ แต่วันนั้น 8 เม.ย. เป็นวันแรกที่จ๊ะร้อง จ๊ะต้องไปซาวด์เช็กก่อน ต้องไปบล็อกกิ้งแดนเซอร์ ไปย้อนดูได้หมดเลย สิ่งไหนที่จ๊ะพูดไม่จริงเตรียมด่าฉันได้เลย เจ้าภาพบอกว่า “ตั๊กแตนจะขอขึ้นก่อน” เราก็บอกโอเคพี่ ให้พี่แตนขึ้นไปก่อนเลย ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวถ้าพี่แตนเล่นชั่วโมงนึงหนูก็ต้องตัดเวลาของหนูออกแค่นั้นเอง… เราพูดแค่นี้จนเจ้าภาพสงสารเรานะ แล้วพูดบอกว่า “จ๊ะ เอางี้แล้วกัน นั่งกินไวน์เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องร้อง แล้วเดี๋ยวกลับเลย” อันนี้พูดเรื่องจริงนะคะ แล้ววันนี้เจ้าภาพพูดกับผู้จัดการจ๊ะ ถ้ามันยังไม่จบเขาจะออกมาพูดเอง ว่าคิวแรกคือจ๊ะ ตัดปัญหานะคะ เรื่องคิวชัดเจนนะคะ จ๊ะไม่เคยแทรกคิวใครนะคะ คิวจ๊ะคือ 11.30 น. ถ้าจ๊ะจะแทรก คือจ๊ะต้องแทรกพระเท่านั้นแล้วตอนนั้น เพราะพระสวดถึง 11.00 น.”

ล่าสุด ลำไย ไหทองคำ ได้โพสต์ข้อความชี้แจง โดยระบุว่า…

“สวัสดีค่ะ เนื่องจากคิวงานวันที่ 8 เม.ย. ที่หนูได้ไปเล่นงานเดียวกับพี่จ๊ะและพี่แตนนะคะ หนูขออนุญาตชี้แจงรายละเอียดงานที่หนูได้รับจากผู้ประสานงานนะคะ เนื่องจากตอนนี้ข่าวตามเพจต่างๆ เริ่มมีการโพสต์ว่า ต้นเหตุเกิดจากการขอแทรกคิวของหนู หนูได้รับข้อมูลงานจากผู้ประสานงานว่าให้ขึ้นแสดงเวลา 11:30 น. หนูไปถึงงานตามเวลา ทีมงานหนูสแตนด์บายรอหลังเวทีก่อนเวลาแสดง พอเสร็จพิธีการเสร็จก็ขึ้นแสดง ส่วนเรื่องขอแทรกคิว ตัวหนูเองและทีมงานยืนยันว่า ไม่ได้มีการแจ้งเจ้าภาพหรือผู้ประสานงานว่าจะขอแทรกคิวพี่ๆ เลยค่ะ "

‘เสี่ยเฮ้ง’ เสียใจ 2 แรงงานไทยเสียชีวิตในไต้หวัน ประสานทูตแรงงานตรวจสอบ-ช่วยเหลือเร่งด่วน

(4 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณี แรงงานไทยประสบอุบัติเหตุรถยนต์ตกเหวเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในไต้หวัน ว่า ในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตจึงกำชับให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบข้อมูลและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานได้สั่งการให้ทูตแรงงานที่ไทเปประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือในทันที

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากรายงานของนางประภาวดี แก้วศิริพงษ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) กรุงไทเป พบว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม เวลาประมาณ 10.00 น. ได้เกิดอุบัติเหตุรถผู้รับเหมาโครงการของการไฟฟ้าไต้หวัน ขณะขับขึ้นเขาในเขตฟู่ซิง นครเถาหยวน เพื่อส่งคนงานไปทำงาน โดยระหว่างทาง ถนนลื่น จากฝนที่ตกหนักติดต่อกันหลายวัน ส่งผลให้รถไถล ตกลงไปในเหวลึก ซึ่งในรถมีผู้โดยสารและคนขับรวม 6 ราย หน่วยกู้ภัยได้เข้าช่วยเหลือ นำขึ้นมาได้ทั้งหมด เสียชีวิต 4 ราย อีก 2 รายได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการตรวจสอบพบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นแรงงานไทย 2 ราย

รายแรกทราบชื่อคือ นายประสบโชค แสวงแก้ว มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อปี 2556 และมีเงินสมทบกรณีชราภาพอยู่ 186.75 บาท จากนั้นได้เข้าไปทำงานที่เมืองไทจงต่อมาหลบหนีไปทำงานกับนายจ้างอย่างผิดกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2565

รายที่ 2 นายกิตติศักดิ์ ผิวอ่อน มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดศรีษะเกษ เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มีเงินสมทบกรณีชราภาพอยู่ 260.40 บาท

ส่วนผู้บาดเจ็บ 2 ราย รายแรก นายศตวรรษ เติมประชุม มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดบึงกาฬ เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มีเงินสมทบกรณีชราภาพ 4,633 บาท และรายที่ 2 น.ส.พรนภา กลางสุโพธิ์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดบึงกาฬ ไม่เคยมีสถานะเป็นผู้ประกันตนมาก่อน

และจากการตรวจสอบของกรมการจัดหางานทั้ง 4 รายไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ทั้งนี้ ปัจจุบันแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกระทรวงการต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานจะได้ประสานความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดต่อไป

ด้าน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินการที่ประเทศไทย ผมได้สั่งการให้แรงงานจังหวัดพร้อมด้วยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครราชสีมา ศรีษะเกษ และบึงกาฬ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นภูมิลำเนาของแรงงานไทยทั้ง 4 รายดังกล่าว ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจพร้อมแจ้งข้อมูลขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือให้ญาติทราบเพื่อดูแลอำนวยความสะดวกในการประสานกระทรวงการต่างประเทศว่าจะนำศพแรงงานกลับประเทศไทยอย่างไร

นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้แรงงานไทยที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ ขอให้เดินทางไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันมี 5 วิธี ได้แก่ กรมการจัดหางานจัดส่ง บริษัทจัดหางานจัดส่ง นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงานต่างประเทศ และคนหางานแจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง จึงขอแจ้งเตือนไปยังคนหางานที่ประสงค์เดินทางไปทำงานต่างประเทศไปทำงานด้วยวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่าหลงเชื่อนายหน้า และสมัครเป็นสมาชิกเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ จะได้รับสิทธิประโยชน์การคุ้มครอง หากประสบอันตราย เสียชีวิต พิการ ทุพพลภาพ หรือประสบปัญหาในต่างประเทศ

ขณะที่ นางประภาวดี แก้วศิริพงษ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) กรุงไทเป ยังได้กล่าวเน้นย้ำว่า แม้ว่านักท่องเที่ยวไทยจะเดินทางเข้าไต้หวันโดยใช้ฟรีวีซ่า แต่จะไม่ได้รับการคุ้มครองในการทำงาน จึงขอให้แรงงานไทยที่จะไปทำงานในไต้หวันไปทำงานด้วยวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายและผ่านกรมการจัดหางาน เพราะเมื่อประสบเหตุที่ไม่คาดคิดเช่นนี้จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วย

'อินเดีย' ห้ามส่งออกข้าวกระทบประชากรหลายล้านคน ด้านไทยพร้อม หลังผลผลิตเพียงพอ เหลือพอส่งออกเพิ่ม

ไม่นานมานี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า อินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ได้ห้ามส่งออกข้าวขาว ที่ไม่ใช้พันธุ์บาสมาติ (Basmati) เมื่อวันที่ 20 ก.ค. เสี่ยงสั่นคลอนตลาดข้าวทั่วโลก มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชาชนหลายล้านคน โดยเฉพาะเอเชียและแอฟริกา

เหตุผลเพราะรัฐบาลอินเดียต้องการควบคุมราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นภายในประเทศ และรับประกันว่าจะมีปริมาณข้าวราคาเหมาะสมเพียงพอภายในประเทศ 

ทั้งนี้ อินเดียมีสัดส่วนส่งออกข้าว กว่า 40% ของการค้าข้าวทั่วโลก โดยมีมาเลเซีย, สิงคโปร์ เป็นสองประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาข้าวจากอินเดียมาก รวมทั้งแอฟริกา, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ (MENA) โดยประเทศจิบูตี, ไลบีเรีย, กาตาร์, แกมเบีย และคูเวต มีความเสี่ยงมากที่สุด ตามรายงานของธนาคารบาร์เคลย์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ ที่ประจำอยู่ในประเทศที่มีการผลิตข้าว ส่งออกข้าว หรือนำเข้าข้าว ให้ติดตามสถานการณ์ข้าวอย่างใกล้ชิด หลังจากที่อินเดียได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวขาว ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา เพื่อนำข้อมูลหรือแนวโน้มที่เกิดขึ้น มากำหนดแผนและมาตรการในเรื่องข้าวของไทยต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของกรมการค้าต่างประเทศ ขอให้ติดตามสถานการณ์การส่งออกว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างไร ประเทศไหนมีความต้องการเพิ่มขึ้น สถานการณ์ด้านราคาส่งออกเป็นอย่างไร กรมการค้าภายใน ให้ติดตามสถานการณ์สต็อกในประเทศ ราคาข้าวเปลือกในประเทศ และทูตพาณิชย์ ให้ติดตามว่าแต่ละประเทศมีมาตรการและนโยบายในเรื่องข้าวอย่างไร มีความต้องการเพิ่มขึ้นหรือไม่

นายกีรติกล่าวว่า เมื่อเห็นภาพชัดเจนแล้วว่าทิศทางข้าว จะเป็นไปอย่างไร กระทรวงพาณิชย์จะมาทำแผนและมาตรการในเรื่องข้าว ซึ่งมีสมมติฐานตั้งแต่เบาไปหาหนัก แล้วแต่ว่าสถานการณ์ข้าวในตลาดโลกว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้ายังคงเป็นปกติ ไม่มีอะไร ก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้กลไกตลาดขับเคลื่อนต่อไป แต่ถ้าเริ่มเห็นสัญญาณความต้องการข้าวที่สูงขึ้น ก็จะมาพิจารณาว่าจะใช้มาตรการอะไร ซึ่งมองว่าอาจจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้ เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายสำคัญของโลก ผลผลิตมีเพียงพอ และเหลือที่จะส่งออก

"ผมมองว่าน่า 1-2 สัปดาห์ จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าแนวโน้มตลาดข้าวโลกจะเป็นอย่างไร เบื้องต้น ในประเทศไม่มีปัญหาขาดแคลนแน่นอน เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าว และเหลือส่งออก แต่จะส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวมากกว่า การส่งออกปีนี้ น่าจะเกิน 8 ล้านตัน จากที่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ และราคาข้าวในประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกรที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น" นายกีรติกล่าว

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์มีความเป็นห่วงในเรื่องของภัยแล้งที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญมากกว่า โดยมีการประเมินกันว่าจะเกิดต่อเนื่อง 1-3 ปี ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อการเพาะปลูกข้าวของไทย และทำให้ปริมาณผลผลิตข้าวไทยลดลง โดยล่าสุดได้มีการหารือกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว เพื่อร่วมกันทำแผนรับมือ เพื่อป้องกันปัญหาผลผลิตลดลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top