Monday, 1 July 2024
GoodsVoice

'รมว.ปุ้ย' โชว์ตัวเลขโรงงานเปิดใหม่ พบสูงกว่าปิดถึง 74% เงินลงทุนใหม่เฉียด 1.5 แสนล้าน เงินหยุดกิจการหาย 1.4 หมื่นล้าน

(27 มิ.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวการปิดกิจการโรงงานในปัจจุบันว่า จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2567 ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่า...

ภาพรวมในปี 2567 ตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 2567 มีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน ขณะเดียวกันมีโรงงาน 'เปิดกิจการใหม่' ถึง 848 โรงงาน โดยจำนวนโรงงานเปิดใหม่ 'สูงกว่าปิด' ถึงร้อยละ 74 และเมื่อพิจารณามูลค่าเงินลงทุนจากการเลิกประกอบกิจการ พบว่า มีจำนวน 14,042 ล้านบาท 

ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีเงินลงทุนถึง 149,889 ล้านบาท ซึ่งมีเงินลงทุนมากกว่าปิดกิจการกว่า 10 เท่า และในด้านการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การปิดกิจการมีการเลิกจ้างงาน 12,551 คน ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีการจ้างงานถึง 33,787 คน ซึ่งมีความต้องการแรงงานมากกว่า 21,236 คน 

นอกจากนี้ เมื่อรวมกับโรงงานเดิมที่มีการขยายกิจการจะมีอีกจำนวนกว่า 126 โรงงานเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,748  ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 4,989 คน

‘ผู้บริหาร LINE MAN’ อ้าแขน!! รับ 'ไรเดอร์-ร้านค้า' Robinhood ลั่น!! "เราเป็นผู้เล่นสัญชาติไทยรายเดียวที่เหลืออยู่"

(27 มิ.ย.67) โรบินฮู้ด (Robinhood) เตรียมประกาศปิดบริการในวันที่ 31 ก.ค.2567 ผ่านการดำเนินงานมา 4 ปี และขาดทุนสะสมกว่า 5.5 พันล้านบาท แม้จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่ม SCBX อย่างเต็มที่

ฟู้ดดิลิเวอรีสตาร์ตอัปเจ้านี้เปิดตัวในช่วงการระบาดของโควิด-19 ด้วยแนวคิด ‘แอปเพื่อคนตัวเล็กที่ยั่งยืน’ ไม่เก็บค่า GP จากร้านค้า แต่ไม่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง GrabFood และ LineMan ที่ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 100% (GrabFood 56% และ LineMan 53%) ในขณะที่โรบินฮู้ดมีส่วนแบ่งเพียง 5%

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจว่า ภาพรวมของธุรกิจฟู้ดดิลิเวอรี (Food Delivery) หรือธุรกิจบริการส่งอาหาร ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะไทยมีผู้เล่นหลายรายอยู่ในตลาด หรือถ้าส่งผลกระทบก็ยังคงเป็นเชิงบวก เพราะทำให้การแข่งขันมีผู้เล่นน้อยลง โดยได้กล่าวว่า…

“เมื่อโรบินฮู้ดปิดตัวลง ไลน์แมน วงใน กลายเป็นฟู้ดดิลิเวอรีสัญชาติไทยรายสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะเป็นบริษัทโดยคนไทยเป็นเจ้าของ ผมได้คุยกับทีมงานโรบินฮู้ด คุยถึงเรื่องว่าพนักงานคนไหนที่ไลน์แมน วงในสามารถรับเข้าทำงานต่อได้บ้าง” 

“ไรเดอร์ที่อยู่ในแพลตฟอร์มของโรบินฮู้ดสามารถที่จะเข้ามาสมัครทำงานกับ ไลน์แมน วงใน ต่อได้เลย โดยเราจะช่วยรับคนเท่าที่จะรับได้เพราะกำลังขยายการเติบโต ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม บางพื้นที่อาจจะยังไม่เข้าถึงบริการ บางพื้นที่อาจต้องรอการเพิ่มบริการ” 

ส่วนร้านค้า 98% ที่อยู่ในแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดก็ได้อยู่กับไลน์แมน วงใน ด้วยแล้ว แต่ร้านค้าไหนที่ประสบปัญหาทางบริษัท ก็ยินดีต้อนรับเสมอ และพร้อมที่จะช่วยเหลือร้านค้าอย่างใกล้ชิด อาจจะพูดได้ว่าการเป็นภารกิจที่ต้องรับไม้ต่อจากโรบินฮู้ด”

สำหรับแนวโน้มของการเติบโตของตลาดดิลิเวอรี คุณยอด ระบุว่า ตลาดดิลิเวอรีปี 2567 นี้ค่อนข้างที่จะเติบโต แม้กำลังซื้อโดยรวมในประเทศไทยอาจจะไม่มากนัก แต่กำลังซื้อออนไลน์ยังมีอยู่ โดยคาดการณ์ว่าตลาดดิลิเวอรีไทยในปีนี้จะโตถึง 10% แต่ไลน์แมน วงในอาจโตมากกว่านั้น

“การเติบโตของไลน์แมน วงใน สำหรับฟู้ดดิลิเวอรียังคงเติบโต เรียกได้ว่าเป็นลำต้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะมี product ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนของไลน์เพลย์ (LINE Play) ที่เพิ่มบริการเข้ามาเมื่อปีที่แล้วก็มีมูลค่าธุรกิจที่เติบโตถึง 2 เท่า”

“ผมอยากให้มองฟู้ดดิลิเวอรีเป็นเหมือนอีคอมเมิร์ซของร้านอาหาร แต่เดิมเราต้องเดินไปกินที่ร้าน ซึ่งในตอนนี้เราสั่งมากินที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ แม้โควิดจบคนก็ยังใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะกลายเป็นนิสัยของคนไปแล้ว”

“หากจะบอกว่าธุรกิจดิลิเวอรีทำกำไรไม่ได้เลย หรือไม่มีวันจะทำกำไรได้ ก็คงคิดว่าไม่ใช่ เพราะอย่างผมเห็นตัวเลขกำไรที่วิ่งหลังบ้านทุกวัน คาดว่าในอนาคตก็อาจทำกำไรได้อีกขึ้นอยู่กับสภาพโดยรวมของตลาดด้วย”

“ตลาดต่างประเทศที่มีผู้เล่นน้อยราย เช่น จีน มีผู้เล่นเพียง 2 ราย ซึ่งทั้งสองรายก็สามารถทำกำไรจากกิจการดิลิเวอรีได้ ฝั่งอเมริกาก็มีอีกหลายบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับสภาพของตลาด จำนวนผู้เล่น และสภาพเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดท้ายแล้ว ฟู้ดดิลิเวอรีจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่หลายผู้เล่นสามารถทำกำไรได้” 

คุณยอด ยังได้กล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล มองว่าหากสามารถใช้จ่ายออนไลน์หรือแพลตฟอร์มฟู้ดดิลิเวอรีตัดยอดเงินจากเงินตรงนี้ได้ ก็จะทำให้ช่วยร้านค้ารายย่อยหรือร้านค้าที่ไม่ได้มีหน้าร้านได้มากขึ้น เพราะเป็นการเพิ่มจำนวนยอดขาย

“ผมได้อ่านความเห็นของกลุ่มสตาร์ตอัป ซึ่งผมก็เห็นด้วยบางรายโดยเฉพาะนายกสมาคมสตาร์ตอัปไทย เขาตั้งคำถามเรื่องการ subsidize ของสตาร์ตอัปหรือบริษัทใหญ่ ๆ ที่ลงมาทำสตาร์ตอัปเอง 

โดยผมมองว่า หากรัฐบาลจะช่วยเหลือโรบินฮู้ด อยากให้พิจารณาอย่างรอบคอบว่าทำไมถึงต้องให้การสนับสนุน (subsidize) และจะทำในรูปแบบใด รวมถึงควรพิจารณาว่าการช่วยเหลือควรจำกัดเฉพาะวงการนี้หรือไม่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวทิ้งท้าย 

อย่างไรก็ดี การปิดตัวลงของโรบินฮู้ด ได้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจฟู้ดดิลิเวอรียังเผชิญความท้าทายหลายประการ ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนดำเนินการสูง และความยากในการรักษาฐานลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องค่า GP ที่สูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อร้านอาหารขนาดเล็ก และผู้บริโภค ในสภาวะที่ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น นักลงทุนเริ่มไม่อดทนกับธุรกิจที่ขาดทุนต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายแพลตฟอร์มต้องปรับตัว ควบรวมกิจการหรือพยายามครองตลาดเพื่อความอยู่รอด

‘สมศักดิ์’ ลั่น!! ‘ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย’ ปี 70 แตะแสนล้าน หลังดันเกษตรกรปลูกเพิ่มจาก 18,000 ไร่ เป็น 1,059,818 ไร่

(27 มิ.ย.67) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 21 ภายใต้แนวคิด ‘นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทย สู่เวทีโลก’ ระหว่างวันที่ 3 - 7 กรกฎาคม 2567 ที่ ฮอลล์ 11-12 อิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ว่า การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ที่มุ่งยกระดับการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยให้มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับนานาชาติ และยังสอดรับกับนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาล ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์อย่างครบวงจร

>> ไทยเบอร์ 1 ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพร

ปัจจุบัน ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย และตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 ในปี 2570 ตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 104,000 ล้านบาท

กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งเสริมพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร โดยในส่วนของ 'ต้นน้ำ' มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกสมุนไพรจาก 18,000 ไร่ เป็น 1,059,818 ไร่ เกษตรกรปลูกสมุนไพรเพิ่มขึ้นจาก 5,400 ราย เป็นกว่า 360,000 ราย

'กลางน้ำ' มีโรงงานภาคเอกชนผลิตยาสมุนไพร ประมาณ 1,000 แห่ง โรงงานสกัด 11 แห่ง และโรงพยาบาลที่ผลิตยาสมุนไพรตามมาตรฐาน WHO GMP ทั่วประเทศ 46 แห่ง คิดเป็นมูลค่าการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพทั่วประเทศ เฉลี่ยปีละ 1.5 พันล้านบาท

ในส่วน 'ปลายน้ำ' ในปี 2566 ผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศมีมูลค่า 56,944 ล้านบาท มีการส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรมากขึ้น โดยพัฒนาต่อยอดสมุนไพรแชมเปี้ยน 12 รายการ มีผลงานวิจัยมากกว่า 141 โครงการ เพิ่มมูลค่าการส่งออกได้กว่า 6,604 ล้านบาท และยังเพิ่มการลงทุนเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมเป็น 3,631 ล้านบาท โดยเป็นการวิจัยพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร กว่า 1,295 โครงการ

>> ศูนย์เวลเนสอัตลักษณ์ไทย

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ยังส่งเสริมให้มี ‘ศูนย์เวลเนสอัตลักษณ์ไทย’ (Thainess Wellness Destination) ที่นำอัตลักษณ์ความเป็นไทย อัตลักษณ์เฉพาะถิ่น องค์ความรู้การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน สมุนไพรและการแพทย์ทางเลือก มาเชื่อมโยงกับธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ 5 ประเภท ได้แก่...

1.ที่พักนักท่องเที่ยว
2.ภัตตาคารหรือร้านอาหาร
3.นวดเพื่อสุขภาพ
4.สปาเพื่อสุขภาพ
และ 5.สถานพยาบาล

ปัจจุบันมีศูนย์เวลเนสอัตลักษณ์ไทยที่ผ่านการรับรองทั่วประเทศแล้ว 73 แห่ง ในปี 2567 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ขับเคลื่อนโครงการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทยการแพทย์ทางเลือก เดินหน้าให้มีแหล่งท่องเที่ยวที่ผ่านการประเมินครอบคลุม 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ

และสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภูมิปัญญาไทยและสมุนไพรที่ผ่านเกณฑ์การประเมินทั้ง 94 แห่ง ไปสู่ชุมชนสุขภาพดี เพื่อให้เป็นที่รู้จักและรองรับนักท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายไม่น้อยกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท

>> มหกรรมสมุนไพร แจกฟรีต้นพันธุ์สมุนไพร

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 21 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 - 7 กรกฎาคม 2567 ที่ ฮอลล์ 11-12 อิมแพค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด ‘นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทย สู่เวทีโลก’ เพื่อแสดงคุณค่าและขีดความสามารถในการแข่งขันของสมุนไพรทั้งในและต่างประเทศ ให้คนไทยและคนทั่วโลกมั่นใจในผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทย โดย ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.00 น.

สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย 6 โซน ได้แก่...

-โซนวิชาการ มีการประชุมและการประกวดผลงานด้านแพทย์แผนไทยฯ

-โซน Service มีคลินิกให้คำปรึกษา ตรวจรักษาโรคด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยฯ และคลินิกบำบัดยาเสพติด โซน Wisdom พบหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ หมอพื้นบ้าน 4 ภูมิภาค การนวดอัตลักษณ์ไทยและสมุนไพรอัตลักษณ์จาก 76 จังหวัด

-โซน Product ให้คำปรึกษาเรื่องการส่งออกและภาพรวมตลาดสมุนไพร

-โซน Wellness ให้บริการนวดไทย โชว์โมเดลสปาเพื่อสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพกว่า 300 ร้านค้า

-และโซน Innovation ให้คำปรึกษา นวัตกรรมและวิจัยพัฒนา การจัดแสดงผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมต้นแบบ ตลอดจนการอบรมหลักสูตรระยะสั้นและตลาดความรู้

-แจกต้นพันธุ์และเมล็ดพันธุ์สมุนไพรฟรีวันละ 1,000 ชิ้น และการเรียนรู้สวนสมุนไพรและสมุนไพรหายากภายในงาน เป็นต้น ซึ่งตลอด 5 วันของการจัดงานคาดว่าจะมีเงินสะพัดมากกว่า 300 ล้านบาท

'บิ๊กสหพัฒน์ฯ' เปิดตัว ‘MILKIE WAY’ ตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ ท้าชน 'ตู้เต่าบิน' ปักธงวางตลาดไตรมาสแรกปี 68

(27 มิ.ย.67) จากบทสัมภาษณ์ของกรุงเทพธุรกิจ เปิดเผยว่า ‘ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี’ ได้เปิดตัว ‘ตู้ MILKIE WAY’ โดย เวทิต โชควัฒนา กรรมการ บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงที่มาของการพัฒนาตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ MILKIE WAY เพราะมองเห็น ‘โอกาส’ จากมีผู้เล่นในตลาดสามารถแจ้งเกิดตู้ได้ สร้างความโด่งดังเป็นกระแสนิยมให้กับผู้บริโภคได้อย่างดี ขณะที่ ‘ซันเวนดิ้ง’ ก็โด่งดังมานาน จึงคิดพัฒนาประกอบตู้อีกแบบเข้าสู่ตลาด

"เดิมเราทำตู้เวนดิ้ง แมชชีน เราคือ เบอร์ 1 มีจำนวนตู้ให้บริการ 1.67 หมื่นตู้ เราเน้นธุรกิจนี้เป็นหลัก ในฐานะเราเป็นลีดเดอร์จึงมองว่าต้องมีตู้แบบนี้ด้วย(ตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ) เรามีการผลิตตู้ ขาย ให้เช่า ตู้เวนดิ้งทั้งหมดมาจากเรา จึงอยากให้ทุกคนมองเราคือ วัน สต๊อป เวนดิ้ง โซลูชั่น อยากให้มองว่าเราทำได้"

สำหรับการเลือกตั้งชื่อแบรนด์ว่า MILKIE WAY เพราะมีความหมายยิ่งใหญ่ในกรอบของกาแล็กซี 'ทางช้างเผือก' โดยเครื่องดื่มที่จะจำหน่ายในตู้เบื้องต้น มีประมาณ 40 เมนู ทั้งเครื่องดื่มผสมโซดา กาแฟ เครื่องดื่มปั่น เช่น มัทฉะปั่นในตำนาน สตรอว์เบอร์รีโยเกิร์ต ลิ้นจี่กุหลาบโซดา และมอคค่า เอสเฟรสโซ่ โกโก้ ฯลฯ พร้อมเปิดราคาแนะนำที่ 19 บาท เฉพาะในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน 2567 เฉพาะในงานเมนูละ 19 บาท 

ส่วนราคาขายเมนูเครื่องดื่มที่ตั้งไว้สูงสุดจะอยู่ที่ราว 50 บาทต่อแก้ว โดยตู้ MILKIE WAY สามารถเสิร์ฟเครื่องดื่มได้มากถึง 500 แก้วต่อวัน โดยพร้อมจะเปิดตัวทำตลาดในไตรมาสแรก ปี 2568

>> ลุยธุรกิจแฟรนไชส์ต่อยอดโต
การขยายธุรกิจตู้เวนดิ้ง แมชชีน บริษัทยังเปิดกว้างโอกาสด้วยการส่งโมเดล ‘แฟรนไชส์’ เจาะลูกค้าทั่วไทยที่ต้องการนำตู้เวนดิ้ง แมทชีนไปจำหน่ายสินค้า ปัจจุบันมีแฟรนไชส์ซี 1 ราย อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วน ‘ตู้ MILKIE WAY’ จะยังไม่มีแฟรนไชส์เพราะต้องการยกระดับมาตรฐาน คุณภาพให้มั่นใจก่อน โดยเฉพาะ ‘ความสะอาด’ สำคัญมาก ต้องมีทีมงานคอยดูแลตู้ทุกวัน

“ตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ MILKIE WAY เราให้ความสำคัญกับการดูแลความสะอาด การกำหนดมาตรฐาน เพราะตู้รูปแบบดังกล่าวต้องดูแลค่อนข้างมาก”

>> ตู้ชงเครื่องดื่มร้อน-เย็นทำตลาดมา 20 ปี มีกว่า 1,000 ตู้
ด้าน พิศณุ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีตู้ชงเครื่องดื่มร้อน และเย็นทำตลาดตอบสนองผู้บริโภคมาราว 20 ปี แต่ส่วนใหญ่เป็นเมนูราคา 5-7 บาท และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เร่งรีบ เช่น พนักงานโรงงานต่างๆ เป็นต้น โดยมีจำนวนตู้ให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายมากกว่า 1,000 ตู้ โดยเฉพาะพื้นที่โรงงานครองสัดส่วนถึง 70%

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ MILKIE WAY จะเห็นไตรมาส 1 ปีหน้า กลยุทธ์เบื้องต้นจะประกอบคู่กับตู้เวนดิ้งแมชชีนของบริษัทในทำเลต่างๆ

“เราเห็นโอกาสเพราะมีผู้ทำตลาดค่อนข้างประสบความสำเร็จ แม้เทรนด์จะเริ่มลดลงก็ตาม แต่เราทำโอเปอเรชันอยู่แล้วเกือบ 1.7 หมื่นตู้ จึงต้องการเสริมตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ MILKIE WAY เพิ่มออปชันให้ลูกค้าของเรา”

สำหรับการพัฒนาปรับปรุงตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติ MILKIE WAY ปัจจุบันต้นทุนอยู่ที่ 3 แสนบาทต่อตู้ ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งที่ต้นทุนราว 2 แสนบาทต่อตู้

>> ลุยทวงคืนส่วนแบ่งตลาดตู้เวนดิ้ง แมชชีน
พิศณุ กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจตู้เวนดิ้งแมชชีนปี 2567 จะเป็นปีแห่งการทวงคืนส่วนแบ่งทางการตลาดให้กลับไปอยู่ในระดับสูงขึ้น โดยบริษัทเคยครองส่วนแบ่งถึง 60% ของตลาด กระทั่งมีคู่แข่งเข้ามามากขึ้น ส่วนแบ่งทางการตลาดจึงปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 45%

“ตู้เวนดิ้ง แมชชีน เราเป็นเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 45% เมื่อก่อนเราเคยอยู่สูงถึง 60% แต่ลงมาเพราะคู่แข่งมากขึ้น ตอนนี้คู่แข่งไม่ค่อยสบาย เชื่อว่าปลายปีนี้ส่วนแบ่งตลาดเราจะกลับขึ้นมาเติบโต”

>> เต่าบินรับน้อง (ทุน) ใหญ่
พลันที่คู่แข่งหน้าใหม่เปิดหน้าท้าชน ด้าน ‘เต่าบิน’ ผู้นำตลาด ที่ตู้สามารถชงเครื่องดื่มสารพัดได้ถึง 200 เมนู สร้างยอดขายทะลุหลายร้อยแก้วต่อวัน และยิ่งกว่านั้นเป้าหมายใหญ่ ‘เต่าบิน’ ต้องการมีตู้ให้บริการทะลุ ‘1 หมื่นตู้’ ในปีนี้ ก็ถือโอกาสเปิดตัวแคมเปญการตลาด จัดโปรโมชันดึงดูดลูกค้า จังหวะเหมาะเหมือน ‘รับน้อง’ ที่เป็นทุนใหญ่ 

โดย ‘เต่าบิน’ ได้เผยว่า "เรียนคุณลูกค้าที่น่ารัก เพื่อประกาศขอเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มความตื่นเต้น!! ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษจะจัดขึ้นในครึ่งปีหลังไปจนถึงต้นปีหน้า มูลค่าของรางวัลที่ทางเต่าบินจะทำการแจกทั้งสิ้น 5.9 ล้านบาท แต่ขออุบเอาไว้ก่อนว่าแจกอะไรบ้าง เพื่อประกาศ 1 กรกฎาคมนี้...

"ส่วนขั้นตอนการลุ้น เพียงแค่ทำการสั่งซื้อเครื่องดื่มทุก ๆ 15 บาทก็มีสิทธิร่วมตื่นเต้นกับการลุ้นรางวัล ซึ่งการสะสมสามารถร่วมได้ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2567 สะท้อน ‘รับน้องของแท้’ เพราะรางวัลยังกั๊กไว้ แถมสะสมสิทธิย้อนหลังได้"

'ใบอ้อยอัดเม็ด-อัดก้อน' นวัตกรรมแปรรูปเกษตรเหลือทิ้ง มอบความหวังแก้ปัญหา PM2.5 ยั่งยืน รายแรกของเมืองไทย

(28 มิ.ย.67) ศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ให้บริการวิชาการและวิจัยการแปรรูปชีวมวลเหลือทิ้ง มาเป็นเชื้อเพลิงรูปแบบต่างๆ เพื่อทดแทนพลังงานฟอสซิล ทำงานวิจัยเกี่ยวกับชีวมวลหลากหลาย โดยได้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งปัญหาของชีวมวลประเภทหนึ่งเรียกว่า ‘ชีวมวลเบา’ เช่น ใบอ้อย ฟางข้าว ถ้าขนย้ายเพื่อนำไปทำพลังงานทางเลือกจะมีปัญหาค่าขนส่งแพง คนนำไปใช้ไม่คุ้ม

โดยเฉพาะ ‘ใบอ้อย’ เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลเบาชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาที่ศูนย์วิจัยจุฬาฯ สระบุรี ว่าจะมีแนวทางการแปรรูปอย่างไร เพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและช่วยส่งเสริมเกษตรกรไม่ให้เผาอ้อย ซึ่งสุดท้ายได้แนวคิดว่า ชีวมวลเบาทุกชนิดจำเป็นจะต้องทำให้เป็นชีวมวลหนาแน่นก่อน จึงได้มีการทดลองผลิตเป็นเชื้อเพลิงแข็งหนาแน่นประเภท ‘อัดเม็ด’

หลังจาก ศูนย์วิจัยจุฬาฯศึกษาการนำใบ้อ้อยมาอัดเม็ดสำเร็จ จึงศึกษาวิจัยการ ‘อัดก้อน’ โดยได้รับทุนวิจัยจาก บพข. และ สกว. ศึกษาเรื่องใบอ้อยอัดก้อนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว พบว่าการนำใบอ้อยมาอัดเป็นก้อนทำให้มีความหนาแน่นมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการขนส่ง คือจำนวนการขนส่งเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ขณะที่ต้นทุนการขนส่งลดลงเกือบ 3 เท่าตัว ที่สำคัญเชื้อเพลิงนี้มีความชื้นต่ำ เก็บรักษาได้นาน การป้อนเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้ทำได้ง่าย ไม่เกิดฝุ่นขณะการป้อน อีกทั้งยังสามารถเผาใบอ้อยอัดก้อนให้เป็นถ่านที่เรียกว่า ‘ไบโอชาร์’ ได้ สามารถนำไปใช้เพื่อคิดเป็นคาร์บอนเครดิต นี่คือปลายทางที่จะได้จากการแปรรูปดังกล่าว

ปัจจุบัน บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส จำกัด ได้นำงานวิจัยดังกล่าว ไปแก้ปัญหาการเก็บเกี่ยวอ้อย ที่มีเรื่องการเผาเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีรถตัดอ้อย ต้องใช้คนเก็บเกี่ยว จึงจำเป็นต้องเผา บริษัท ทรัพย์ถาวรฯ เป็นหนึ่งในกลุ่มชาวไร่ มีพื้นที่ปลูกอ้อยหลายพันไร่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางบริษัทมีรถตัดอ้อยเก็บเกี่ยว จึงไม่ได้มีการเผาอ้อย และยังสามารถนำใบอ้อยที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวขายให้กับโรงงานไฟฟ้าชีวมวล อีกส่วนหนึ่งบริษัทก็รับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกรในเครือข่ายด้วย แต่ปัญหาคือการขนใบอ้อยเป็นฟ่อนๆ ไม่คุ้มกับต้นทุนการขนส่ง เนื่องจากรถบรรทุกน้ำหนัก 25 ตัน ใช้ขนใบอ้อยได้แค่ 17-18 ตันก็เต็มคันรถ ทางบริษัทจึงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะแปรรูปใบอ้อยก่อนส่งขายให้โรงงานไฟฟ้าชีวมวล เพื่อสะดวกในการขนส่งและใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ด้วย

บริษัทได้รับคำแนะนำจาก สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ให้ไปดูงานวิจัยของศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี และได้พบงานวิจัยการแปรรูปใบอ้อยเป็น ‘ใบอ้อยอัดเม็ดและอัดก้อน’ ถือเป็นบริษัทแรกของประเทศไทย ที่นำงานวิจัยไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้  แม้การนำใบอ้อยไปผลิตกระแสไฟฟ้าจะมีมานานแล้ว แต่รูปแบบการใช้เป็นการนำใบอ้อยไปป่นก่อนทำเป็นเชื้อเพลิง แต่ของทางบริษัทเป็นรูปแบบการอัดเม็ดหรืออัดก้อน ขนส่งสะดวก เก็บไว้ได้นาน มีความชื้นต่ำและมีความหนาแน่นสูง ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้หลายประเภท

ขณะที่เครื่องจักรซึ่งนำมาใช้ในการแปรรูปใบอ้อยเป็นใบอ้อยอัดเม็ด-อัดก้อน บริษัท ทรัพย์ถาวร ได้พันธมิตรคือ บริษัท ที.เอ็ม.ซี.อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) มาผลิตให้ โดยจุดเริ่มต้นความร่วมมือมาจากการที่ บริษัท ที.เอ็ม.ซี. มีความชำนาญในเรื่องของเทคโนโลยีการผลิตเครื่องจักรระบบไฮดรอลิก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ต้องการใช้ความชำนาญในอุตสาหกรรมดังกล่าว มาพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเฉพาะการเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็น ใบอ้อย ต้นข้าวโพด ทางปาล์ม ฯลฯ 

บริษัท ที.เอ็ม.ซี. ได้ทำการศึกษาว่า มีงานวิจัยทางวิชาการเกี่ยวกับการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรที่ไหนบ้าง ที่สามารถแปรรูปวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมขั้นสูง และพบว่า ศูนย์เชื้อเพลิงและพลังงานจากชีวมวล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จ.สระบุรี ทำเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว มีการตั้งศูนย์สระบุรีขึ้นมา เพื่อการวิจัยด้านการเกษตรเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงรูปแบบต่างๆ บริษัท ที.เอ็ม.ซี. จึงเข้าไปขอใช้บริการทางวิชาการ โดยให้จุฬาฯช่วยถ่ายทอดงานวิจัย เพื่อผลิตเป็นเครื่องจักรกลการเกษตรแบบต่างๆ

พร้อมกันนี้ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยจุฬาฯ สระบุรี ได้แนะนำผู้บริหารบริษัท ที.เอ็ม.ซี. ให้รู้จักกับผู้บริหารบริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส ซึ่งมีความต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตโดยคนไทย มีนวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาแปรรูปใบอ้อยเป็นผลิตภัณฑ์ใบอ้อยอัดเม็ด-อัดก้อน จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งสองบริษัทมีความร่วมมือกัน โดย บริษัท ที.เอ็ม.ซี.มีความชำนาญในด้านการผลิตเครื่องจักรกล ส่วน บริษัท ทรัพย์ถาวร ไบโอแมส มีวัตถุดิบใบอ้อยที่ต้องการแปรรูป

ความร่วมมือของสองบริษัทที่มี ศูนย์วิจัยจุฬาฯ สระบุรี เป็นจุดเชื่อมโยง จึงเปรียบเสมือนการนำร่องแปรรูปวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร แก้ปัญหาการเผา ลดมลพิษ PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในอนาคตอาจมีโรงงานแบบนี้เกิดขึ้นอีกหลายแห่งในประเทศ เพราะใบอ้อยเป็นวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ถ้านำมาทำประโยชน์ด้านพลังงานทางเลือกได้ ก็จะช่วยลดการเผา ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ไม่ใช่ได้ประโยชน์เฉพาะชาวไร่ แต่ได้ทุกฝ่าย แม้กระทั่งประเทศชาติก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาทุกปี นอกเหนือจากไร่อ้อย ยังสามารถนำไปปรับใช้กับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรอย่างอื่น เช่น ข้าว ข้าวโพด หรือ ใบไม้ต่าง ๆ ก็สามารถเก็บมาขายให้กับโรงงานแปรรูปได้ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมบีซีจี ซึ่งรัฐบาลควรเข้ามาส่งเสริมสนับสนุนให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง!! 'กองทุน Thai ESG-ต่างชาติถือครองอสังหาฯ' น่าสน เชื่อ!! เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชั้นดี ในยามที่รัฐไม่มีทางเลือกมากนัก

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ' เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีความพยายามจากรัฐบาลที่จะออกมาตรการเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของปี 2567 การตั้งวงเงินงบประมาณปี 2568 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ การออกมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นโดยใช้กองทุน Thai ESG การให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศได้มากขึ้น

มาตรการเหล่านี้ได้รับการตอบรับจากสังคมในทางที่ดี เพราะส่วนใหญ่ (ยกเว้นธนาคารแห่งประเทศไทย) เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีอาการหนักในขณะนี้ และจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน แม้ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มลดดอกเบี้ยแล้วก็ตาม และแม้ว่าบางมาตรการอาจสร้างภาระต่อผู้เสียภาษีอยู่บ้าง แต่รัฐบาลก็ไม่มีทางเลือก เพราะ ธปท. ดื้อแพ่งที่จะไม่ผ่อนคลายนโยบายการเงิน ยังคงหลงระเริงอยู่กับโลกแห่งความฝันที่สวยหรู และทำทุกอย่างที่สวนทางกับนโยบายการคลัง เสมือนว่าเป็นรัฐอิสระในประเทศไทย

มาตรการเหล่านี้ คาดว่าจะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีในระยะสั้น การให้ต่างชาติเช่า/ถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น เป็นมาตรการที่ดีมาก ไม่ถือเป็นการขายชาติที่นักการเมืองลัทธิชาตินิยมบางคนชอบอ้าง แต่กลับจะช่วยให้มีเงินทุนต่างชาติเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยที่รัฐไม่ต้องใช้เงินผู้เสียภาษีแม้แต่แดงเดียว ส่วนมาตรการกองทุน Thai ESG แม้ว่าจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้อยู่บ้าง เนื่องจากให้ผู้ลงทุนหักค่าลดหย่อนได้ถึง 300,000 บาท แต่ก็จะช่วยให้มีเม็ดเงินใหม่จำนวนมากเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดยสรุปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความเหมาะสม แต่อาจจะยังไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุแห่งความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน ดูเหมือนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงจุดที่สุดจะมีทางเดียวคือ การเปลี่ยนตัวผู้ว่า ธปท.

‘พีระพันธุ์’ ตรึงราคา LPG 3 เดือน ก.ค. - ก.ย. 67 พร้อมชงช่วยค่าน้ำมันบัตรคนจน 120 บ./ด. นาน 3 เดือน

เมื่อวานนี้ (27 มิ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 2/2567 (ครั้งที่ 66) ซึ่งเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting) โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านพลังงาน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย และเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตการณ์ราคาพลังงานในอนาคต

นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการบริหารจัดการด้านพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน และมีการสรุปบทเรียนที่ได้จากการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาที่ผ่านมา รวมทั้งข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินงานต่อไป

โดยที่ประชุมเห็นควรให้มีการจัดทำเป็นแผนงาน/ข้อริเริ่มโครงการ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบให้มีความยืดหยุ่นในการบังคับใช้ช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบัน ทางคณะทำงานฯ กำลังเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการเตรียมพร้อมและมาตรการบริหารวิกฤตการณ์พลังงาน (พ.ศ. 2566 - 2570) โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 เพื่อกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนแผนงาน/ข้อริเริ่มโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรตั้งแต่ภาวะปกติ แนวทางการบูรณาการที่จำเป็นของประเทศ และการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน และได้มีมติให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีกรอบเป้าหมายเพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) พิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซ LPG ต่อไป

นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวถึง ความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้เปราะบางในช่วงที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องตลอดปี 2567 เนื่องจากปัจจัยด้านราคาในตลาดโลก โดยที่ประชุมได้พิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาน้ำมันสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 13,570,169 ราย และเป็นประชาชนกลุ่มเปราะบางที่แท้จริง

โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ ‘มาตรการบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ซึ่งจะให้สิทธิเพิ่มวงเงินช่วยเหลือค่าน้ำมัน (กลุ่มเบนซิน และกลุ่มดีเซล โดยให้ใช้กับยานพาหนะ) แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 120 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2567 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานหารือ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สถาบันการเงิน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอเรื่องขออนุมัติหลักการจากคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มสถานีบริการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ และช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

‘สุริยะ’ อัปเดตความคืบหน้า ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ ปักธง!! เข็น ‘ทุกสี-ทุกสาย’ เข้าร่วมภายในเดือน ก.ย.68

(28 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ยืนยันว่านโยบายนี้จะแล้วเสร็จ รถไฟฟ้าทุกสีทุกสายจะมีค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสายตามเป้าหมายในเดือน ก.ย. 2568

ทั้งนี้ในปัจจุบันกระทรวงฯ อยู่ระหว่างเจรจากับเอกชนคู่สัญญา และผลักดันพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เพื่อให้มีผลในการปรับโครงสร้างและบูรณาการรถไฟฟ้าทุกโครงการ

"การปรับลดราคาค่าโดยสารนั้น รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อสัญญาสัมปทาน เพราะรัฐบาลจะจัดหาวงเงินชดเชยรายได้ที่หายไป" นายสุริยะ กล่าว

ขณะเดียวกันในปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางจัดหาเงินชดเชย คาดว่าจะจัดตั้งเป็นกองทุนตั๋วร่วมที่นำเงินมาจากหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน การสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล และรายได้ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)

ส่วนผลการศึกษาเบื้องต้น คาดว่าจะจัดใช้วงเงินชดเชยประมาณ 8 พันล้านบาทต่อปี โดยหากปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ปริมาณจ่ายเงินชดเชยก็จะลดลงอย่างต่อเนื่อง 

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกเส้นทางให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายในปี 2568

จากข้อมูลการศึกษาล่าสุด มั่นใจว่าในช่วงกลางปี 2568 จะสามารถนำรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว 3 สายในปัจจุบัน เข้าร่วมนโยบายดังกล่าว ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง
เนื่องจากทั้ง 3 โครงการดังกล่าว อยู่ภายใต้การดูแลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สามารถเจรจากับเอกชนคู่สัญญาและปรับลดราคาค่าโดยสารได้ ซึ่งทางภาครัฐจะจัดหาเงินชดเชยรายได้ที่หายไป โดยไม่ให้กระทบต่อสัญญาสัมปทาน

“ขณะนี้รถไฟฟ้าที่พร้อมจะปรับราคาตามนโยบาย 20 บาทตลอดสาย จะเป็นรถไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การกำกับของ รฟม. ส่วนรถไฟฟ้าสายอื่นที่มีสัญญาสัมปทาน เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็คงต้องรอให้ พรบ.ตั๋วร่วมมีผลบังคับใช้ จะมีผลในการปรับโครงสร้างราคาค่าโดยสาร ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลภายในปี 2568” นายสุริยะ กล่าว

สำหรับปัจจุบันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่มใช้ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยจากข้อมูลตั้งแต่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2566 จนถึงวันที่ 31 พ.ค.2567 หรือประมาณ 7 เดือนครึ่ง พบว่า ปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยรวม 2 สาย 20.86 ล้านคน เพิ่มขึ้น 17.94%

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 66 (16 ต.ค.2565-31 พ.ค.2566) ซึ่งผู้โดยสารอยู่ที่ 17.68 ล้านคน โดยสายสีแดง ผู้โดยสาร 6.21 ล้านคน เพิ่มขึ้น 27.61%

นอกจากนี้สายสีม่วง ผู้โดยสาร 14.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.53% ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้บริการ ส่งผลให้การสูญเสียรายได้ของทั้ง 2 สายลดลงจากที่คาดการณ์ว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี

‘อัญยา เมดิเทค’ ผนึกกำลัง ‘เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง’ ต่อยอด ‘DoCare’ ใช้ติดตาม-วิเคราะห์-แก้ปัญหาการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

(28 มิ.ย. 67) บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันระบบงานวิศวกรรม อาคารแบบครบวงจรในรูปแบบ System Integrator และ บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด ผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ ที่จะนำนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลมายกระดับของการให้บริการแก้ปัญหาการนอนหลับให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

ความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกันในครั้งนี้ บริษัท Nexter Living ได้นำเอาระบบ DoCare - Smart Technology for Healthy Living ซึ่งเป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่ช่วยให้คนไข้สามารถได้รับการดูแลที่ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บ้าน มาใช้งานร่วมกับการให้บริการทางการพยาบาลและการแพทย์ของ บริษัท อัญยา เมดิเทค

นางสาวทักษอร คงคาประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด เปิดเผยว่า อัญยา เมดิเทค เป็นผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ที่มีจุดเริ่มต้นจากการอยากให้ทุกคนได้รับการช่วยเหลือให้นอนหลับได้ดีขึ้น และมีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ อัลไซเมอร์ และโรคร้ายต่าง ๆ การนอนไม่มีคุณภาพจึงเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม ซึ่งตลอดการดำเนินงานร่วม 4 ปี อัญยา เมดิเทค ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านยอดจำหน่าย และผู้ที่เข้ารับการรักษา โดยความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท Nexter Living ในครั้งนี้จะช่วยในเรื่องการปรับปรุงรูปแบบการให้บริการลูกค้าของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ดีที่สุด

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัท Nexter Living ที่เป็นกลุ่มธุรกิจในเครือของเอสซีจี บริษัทชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลและให้บริการของเราให้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ยังทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย” นางสาวทักษอร กล่าวทิ้งท้าย

ระบบ DoCare - Smart Technology for Healthy Living เป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่พัฒนาโดย บริษัท Nexter Living ที่จะช่วยให้คนไข้ได้รับการดูแลที่ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บ้านของตัวเอง ช่วยลดเวลาการเดินทางไปศูนย์ให้บริการในกรณีที่ไม่จำเป็น ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถเก็บข้อมูลสุขภาพแบบอัตโนมัติ แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดไปที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลได้ในทันที ซึ่งระบบ DoCare มีเทคโนโลยีการตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับที่แม่นยำสูงสามารถส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ผู้ติดตามผลได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเรื่องการดูแลสุขภาพและช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น

นายดุสิต ชัยรัตน์ Smart Home Living Solution Director บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด เปิดเผยว่า ระบบ DoCare เป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่มีความแม่นยำสูงสามารถติดตามและดูแลสุขภาพคนไข้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากเทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับแล้ว ระบบ DoCare ยังมีเทคโนโลยีตรวจจับการล้ม และการขอความช่วยเหลือฉุกเฉินแบบไร้สาย ที่ช่วยยกระดับด้านการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยจากที่บ้านอีกด้วย ซึ่งระบบ DoCare จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการดูแลติดตามคุณภาพการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น 

นายดุสิต ชัยรัตน์ กล่าวต่อว่า “เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง เป็นผู้ให้บริการโซลูชันระบบงานวิศวกรรม อาคารแบบครบวงจรที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผสมผสานกับงานบริการ เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาวะที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยความร่วมมือทางธุรกิจกับ อัญยา เมดิเทค เป็นโอกาสที่ดีในการนำเอานวัตกรรม DoCare ของบริษัทมาช่วยให้เกิดประโยชน์ต่องานบริการด้านสุขภาพให้กับผู้คน”

ความร่วมมือทางธุรกิจของ บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด และ บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด ในครั้งนี้ได้นำนวัตกรรม DoCare ระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่ช่วยให้คนไข้ได้รับการตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับอย่างแม่นยำและต่อเนื่องจากที่บ้าน มาผสานการให้บริการจากผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประสบปัญหาการนอนไม่มีคุณภาพไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่หลับ การนอนละเมอ รวมถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มีอันตรายค่อนข้างมาก ให้สามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วโดยที่ไม่จำเป็นเดินทางไปโรงพยาบาลในกรณีที่ไม่จำเป็นอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ อัญยา เมดิเทค (Anya Meditec) โทรศัพท์ 061-271-1477 Facebook https://www.facebook.com/AnyaMeditec/ หรือ https://anyameditec.com

ไทยเล็งเก็บ ‘Carbon Tax’ เป็นชาติที่ 2 ในอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ กำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนฯ คาด!! ดีเดย์ปลายปี 68

(28 มิ.ย. 67) Business Tomorrow รายงานว่า กรมสรรพสามิตไทย ได้เปิดเผยถึงการเตรียมใช้ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกภาคบังคับเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หวังให้ผู้ส่งออกใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM

ทั้งนี้ การกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนในรูปแบบภาคบังคับจะสามารถนำไปนำไปใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ที่อียูจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าไปยังอียูในปี 2569 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกในระยะแรก

คาดว่าภาษีคาร์บอนของไทยสามารถบังคับใช้อย่างเร็วสุดภายในปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567) เพื่อให้ทันการเก็บค่าธรรมเนียม CBAM ในปี 2569 ขณะที่ พ.ร.บ. Climate Change ที่จะเป็นกฎหมายเพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับในรูปแบบ ระบบ Emission Trading Scheme (ETS) น่าจะบังคับใช้ได้ในปี 2572

>> ค่าธรรมเนียม Carbon Tax ของไทยจะอยู่ที่เท่าไหร่ ?

ดังนั้น ในระยะแรกจึงเป็นเรื่องที่ดี หากมีการปรับใช้ภาษีคาร์บอนโดยใช้หลักการแปลงภาษีสรรพสามิตที่เดิมมีการผูกกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ภาษีน้ำมัน ภาษีรถยนต์ ให้อยู่ในรูปของภาษีคาร์บอน เพื่อไม่สร้างภาระทางภาษีเพิ่มแก่ประชาชน และสามารถให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์ในระหว่างรอกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับจาก พ.ร.บ. Climate Change ในภายหลัง 

ทั้งนี้ประเทศไทยอาจกำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งน้อยกว่าราคาคาร์บอนของอียู (EU ETS) หรือ Carbon Tax ของสิงคโปร์ที่อยู่ที่ประมาณ 2,700 และ 700 ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การมีกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในรูปแบบภาคบังคับจะช่วยผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปยัง EU หรือประเทศที่มีการใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ลดหย่อนค่าธรรมเนียมที่จะต้องจ่ายให้แก่ประเทศที่บังคับใช้ได้

ทั้งนี้ ผลกระทบอาจแบ่งเป็น 2 ระยะ

- ระยะแรก ผู้ส่งออกใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM โดยไม่มีภาระภาษีภายในประเทศเพิ่ม เนื่องจากใช้ภาษีสรรพสามิตแปลงมาเป็นภาษีคาร์บอน ในช่วงก่อนมี พ.ร.บ. Climate Change ทั้งนี้ภาครัฐควรจัดหากลไกกองทุนเพื่อนำรายได้ดังกล่าวสนับสนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดด้วย

- ระยะหลังจากที่ พ.ร.บ. Climate Change บังคับใช้ จะมีกลไก Emission Trading Scheme และการกำหนดพิกัดอัตราภาษีคาร์บอนที่ยังไม่เก็บอยู่เดิม จะส่งผลต่อต้นทุนของผู้ผลิตในอุตสาหกรรมภายในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นไปตามบริบทของการดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top