Saturday, 18 May 2024
GoodsVoice

GGC จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM)

เมื่อวานนี้ (2 เม.ย. 67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรมการ และ นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ได้เข้าร่วมการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) 

โดยถ่ายทอดสดจากห้องประชุม The Synergy Hall ชั้น 6  อาคารซี ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นรับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในรอบปี 2566 การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ตามกฎหมาย

‘PTT Station’ เตรียมพร้อมรับเทศกาลสงกรานต์ จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน 12-17 เม.ย. ยาว 6 วัน

(3 เม.ย. 67) พีทีที สเตชั่น จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดระหว่างวันที่ 12-17 เม.ย. 67 รวม 6 วัน และหากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงก็จะปรับราคาน้ำมันลงตาม อีกทั้งเตรียมความพร้อมให้ พีทีที สเตชั่น ทุกแห่งให้มีน้ำมันเพียงพอในช่วงเทศกาล และเป็นจุดแวะพักระหว่างเดินทาง พร้อมมอบโปรโมชั่นมากมายสำหรับผู้เดินทาง ที่ใช้บริการที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น

ด้าน นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า OR ได้เตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง  รองรับการเดินทางท่องเที่ยว และการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชน โดยจะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันเป็นเวลา 6 วัน ระหว่างวันที่ 12-17 เมษายน 2567 ถึงแม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนและอำนวยความสะดวกผู้บริโภค แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง OR ก็จะปรับราคาน้ำมันลง ตลอดจนได้สำรองน้ำมันทั้งที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และคลังน้ำมันของ OR ทั่วประเทศให้มีน้ำมันเพียงพอต่อความต้องการ และยังได้จัดให้ พีทีที สเตชั่น เป็นจุดแวะพักที่จะช่วยเติมเต็มความสุขให้ทั้งผู้คน สังคม และชุมชน โดยได้จัดเตรียม ‘จุดช่วยเหลือเพื่อนเดินทาง’ ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ปฐมพยาบาล และอุปกรณ์ช่วยเหลือรถเบื้องต้นเพื่อช่วยเหลือผู้เดินทางได้อย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ OR ยังได้จัดกิจกรรมในช่วงสงกรานต์ 2567 เพื่อเติมเต็มความสุขให้ผู้บริโภค ด้วยโปรโมชั่นพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และร้านค้าต่าง ๆ ในเครือ OR  ดังนี้

- สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น มอบโปรโมชั่นพิเศษ ‘เติมเต็มความห่วงใย แจกประกันภัย ฟรี! สงกรานต์’ เติมน้ำมันทุกชนิดตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป รับคูปอง QR Code ท้ายใบเสร็จ เพื่อ Scan ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันอุบัติเหตุฟรี ความคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ (จำกัด 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์) ตั้งแต่วันที่ 11 - 18 เมษายน 2567 นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่น ‘เติมน้ำมัน รับฟรี! น้ำดื่ม ขนาด 600 มล.’ เมื่อเติมน้ำมันเกรดมาตรฐาน XTRA SAVE ทุกชนิด ครบ 500 บาท/ใบเสร็จ และคุ้มยิ่งกว่าเมื่อเติมครบ 900 บาท/ใบเสร็จ รับไปเลย 2 ขวดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 - 30 เมษายน 2567 และโปรสุดคุ้ม ‘เติมสุข วันศุกร์’ เมื่อเติมน้ำมันเกรดมาตรฐาน XTRA SAVE ทุกชนิดครบ 800 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ  รับคูปองส่วนลดน้ำมัน 20 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดน้ำมันครั้งถัดไป ทุกวันศุกร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2567 - 26 เมษายน 2567 ณ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศที่ร่วมรายการ 

- ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ จัดโปรโมชั่นพิเศษ ‘FITต่อรถ ดีต่อคุณ’ มอบสิทธิพิเศษมากมาย เช่น บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง PTT Lubricants ฟรีไส้กรองและค่าแรง เปลี่ยนยางครบ 4 เส้น ฟรี โปรแกรมดูแลยาง FIT Care มูลค่า 4,000 บาท รวมทั้ง ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการขั้นต่ำ 5,000 บาท ที่ FIT Auto ทุกสาขา (เฉพาะธนาคารที่ร่วมรายการ) และโปรโมชั่นอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 - 30 มิถุนายน 2567

- สถานีชาร์จ EV Station PluZ เตรียมจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งในและนอก พีทีที สเตชั่น กว่า 830 แห่ง ครอบคลุมเส้นทางถนนสายหลัก 77 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมมอบโปรโมชันสุดพิเศษ เมื่อเข้าใช้บริการที่ EV Station PluZ และมียอดการใช้งานสะสมครบ 800 บาท 150 ท่านแรกจะได้รับคูปองส่วนลดค่าชาร์จ 100 บาท พร้อมพลัซความสะดวก ด้วยแอปพลิเคชัน ‘EV Station PluZ โดยการจองล่วงหน้า ชาร์จ จ่าย สะดวก’ โดยสามารถจองเพื่อเข้าชาร์จ เริ่ม-หยุดการชาร์จ ชำระเงิน และการตรวจสอบประวัติการใช้งาน ได้ด้วยแอปเดียว พร้อมด้วย Call Center โทร. 02-061-9519 บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชม.

- คาเฟ่ อเมซอน จัดโปรโมชั่นพิเศษรับเทศกาลสงกรานต์ ‘Fruit of Summer Combo Set’ เมื่อซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว (เมนูใดก็ได้) คู่กับเบเกอรี่ที่ร่วมรายการ ได้แก่ ชีสเค้กมะม่วง มาการองมะขาม เค้กโรลลำไย หรือพายสับปะรด จำนวน 1 กล่อง ภายในใบเสร็จเดียวกัน รับทันทีส่วนลด 10 บาท ตั้งแต่วันที่ 10 - 25 เมษายน 2567

‘รมว.ปุ้ย’ ขีดเส้น!! 10 เม.ย.นี้ ปัญหาขอใบ ร.ง.4 ต้องจบ สั่ง ‘กรอ-สอจ.’ เช็กขั้นตอนรายละเอียดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

(3 เม.ย. 67) แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการออกใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ที่ภาคเอกชนร้องเรียนว่า มีความล่าช้าอย่างมาก เป็นตัวถ่วงการลงทุนว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อาทิ ปลัดกระทรวง รองปลัด ผู้ตรวจราชการ และอธิบดีทุกกรม ซึ่งบรรยากาศภายในที่ประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด

เนื่องจากการแก้ปัญหาการออกใบอนุญาตขณะนี้ เป็นการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า เช่น โยนเรื่องที่ค้างจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กลับไปที่อุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งอุตสาหกรรมจังหวัดบางจังหวัดก็ระบุว่า ก่อนหน้านี้ยื่นเรื่องเข้าไปกว่า 6-7 เดือน แต่กลับโยนเรื่องกลับมาแล้วสั่งให้ตรวจสอบทุกอย่างให้ถูกต้องภายใน 15 วัน

นางสาวพิมพ์ภัทราจึงได้สั่งการให้ กรอ. และอุตสาหกรรมจังหวัด กลับไปทำข้อมูลให้ชัดเจนทั้งหมดว่า แต่ละรายยังติดปัญหาอะไร ติดที่ใคร อย่างไร และต่อไปจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นตออย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซาก และเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน

“เรื่องนี้รัฐมนตรีบอกในที่ประชุมว่า ตอนนี้ยังได้รับการร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง จนภาคเอกชนนำเรื่องนี้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ช่วยแก้ปัญหา เพราะนายกฯ เดินสายพบนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดึงเข้ามาลงทุนในไทย แต่จะไม่มีผลเลย ถ้ามาติดปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาต ร.ง.4

จึงเป็นเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงและเรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปพบ เพื่อขอรับทราบข้อเท็จจริง และขอให้ติดตามแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ไม่ให้เสียบรรยากาศของการลงทุน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้พูดกลางที่ประชุมตรง ๆ เลยว่า นักลงทุน มาพูดกับตนว่า ปัญหาการยื่นขอรับใบอนุญาต ร.ง.4 เวลานี้ คือ คุยแล้วไม่จบ เป็นเรื่องที่รับไม่ได้มาก ๆ ต้องเร่งแก้ให้เร็วที่สุด”

อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นที่คาดว่าทำให้การอนุมัติใบ ร.ง.4 ล่าช้า คือ เมื่อปลายปี 2565 ได้มีคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงในกรมรายหนึ่ง ออกคำสั่งแนวทางการดำเนินงานในการขอใบอนุญาต ให้กองที่รับผิดชอบดำเนินงานเสนอการขอใบอนุญาต ต้องเสนอเรื่องให้ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งเห็นชอบ ก่อนที่จะดำเนินการแจ้งให้ผู้ขอรับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มองว่าเป็นกระบวนการซ้ำซ้อน เสียเวลา ต้องรอให้คนคนเดียวตรวจสอบ เหมือนสมัยก่อนที่มีคณะกรรมการกลั่นกรองการพิจารณาอนุญาตโรงงานฯ ทำให้ล่าช้า ถูกร้องเรียนเชิงลบอย่างหนัก จนต้องยุบออกไป

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัญหาการออกใบอนุญาต ร.ง. 4 ล่าสุด ยังพบปัญหาช่องว่างระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) กรณีที่ สอจ.ต้องตรวจสอบคำขออนุญาตพร้อมข้อมูลที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ระบุไว้ เพื่อส่งให้ กรอ. พิจารณาอนุญาต แต่เจ้าหน้าที่ กรอ. อาจขอข้อมูลหรือคำชี้แจงเพิ่มเติมจากผู้ยื่นคำขออนุญาตอีก ส่วนมากจะขึ้นกับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่

ตรงจุดนี้ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สร้างความสับสน และเป็นภาระแก่ผู้ประกอบการได้ ต่อไปต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ควรใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนได้ให้ทุกฝ่ายกลับไปเช็กขั้นตอนรายละเอียดทั้งหมด และอะไรที่ยังเป็นปัญหา เพื่อให้ขั้นตอนทุกอย่างเป็นแนวทางเดียวกัน ทำให้ขั้นตอนอนุมัติเร็วขึ้น โดยให้เสนอกลับมาในที่ประชุมวันที่ 10 เมษายนนี้ เพื่อให้การแก้ปัญหาถึงต้นตอ ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีก

“ตนได้ย้ำกับผู้บริหารกระทรวงตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาให้ทำการปรับลดขั้นตอนการอนุญาตให้รวดเร็ว เน้นการบริการแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว เพราะท่านนายกรัฐมนตรีได้ชักชวนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องรับไม้ต่อในเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน โดยเฉพาะการออกใบอนุญาตต่าง ๆ ได้สั่งการให้เร่งเคลียร์คำขออนุญาตที่ค้างอยู่ในระบบให้หมดภายใน 30 วัน และให้ผู้ตรวจราชการทุกท่าน ตรวจสอบคำขออนุญาตในทุกจังหวัดว่ายังหลงเหลืออยู่จำนวนเท่าใด ติดขัดในขั้นตอนไหน ให้รีบแก้ไขเพื่อให้สามารถออกใบอนุญาตโรงงานได้โดยเร็ว

เรื่องนี้ตนไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนและผู้ประกอบการทุกคน แต่ก่อนตนเคยมาขอใบอนุญาตที่ กรอ. เคยประสบปัญหาความล่าช้ามาก่อน เข้าใจความรู้สึกดี และต้องไม่ให้เกิดในยุคของตน”

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ไม่มีทุจริตเชิงนโยบาย ลั่น!! ถ้าเจอหลักฐาน แจ้ง ป.ป.ช. ได้เลย ยินดีให้ความร่วมมือ

(3 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ชี้แจงฝ่ายค้านในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ สรุปได้ว่า การทำงานของกระทรวงมุ่งสร้าง ‘พลังงานเป็นธรรม’ โดยปัจจุบันค่าไฟรอบใหม่คงไว้ได้ไม่เกิน 4.18 บาทต่อหน่วย ส่วนน้ำมันเป็นโจทย์ยาก แต่จากนี้เมื่อมีการให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนการนำเข้าและส่งออก ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน และจะเริ่มแล้วในวันที่ 15 เม.ย.67 ก็จะส่งผลต่อการสร้างราคาที่เป็นธรรมต่อน้ำมันในอนาคตแน่นอน 

เกี่ยวกับกรณีที่ฝ่ายค้านขุดปมทุจริตเกี่ยวกับการประมูลสัมปทานผลิตไฟฟ้าให้ภาคเอกชน จนส่งผลให้รัฐต้องซื้อไฟจากเอกชนรายใหญ่ในราคาแพง สร้างภาระต่อเนื่องให้คนไทย แถมยังมีการกีดกัน กฟผ.ออกจากการประมูล ซึ่งกลายเป็นข้อครหาว่า เป็น ‘การประเคน’ มากกว่า ‘การประมูล’ นั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนกำลังหาทางแก้ไขเรื่องนี้อยู่ เพราะรับไม่ได้กับผู้ที่ได้ประมูล โดยไม่ได้มาจากการกำหนดหลักเกณฑ์ แต่ใช้เพียงดุลพินิจเลือก 

“ทาง ก.พลังงาน ต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน และแน่นอนว่าเป็นอีกเรื่องที่ผมได้เข้ามาจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ฉะนั้นขอยืนยันว่า รัฐบาลและ ก.พลังงานในยุคของผม ไม่มีการทุจริตเชิงนโยบาย มีแต่หาทางลดภาระประชาชนให้มากที่สุด หากฝ่ายค้านมีหลักฐานยื่น ป.ป.ช. ได้เลย ผมยินดีให้ความร่วมมือด้วยอีกแรง” นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘อโกด้า’ ชี้!! ‘อุดรธานี’ ขึ้นแท่นอันดับ 1 จังหวัดคุ้มค่าน่าเที่ยว ห้องพักราคาเฉลี่ย 1,022 บาท แซงหน้าแชมป์เก่าขอนแก่น

(3 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก Salika โพสต์ข้อความระบุว่า…

Pierre Honne, ผู้อำนวยการอาวุโสประจำประเทศไทย, อโกด้า กล่าวถึงผู้คนทั่วเอเชียต่างตั้งตารอวันหยุดนักขัตฤกษ์จำนวนมากที่กำลังจะมาถึง เช่น วันสงกรานต์ วันฮารีรายอ และโกลเด้นวีค ทั้งนี้ เดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีในการวางแผนหยุดไปท่องเที่ยวพักผ่อน ที่อโกด้าเรามุ่งมั่นช่วยให้ทุกคนออกเดินทางท่องโลกทั้งใบได้ในราคาที่ถูกลงอยู่เสมอ ซึ่งการแนะนำจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่าที่สุดในเอเชียก่อนช่วงวันหยุดที่จะมาถึงครั้งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเราที่เห็นได้อย่างชัดเจน

โดยอุดรธานี ครองอันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนขึ้นมาแย่งตำแหน่งแชมป์เก่าอย่างขอนแก่นที่อยู่อันดับเดียวกันในปี 2566 ที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็น 1 ใน 4 เมืองใหญ่ในภาคอีสาน อุดรธานีจึงเป็นจังหวัดที่คุ้มค่าที่จะไปเที่ยว

เมืองอันครึกครื้นแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากมาย เช่น สวนสาธารณะหนองประจักษ์ที่มีทะเลสาบล้อม ประตูมังกร และพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี อุดรธานีเป็นเมืองที่ไปเที่ยวง่ายเพราะมีสนามบิน นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือใครที่อยากไปต่อที่ลาว ก็สามารถไปเที่ยวชมความสวยงามของกรุงเวียงจันทน์ที่อยู่เพียงอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำโขงได้อย่างสะดวก (ราคาห้องพักเฉลี่ย 1,022 บาท)

ส่วนจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ที่มีราคาที่พักเฉลี่ยต่ำที่สุดในเอเชีย ได้แก่ สุราบายา (อินโดนีเซีย) เว้ (เวียดนาม) กูชิง (มาเลเซีย) อีโลอีโล (ฟิลิปปินส์) เบงกาลูรู (อินเดีย) นาริตะ (ญี่ปุ่น) และเกาสง (ไต้หวัน) ตามลำดับ 

'รัดเกล้า' เผย ‘ไทย-จีน’ เตรียมศึกษาวิจัยด้าน ‘อวกาศ’ ร่วมกัน ผลักดันขีดความสามารถบุคลากร สู่การสร้างเทคฯ อวกาศฝีมือคนไทย

(4 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเรื่องน่ายินดี การศึกษาวิจัยด้านอวกาศของประเทศไทยก้าวไปสู่อีกขั้น โดยล่าสุด ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบสองวาระ ที่จะช่วยส่งเสริมให้คนไทยไปได้ไกลกว่าแค่ชั้นบรรยากาศโลก โดยที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ และร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เพื่อเป็นการวางรากฐานความร่วมมือในการร่วมสร้างสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ การสำรวจและใช้ประโยชน์จากอวกาศ และอวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ รวมถึงดวงจันทร์และวัตถุในท้องฟ้าอื่น ๆ ซึ่งไทยจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายความร่วมมือด้านการสำรวจอวกาศเพื่อนำไปสู่การพัฒนากำลังคนในสาขาที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งการประยุกต์ใช้อวกาศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และกระชับความร่วมมือไทย - จีนในด้านอวกาศอย่างยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนากำลังคนและพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของไทยต่อไป

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ว่า ตลาดอุตสาหกรรมอวกาศทั้งโลกในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทคโนโลยีอวกาศแม้จะดูเหมือนไกลตัว แต่แท้จริงแล้วอยู่ในรอบตัวชีวิตประจำวัน อาทิ ด้านการติดต่อสื่อสาร แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และความร่วมมือจากหลายฝ่ายนำองค์ความรู้ ความสามารถและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ มาร่วมทำงานให้เกิด ผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม

“ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีอวกาศเป็นไปเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร รวมถึงยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงในประเทศ โดยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือที่ช่วยพัฒนากำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศน์สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอวกาศของประเทศให้เกิดขึ้นต่อไปได้อย่างยั่งยืน สู่การสร้างเทคโนโลยีดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทยในอนาคต” นางรัดเกล้า กล่าว

‘ก.พลังงาน’ ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บ./ลิตร ถึง 19 เม.ย. ย้ำ!! หากมีการปรับขึ้นราคา จะควบคุมไม่ให้ขึ้นพรวดในครั้งเดียว

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าขณะนี้กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างหารือเพื่อพิจารณาแนวทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศในรูปแบบต่าง ๆ อย่างเต็มที่ แต่หากไม่มีเงินเข้ามาสนับสนุน ก็จำเป็นต้องปล่อยให้ดีเซลปรับขึ้นไปเกิน 30 บาทต่อลิตร แต่จะเป็นการทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได โดยค่อย ๆ ลดการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลกมากขึ้น ที่สำคัญต้องกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด

“แต่การทยอยปรับราคาดีเซลขึ้นจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่คนเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดยาวนี้แน่นอน เพราะเห็นใจประชาชนที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงในการเดินทาง”

ทั้งนี้ ‘สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ จะยังช่วยอุดหนุนราคาดีเซลไปก่อนในอัตรา 4.57 บาทต่อลิตร ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ให้กองทุนอุดหนุนดีเซลเพิ่มเติมอีก 40 สตางค์ต่อลิตร จากก่อนหน้านี้อุดหนุนอยู่ 4.17 บาทต่อลิตร แม้มาตรการตรึงราคาดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตามนโยบายของรัฐบาล จะสิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา แต่กองทุนน้ำมันฯ ยังคงอุดหนุนราคาดีเซลด้วยตัวกองทุนน้ำมันฯ เองมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดภาษีสรรพสามิตดีเซลที่จะสิ้นสุดวันที่ 19 เม.ย.2567 ช่วยอยู่อีก 1 บาทต่อลิตร จากที่ต้องเก็บเต็มอัตรา 5.99 บาทต่อลิตร แต่นับตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.2567 จะเป็นอย่างไร ต้องมาลุ้นกันอีกที ซึ่งหากไม่มีมาตรการใด ๆ เข้ามาอุดหนุนเลย ราคาดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ 35-36 บาทต่อลิตร แต่ยืนยันว่ากองทุนน้ำมันฯ จะดูแลไม่ให้ปรับขึ้นพรวดพราดครั้งเดียวแน่นอน

ปัจจุบัน ณ วันที่ 4 เม.ย.2567 จะเห็นว่าราคาพรีเมี่ยมดีเซล B7 ที่ใช้เติมในรถยนต์ราคาแพง ได้เริ่มปรับขึ้นแล้ว 40 สตางค์ต่อลิตร อยู่ที่ 41.94 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล B7 B10 และ B20 ยังคงอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร

โดยกองทุนได้เข้าอุดหนุนในอัตรา 4.57 บาทต่อลิตร ไม่ให้ราคาดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ฐานะกองทุน ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 มีสถานะติดลบ 99,821 ล้านบาท เป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 52,729 ล้านบาท และบัญชีก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ติดลบ 47,092 ล้านบาท

รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและกลุ่มแก๊สโซฮอล์ในประเทศในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค.-4 เม.ย. 2567 ปรับขึ้นต่อเนื่อง 5 ครั้ง เป็นเงิน 2.10 บาทต่อลิตร ตามทิศทางตลาดโลก โดยเฉพาะราคาน้ำมันเบนซินและกลุ่มแก๊สโซฮอล์ ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินปรับขึ้นอยู่ที่ 47.84 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 38.48 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 39.95 บาทต่อลิตร E20 อยู่ที่ 37.84 บาท/ลิตร E85 อยู่ที่ 37.59 บาทต่อลิตร พรีเมี่ยม แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 47.64 บาทต่อลิตร

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2567 ณ วันที่ 5 ม.ค.4 เม.ย. 2567 ราคาน้ำมันเบนซินปรับขึ้นแล้ว 15 ครั้ง เป็นเงิน 6.10 บาท ขณะที่มีการปรับลดลง 4 ครั้ง เป็นเงิน 1.40 บาท ดังนั้น ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินปรับขึ้นสุทธิ 4.70 บาท

‘รมว.ปุ้ย’ จี้แก้ปมกากแร่พิษหมื่นตัน จ.สมุทรสาคร สั่งระงับการขนย้าย ให้นำฝังกลบตามมาตรฐานฯ

(5 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก ขายกากแร่สังกะสีและกากแร่แคดเมียมที่ฝังกลบในพื้นที่จังหวัดตาก ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลกระทบต่อประชาชนเนื่องจากกากแร่ดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้นั้น 

ขอชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 2566 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและจังหวัดสมุทรสาคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 และมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 สั่งอายัดกากแคดเมียมและกากสังกะสีดังกล่าว พร้อมทั้งสั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ห้ามนำกากแคดเมียมและกากสังกะสีเข้าสู่กระบวนการผลิต ให้ปรับปรุงแก้ไขโรงงานเก็บและดำเนินคดีทะเบียนโรงงานตามกฎหมาย

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวได้รับใบอนุญาตประกอบโลหะกรรมแร่สังกะสี และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม ผลิตโลหะสังกะสีแท่ง สังกะสีอัลลอย โลหะแคดเมียม และผลิตโลหะทองแดง ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบโลหะกรรม แต่ยังคงไว้ซึ่งใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน โดยการฝังกลบ (Landfill) กากแร่ ซึ่งอยู่ในรูปของโลหะผสมกับปูนซีเมนต์และยึดเกาะกันเป็นเนื้อแน่นไว้ในบ่อเก็บกากแร่ ซึ่งปูพื้นและปิดทับด้วยวัสดุกันซึม (HDPE) และคอนกรีต ซึ่งเป็นไปตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม 

และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 บริษัทได้ทำการขนย้ายกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกจากโรงงานเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ โดยโรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งประกอบกิจการหลอมหล่ออลูมิเนียมแท่ง อะลูมิเนียมเม็ด จากเศษอะลูมิเนียมและตะกรันอะลูมิเนียม (SCRAP AND DROSS) และได้เริ่มทำการขนย้ายกากที่บรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ถึงปัจจุบัน รวมประมาณ 13,450 ตัน

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้ตรวจสอบโรงงานดังกล่าว พบว่า มีการดำเนินการที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้อายัดกากแคดเมียม กากสังกะสี และส่วนของอื่น ๆ ไว้เพื่อตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว 

ส่วนบริษัทในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เพื่อเก็บตัวอย่างกากแคดเมียม กากสังกะสี มาตรวจวิเคราะห์ และสั่งการให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการในส่วนของนำกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกนอกบริเวณโรงงาน และให้นำกลับมาดำเนินการให้เป็นตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดไว้ในเงื่อนไขใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานโดยเร่งด่วนต่อไป

“เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา กรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนอธิบดีกรมอนามัย และผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) มาให้ข้อมูลจึงทราบว่าก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้อายัดกากแร่ดังกล่าวไว้แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งดิฉันได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วน เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดพร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวปิดท้าย

'ดร.ก้องเกียรติ' เตือน!! อีก 20 ปี ภาวะโลกเดือด อาจพามนุษย์ล้มตายครั้งใหญ่ ชู!! คาร์บอนเครดิต ทางออกรักษ์โลกที่มีเงินมาช่วยดึงดูดทุกภาคส่วน

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'ดร.ก้องเกียรติ สุริเย' ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี เทค จำกัด ในประเด็นปัญหาโลกร้อน (Global Warming) สู่ปัญหาโลกเดือด (Global Boiling) ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 6 เม.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

ปัญหาทุกวันนี้เกิดจากก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ซึ่งมีหน้าที่สะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ เพื่อควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้ร้อนจัดหรือเย็นจัด หรือเปรียบเสมือนเป็นผ้าห่มคลุมโลกของเราอยู่นั่นเอง แต่เนื่องจากมนุษย์ได้ดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดการปล่อยควัน ปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเรื่อยมา เช่น ควันไอเสียจากรถยนต์ มลพิษที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ก๊าซเรือนกระจกที่เปรียบเสมือนผ้าห่มคลุมโลกมีความหนามาก จนมาแตะโลก จึงทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็เกิดปรากฏการณ์ Monster Asian Heatwave อากาศร้อนจัดอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อประเทศในแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะจังหวัดตากของประเทศไทย

นอกจากนี้ โลกร้อนยังส่งผลกระทบให้เกิดปัญหา PM 2.5 อีกด้วย เนื่องจากเมื่อสภาพอากาศร้อนจัด ฝุ่น PM 2.5 จะลอยตัวขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ แต่เมื่อกระทบกับก๊าซเรือนกระจกที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น ฝุ่นก็ไม่สามารถลอยขึ้นไปได้ เมื่อฝุ่นนิ่งไม่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 เมื่อหายใจเข้าไปอาจส่งผลอันตรายและเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง 

ส่วนสำคัญของปัญหาเหล่านี้ มาจากในปัจจุบันมนุษย์มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าไปมาก แต่ก็อยากรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งมันสวนทาง ก็เลยเกิดกฎเกณฑ์ใหม่อย่าง คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) และคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ขึ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการดำเนินกิจกรรมหรือการกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์ เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน 

ปัจจุบันในระดับโลกให้ความสำคัญเรื่องนี้ โดยมีการจัดประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ซึ่งมีเป้าหมายใน ค.ศ. 2030 ที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องช่วยกันลดความหนาของก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 45%-50% ด้วยการหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือปลูกต้นไม้เพื่อดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ภายใต้คำเตือนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่หากประเทศต่าง ๆ ยังนิ่งเฉย ภาวะโลกร้อนนี้ ก็จะทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นได้อีกด้วย

เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้ทุกคนไม่คิดจะทำอะไรเลย ปัญหาโลกร้อนจะเป็นอย่างไร? ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า โลกจะเย็นลงและอาจจะเกิดหายนะขึ้นได้ เช่น น้ำท่วมโลก ปรากฏการณ์พายุรุนแรง ฝุ่น PM 2.5 เพิ่มมากขึ้น จนทำให้มนุษย์ล้มตายจำนวนมาก คล้าย ๆ กับทฤษฎีการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ก็เป็นได้ 

ทั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติ ได้แนะอีกด้วยว่า หลักการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดในตอนนี้ คือ การนำปัญหานี้มาเป็นธุรกิจ สร้างธุรกิจรักษ์โลก ที่ได้เงิน หรือก็คือการใช้กลไก คาร์บอนเครดิต หมายถึง ถ้าเราช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือลดความหนาของผ้าห่มคลุมโลกได้เท่าไหร่ แล้วนำปริมาณนั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ สร้างมูลค่าเพิ่มได้ ด้วยการทำกิจกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีองค์กรกลางในการตรวจสอบรับรอง จึงจะสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 

สุดท้าย ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า การรักษ์โลกต่อจากนี้ อาจไม่ใช่การทำ CSR (Corporate Social Responsibility) เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างให้เป็นธุรกิจได้จริงเสียที

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! Q2 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว' เดินหน้าเต็มตัว ปลุกเศรษฐกิจไทยฟื้น คลายทุกข์คนไทย ต่างชาติสนใจแห่ลงทุน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว แรงผลักเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไตรมาส 2' เมื่อวันที่ 7 เม.ย.67 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้...

การเติบโตที่น่าผิดหวังของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และต่อเนื่องมายังไตรมาสแรกของปี 2567 ทำให้หลายสำนักต้องปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงมาเหลือไม่ถึง 3% ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุนในประเทศเป็นอย่างมาก

แต่ท่ามกลางความหดหู่และความมืดมัว เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ปรากฏขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 โดยวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลจะแถลงความชัดเจนของมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ซึ่งถือเป็นมาตรการ Flagship ของรัฐบาลนี้ 

หลายฝ่ายรวมทั้งฝ่ายค้านมัวหลงประเด็นอยู่ที่เรื่องแหล่งที่มาของเงิน แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณแผ่นดินหรือกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน แหล่งเงินดิจิทัลวอลเล็ตก็จะต้องมาจากเงินกู้ทั้งนั้น เพราะขณะนี้เรามีงบประมาณขาดดุล เนื่องจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงต้องมาจากการกู้เงินเท่านั้น หากไม่ออกกฎหมายให้อำนาจกู้เงิน ก็อาจออกเป็นงบประมาณกลางปี ซึ่งก็ดูจะเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ประเด็นอยู่ที่จังหวะเวลา หากออกมาได้เร็วก็จะช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี

ในเรื่องแหล่งเงิน ระยะต่อไปรัฐบาลต้องปฏิรูปภาษีอากรเพื่อเพิ่มรายได้ และลดการพึ่งพาการกู้เงิน แต่ไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนกล้าแตะประเด็นนี้เลย

พร้อมกันในวันที่ 10 เมษายน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงประมาณ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเชิงนโยบาย (Policy Blunder) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยเสริมมาตรการทางการคลังที่กล่าวข้างต้นในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี แต่จะให้ดีกว่านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะต้องออกมาขอโทษประชาชนที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนจากความผิดพลาดของตนเอง

แผนงาน Ignite Tourism Thailand ของรัฐบาล ซึ่งได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เริ่มปรากฏผลชัดเจนขึ้น เมื่อการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสแรก และคงจะคึกคักไปตลอดทั้งปี รัฐบาลไทยลงทุนด้านการท่องเที่ยวไปมากในรูปของรายได้จากค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูญเสียไป รายได้ภาษีสุราที่สูญเสียจากการลดอัตราจัดเก็บภาษีสุรา ดังนั้นต้องดูแลให้นโยบายการท่องเที่ยวเกิดผลสัมฤทธิ์และสร้างรายได้กลับคืนคลัง

เชื่อมั่นว่าด้วยการผสมผสานนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการท่องเที่ยวให้ไปในทิศทางเดียวกัน ปี 2567 นี้จะเป็นปีทองของการลงทุนไทยอย่างแน่นอน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top