Monday, 12 May 2025
GoodsVoice

กลุ่ม KTIS เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนรายได้สายธุรกิจชีวภาพ ชู!! บรรจุภัณฑ์ชานอ้อย 100% เชื่อ!! เติบโตตามเทรนด์โลก

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.66 ได้พูดคุยกับ นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ถึงแนวโน้มธุรกิจในสายชีวภาพ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย 100% ว่ามีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะอยู่ในกระแสหลักของโลก โดยมีเนื้อหาดังนี้...

หากจะพูดถึงกลุ่ม KTIS เราดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เน้นการเพิ่มมูลค่า ลดความสูญเสีย และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มาเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยวัตถุดิบตั้งต้นในห่วงโซ่การผลิตเป็นไบโอ (B) คืออ้อย และนำมาต่อยอดในสายธุรกิจชีวภาพ โดยใช้ผลพลอยได้ทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นกากอ้อย (ชานอ้อย) กากน้ำตาล (โมลาส) หรือแม้กระทั่งใบอ้อย จนแทบจะไม่มีความสูญเสียระหว่างทาง หรือที่เรียกว่า Zero Waste 

ยกตัวอย่าง เช่น การหีบอ้อยได้น้ำอ้อยไปทำน้ำตาลทราย ส่วนชานอ้อยก็นำไปทำเยื่อกระดาษชานอ้อย รวมถึงต่อยอดไปเป็นภาชนะและบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยและหลอดชานอ้อย 100% ส่วนชานอ้อยอีกส่วนหนึ่งยังนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ส่วนโมลาสหรือกากน้ำตาล ก็นำไปผลิตเอทานอล ซึ่งการลงทุนในสายธุรกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่องครบวงจรนี้ ก็คือตัว C หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามโมเดล BCG นั่นเอง

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ในด้านของเศรษฐกิจสีเขียว หรือ G นั้น ทางกลุ่ม KTIS ก็ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS เป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ก่อก๊าซเรือนกระจก เช่น การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล เยื่อกระดาษจากชานอ้อย หรือไบโอเอทานอล ทำให้บริษัทในกลุ่ม KTIS ได้รับการรับรองด้านการจัดการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น iso14001 และยังรวมไปถึงการได้รับการรับรองทั้งกระบวนการใน supply chain ตั้งแต่ในไร่อ้อย เช่น มาตรฐาน Bonsucro และ VIVE program ซึ่งยืนยันในเรื่องการทำไร่อ้อยอย่างยั่งยืน

เมื่อถามถึงโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย? นายสมชาย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน, ชาม, กล่อง, ถาดหลุมนั้น มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก โดยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกสีเยื่อกระดาษ ทำให้ได้เยื่อกระดาษชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ปลอดภัยในการใช้บรรจุอาหารไม่ว่าจะร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็สามารถใช้ได้ อีกทั้งก่อนที่จะส่งถึงมือผู้บริโภค ยังได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV อีกด้วย 

นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยของกลุ่ม KTIS นั้น ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น สามารถใส่น้ำโดยไม่รั่วซึม สามารถนำเข้าเตาอบและเตาไมโครเวฟได้ ไม่มีสารปนเปื้อนก่อมะเร็ง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 45 วัน โดยได้รับใบรับรองมาตรฐานระดับโลกด้านการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์ (Products made of compostable materials for industrial composting Clamshell and Plate) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยบริษัทผู้ตรวจสอบชั้นนำของประเทศไทย ในการรับรองระบบมาตรฐานโรงงานด้านความปลอดภัยของอาหาร ด้านการผลิต Food Packaging เช่น FSSC 22000, ISO 22000, GHPs/HACCP เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จากศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในสายชีวภาพ นายสมชาย เชื่อว่า จะทำให้บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจน้ำตาลทราย และจะช่วยทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความผันผวนน้อยลง เนื่องจากรายได้และกำไรของสายธุรกิจน้ำตาลนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณอ้อยที่ผลิตได้ในแต่ละปีแล้ว ยังอิงกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก

‘รมว.ปุ้ย’ จัดเต็ม!! 4 ของขวัญ ‘หนุนผู้ประกอบการ-ประชาชน’ ‘เติมทุน-เพิ่มโอกาส-กระจายรายได้-สินค้าดีราคาพิเศษ’ รับปีใหม่

(20 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้ทุกกระทรวงจัดเตรียมแผนงานและโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้กับประชาชน เพื่อช่วยเหลือในการลดค่าครองชีพช่วงเทศกาลสำคัญ เพื่อส่งความสุขให้กับประชาชน และลดค่าใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อสินค้า อีกทั้งยังส่งเสริมการขายและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินการรวบรวมโครงการ/กิจกรรม ที่สามารถให้การช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย...

1. ด้านสินค้าและบริการดี ราคาพิเศษ กระทรวงฯ ร่วมกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ซีพี โฟตอน เซลส์ จำกัด จัดโปรโมชั่น สิทธิพิเศษ ลดค่าใช้จ่าย (แต่ละค่ายรถยนต์เป็นผู้กำหนด) ให้กับประชาชนที่สนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เช่น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ฟรีค่าติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้า ฟรีประกันชั้น 1 เป็นต้น ขณะเดียวกันยังลดราคาหนังสือ มอก. และมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ (มตช.) 75 % ของราคาปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567 เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ให้ทุกภาคส่วนนำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ ไปใช้ได้อย่างถูกต้องทั่วถึงในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม

2. ด้านเติมทุน เสริมสภาพคล่อง กระทรวงฯ ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและลดค่าบริการ เช่น เตรียมการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี พ.ศ. 2567 ให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 และ 3 ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และใบแทนใบอนุญาต มอก. ฉบับละ 3,000 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบรับรองหน่วยตรวจสอบและรับรอง (หน่วยตรวจ หน่วยรับรอง ห้องปฏิบัติการ) ฉบับละ 10,000 บาท และคำขอใบรับรอง ฉบับละ 1,000 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เช่น สินเชื่อพิเศษเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ดีพร้อม (DIPROM PAY) วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการที่ต้องการระยะเวลาการกู้ยาว (Loan for SMEs by Tenor) วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด ไม่เกิน 10 ปี สินเชื่อธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม (DIPROM Pay for BCG) วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 7 ปี เป็นต้น

3. ด้านเพิ่มโอกาส เสริมแกร่งธุรกิจ กระทรวงฯ ได้ให้คำปรึกษาแนะนำ/บริการด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งออกแบบตราสินค้า ฉลากสินค้าและต้นแบบบรรจุภัณฑ์ ฟรี แกะกล่องของขวัญ เทรนด์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ฟรี ได้แก่ Workshop พัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio Tech Academy) Workshop นำเสนอเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย พร้อมสาธิตและทดลองใช้งาน หลักสูตรอบรม พัฒนาองค์ความรู้ด้าน Low Cost Automation และการผลิตแบบ Toyota และ Workshop พัฒนาบุคลากรไปสู่นักนวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมฝึกอบรมสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานระบบการบริหารจัดการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จำนวน 10 รุ่น เช่น หลักสูตรระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร และระบบการจัดการสุขลักษณะที่ดีในสถานประกอบการ (GHPs/HACCP version 2022) เป็นต้น

4. ด้านกระจายรายได้สู่ชุมชนรอบอุตสาหกรรม กระทรวงฯ ได้เร่งจ่ายเงินตัดอ้อยสดฤดูการผลิตปีที่ผ่านมา จัดหาเครื่องสางใบอ้อยมาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยยืมใช้ แจกอ้อยพันธุ์ดี และดำเนินโครงการเหมืองแร่ปลอดภัยห่วงใยประชาชนปี 7 ซึ่งจะจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพของประชาชน โดยรอบสถานประกอบการเหมืองแร่ จัดนิทรรศการให้ความรู้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ และต่อยอดจากการทำเหมือง มอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน ให้แก่ชุมชนรอบเหมือง มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์ทางการแพทย์

"กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนให้สามารถดำเนินธุรกิจและการดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และก้าวเข้าสู่ปี 2567 ด้วยความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยโครงการของขวัญปีใหม่ 4 ด้าน และโครงการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นตลอดทั้งปีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและประชาชนอย่างแท้จริง และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวปิดท้าย

‘TVD-ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย’ ผนึกกำลังขยายช่องทางการตลาด ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ายุคดิจิทัล พร้อมระบบจัดส่งแบบครบวงจร

(20 ธ.ค. 66) ที่ Clubhouse บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชน กับ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด โดยมีนางนันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล, นายปรากรม วุฒิพงศ์ กรรมการบริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด และนายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด และนางสาวจิราภรณ์ พินิจนรชัย กรรมการบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ร่วมลงนาม

การลงนามในความร่วมมือครั้งนี้ ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้ง 2 องค์กร โดย ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย มีสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค จากการเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชและเอกชน ซึ่งมีความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์สูง จากการวิจัยพัฒนาและมาตรฐานการผลิต ขณะเดียวกัน ทางทีวี ไดเร็ค มีประสบการณ์ด้านการตลาดแบบตรงมากกว่า 24 ปี และการมีกลุ่มธุรกิจในเครือที่แข็งแกร่ง ทั้งทีวี โฮมช็อปปิ้ง คอลเซ็นเตอร์ การทำตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ การบริการคลังสินค้า และขนส่งสินค้าแบบครบวงจร ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าของทั้ง 2 องค์กรได้อย่างแน่นอน

นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว เชื่อมั่นว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท ขณะเดียวกันยังสอดคล้องของแนวทางของ ทีวี ไดเร็ค ที่มุ่งสู่การเป็น Service Enabler ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการช่วยสร้างตลาดให้กับพันธมิตรคู่ค้าแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อออกแบบและใช้สื่อที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ในการดำเนินธุรกิจของทีวี ไดเร็ค ที่จะไม่ใช่เพียง TV Home Shopping อีกต่อไป

สำหรับ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด เป็นหนึ่งในประเภทธุรกิจ ของบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TVDH) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของคณะผู้บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร มากกว่า 24 ปี มีสินค้าหลากหลาย อาทิ สินค้าประเภทอาหารเสริมและสุขภาพ เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องออกกำลังกาย สินค้าแฟชั่นและความงาม และสินค้าอื่น ๆ อีกหลายประเภท ผ่านช่องทางการตลาดหลากหลายช่องทาง (Omni-Channel Marketing) อาทิ ช่องทางโทรทัศน์ ผ่านระบบโทรทัศน์ภาคปกติ (Free TV) และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ทั้ง C BAND และ KU BAND, ช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม 

ขณะที่ บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง องค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสมุนไพรไทยให้แพร่หลายยิ่งขึ้น มีโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมาตรฐานระดับสากล ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมวังจุฬา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพร โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากองค์การเภสัชกรรม ซึ่งทางบริษัทมุ่งเน้นในเรื่องการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อส่งเสริมและรักษาสุขภาพ รวมทั้งมุ่งเน้นเป็นผู้นำด้านการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพร

'รมว.ปุ้ย' กำชับทุกนิคมฯ 'ควบคุม-ติดตาม' ฝุ่น PM 2.5 วอน!! ต้อง 'จริงจัง-ต่อเนื่อง' เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กำชับควบคุม/ติดตามตรวจสอบฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง-จริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม อยู่เคียงคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

(21 ธ.ค.66) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งหามาตรการเพิ่มสำหรับ การลดฝุ่น PM 2.5 ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืนนั้น ที่ผ่านมา กนอ. มีการดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อควบคุมติดตามตรวจสอบ ในการลด PM 2.5 ตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง คือ...

1.กำหนดค่ามาตรฐานของการระบายมลพิษทางอากาศในรูปแบบ Loading โดยคำนึงถึงความสามารถหรือรูปแบบในการรองรับมลพิษทางอากาศ ตามประกาศ กนอ. ที่ 79/2549 เรื่อง กำหนดอัตราการปล่อยมลสารทางอากาศจากปล่องของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และนำค่า Emission Loading ที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของนิคมอุตสาหกรรมใช้ในการอนุมัติจัดตั้งโรงงานในอนาคต ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมายังคงเป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด 

2.ขอความร่วมมือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม จัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อการป้องกัน แก้ไข และลดปัญหาฝุ่นละอองรวม และฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และ 3.กำหนดให้มีการตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตามวิธีการตรวจวัดที่เป็นไปตามหลักวิชาการในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. กำกับดูแล จำนวน 14 แห่ง และ 1 ท่าเรืออุตสาหกรรม ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม โดยผลการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ตั้งแต่ปี 2563-2565 นั้น มีค่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน

"กนอ. ยังคงมุ่งมั่นในการควบคุม ดูแล และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยกำหนดมาตรการต่างๆ ไว้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมทุกด้าน มั่นใจว่าสามารถช่วยให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถประกอบกิจการควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน" นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 (19 ธ.ค.66) พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในภาพรวมนั้นปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยพบพื้นที่เกินค่ามาตรฐานหลายแห่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จึงควรหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 สูง และควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ภาคอื่นๆ พบว่า ภาคเหนือ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ภาคกลางและตะวันตก อยู่ในเกณฑ์ดี และ ภาคตะวันออก อยู่ในเกณฑ์ดี

‘MOSHI’ ปลื้ม!! ติดโผดัชนี ‘SET100’ รอบครึ่งปีแรกของปี 67 ตอกย้ำศักยภาพ ผู้นำบิ๊กธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย

(21 ธ.ค. 66) เป็นหุ้นที่ขึ้นทำเนียบขวัญใจนักลงทุนไปเสียแล้ว สำหรับ บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ‘MOSHI’ ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ประกาศให้หุ้น MOSHI เข้าไปคำนวณอยู่ในกลุ่มดัชนี SET100 รอบครึ่งปีแรกของปี 2567 (1 มกราคม-30 มิถุนายน 2567)

แสดงให้เห็นว่า หุ้นของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนรายย่อย สถาบันทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับการบริหารงานที่โดดเด่นของซีอีโอ MOSHI อย่าง ‘นายสง่า บุญสงเคราะห์’ ที่โชว์ฟอร์มทำผลงานปี 2566 อย่างเต็มกำลัง

อีกทั้งยังประกาศอัปเป้าหมายรายได้เติบโตกว่า 30% พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย

‘ไทยสมายล์’ ยืดเวลาให้บริการรถเมล์ 24 ชม. พร้อมเปิดเดินเรือถึงตี 3 รับเทศกาลปีใหม่

(21 ธ.ค. 66) นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถเมล์และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากจะออกเดินทางท่องเที่ยว เพื่อชื่มชมความงดงามของกิจกรรมงานเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 โดยเฉพาะสถานที่ไฮไลท์ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพ-ปริมณฑล เช่น ไอคอนสยาม ที่มีการจัดงาน Thailand Amazing Countdown

ดังนั้น บริษัทจึงได้ขยายเวลาให้บริการรถเมล์ไฟฟ้า ไทย สมายล์ บัส ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มเติม (เฉพาะคืนวันปีใหม่) จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4-1 ท่าเรือพระประแดง-บางลำพู (เลขสายเดิม 6) กับสายรถ 3-45 พระรามสาม - หมอชิต2 (เลขสายเดิม 77) ซึ่งจะมีรถให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการตามแนวทางของกรมการขนส่งทางบก และนโยบาย Quick Win ‘คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน’

ขณะเดียวกันทางบริษัทยังมีรถเมล์ไฟฟ้าที่คอยบริการตลอดคืนอยู่แล้วอีก 6 เส้นทาง ได้แก่ 1-3 (34) บางเขน-หัวลำโพง, 1-2E (34E) รังสิต-หัวลำโพง (ทางด่วน) ผ่านสามย่านมิตทาวน์, 1-37 (27) มีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผ่านเดอะมอลล์บางกะปิ, 1-39 (71) สวนสยาม - คลองเตย ผ่านเอ็มควอเทียร์, 3-1 (2) ปากน้ำ-ท่าเรือสะพานพุทธ ผ่านเอ็มสเฟียร์, และ 4-36 (7) โรงเรียนศึกษานารีวิทยา 2 - หัวลำโพง ผ่านห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ซีคอนบางแคร์

ด้านบริษัท ไทย สมายล์ โบ้ท จำกัด ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ได้ขยายระยะเวลาให้บริการยาวถึงตี 3 ทั้ง เรือข้ามฟาก ไอคอนสยาม - ท่าเรือสี่พระยา - ท่าเรือแคททาวเวอร์, เรือรับส่ง Shuttle Boat บุคคโล - ไอคอนสยาม ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมกับเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าสายสีเขียว (City Line) สาทร-พระปิ่นเกล้า และเพื่อรองรับพี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้านหลังงานเคาท์ดาวน์ข้ามปี เพื่อเฉลิมฉลองค่ำคืนแห่งความสุข

‘สุริยะ’ สั่งเข้ม!! คุมความปลอดภัยไซด์ก่อสร้าง ‘คมนาคม’ พร้อมมอบ 6 มาตรการ ป้องกันอุบัติเหตุ-ลดการสูญเสีย

(21 ธ.ค. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ได้ประชุมคณะกรรมการกำกับตรวจสอบความปลอดภัยโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม และมาตรการความปลอดภัยในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยมีคณะทำงานของกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยบริษัทเอกชนประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง เข้าร่วมหารือ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคมที่อาจจะเกิดขึ้น นำไปสู่การส่งผลกระทบในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม พบว่า ในรอบปี 2565 เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคานสะพานกลับรถถล่ม เหตุมวลน้ำที่ขังในผ้าใบร่วงใส่รถ และเหตุท่อนเหล็กไถลไปถูกรถ ขณะที่ในปี 2566 ได้เกิดเหตุบนถนนพระราม 2 อีก 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคาน Segment หล่น เหตุโครงแผงผ้าใบถูกกระแทกไปโดนกระจกหน้ารถประจำทางสาธารณะ และเหตุการณ์ล่าสุดเหล็กแบบหล่นทับคนงานเสียชีวิตในโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก สัญญา 1

นายสุริยะ กล่าวว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายครั้งดังกล่าว ในการประชุมครั้งนี้จึงได้มอบหมายให้เร่งจัดตั้งคณะทำงานฯ เพื่อเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ พร้อมทั้งสำรวจและติดตามด้านความปลอดภัย ก่อนที่จะนำมาพิจารณาและกำหนดแนวทางที่เข้มงวดในอนาคตต่อไป รวมถึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้าง ให้ตระหนักถึงมาตรการเชิงป้องกันและนำระบบการตรวจการณ์ความปลอดภัย Safety Audit มาใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้อุบัติเหตุเกิดซ้ำขึ้นอีก

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไข กฎระเบียบ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ไม่ประมาท และเข้มงวดกวดขัน ตรวจสอบ รวมถึงกำกับดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดตามหลักมาตรฐานด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่มีปริมาณการจราจรสูง เพื่อไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ

นายสุริยะ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานและผู้รับจ้างดำเนินการตาม 6 มาตรการ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ดังนี้

1. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินกิจกรรมก่อสร้าง เน้นความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงาน ตามนโยบาย “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” มิให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างก่อสร้าง

2. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมในพื้นที่ก่อสร้างและพื้นที่ผิวจราจรที่เปิดให้บริการประชาชน

3. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการบริหารโครงการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในช่วงการออกแบบ (Design Stage) ช่วงจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement Stage) และช่วงก่อสร้าง (Construction Stage)

4. ให้ทุกหน่วยงานออกมาตรการกำกับผู้รับจ้างและกำหนดบทลงโทษหากพบว่าผู้รับจ้างละเลยการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว

5. ควรมีการสร้างเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ ความปลอดภัยในการทำงานแก่บุคลากรในโครงการก่อสร้าง โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติ สามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งสองทาง (Two - ways Communication)

6.ให้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัยในโครงการก่อสร้าง เช่น การตรวจสอบ Checklist ความปลอดภัย ผ่านระบบ Mobile Applications

อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานและผู้รับจ้างปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานให้กระทรวงคมนาคมรับทราบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะต้องไม่เกิดอุบัติเหตุในโครงการของกระทรวงคมนาคม และในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่จะถึงนี้ ประชาชนต้องสามารถเดินทางสัญจรได้โดยสะดวก และถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

‘GULF-AIS’ ลุย ‘ติดแผงโซลาร์-ต่อเสาสื่อสาร’ ให้ชุมชนห่างไกล หวังเพิ่มโอกาส ‘ทางการศึกษา-การเข้าถึงบริการสาธารณสุข’

(21 ธ.ค. 66) นายธนญ ตันติสุนทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจระบบโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ AIS ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ในโครงการ GULF X AIS SOLAR SYNERGY: A SPARK OF GREEN ENERGY NETWORK ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่ชุมชนพร้อมติดตั้งระบบสื่อสารจากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้แก่ชุมชนห่างไกล นำร่องที่บ้านดอกไม้สด ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ก่อนขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ

GULF จะส่งมอบระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ ให้แก่ชุมชนแต่ละแห่งตามสภาพปัญหาของชุมชนนั้นๆ เช่น ปัญหาด้านสาธารณสุข รวมทั้งการป้องกันและรักษาโรคในเบื้องต้น ระบบไฟฟ้าเพื่อการเรียนการสอน ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ระบบกรองน้ำดื่ม ระบบสูบน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค เป็นต้น รวมไปถึงการให้ความรู้พื้นฐานเรื่องพลังงานสะอาด การบำรุงรักษาแผงโซลาร์เซลล์ และการดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ส่วน AIS จะนำระบบสื่อสารโทรคมนาคมด้วยพลังงานโซลาร์เซลล์ เพื่อให้ชุมชนนั้นๆ ได้ใช้ประโยชน์ด้านการติดต่อสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆ บนโลกออนไลน์ พร้อมเติมเต็มโอกาสในการเข้าถึงระบบการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพแบบ ‘แพทย์ทางไกล’ ผ่านเทคโนโลยี Telemedicine รวมทั้งใช้เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ชุมชนผ่านเครือข่ายออนไลน์ ซึ่งจะช่วยสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้ โดยได้เริ่มโครงการนำร่องแห่งแรกที่บ้านดอกไม้สด ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขา ขาดแคลนไฟฟ้า มีประชากรประมาณ 700 คน รวม 160 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรทำไร่ข้าวโพด

แม้บ้านดอกไม้สดจะอยู่ห่างจากตัวอำเภอท่าสองยางเพียง 40 กิโลเมตร แต่ด้วยสภาพเส้นทางดินลูกรังและเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก ใช้เวลาเดินทางเข้าสู่พื้นที่กว่า 3 ชั่วโมง ยิ่งในช่วงฤดูฝน เส้นทางสัญจรแทบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ประชาชนในพื้นที่จึงไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณูปโภค และระบบการสื่อสารต่างๆ ยังรวมถึงการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที เราจึงเลือกที่นี่เป็นพื้นที่นำร่อง ก่อนที่จะขยายผลไปในพื้นที่อื่นๆ ทุกภาคทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

“เพราะเราทั้งสององค์กรต่างตระหนักดีว่า ระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสาร คือ สาธารณูปโภคที่จำเป็นและสำคัญยิ่ง ดังนั้นประชาชนในทุกพื้นที่ ควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม จึงถือเป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อมาสู่พนักงานทุกคนที่ต่างสนับสนุนภารกิจนี้อย่างเต็มที่ ภายใต้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในแต่ละส่วนงาน โดยโครงการนี้ยังถือว่าสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาด้านความยั่งยืน ที่เกิดจากการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนและการพัฒนาโครงข่ายพร้อมบริการดิจิทัล ซึ่งสามารถสร้างประโยชน์ ครอบคลุมทั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (Economy) สังคม (Social) และการยืนหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อม (Environment) นั่นเอง”

ด้านนางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ร่วมกันกล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดในการทำงานของ GULF และ AIS คือ ใช้ขีดความสามารถทางธุรกิจของแต่ละบริษัท ในการยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทย ให้เท่าเทียมและทั่วถึง พร้อมสนับสนุนภารกิจของภาครัฐในการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการประสานความร่วมมือกัน โดยใช้องค์ความรู้และประสบการณ์จาก GULF ที่เชี่ยวชาญการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจากเทคโนโลยีทันสมัย และ AIS ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสื่อสารและดิจิทัล ส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและสื่อสาร อย่างระบบไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้แก่คนไทยในพื้นที่ซึ่งยากแก่การที่สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจะเข้าถึง

‘พีระพันธุ์’ แจ้งข่าวดี!! ‘OR’ ร่วมมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ตรึงราคาน้ำมัน-เช็กสภาพรถฟรี เริ่ม 24 ธ.ค.66 - 3 ม.ค.67

(21 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในช่วงปีใหม่ เป็นเทศกาลแห่งความสุข ประชาชนมีการเดินทางกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาของขวัญปีใหม่เพิ่มเติมให้แก่ประชาชน

ส่วนปีหน้าก็มีแผนการดำเนินงานด้านพลังงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ตั้งแต่ระดับเศรษฐกิจฐานรากไปจนถึงเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศ รวมทั้งจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิดให้เกิดความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เป็นของขวัญปีใหม่ในปี 2567

โดยในส่วนของการเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยว บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิด ตลอด 10 วัน ในช่วงระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2567 (หากราคาตลาดโลกลดลง ก็จะปรับราคาในประเทศลงด้วย) นอกจากนั้น เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง และลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน สามารถนำรถยนต์เข้าตรวจสภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ก่อนการเดินทางในช่วงปีใหม่ที่สถานีบริการ FIT Auto จำนวน 35 รายการ พร้อมให้บริการเติมลมยางไนโตรเจนและปะยางฟรี อีกทั้งยังจัดส่วนลดสินค้าเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน รวมถึงช่วยป้องกันและลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567

ในส่วนของการจับจ่ายใช้สอย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. จัดแคมเปญฉลากเบอร์ 5 โฉมใหม่ ลุ้นโชคใหญ่ โดยการมอบสิทธิส่วนลด ซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดฉลากเบอร์ 5 ใหม่ ได้ส่วนลด 200-1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า) รวม 15,000 สิทธิ ณ ห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการ

ดังนี้ HomePro, MEGA HOME, The Mall, ไทวัสดุ, Power Buy, Power Mall, Paragon, Emporium รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2567 หรือจนกว่าสิทธิจะหมด นอกจากนั้น ทุกใบเสร็จยังได้สิทธิลุ้นของรางวัลรวมกว่า 1,500,000 บาท

นอกจากนั้น กรมธุรกิจพลังงาน ได้ประกาศให้โรงกลั่นน้ำมันทั่วประเทศ ปรับคุณภาพน้ำมันให้เป็นยูโร 5 ซึ่งสามารถช่วยลดฝุ่น PM 2.5 เป็นของขวัญให้แก่สุขภาพคนไทย และในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี จะมีการขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ประจำปี 2567 เป็นจำนวนมาก กรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานพลังงานจังหวัดทั่วประเทศ จึงขยายเวลาให้บริการในช่วง 16.30-18.30 น. ตั้งแต่วันที่ 25 ถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2566

“นอกจากการลดค่าไฟฟ้า การตรึงน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม ผมอยากหาของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนเพิ่มเติมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ทั้ง ปตท. ที่จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันเป็นเวลา 10 วัน รวมทั้งตรวจสภาพรถยนต์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความปลอดภัยในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและการท่องเที่ยว”

'สุริยะ' ขอโทษ ปชช.ปมขึ้นภาษีน้ำมัน 'กทม.-ปริมณฑล' จูงใจใช้รถไฟฟ้า ชี้!! แค่ยกตัวอย่างจากต้นแบบในต่างประเทศ ยังไม่มีแนวคิดจะทำแต่อย่างใด

‘สุริยะ’ ขอโทษพี่น้องประชาชน สื่อสารคลาดเคลื่อนปมจัดเก็บภาษีน้ำมันเบนซินเพิ่ม 50 สตางค์ต่อลิตรในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล นำเงินเข้ากองทุนหนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ระบุไม่มีแนวคิด-นโยบายที่ส่งผลกระทบกับประชาชนโดยเด็ดขาด 

จากกรณีที่สื่อนำเสนอข่าวในประเด็นกระทรวงคมนาคมมีแนวคิดจะจัดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เฉพาะสถานีน้ำมันในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น และนำเงินจากภาษีดังกล่าวเข้ากองทุนฯ เพื่อนำสนับสนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวต้องขอโทษพี่น้องประชาชนที่อาจจะสื่อสารและทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งในการกล่าวถึงเรื่องนี้เป็นเพียงการหยิบยกตัวอย่างจากต้นแบบในต่างประเทศเท่านั้น รวมถึงยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นถึงกรณีศึกษา และการเปรียบเทียบถึงข้อดีและข้อเสีย โดยไม่ได้มีแนวคิดจะนำมาดำเนินการแต่อย่างใด เนื่องจากกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน

ส่วนมาตรการค่ารถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท นั้น กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายใน 2 ปี โดยจะไม่มีการเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้นตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top