Monday, 12 May 2025
GoodsVoice

‘EA’ เสนอขาย ‘กรีนบอนด์’ 3 รุ่น อันดับเครดิต A- ชูดอกเบี้ย 3.20 - 4.10% ต่อปี ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำ

(19 ก.ย. 66) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เสนอขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) จำนวน 3 รุ่น ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ A- สะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นการเสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป

โดยหุ้นกู้เสนอขายครั้งนี้ มีจำนวน 3 รุ่น และกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน (ตลอดอายุหุ้นกู้) ได้แก่ 
1.รุ่นอายุ 1 ปี อัตราผลตอบแทน 3.20% ต่อปี
2.รุ่นอายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทน 3.70% ต่อปี 
3.รุ่นอายุ 5 ปี อัตราผลตอบแทน 4.10% ต่อปี

เสนอขายผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ และ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย)

สำหรับหุ้นกู้ EA มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ ‘A-’ เมื่อดูระดับความเสี่ยงที่มี 8 ระดับ (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 และสูงสุดที่ระดับ 8) กรีนบอนด์ของ EA รุ่นอายุ 1 ปี มีความเสี่ยงเพียงระดับ 2 เท่านั้น ส่วนรุ่นอายุ 3 ปี และ 5 ปี มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 3 ในขณะที่ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ สูงกว่าผลตอบแทนจากการฝากเงินทั่ว ๆ ไปอย่างชัดเจน

EA เป็น ‘ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด’ เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากว่า 10 ปี ด้วยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,860.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,589.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.16 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 

EA ขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้แนวคิด ‘MISSION NO EMISSION’ โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไออนที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์กำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 GWh และกำลังขยายกำลังการผลิตที่ 4 GWh ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 อีกทั้งมีโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ มีกำลังการผลิตสูงสุด 9,000 คันต่อปี โดยที่ผ่านมา EA ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เช่น รถโดยสารไฟฟ้าหรือ E-Bus ที่วิ่งให้บริการในหลากหลายเส้นทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รถบรรทุกไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า ตลอดจนมีสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 490 สถานี ครอบคลุมทุกภูมิภาค

EA ได้รับรางวัลที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการและผลการดำเนินงานที่ดีหลายรางวัล เช่น รางวัลด้านองค์กรยอดเยี่ยม ได้แก่ รางวัล Most Innovative Energy Solution Provider Thailand 2021 โดย World Business Outlook, รางวัล Outstanding Company Performance Awards 2022 ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 100,000 ล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

การที่ EA ออกหุ้นกู้เป็น ‘กรีนบอนด์’ ดังกล่าว สามารถบ่งบอกได้ว่า ผู้ลงทุนจะได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย เนื่องจากธุรกิจของ EA เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เพื่อโลกที่ยั่งยืน โดยบริษัทฯ ได้รับการประเมินเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Ratings 2023 ระดับ A โดย MSCI และล่าสุดยังได้รับรางวัล Corporate Excellence Award ในเวทีระดับสากล Asia Pacific Enterprise Award s จัดโดย Enterprise Asia Enterprise Asia ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการองค์กรที่ดีเลิศ มีการเติบโตที่มั่นคงแข็งแกร่งและยั่งยืน 

นอกจากนี้ EA ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยจะเห็นได้จากรางวัลต่างๆ ที่ได้รับ เช่น รางวัลประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยมด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ รางวัล Emerging Technology of the Year : The 2020 Global Energy Awards ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดย : S&P Global Platts, รางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), รางวัล Best Innovative Company Awards 2022 ผลงานนวัตกรรมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน AMITA Technology (Thailand) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

ผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินทั้ง 7 แห่ง ดังนี้

-ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยกเว้นสาขาไมโคร โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking

-ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) * หรือ โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอปพลิเคชัน - CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

-บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050

-บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675

-บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-820-0410

-บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร.02-009-8351-59

*ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

‘ทล.’ ขยายถนน ‘มาบตาพุด-นิคมพัฒนา’ เป็น 6 เลน แล้วเสร็จ รองรับการสัญจร-ระบบโลจิสติกส์ หนุนเขตเศรษฐกิจ EEC

(19 ก.ย. 66) กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างสะพาน ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) จ.ระยอง ระยะทาง 13.6 กิโลเมตร แล้วเสร็จ เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง การขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ รองรับการสนับสนุนการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  

โครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) พื้นที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงการคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งทางหลวงสายดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ประชาชนเลือกใช้ในการเดินทางไปสู่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ปัจจุบันมีปริมาณการจราจรรวมถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งผ่านเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูงและส่งผลกระทบถึงการจราจรในเส้นทางใกล้เคียงด้วย 

กรมทางหลวงเล็งเห็นความสำคัญโดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเป็นสำคัญ จึงดำเนินการก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางหลวงสาย ต.มาบตาพุด - อ.นิคมพัฒนา รวมทางลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3191 กับ ทางหลวงหมายเลข 3375 (เดิม) (แยกนิคมพัฒนา) ช่วง กม.0+000 ถึง กม.13+600 โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการที่ ต.มาบตาพุด สิ้นสุดที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง รวมระยะทางทั้งหมด 13.6 กิโลเมตร 

โครงการมีลักษณะเป็นการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3191 จากเดิมขนาด 4 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 6 ช่องจราจร (ไป - กลับ) ผิวจราจรคอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรแบบเกาะยก และดำเนินการก่อสร้างทางลอดบริเวณแยกนิคมพัฒนา ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป - กลับ) มีความยาว 893 เมตร ความกว้าง 21 เมตร เพื่อไปสู่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งก่อสร้างขยายสะพาน (เดิม) 12 แห่ง ก่อสร้างสะพานข้ามแยก (ที่ กม.7+500) 1 แห่ง พร้อมงานไฟฟ้าแสงสว่างตลอดทั้งโครงการ วงเงินงบประมาณ 1,473,482,804.86 บาท 

เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้ช่วยลดปัญหาการจราจรที่คับคั่ง สามารถรองรับปริมาณจราจรที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงปรับทัศนียภาพทางหลวงให้เป็นระเบียบ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพการให้บริการ อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่นักลงทุนตลอดจนนักท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี และนโยบาย Thailand 4.0 ในการสนับสนุน EEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย

‘คนกัมพูชา’ เซ็ง!! ทำไมค่ายรถยักษ์ใหญ่ไหลไป ‘ไทย’ แค่ ‘ดึงดูดดี-มีพันธมิตรมาก-ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง’

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 รายการ ‘ส่องโลกคอมเมนต์’ ตอน ไทยดียังไง? ทำไมค่ายรถยนต์ไม่มาลงทุนที่กัมพูชา? ได้ข้อสังเกตเกี่ยวกับสาเหตุที่ว่า เพราะเหตุใด ‘ไทย’ ถึงเป็นประเทศที่มีแรงดึงดูดกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ให้แห่กันมาลงทุนด้านอุตสาหกรรม EV มากกว่าประเทศอื่นรอบข้าง และเพราะเหตุใด แบรนด์ EV ดังหลายเจ้า อาทิ MG, BYD, Great Wall Motor, Changan Automobile หรือแม้แต่ GAC AION ยังย้ายโรงงานออกมานอกประเทศเป็นครั้งแรก โดยเลือก ‘ไทย’ เป็นที่ตั้งฐานการผลิตใหญ่ที่แรกในโลก

อีกทั้ง ล่าสุด KIA Motors แบรนด์รถยนต์เจ้าใหญ่ของเกาหลีใต้ และ BMW ค่ายรถยักษ์ใหญ่ชื่อดังระดับโลกจากเยอรมนี ก็เพิ่งตัดสินใจมาตั้งฐานการผลิตใหญ่ในไทยอีกด้วย

ด้วยประการทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้เอง ที่สร้างความฉงนใจให้แก่ประเทศกัมพูชาไม่น้อย จนทำให้รายการดังรายการนึงของกัมพูชาต้องออกมาทำการวิเคราะห์อย่างจริงจัง ถึงข้อได้เปรียบและศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติของประเทศไทย โดยระบุไว้ดังนี้…

เหตุเพราะแบรนด์ EV สัญชาติญี่ปุ่น ที่มีโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยอยู่แล้ว ยังมีแนวโน้ม ‘สงวนท่าที’ ในปริมาณกำลังการผลิต EV ในไทย จึงทำให้ค่ายรถยนต์จีนต่างสบโอกาส แห่มาลงทุนในไทยกันอย่างเต็มที่ และนั่นก็ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ทั้งในแง่การอำนวยความสะดวกต่อค่ายรถยนต์ ตลอดจนสิทธิพิเศษในเรื่องของภาษี เช่น งดเว้นการเก็บภาษีรถยนต์ และภาษีแบตเตอรี่ในช่วงแรก

อีกทั้งรัฐบาลไทย ยังมีมาตรการสนับสนุนให้คนไทยหันมาใช้รถ EV โดยมีส่วนลดภาษีจูงใจกว่าคันละ 150,000 บาท จนทำให้ประเทศไทยมียอดขายรถไฟฟ้าสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

ในขณะที่ประเทศกัมพูชา ถูกสหภาพยุโรป หรือ ‘EU’ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษี หรือ ‘GSP’ สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศมากกว่า 80% เนื่องจากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงาน รวมถึงสถานการณ์ความไม่สงบของการเมืองในกัมพูชา จนเป็นส่วนนึงที่ทำให้ EU ยกเลิก GSP ซ้ำร้ายกว่านั้น GSP ระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ ก็กำลังจะหมดอายุลง ทำให้กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเกิดการชะลอตัวในการมาตั้งฐานการผลิตในกัมพูชากันหมด

นอกจากนี้ ก็มีชาวเน็ตกัมพูชา มาร่วมแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ...

- รัฐบาลไทย รู้วิธีดึงดูดและต่อรอง เพื่อประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรค

- ประเทศไทย มีแนวโน้มหันเหไปทางฝั่งตะวันตก เหมือนกับเวียดนาม คบกับประเทศร่ำรวย ที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป ส่วนนโยบายกับจีน ไทยจะให้ความสำคัญกับชาติตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก นักการเมืองไทยไม่รับสินบนจากจีนเทา จีนจะค้าขายอะไรต้องได้รับอนุมัติจากทางการไทยก่อน

- เพราะประเทศไทยมีข้อได้เปรียบ 3 ประเด็น ดังนี้ 1.) มีการทุจริตน้อย 2.) มีทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการศึกษาดีและมีทักษะสูง และ 3.) สถานการณ์การเมืองอยู่ในเกณฑ์ดี

- ประเทศไทยฉลาดมากและไม่เคยมีสงคราม ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาทั้งด้านภูมิศาสตร์และประชากร

- ในประเทศไทย มีทรัพยากรคนที่มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีศักยภาพ สอดคล้องกับวิชาชีพ ไม่ได้มีแต่แรงงานไร้ฝีมือ ประเทศไทยให้ความสำคัญ กับบุคคลที่มีความสามารถ ไม่ใช่การเลียนาย

- ไทยคอร์รัปชันน้อยกัมพูชา จริงจังกับกฎหมาย ไทยฉลาดที่อยู่ตรงกลาง ไทยไม่เสียเปรียบทั้งกับจีนและสหรัฐฯ ไม่เหมือนกัมพูชา ที่เลือกข้างจีนฝ่ายเดียว เพราะผู้นำที่โง่เขลา จนสูญเสีย EBA และ GSP

- โรงงานผลิตขึ้นส่วนรถยนต์มีหลายแห่งในประเทศไทยมี จึงมีความสะดวกทั้งด้านทรัพยากรบุคคล อะไหล่ สภาพการทำงาน ตลอดจนซับพลายเชนพร้อมอยู่แล้ว

เหตุผลแค่นี้เอง!!

‘บิ๊กอ้วน’ จ่อหารือผู้ประกอบการ ปรับราคา ‘ข้าว ไข่ ไก่ หมู’ หวังสร้างสมดุล ‘ผู้ซื้อ-ผู้ขาย’ คาด!! ตุลาคมนี้ชัดเจน

(20 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงมาตรการลดราคาสินค้า หลังจากที่รัฐบาลประกาศลดราคาน้ำมันดีเซล ว่า การลดราคาน้ำมันของรัฐบาลเนื่องจากเป็นปัญหาต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ซึ่งมีปัญหาเรื่องต้นทุนสินค้าตามมา เพราะในต้นทุนสินค้า มีค่าโลจิสติกส์และค่าผลิต เรื่องนี้ได้มอบหมายนโยบายเร่งด่วนให้กรมการค้าภายใน ดูเรื่องการลดราคาสินค้า ภายใน 15 วัน โดยให้ดูรายการสินค้าทั้งหมดที่มีผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน สินค้าตัวไหนมีต้นทุนอย่างไร และจะลดราคาได้แค่ไหน คาดว่าต้นเดือนตุลาคมนี้น่าจะมีความชัดเจน

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญคือภายในสัปดาห์หน้า ตนจะไปพูดคุยกับผู้ประกอบการรายใหญ่เพื่อหารือกันเรื่องนี้ด้วย คนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็กให้ขึ้นไปด้วยกัน แก้ปัญหา สร้างจุดสมดุลให้กับผู้ผลิตผู้ประกอบการและผู้บริโภคให้ไม่กระทบกับทุกฝ่าย หาจุดที่ประนีประนอมกันได้ โดยคาดว่าสินค้าที่จะได้รับการพิจารณา จะเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันประมาณ 20 ตัว เช่น ข้าว ไก่ หมู ไข่ เราจะลดต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบายหาจุดสมดุลและอยู่ร่วมกันได้กับทุกฝ่าย น่าจะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา

‘แม่มณี’ วิเคราะห์ปัญหาการศึกษาไทย ‘ครู-เด็กไทย’ ได้เวลาต้องปรับเปลี่ยน

จากรายการ THE TOMORROW ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 23 ก.ย.66 ได้พูดคุยกับ คุณมณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ หรือ ‘แม่มณี’ อดีตคณะทำงานรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ดีกรีนักกฎหมายจาก King’s College London, นักธุรกิจมากความสามารถ, นักขับเคลื่อนงานด้านประชาสังคม พ่วงบทบาทในแวดวงการเมืองร่วม 10 ปี และอดีตผู้สมัครผู้แทนราษฎรพรรคภูมิใจไทย ได้พูดคุยในมุมมองปัญหาการศึกษาไทย กับ การนำสื่อดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านการศึกษาไว้อย่างน่าสนใจ ว่า... 

“ปัญหาการศึกษาไทยควรลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาไทย” คุณมณีรัตน์ เริ่มบทสนทนา พร้อมทั้งกล่าวต่อว่า ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเด็กประถม หรือมัธยม ที่อยู่ในต่างจังหวัดห่างไกล ค่อนข้างเข้าถึงคุณครู หรือแม้แต่เนื้อหาต่างๆ ได้ยากกว่าเด็กที่อยู่กรุงเทพมหานคร หรือตามหัวเมืองใหญ่ๆ ขณะเดียวกันความน่าสนใจในการสอนก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้การซึมซับและเรียนรู้ลดลง ซึ่งถ้าเด็กเหล่านี้ได้เรียนกับครูที่มีสไตล์การสอนที่ดึงดูดอย่างน่าสนใจ เนื้อหาเข้มข้นหลากหลาย จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเด็กเหล่านี้อย่างเท่าเทียม 

คุณมณีรัตน์ กล่าวว่า “ทางออกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี โดยให้ครูหรือติวเตอร์ชื่อดัง สอนผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อให้เด็กต่างจังหวัดได้มีโอกาสเรียนกับครูเก่งๆ แทนที่จะหวังแต่ผลิตครูเก่งๆ ซึ่งเอาจริงๆ ก็สามารถทำควบคู่กันได้ แต่อาจใช้ระยะเวลานานกว่า นี่คือทางแก้ในส่วนของเด็ก

“ขณะเดียวกัน ในส่วนของปัญหาการขาดแคลนบุคลากรครูทั้งจำนวนและคุณภาพ ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วง โดย คุณมณีรัตน์ มองว่า การสอนของครูในปัจจุบันอาจต้องปรับแนวคิดการสอนให้มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัยของนักเรียน ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลทั้งคุณภาพของนักเรียนและคุณภาพของครูไปพร้อมๆ กัน”

เมื่อถามถึงอีกปัญหาสำคัญของเด็กไทยที่ยังอ่อนภาษาอังกฤษ? คุณมณีรัตน์ ชี้ว่า “เนื่องจากปัจจุบันเราอาจยึดติดกับการสอนภาษาอังกฤษแบบเดิมๆ (เรียนไปไม่ได้ใช้จริง) ซึ่งหากเรามองตัวอย่างหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนต่างชาติ เขาจะมีหลักสูตรการสอนไม่เหมือนเรา เราอาจะต้องปรับรูปแบบการสอนและหลักสูตรให้เด็กรักการอ่านมากขึ้น หรือสร้างแพลตฟอร์มการศึกษาผ่านออนไลน์ โดยใช้ Big Data ที่รวบรวมทุกหลักสูตร แบ่งเป็นวิชา เนื้อหา แล้วให้นักเรียนมีโอกาสได้นำมาศึกษาด้วยตัวเองควบคู่ไปด้วย”

คุณมณีรัตน์ เสริมอีกด้วยว่า “รูปแบบของหลักสูตรต่อจากนี้ ก็อย่ายึดหลักแบบที่เป็นอยู่เท่านั้น แต่ควรมีหลักสูตรอื่นๆ เช่น การฝึกพูดภาษาอังกฤษ, การบริหารธุรกิจ, การเล่นดนตรี, การทำอาหาร ฯลฯ จากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ทั้งจากไทยและต่างประเทศ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษามากขึ้นเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต” 

เมื่อถามถึงการศึกษากับความสอดคล้องต่อตลาดแรงงาน? คุณมณีรัตน์ มองว่า “ควรถึงเวลาส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา เรียนจบมาได้ทำงานที่ตรงสายกับที่เรียนมา และสอดคล้องกับตลาดแรงงาน ส่งเสริมการฝึกอาชีพระหว่างเรียน ทำให้เกิดทักษะวิชาชีพ ได้พัฒนาในหลายๆ ด้านและมีรายได้จริง”

เมื่อถามถึงในอนาคต AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) จะเข้ามามีบทบาทในตลาดแรงงานมากขึ้น จนทำให้หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงานมนุษย์แค่ไหน? คุณมณีรัตน์ กล่าวว่า “จริงๆ แล้วเราควรมองว่าทำอย่างไรให้แรงงานไทยทำงานร่วมกับ AI ได้ในอนาคต ควรฝึกเด็กทำงานร่วม AI กันตั้งแต่ตอนเรียน เมื่อทำงานจริงก็สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างไม่มีรอยต่อ”

คุณมณีรัตน์ ยังให้มุมคิดต่อผู้เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบต่ออนาคตของชาติไว้อย่างน่าสนใจทิ้งท้ายด้วยว่า ควรส่งเสริมให้เด็กมีความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ควบคู่กันไป โดยเฉพาะครอบครัวและสถานศึกษาต้องช่วยกันปลูกฝังให้เด็กโตมามีความฉลาดทางอารมณ์ รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ควบคุมอารมณ์ได้อย่างมีทิศทางที่ถูกต้องเป็นพลังบวก 

หากเดินหน้ากระบวนทัศน์เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาการศึกษาไทยสู่อนาคตได้อย่างยั่งยืน จนกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศชาติได้ต่อไป

DUSIT ปั้น ‘ดุสิตธานี คอลเลคชั่น’ รับบริหารอสังหาฯ หรู พร้อมโฉมใหม่ ‘ดุสิต-เดวาราณา’ เปิดตัวในจีน ต.ค.นี้

(20 ก.ย.66) นายจิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ. ดุสิตธานี (DUSIT) เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ดุสิต คอลเลคชั่น (Dusit Collection) และ เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ (Devarana - Dusit Retreats) เพื่อรองรับตลาดที่พักระดับลักซูรี่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

โดยทั้ง 2 แบรนด์จะเป็นเพิ่มจำนวนแบรนด์ภายใต้ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และวิลล่าหรู ที่มีอยู่เดิมภายใต้กลุ่มดุสิตธานี ซึ่งประกอบด้วย ดุสิตธานี, ดุสิตสวีท, ดุสิตเดวาราณา, ดุสิตดีทู, ดุสิตปริ๊นเซส, อาศัย และอีลิธฮาเวนส์ ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มมากขึ้น และยังถือเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจที่พักให้กระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกมากขึ้น

สำหรับแบรนด์ ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยเจ้าของโรงแรมสแตนด์อโลนหรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชูรี ให้สามารถรักษาตัวตน และเสน่ห์ดั้งเดิมของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างเป็นระบบ จากนักบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในงานบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยไม่ต้องยุ่งยากในการรีแบรนด์หรือปรับใหม่แต่อย่างใด คุณสมบัติอันโดดเด่นของโรงแรมภายใต้แบรนด์ดุสิตคอลเลกชั่นคือ ตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่น่าสนใจ ตัวโรงแรมมีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีการตกแต่งอย่างลงตัว ผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน ซึ่งที่พักแบบนี้ กำลังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แท้จริง และแตกต่างไม่เหมือนใคร ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว

“เรามั่นใจว่า ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ จะเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะได้รับการดูแลจากทีมที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในการบริหาร ที่มีความเข้าใจตัวตน และรักษาไว้ซึ่งความโดดเด่นของทรัพย์สินที่มีคุณค่า ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีจะได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความหลากหลายให้กับงานบริการ และยังสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจบริการของเรา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เข้าพักจะได้รับประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ในการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากเมืองปลายทางอันเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมั่นใจว่า ยังมีอสังหาริมทรัพย์สุดหรูอีกมากที่รอการค้นพบ ตั้งแต่พระราชวังเก่าในเมืองแห่งประวัติศาสตร์ จนถึงที่พักริมทะเลอันเงียบสงบ จากทวีปเอเชีย เรื่อยไปจนถึงตะวันออกกลางอันมีเสน่ห์ และครอบคลุมถึงทวีปยุโรป ที่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ดุสิต คอลเลคชั่น’ ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายราย และคาดว่าจะสามารถประกาศการลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการได้ในเร็วๆ นี้

สำหรับแบรนด์ใหม่ลำดับที่ 2 ของกลุ่มดุสิตธานี จะเป็นการพลิกโฉมแบรนด์หรูที่มีอยู่เดิม ‘ดุสิต เดวาราณา’ เปลี่ยนเป็น ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ เพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพักที่มีคุณค่าในระดับอัลตร้า ลักซ์ชูรี

ทั้งนี้ จากความสำเร็จของการพัฒนาคอนเซปต์ ‘เทวารัณย์ เวลเนส’ (Devarana Wellness) หรือแนวคิดด้านสุขภาพแบบองค์รวมผสานกับองค์ประกอบของความเป็นอยู่ที่ดีอย่างมีเอกลักษณ์ให้กับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก ทีมงานได้มีการต่อยอดและยกระดับการบริการดังกล่าว จนเกิดเป็นแบรนด์ ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ มุ่งหวังที่จะยกระดับแนวทางการรักษาสุขภาพแบบองค์รวมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการมอบประสบการณ์ของการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่ ในที่พักอันหรูหรา ที่มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบทั่วโลก

แบรนด์เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์ ถูกพัฒนาขึ้นจากหลักการดูแลสุขภาพแบบไทยดั้งเดิม ผสมผสานกับแนวคิดของการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดเป็นโปรแกรมเชิงสุขภาพแบบครบวงจร ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษจากการผสมผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นของธรรมชาติในแต่ละชุมชน เข้ากับหลักการบำบัดแบบโบราณ เพื่อมอบให้กับนักท่องเที่ยว ที่มองหาการฟื้นฟูและเยียวยาร่างกายและจิตใจ ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบความประทับใจอย่างสูงสุดแก่ผู้เข้าพัก ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ แห่งแรกมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ที่ประเทศจีน และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลง เพื่อลงนามเพื่อสร้าง ‘เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์’ อีกหลายแห่งภายในปีนี้ ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และในจีน

ปัจจุบัน กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรม 55 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้ ดุสิต โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท และวิลล่าระดับลักซ์ชูรีกว่า 230 หลังภายใต้ อีลิธฮาเวนส์ ใน 19 ประเทศ ยังมีโรงแรมและรีสอร์ทในกลุ่มดุสิตธานีที่พร้อมจะเปิดมากกว่า 60 แห่งทั่วโลก และมีเป้าหมายการลงนามเพิ่มเติมอีก 22 แห่งในปีนี้

‘รมว.พิพัฒน์’ ลุยขยายตลาดแรงงานประเทศใหม่ๆ หนุนทำงานต่างแดนถูกกฎหมาย 100,000 อัตรา

(20 ก.ย. 66) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบนโยบายสำคัญให้กับกรมการจัดหางานในการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ จำนวน 100,000 อัตรา ภายในปี 2567 

เกี่ยวกับเรื่องนี้กรมการจัดหางานพร้อมขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้การส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในตลาดแรงงานเดิมที่มีความต้องการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ในตำแหน่งงานใหม่ อาทิ ประเทศสวีเดน, ประเทศฟินแลนด์, ประเทศอิสราเอล, ประเทศญี่ปุ่น, สาธารณรัฐเกาหลี, ไต้หวัน และการขยายตลาดแรงงานในประเทศใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มความต้องการจ้างแรงงานไทย 

นอกจากนี้ ยังเจรจาเพื่อให้เกิดการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานมุ่งประโยชน์สูงสุดต่อแรงงานไทย โดยเน้นไปที่กลุ่มแรงงานกึ่งฝีมือและทักษะฝีมือ อาทิ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในตำแหน่งพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ดูแลผู้ป่วยและคนชรา / ประเทศกาตาร์ ในแรงงานภาคก่อสร้าง ภาคบริการเกี่ยวกับท่าอากาศยานและรถไฟ ภาคการท่องเที่ยวและสุขภาพ และภาคการขนส่ง / ประเทศจอร์แดน ในแรงงานภาคเกษตร / ประเทศนิวซีแลนด์ ในแรงงานทักษะฝีมือภาคบริการ ภาคเกษตร และแรงงานที่มีทักษะ ความรู้ ความชำนาญ เฉพาะสาขาที่ขาดแคลน เช่น สถาปนิก ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ทันตแพทย์ และพยาบาลวิชาชีพ / ประเทศโปรตุเกส ในแรงงานเกษตรกรรมและงานร้านอาหาร และประเทศออสเตรเลีย พร้อมรับพ่อครัวคนไทยที่มีประกาศนียบัตรจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากรมการจัดหางานสนับสนุนให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด เพื่อให้แรงงานไทยมีรายได้และโอกาสทำงานเพิ่มขึ้น ได้เปิดโลกทัศน์สั่งสมประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศ โดยจากนี้กระทรวงแรงงานจะต้องหารือร่วมกับหลายฝ่ายทั้งนายจ้างในต่างประเทศ ประเทศปลายทาง ภาคเอกชนในประเทศไทย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความเข้าใจในกฎหมาย ระเบียบ สัญญาจ้างงานของประเทศไทย และประเทศปลายทาง ตลอดจนวิธีการและขั้นตอนการนำแรงงานไทยเข้าไปทำงานในประเทศต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและเพิ่มโอกาสในการจ้างแรงงานไทย

ซึ่งหากส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศได้ 100,000 คน ตามนโยบายท่านรัฐมนตรี นอกจากช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยทั้งหมดให้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ 100,000 ครอบครัวของแรงงานมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตตามไปด้วย

สำหรับคนไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

‘กระทรวงแรงงาน’ เปิดรับสมัครคนทำงาน ‘มาเก๊า’ หลายตำแหน่ง เงินเดือนสูงสุดเกือบ 8 หมื่นบาท ยื่นได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 27 ก.ย.66

(21 ก.ย. 66) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานในเขตบริหารพิเศษมาเก๊า กับนายจ้าง บริษัท Galaxy Entertainment Group ซึ่งประกอบกิจการโรงแรม คาสิโน และร้านอาหาร จำนวน 7 ตำแหน่ง รวม 34 อัตรา ได้แก่ พนักงานต้อนรับลูกค้าวีไอพี กัปตัน พนักงานเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์/บาร์แอทเทนแดน พนักงานฝ่ายต้อนรับวีไอพี พนักงานนวดสปา และพนักงานนวดฝ่าเท้า เงินเดือนอยู่ระหว่าง 50,370 - 78,840 บาท โดยนายจ้างจะจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินไป - กลับ เมื่อทำงานสิ้นสุดสัญญาจ้าง ช่วยจ่ายค่าที่พักเดือนละ 500 เหรียญมาเก๊า จัดอาหารในช่วงเวลาทำงาน ทำประกันสุขภาพ และสวัสดิการอื่นๆ ตามกฎหมายแรงงานมาเก๊ากำหนด ซึ่งการรับสมัครในครั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจ่ายเพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าถ่ายรูป ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพ ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และค่าสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ รวมค่าใช้จ่าย ประมาณ 5,500 บาท โดยสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครสอบ และดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร ได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th/overseas หัวข้อ ‘ข่าวประกาศรับสมัคร’ โดยยื่นใบสมัครทางอีเมล ตั้งแต่วันที่ 21 - 27 กันยายน 2566 ไม่เว้นวันหยุดราชการ

นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับตำแหน่งงาน และคุณสมบัติที่นายจ้างบริษัท Galaxy Entertainment Group ต้องการ จะต้องเชี่ยวชาญการสื่อสารภาษาไทยและจีนกลาง สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี มีใจรักการบริการ สามารถทำงานเป็นกะได้ และมีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งที่สมัคร โดยทั้ง 7 ตำแหน่ง มีรายละเอียด ดังนี้

1. พนักงานต้อนรับลูกค้าวีไอพี (Service Ambassador) เพศหญิง อายุระหว่าง 21 - 32 ปี ส่วนสูง 165 เซนติเมตรขึ้นไป จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 16,000 – 18,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 70,080 – 78,840 บาท

2. กัปตัน (Captain) อายุระหว่าง 25 - 35 ปี  จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 15,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 65,700 บาท

3. พนักงานเสิร์ฟ (Service Agent) อายุระหว่าง 21 - 32 ปี จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 11,500 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 50,370 บาท

4. บาร์เทนเดอร์/บาร์แอทเทนแดน (Spa Therapist) เพศชาย อายุระหว่าง 21 - 35 ปี จำนวน 5 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 11,500 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 50,370 บาท

5. พนักงานฝ่ายต้อนรับวีไอพี (Welcome Ambassador) ในแผนกโรงแรม การจัดประชุม และนิทรรศการ เพศหญิง อายุระหว่าง 21 - 29 ปี ส่วนสูง 170 เซนติเมตรขึ้นไป น้ำหนัก 48 - 55 กิโลกรัม ไม่มีรอยแผลเป็น และรอยสัก จำนวน 2 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 14,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 61,320 บาท

6. พนักงานนวดสปา (Spa Therapist) เพศหญิง สัญชาติไทย อายุไม่เกิน 40 ปี จำนวน 2 อัตรา 13,900 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 60,882 บาท

7. พนักงานนวด – ฝ่าเท้า (Masseur-Foot Hub) เพศหญิง อายุระหว่าง 21 - 45 ปี จำนวน 10 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 13,000 เหรียญมาเก๊า หรือประมาณ 56,940 บาท

“หนึ่งในนโยบายสำคัญของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ภายในปี 2567 คือการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ 100,000 อัตรา ซึ่งการไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากสำเร็จนอกจากช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยถึง 100,000 คนให้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ 100,000 ครอบครัวมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตตามไปด้วย” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2245 1034 ในวันและเวลาราชการ

‘มาคาเลียส’ มัดรวม 4 ที่พักสุดฟิน ‘เขาใหญ่’ จัดโปรเด็ดต้อนรับลมหนาว ลดสูงสุด 70%

(21 ก.ย. 66) มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จัดโปรโมชันต้อนรับลมหนาวไปพักสุดฟินท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขากับ 4 ที่พักเขาใหญ่ ลดสูงสุดกว่า 70% ได้แก่ Bergh Apton Khao Yai ห้อง Deluxe หรือ Deluxe Premium พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 1,909 บาท, Movenpick Resort ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 4,999 บาท, MYS Hotel ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 5,499 บาท และสุดท้ายที่ InterContinental Khao Yai Resort ห้อง King Classic พร้อมอาหารเช้าและสามารถพาน้องหมาน้องแมวพักฟรี ราคาเพียงคืนละ 7,099 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้หรือจนกว่าดีลจะหมด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ‘มาคาเลียส’ (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย www.makalius.co.th โทร. 02-821-5215 หรือ Line Official @makalius

‘foodpanda’ ถอดใจไม่ขอไปต่อ เตรียมขายกิจการในอาเซียนให้ ‘Grab’

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Delivery Hero บริษัทแม่ของ Foodpanda (ฟู้ดแพนด้า) ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนี ยืนยันการเจรจาเกี่ยวกับการขายธุรกิจในเอเชียบางส่วน ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเสริมว่ามูลค่าของข้อตกลงยังอยู่ระหว่างการเจรจา

โดยมีข่าวว่าผู้ที่จะมาซื้อกิจการต่อก็คือ Grab ซึ่งบริษัทแม่นั้นตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ขณะที่นิตยสารธุรกิจ Wirtschaftswoche รายงานว่า Grab สิงคโปร์ สามารถจ่ายเงินมากกว่า 1.07 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการ

ทั้งนี้ Delivery Hero นั้นมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรในขณะที่ยังคงรักษาการเติบโตไว้ แต่ทว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในบริษัทเริ่มลดลงตั้งแต่โควิดระบาด

บริษัท ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ได้บรรลุผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้ว หลังจากขาดทุน 323 ล้านยูโรในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Delivery Hero ไม่ได้ระบุว่าครึ่งปีแรกนี้ได้กำไร (EBITDA) เท่าไหร่

เมื่อเดือนที่แล้ว Niklas Oestberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า เอเชียเป็นกลุ่มที่บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนมากที่สุด

สำหรับ Grab ในสิงคโปร์ประกาศรายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 567 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะคุ้มทุนได้ในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ Grab สร้างรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจจัดส่งอาหาร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจเรียกรถ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top