Wednesday, 30 April 2025
ElectionTime

'เศรษฐา' ขอบคุณ 'ทักษิณ' ชมเป็นนายกฯได้ ด้าน 'ชลน่าน' ออกตัวยังไม่เคาะชื่อแคนดิเดตฯ

‘เศรษฐา’ เผย รู้สึกเป็นเกียรติ ‘ทักษิณ’ ชม ชี้ ยังมีข้อต่างอีกเยอะ ลั่น หากเป็นนายกฯ จะไม่ตั้งคณะกรรมการซ้อนกรรมการ แก้ปัญหาปชช. ชู หลักคิดเร็ว ทำเร็ว ด้าน ‘ชลน่าน’ บอก เรื่องแคนดิเดตเป็นแค่ความเห็นของ ‘อดีตนายกฯ’

(22 มี.ค. 66) ที่จ.นนทบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการปราศรัยในเวทีแรก หลังนายกฯประกาศยุบสภาฯ ว่า จัดเต็มทุกเวที ไม่มีข้อยกเว้น เราเสนอนโยบายตามความเป็นจริงทุกอย่าง ทั้งนี้ สำหรับเวทีที่นนทบุรี เราจะเน้นหลายประเด็น ซึ่งเหมือนทุกจังหวัดที่เน้นเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความล้มเหลว ขณะนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของกระบวนการคืนอำนาจสู่ประชาชน และขอให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันเยอะๆ

เมื่อถามว่า มองประเด็นที่เมื่อคืนนี้ (21 มี.ค.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เปรียบเทียบนายเศรษฐา เหมือนตอนที่นายทักษิณเข้ามาทำงานการเมืองแรกๆว่าอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า เราก็มีความเหมือนกันได้ แต่เมื่อมีความเหมือนก็มีความแตกต่างในตัวของมันเอง ถือเป็นเกียรติเพราะท่านก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จ และได้รับความนิยมชมชอบมาตลอดกาล ส่วนในความแตกต่างที่ตนพูดถึงนั้นมีหลายอย่าง ท่านเองเป็นคนที่ก่อร่างสร้างตัวมา ตนมาช่วยเติมเต็ม ท่านวางรากฐานมาไว้ดีอยู่แล้ว และเรามีบุคคลที่มีคุณภาพในพรรค

เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณ ชมนายเศรษฐาเช่นนั้นอนาคตจะชูเป็นแคนดิเดตใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้เป็นขั้นเป็นตอนไป คณะกรรมการบริหารก็จะประชุมกันในเร็ววันนี้ ขอให้อดใจรออีกนิด เพราะมีคนที่มีคุณภาพอยู่หลายคน ขอเวลาเล็กน้อย ให้เป็นไปตามขั้นตอนดีกว่า

เมื่อถามว่า หากเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกจะทำได้ดีเหมือนนายทักษิณหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เมื่อย้อนหลังไป 20 ปี ที่ผ่านมา ตนมองว่าธุรกิจที่ท่านทำประสบความสำเร็จมากกว่าตนเยอะ ท่านก่อร่างสร้างตัวจากตรงนั้นก็เป็นอะไรที่น่าชื่นชม และเป็นอะไรที่เปรียบเทียบกับตนยังไม่ได้

เมื่อถามต่อว่า ทั้งนายทักษิณและนายเศรษฐามาจากภาคธุรกิจเช่นกัน ในทางการเมืองจะนำวิธีการทำงานอะไรของนายทักษิณมาปรับใช้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นหลักการคิดเร็ว ทำเร็ว และต้องมีการวิเคราะห์ถึงความเสี่ยง เปรียบเทียบกับความเร่งด่วนว่าจะมีการบริหารจัดการอย่างไร ไม่ใช่การตั้งคณะกรรมการซ้อนกรรมการ ถ้าทำแบบนั้นปากท้องแห้งพอดี

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่กองเชียร์พรรคเพื่อไทย ออกปากเชียร์ทั้งนายเศรษฐา และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่กองเชียร์ไม่ได้เอ่ยชื่อ เพียงแต่ตนอาจจะได้การสนับสนุน หรือออกสื่อมากหน่อย อาจจะเป็นเพราะตัวสูงมองเห็นง่าย แต่ตนก็รู้สึกว่ายังต้องเจียมตัว เพราะผู้ใหญ่ในพรรคหลายคนล้วนมีความสุดยอดทั้งนั้น

‘กรณ์’ ปล่อยนโยบาย ‘Dark Economy’ จัดโซนนิ่ง ‘ฟ้ามืด’ ส่งเสริมคุ้มครองอุทยานท้องฟ้ามืด เพิ่มโอกาส-สร้างรายได้ให้คนไทย

ปล่อยนโยบายสร้างความฮือฮาอย่างต่อเนื่องสำหรับพรรคชาติพัฒนากล้า โดยล่าสุดได้ส่งนโยบาย 'Dark Economy' เป็นจุดขาย ซึ่งหนึ่งในชุดนโยบายเฉดสี Spectrum Economy ที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้

(23 มี.ค. 66) นายกรณ์ จากติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงนโยบาย Dark Economy ว่า เป็นการท่องเที่ยวแนวใหม่โดยจัดโซนนิ่งฟ้ามืด ทั้งนี้ต้องถามตัวเองว่า ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นดาวแบบเต็มท้องฟ้าคือเมื่อไร เพราะโลกหมุนเร็ว ไม่เฉพาะในเมืองที่มีแสงสว่างจนบดบังความงามของดวงดาวบนท้องฟ้า แม้แต่ต่างจังหวัดเองก็หาพื้นที่ที่มืดสนิทจริง ๆ ได้ยากขึ้นทุกวัน

‘ก้าวไกล’ ปลุก ‘นศ. มธ.รังสิต’ ตื่นรู้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ย้ำ รัฐสวัสดิการที่ดีสามารถพาไทยออกจากวิกฤตได้

(23 มี.ค. 66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รับเชิญเป็นผู้บรรยายพิเศษในรายวิชา TU101 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในหัวข้อเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจและสังคมไทย ความเหลื่อมล้ำ การเข้าสู่สังคมสูงวัย ปัญหากับดักรายได้ปานกลาง และความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ขึันมาในประเทศไทย เพื่อรองรับปัญหาเหล่านี้

ในช่วงหนึ่งของการบรรยาย นายธนาธรชี้ให้เห็นว่าปัญหาหลักที่สังคมไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ คือ ปัญหาอัตราการเกิดของประชากรที่ต่ำลง และการเข้าสู่สังคมสูงวัย จะมีผลกระทบที่รุนแรงขึ้นตราบที่ประเทศไทยยังคงมีความเหลื่อมล้ำมหาศาลเช่นในปัจจุบันดำรงอยู่ และทั้งหมดจะยิ่งตอกย้ำปัญหากับดักรายได้ปานกลางของประเทศไทยให้รุนแรงขึ้น จากการมาถึงจุดอิ่มตัวไม่สามารถไปต่อได้แล้วของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์

จึงทำให้ประเทศไทย มีความต้องการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา โดยนำปัญหาสังคมมาสร้างเป็นความต้องการ พัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเพิ่มผลิตภาพให้กับประเทศ สร้างงานที่มีคุณภาพเพื่อรองรับคนจบใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำและสังคมสูงวัยไปพร้อม ๆ กัน

“แต่เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างเป็นธรรมหรือไม่ สุดท้ายเป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากเรื่องของการเมือง และการจัดสรรภาษี ว่าจะกระจายดอกผลให้คนส่วนใหญ่หรือคนส่วนน้อยในสังคม อำนาจเมื่อกระจุกตัวอยู่ที่ใครก็ตาม ทรัพยากรก็มักจะกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มนั้น การสร้างประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชนเท่านั้น ที่จะสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้” นายธนาธรกล่าว

ส่วนในช่วงบ่ายวันเดียวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ก็ได้รับเชิญให้มาเป็นผู้บรรยายพิเศษ ในรายวิชา TU101 และได้บรรยายถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยเช่นกัน โดยเน้นไปที่ด้านการเมือง ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนขนาดใหญ่กับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชน ที่จะสังเกตได้ว่าหลังการรัฐประหารทุกครั้ง จะมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เติบโตขึ้นมาจากการได้สัมปทานพิเศษจากอำนาจ รัฐฯ เสมอ เช่น ในกรณีของกลุ่มทุนพลังงานกลุ่มหนึ่ง ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดขึ้นมาจากนโยบายพลังงานในยุครัฐบาลรัฐประหารและรัฐบาลทหารจำแลงเมื่อเร็ว ๆ นี้

น.ส.พรรณิการ์ ยังกล่าวด้วยว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากเพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มาแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และนำประเทศไทยออกจากปัญหาที่กำลังรุมล้อมอยู่ตอนนี้ แต่ที่สำคัญคือการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ เพราะไม่ใช่ทุกรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะมีเป้าหมายในการแก้ความเหลื่อมล้ำ และกลุ่มทุนใหญ่จำนวนมากต่างก็คอยให้การสนับสนุนทุนแก่พรรคการเมืองใหญ่ของทุกฝ่ายอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะยังคงอิงแอบอยู่กับอำนาจรัฐฯ ได้ต่อไปไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

‘เสธ.อ้าย’ เข้าพบ ‘จุรินทร์’ พร้อมร่วมทัพประชาธิปัตย์ เผย เชื่อมั่นในการทำงานที่มุ่งทำเพื่อชาติและประชาชน

(23 มี.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ ‘เสธ.อ้าย’ ได้เดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเข้าพบ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ภายหลังการหารือกับนายจุรินทร์ พล.อ.บุญเลิศได้เข้าพบ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานสภา ที่ปรึกษาพรรค และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค พร้อมกับได้สมัครสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แบบตลอดชีพ โดยนายจุรินทร์ และนายนิพนธ์ บุญญามนี ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรคเป็นผู้มอบบัตรสมาชิกพรรคให้ด้วยตนเอง

‘อ๋อม สกาวใจ’ กล่าวแนะนำตัว สะท้อนการแบ่งเขตเลือกตั้งของ กกต. ที่สร้างความสับสนให้ประชาชน

“ขอแนะนำตัวอีกสักครั้งค่ะ เพราะตอนนี้ชัดเจนแล้ว อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 13 เขตลาดพร้าว ยกเว้นแขวงจรเข้บัว เขตบึงกุ่ม ยกเว้นแขวงคลองกุ่ม ยาวนิดนึงนะคะ”

‘ภูมิใจไทย’ ชูนโยบาย ‘ภาษีบ้านเกิดเมืองนอน’ เน้นกระจายงบฯ - อำนาจ พัฒนาพื้นที่ท้องถิ่น

(23 มี.ค.66) นายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการกระจายอำนาจ หน้าที่ และงบประมาณ ไปสู่ท้องถิ่น โดยระบุว่า ท้องถิ่นมั่งคั่ง ประเทศมั่นคง เป็นสัจจะธรรม แต่อำนาจหน้าที่ กฎหมายไม่รองรับ เช่น ให้จัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งต้องมีเครื่องมือ คืออำนาจ หน้าที่ และงบประมาณ ปัจจุบันไม่รองรับ 100% เช่นบุคลากร เข้ามาทำหน้าที่บริหารท้องถิ่นตัวเองทำเองไม่ได้ มีคนไปจัดการให้ ซึ่งไม่ตรงตามวัตถุประสงค์

“พื้นที่แต่ละแห่งไม่เหมือนกัน เช่น ทางใต้มีเรื่องทะเล ทรัพยากร สภาพสังคม และงบประมาณ เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา ท้องถิ่นเขาพูดกัน 2 เรื่อง คือ อำนาจในการบริหารจัดการ 100% ไม่ต้องอิงส่วนกลางได้ไหม เขาเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง เช่น กฎหมายการกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ ถ้าไม่ให้ไป มันทำไม่ได้ การถ่ายโอนที่ไม่ครบ เช่น ไม่มีคนให้ ไม่มีงบประมาณให้ และภารกิจก็ถ่ายโอนไม่ครบอีก ให้ท้องถิ่นไปดูแลสถานีรถโดยสาร แต่สายทางไม่ให้ไป ให้ดูแค่สถานี หรือการถ่ายโอน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รพ.สต. แต่การรักษาทำอย่างไร ให้งานไปแต่ไม่สามารถทำงานได้ ให้มอบภารกิจไปแต่ทำไม่ได้ เราต้องคิดดำเนินการแก้ไขให้กฎหมายรองรับการกระจายอำนาจให้มากที่สุด

'เรืองไกร' รับ 'พปชร.-ภท.' ถกตัวเลขขั้วรัฐบาล เชื่อ ‘เพื่อไทย’ ไม่แลนด์สไลด์เหตุปัจจัยเปลี่ยน

(23 มี.ค.66) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) การสนทนารับประทานอาหารเที่ยง ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เมื่อวานนี้ มีการพูดคุยสมการตัวเลขทางการเมืองขั้วรัฐบาล โดยเป็นการคุยกันต่อเนื่องจากครั้งก่อน พบปะคุยกันปกติ และครั้งที่แล้วยังบอกให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ในฐานะทำงานด้วยกันมา และพูดคุยว่าในเส้นทางการเมืองถ้าเป็นไปได้ก็เป็นพันธมิตรกันไป ส่วนการประเมินตัวเลข ก็เป็นสิ่งที่คาดหวังกัน

เมื่อถามว่า มีการประเมินสมการนี้ เหตุใดไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รวมอยู่ด้วย นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่ได้ปฏิเสธรวมไทยสร้างชาติ เพราะเป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐ ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คือเรื่องของความปรองดอง ก้าวข้ามความขัดแย้ง และยินดีต้อนรับหมด เพื่อให้การบริหารบ้านเมืองเดินหน้าไปได้

‘อนุทิน’ ชี้!! ‘ภท.’ พกพาความจริงใจเข้ากรุง หวังใช้ผลงานมัดใจ แม้ไร้ ‘กระแส-กระสุน’

(23 มี.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการเลือกตั้งในพื้นที่ กทม. ที่พรรคมีความเคลื่อนไหวที่เข้มข้นกว่าครั้งที่ผ่านมา ว่า เราเต็มที่กับการเลือกตั้งทุกครั้ง และเอาจริงในทุกเขตเลือกตั้ง เราเลือกคนที่เข้าใจพื้นที่ ต้องเกิดที่นั่น โตที่นั่น เป็นคนดี มีความสามารถ กับพื้นที่ กทม. เรามีประสบการณ์แล้วว่า คน กทม.ต้องการอะไร และเรามีแนวทางแก้ไขไว้ให้ ที่ผ่านมา หลานคนบอบช้ำจากเรื่องเศรษฐกิจ ที่มาจากเรื่องโรคระบาด มีการกู้หนี้ยืมสิน เราเลยมีนโยบายพักหนี้ หลายคน มีความลำบากเรื่องค่าครองชีพ เรามีนโยบายกำหนดอัตราการขนส่งคมนาคมใหม่ เพื่อลดภาระคนไทย

อีกทั้งเรายังมีนโยบายแยกย่อยออกไปอีก ทั้งเรื่องสังคม ความปลอดภัย เขตนี้ จะมีกล้องตรงถนน เขตนี้จะมีการยกระดับเรื่องการเดินทาง แต่ละเขตมีปัญหา และมีการดูแลที่ต่างกัน เราศึกษามาแล้วว่าท่านต้องการอะไร เราก็เสนอตัวเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งที่ผ่านมา เราพูดและเราทำ ผลงานเห็นชัดอยู่แล้ว ก็หวังว่าจะทำให้คนกรุงเทพฯ ไว้วางใจพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านมา ตนดีใจที่เวลาไปไหนมาไหน มีคนเข้ามาถ่ายรูป ทักทายพูดคุยด้วย แสดงว่าเราก็มีคะแนน ที่ทำไปไม่เสียเปล่า

เมื่อถามว่า คิดอย่างไร ที่มีการตั้งฉายาว่าภูมิใจไทย เป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง นายอนุทิน  กล่าวว่า เป็นเรื่องดี เพราะ คำพูดนี้ มันสะท้อนว่าคนต่างจังหวัดเวลาเขามากรุงเทพฯ เขามาด้วยความจริงใจ และจริงจัง หวังจะทำงาน พิสูจน์ตัวเอง ภูมิใจไทยก็เหมือนกัน เราก็หวังจะทำงานรับใช้ประชาชน กทม. และเราก็จริงใจ ตั้งใจด้วย ขอเพียงท่านให้โอกาส เราไม่ทำให้ผิดหวัง

เมื่อถามว่า เรื่องพรรคภูมิใจไทย ไม่มีกระแส อาจจะผิดหวังในพื้นที่เมืองหลวง นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคเราไม่มีกระแส ไม่มีกระสุน แต่เรามีผลงาน และผลงาน ก็น่าจะทำให้ประชาชนเห็นว่า เลือกพรรคภูมิใจไทยมา ท่านจะได้เห็นความเป็นรูปธรรม จับต้องได้ของนโยบายเรา เรากล้าบอกว่า เราเป็นพรรคพูดแล้วทำ เพราะเรามีผลงานมีความเชื่อมั่นจากประชาชน มีความน่าเชื่อถือต่อสิ่งที่เราให้ไว้กับประชาชน 

'ชัยวุฒิ' ยัน!! ‘ลุงป้อม-ลุงตู่’ อยู่ฝั่งเดียวกัน ลั่น!! พร้อมจับมือทุกพรรค หากนโยบายตรงกัน

(23 มี.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พปชร. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างพรรค พปชร. นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นําโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท.ว่า เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นพรรคใหญ่ พรรคกลาง พรรคเล็ก ก็กินข้าวกันประจำอยู่แล้ว ส.ส.และนักการเมือง ก็เข้าออกกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่วงทานข้าวเมื่อวันที่ 22 มี.ค.อาจเป็นประเด็น เพราะนายอนุทินมา และเขาเป็นพรรคใหญ่ ก็มีการพูดคุยกันเรื่องการเมือง คุยกันประจำ แต่ยืนยันว่ามากินข้าวกันทุกพรรคอยู่แล้ว ยกเว้นพรรคฝ่ายค้าน เพราะเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวงกินข้าวมีการพูดถึงการจับมือเพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่ได้คุยขนาดนั้น เพียงแต่บอกว่าเรื่องนี้ต้องรอหลังการเลือกตั้งก่อนว่าใครจะได้ ส.ส.เท่าไหร่ ค่อยมาดูกัน เมื่อถามว่า ถือเป็นการส่งสัญญาณการจับมือกันในอนาคตหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนว่าสัญญาณชัดอยู่แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็อยากทำงานร่วมกันต่อ เพราะทํางานร่วมกันมาก็ราบรื่นดี สามารถประสานงานกันได้ด้วยดี ก็ไม่อยากเปลี่ยนหรอก เมื่อถามว่า การจับมือในอนาคต จะมีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ด้วยหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ความจริงพรรค รทสช. ก็ถือเป็นพรรครัฐบาล ก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ

"พรรครวมไทยสร้างชาติจะไปจับมือกับใครถ้าไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ ความจริงทุกพรรคการเมืองจับมือกันได้หมด ถ้านโยบายหรือแนวคิดตรงกัน แต่สุดท้ายก็อยู่ที่การเลือกตั้ง เราต้องเอาความจริงมาคุยกัน พรรคร่วมรัฐบาลถ้าจะทำงานกันต่อ ก็ต้องอยู่ด้วยกันนั่นแหละ มันไม่มีใครได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้หรอก ก็ต้องอยู่ด้วยกันหมดแหละ" นายชัยวุฒิ กล่าว

เมื่อถามว่า ตามข่าวที่ออกมา พรรค พปชร.ตั้งเป้าว่าจะได้ 70 เสียง เป็นไปตามนั้นหรือไม่ กล่าวว่า ความจริงเรื่องนี้ต้องทําโพล ซึ่งตัวเลข 70 ที่ออกมาเป็นการคาดการณ์ของบางคนที่มีการประเมินกัน บางคนก็ประเมิน 100 บางคนประเมิน 70 บางคนประเมิน 40 บางคนก็ประเมิน 150 ซึ่งเราอาจจะถึง 150 เสียงก็ได้ เพราะมีผู้สมัครเกรดเอ ตั้งเป้าไว้ 150 เสียง

"เป้า 150 ยังอยู่ ที่เราเคยพูดมาตลอดเพราะเรามี ส.ส.เกรดเอ 150 แต่ก็ยอมรับว่าไม่คิดว่าจะชนะทุกคน มันก็อาจจะมีพลาดบ้าง" นายชัยวุฒิ กล่าว

‘รทสช.’ ไม่หวั่น หลังสมาชิกบางคนย้ายซบพรรคอื่น เผย ช่วงนี้พรรคเนื้อหอม มีผู้สนใจแห่ลงสมัครเพียบ

(23 มี.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ แกนนำและคณะทำงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ มีผู้ที่สนใจมาสมัครเป็นสมาชิกจำนวนมากในแต่ละวัน ล่าสุดมีสมาชิกมากกว่า 5 หมื่นรายแล้ว กรณีของนายพิศณุพงศ์ สิทธิโชคแก้วมูล ที่ไปสมัครเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองบางพรรค แล้วระบุว่า เคยเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติมาก่อน ทางพรรคได้ตรวจสอบแล้วพบว่า มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคจริง เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 แต่ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเมื่อใดไม่ทราบ เพราะตามรายชื่อที่ กกต.แจ้งมายังพรรคเพื่อแจ้งบุคคลลาออกจากสมาชิก เมื่อวันที่ 7-10 มีนาคม ที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏชื่อของนายพิศณุพงศ์ แต่อย่างใด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top