Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

‘กรณ์’ นำทัพ ‘ชพก.’ ลุยปราศรัยขอคะแนนชาวสุราษฎร์ธานี ลั่น!! ไม่ร่วมรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายกฯ

(5 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายวรวุฒิ อุ่นใจ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ธชา จินตวร ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาพรรค ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อร่วมเวทีปราศรัย เมื่อค่ำวันที่ 4 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ช่วยนายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4 หาเสียง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขต 2 เบอร์ 8 นายสุพจน์ บานเย็น เขต 4 เบอร์ 9 และ นายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4 ร่วมปราศรัย โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และร่วมรับฟังปราศรัยอย่างเนืองแน่น 

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคเล็กและเป็นพรรคใหม่ แต่เรากล้าชกกับรุ่นเฮฟวี่เวต เรื่องที่เราออกมาสู้ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ จนได้รับการยอมรับสะท้อนมาเป็นผลโพลของสุราษฎร์ธานีเขต 1 วันนี้ที่โพลบี้กับที่ 1 แบบหายใจรดต้นคอ เวลาที่เหลืออยู่อีก 10 วันถือเป็นช่วงสำคัญ โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองและผู้สมัคร ที่หาเสียงแนวสร้างสรรค์ ไม่แจกเงิน เราต้องรักษาสถานะเป็นผู้ท้าชิง ให้เข้าสู่เส้นชัยให้ได้ 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามักได้ยินคำถามเสมอว่าเราอยู่ฝั่งไหน ซ้ายหรือขวา เราตอบไม่แบบอายว่า เรามองข้ามขั้วการเมือง แต่มาสู้กับเรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้กับสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลยุทธ์การเมืองของพรรคใหญ่ เพื่อแบ่งประชาชนออกเป็นสองข้าง แต่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย และยังเป็นอุปสรรคของประเทศในการที่จะเดินต่อไปข้างหน้า 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายก เราถูกปรามาสเสมอว่าเราพร้อมเสียบ ซึ่งต้องบอกว่า ถ้าเป็นพรรครอเสียบก็ต้องสงวนปากสงวนคำอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดเรื่องใหญ่ ไม่ท้าทายใคร แต่เราสู้กับทุนใหญ่ ทุนผูกขาด มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟ ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งมันสวนทางกับพรรครอเสียบ แต่เป็นพรรคที่พร้อมสู้เพื่อความถูกต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้พี่น้องประชาชน  

“เราพร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด เพื่อพี่น้องประชาชน ไม่มีใครที่พึ่งพาได้เหมือนกับเรา ในการยืนหยัดต่อสู้กับใครก็ตาม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท่าน ผมมีจุดยืนเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก่อนการทำงานการเมือง ด้วยซ้ำ ผมเกลียดที่สุดคือ ทุนผูกขาด เพราะกระทบกับต้นทุนชีวิตประชาชน ครอบงำการเมืองทุกขั้ว เราขอต่อสู้ในแนวทางสร้างสรรค์ ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองแบบนี้เข้าไปทำงานในสภา ท่านไม่ต้องกังวลว่าเลือกเราแล้วจะได้เป็นรัฐบาลไหม ขอให้ท่านเลือกอนุวัตรเบอร์ 4 และพรรคชาติพัฒนากล้าเบอร์ 14 ขอให้เรามี ส.ส.ในสภา จะกี่คนก็ตาม เราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนขอทุกคนอย่าลังเล” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

ด้านนายวรวุฒิ กล่าวว่า นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นโอกาสนิยม ให้คนตัวเล็ก ทำธุรกิจได้ เติบโตได้ แข็งแรง แข่งกันทุนใหญ่ได้ พรรคชาติพัฒนาจึงมีนโยบายเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก สนับสนุนเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าด้วยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แต่ระบบราชการไม่เอื้ออำนวยทำให้ต้องเกี่ยวพันกันหลายกระทรวง ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเติบโต 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราเสนอโครงการ ‘บริษัทมหาชนของเกษตรกร’ โดยใช้กลไกตลาดทุนมาช่วย เราดึงเกษตรกรมารวมตัวกัน โดยมีเศรษฐีคนไทย และนักลงทุนต่างประเทศมาสนับสนุนนักบริหารทางการตลาด และหาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ แบบนี้เกษตรกรได้ประโยชน์ตั้งแต่ขายราคาพืชผล แปรรูปผลผลิต และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพื่อพัฒนาสินค้า ถ้าทำแบบนี้เกษตรกรเราไม่จนแน่นอน และโมเดลนี้จะเริ่มที่ จ.สุราษฎร์ธานีเป็นที่แรก เพราะเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ 

นายวรนัยน์ กล่าวว่า นโยบายประชานิยม จะทำให้ล้มละลายทั้งประเทศ ชุดนโยบายเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนา คุณภาพชีวิตพัฒนา คือการสร้างโอกาส สร้างความเสมอพรรค หลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลแจกเงินไปเท่าไหร่แล้ว แต่ประชาชนจนเหมือนเดิม ถ้าเราอยากมีอนาคต เราต้องมองเรื่องหาเงิน ใครจะมาพัฒนาเศรษฐกิจให้เราได้ สร้างโอกาส ให้อาวุธพวกเราต่อสู้ ไม่ใช่ลืมตาอ้าปาก แต่อิ่มหมีพีมัน อยู่ดีกินดี คนรวยมีไม่กี่คน ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าตอบโจทย์ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แบบไม่เน้นประชานิยม  

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเรามั่นใจว่าเราเป็นพรรคแห่งความหวัง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน เราพูดได้ชัดเจนตรงไปตรงมาไม่ต้องเกรงใจทุนใหญ่ เราไม่รับทุนผูกขาด และเป็นพรรคแรกที่ต่อสู้เรื่องพลังงาน และออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้งว่าราคาน้ำมัน ค่าไฟ และข้าวของจะแพงตามมา แต่รัฐบาลไม่ทำ และยังประกาศขึ้นค่าไฟ ซ้ำเติมประชาชน และยังเอา รมว.พลังงานมาเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ของพรรคลุงอีก มันสะท้อนถึงทุนผูกขาดที่มีอำนาจที่อยู่เหนือการเมือง   

‘อุ้ม อัชญา’ เผยเหตุผลต้องเลือก ภท. ดูแล กทม. เขต 32 ชี้!! เข้าใจปัญหา-ร่วมพัฒนานโยบาย-ลงมือทำจริง

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวอัชญา จุลชาต หรือ อุ้ม ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เขต 32 พรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในเวทีเสวนา ‘ผู้แทนในฝัน สร้างสรรค์เขต 32’ ณ หอประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม 

ต่อข้อคำถามที่ 1 ว่าจะสร้างสรรค์ เขต 32 อย่างไร? นางสาวอัชญา กล่าวว่า มิติที่ 1 เรื่อง คน ‘เพิ่มจำนวนเงินในกระเป๋า’ จากการมอบโอกาส สนับสนุนเงินทุน และลดรายจ่าย เรามอบโอกาส พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก อยากให้โอกาสพ่อแม่พี่น้อง ได้หยุดพักหายใจ ไม่กังวลเรื่องภาระหนี้สิน เราสนับสนุนเงินทุน โครงการเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ไม่ต้องค้ำประกัน เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องนำเงินไปต่อยอดทางธุรกิจ ทำมาค้าขาย หารายได้ สร้างเนื้อ สร้างตัว และเราลดรายจ่าย ลดค่าไฟ ติด Solar Roof ให้ฟรี ลดค่าไฟได้ 450 บาท ต่อเดือน ไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนที่เหลือสามารถขายให้รัฐ เป็นรายได้ของครัวเรือน

มิติที่ 2 เรื่อง สภาพแวดล้อม ยกย่านฝั่งธนฯ ให้มีความปลอดภัย และส่งเสริมคุณภาพชีวิต จะต้องเชื่อมกล้อง CCTV บริเวณทางม้าลาย เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะกล้องจะ monitor ปรับคะแนนวินัยจราจร ท่าเรือขนส่งที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย เรือไฟฟ้า EV ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องเสียง และลดมลพิษทางน้ำได้ เพิ่มโรงพยาบาลรัฐ ให้ครอบคลุมกับจำนวนประชากรในพื้นที่ ลดความแออัด ฉะนั้น ชีวิตที่ดีจะเกิดขึ้นได้ในฝั่งธนฯ เลือกอุ้ม อัชญา เบอร์ 7 นะคะ

ต่อข้อคำถามที่ 2 ว่าอยากให้พรรคดันนโยบายใดมากที่สุด เพราะอะไร? นางสาวอัชญา กล่าวว่าเรื่องการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยว คือ จุดแข็งของประเทศไทย ฉะนั้น ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ

สำหรับภาพใหญ่ พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายกองทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดละ 100 ล้าน เพื่อสร้างไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว เราให้ทุกจังหวัด ไม่ใช่แค่จังหวัดใหญ่ ๆ เพราะเราเล็งเห็นถึงความสำคัญของทุกจังหวัดที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

สำหรับเขต 32 อุ้มเห็นถึงศักยภาพ เรามีต้นทุนทางทรัพยากรที่มีความพร้อมมาก เป็นย่านที่มีเอกลักษณ์ในเชิงวัฒนธรรม มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ และ ‘มีจุดเด่น คือ มีวิถีชีวิตริมฝั่งคลอง’ อยากสนับสนุนในเรื่องของ การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางเรือ อยากให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ ได้มีโอกาสสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์นี้ แต่จากที่ได้รับฟังเสียงของคนในพื้นที่ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่าเรือในพื้นที่มีความเสื่อมโทรม ไม่ปลอดภัย และมีปัญหามลพิษทางน้ำและเสียงรบกวนจากเรือ”

พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายท่าเรือปลอดภัย เรือไฟฟ้า EV เพื่อมาแก้ไขปัญหา ยกระดับความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว และให้ความเชื่อมั่นกับชาวบ้านว่าจะช่วยลดปัญหาเรื่องของเสียงและมลพิษทางน้ำ

“อุ้มจะทำงานอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะพัฒนาย่านนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน” นางสาวอัชญา กล่าว

‘กกต.’ แจง 4 เหตุผล พิมพ์บัตรเลือกตั้งสำรองกว่า 4.9 ล้านใบ ย้ำ!! ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดในวันเลือกตั้ง ต้องมีบัตรเพียงพอ

(5 พ.ค. 66) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงเรื่องการจัดพิมพ์และการสำรองบัตรเลือกตั้งว่า จำนวนบัตรเลือกตั้งและการสำรองบัตร หลักการในการพิมพ์บัตรเลือกตั้งคือ ต้องมีบัตรเพียงพอ ไม่ว่าจะมีเหตุหรือกรณีใด ๆ ในการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 มีผู้ใช้สิทธิภายหลังการเพิ่มชื่อและถอนชื่อแล้ว จำนวน 52,239,354 คน บัตรที่พิมพ์จำนวน 57,200,000 บัตร (จำนวน 2,860,000 เล่ม เล่มละ 20 บัตร) จึงมีบัตรสำรองเพื่อใช้ประโยชน์ในการเลือกตั้งจำนวน 4,960,646 บัตร บัตรที่สำรอง 4 ล้านกว่าฉบับดังกล่าวนำไปใช้ประโยชน์เพื่อ

1.แจกจ่ายให้ทุกหน่วยเลือกตั้งสำรอง 1 เล่ม เพราะการจ่ายบัตรจ่ายเป็นเล่ม ไม่ได้จ่ายเป็นฉบับ หน่วยเลือกตั้งมีอยู่ประมาณ (หน่วยปกติและหน่วยพิเศษสำหรับผู้พิการและทุพลภาพ) 100,000 หน่วย ใช้บัตรไปเพื่อการนี้จำนวน 2,000,000 บัตร

‘ภูมิธรรม’ ชู ‘เศรษฐา’ คุณสมบัติครบ เทียบชั้น ‘ทักษิณ’ ลั่น!! เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที

(5 พ.ค.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที ในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ผมขอพูดถึงแคนดิเดตนายกฯ คนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ‘เศรษฐา ทวีสิน’

ตลอดเวลานับตั้งแต่เปิดตัวทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย ผมได้เห็นความทุ่มเท ความมุ่งมั่นในการลงพื้นที่เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน

อย่างจริงจังและจริงใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากประการหนึ่งของคนที่อาสาเข้ามาเป็นนักการเมือง 
เมื่อพูดคนจะฟัง เมื่อลงมือทำคนจึงจะเชื่อ ใช่ครับ คุณเศรษฐาพิสูจน์ความเป็นนักการเมืองของตัวเองด้วยการลงมือทำ

'กรณ์' กร้าว!! ชพก.แม้เป็นพรรคเล็ก แต่พร้อมสู้เพื่อประชาชน ย้อนถาม พรรคใหญ่ที่มัวเกรงใจทุนผูกขาดทำอะไรได้บ้าง?

(5 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตอบคำถามหลังมีคนถามว่า 'พรรคเล็กทำอะไรได้?" ดังนี้...

งั้นผมถามกลับว่า แล้วพรรคใหญ่ที่มัวเกรงใจทุนผูกขาดทำอะไรได้บ้าง?

ไม่ใช่พรรคเล็กอย่าง พรรคชาติพัฒนากล้า - ChartpattanaKLA Party หรอกหรือ ที่ออกมาสู้เรื่อง #น้ำมันแพง เพราะวิธีคิดค่าการกลั่น ที่ทำให้โรงกลั่นรํ่ารวยกันไปบนทุกข์ร้อนของประชาชน

ไม่ใช่พรรคเล็กอย่าง 'ชาติพัฒนากล้า' หรอกหรือ ที่ออกมาสู้เรื่อง #รื้อระบบแบล็กลิสต์ ให้คนไทยได้ลืมตาอ้าปาก 

ไม่ใช่พรรคเล็กอย่าง 'ชาติพัฒนากล้า' หรอกหรือ ที่ออกมาสู้เรื่อง #ค่าไฟแพง จนสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ทำให้รัฐบาลต้องพิจารณาเรื่องลดค่าไฟ

‘โฟม-พงศ์กวิน’ ชี้!! 14 พ.ค.นี้ รู้ผลโฉมหน้าการเมืองไทย มั่นใจ!! เพื่อไทยยังแลนด์สไลด์ กวาด กทม. เกิน 25 คน

ต้องยอมรับว่า ในช่วงหาเสียงที่ผ่านมา หนึ่งในแกนนำที่ลงมาช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทย (พท.) อย่างต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้นตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ โดย ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ อดีตรมว.อุตสาหกรรม ที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศคู่ขนานไปกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแบบไม่เว้นวันพักผ่อน

(5 พ.ค.66) ขณะเดียวกัน ด้าน ‘โฟม’ พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็ช่วยออกไปเป็นกองเสริมสนามกรุงเทพฯ โดยที่ผ่านมาได้ลงช่วย ‘ดร.ตั้น’ กฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 29 เขตบางแค (เฉพาะแขวงบางแคเหนือและแขวงบางไผ่) เขตหนองแขม (ยกเว้นแขวงหนองแขม) เบอร์ 9 ซึ่งต้องยอมรับว่า ผลงานของ ดร.ตั้น ที่แม้จะยังไม่ได้เป็น ส.ส.ในเลือกตั้งรอบก่อน แต่ก็ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างมาก หลังจากลงช่วยเหลือแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ชาวบ้านย่านนี้มาตลอดหลายปี

'ก้าวไกล' คึก! ประกาศชิงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขู่!! รัฐบาลเสียงข้างน้อย ระวังนรกมีจริง

(5 พ.ค.66) เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 พ.ค.พรรคก้าวไกลจัดเวทีปราศรัยใหญ่ ‘นนทบุรีตรงไป ก้าวไกลตรงมา’ ที่ตลาดนกฮูก จ.นนทบุรี นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้แก่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, วรรณวิภา ไม้สน, วาโย อัศวรุ่งเรือง, กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี, สุเทพ อู่อ้น และ ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์

โดย น.ส.วรรณวิภา กล่าวว่า เราผ่านความเจ็บปวดของแรงงาน จนกลั่นกรองมาเป็นนโยบาย พรรคก้าวไกลเสนอการสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งเรามั่นใจว่าหลังจากนี้จะไม่มีพรรคการเมืองใดกล้าลดสวัสดิการของพี่น้องประชาชนแน่นอน รับปากได้ว่าสภาฯ ชุดใหม่เปิดเมื่อไร ร่างกฎหมายทั้ง 40 ฉบับของพรรคก้าวไกลจะเข้าสู่สภาฯ ทันที ที่ผ่านมาเราเคยมีรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเป็นตำรวจ เป็นนายพล แล้วทำไมจะมีรัฐมนตรีแรงงานที่เป็นแรงงานตัวจริงไม่ได้ ดังนั้นวันที่ 7 และ 14 พ.ค.นี้ ประชาชนจะได้มีสิทธิมีเสียงเท่ากัน อย่าให้ใครมาปล้นอำนาจของเราไป หากทุกคนมีความฝันธรรมดาเรียบง่ายเหมือนพวกเราที่ต้องการเห็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน วางความกลัวไว้ข้างหลัง วางความหวังไว้ข้างหน้า กาก้าวไกล 2 ใบให้ถล่มทลาย

ด้านนายปิยบุตร ขึ้นปราศรัย กล่าวว่า พรรคก้าวไกลได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความพร้อมในการเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ไม่ใช่เพียงมีแผนงานโรดแมปในการขับเคลื่อนนโยบาย แต่ยังเป็นพรรคของมวลชนที่ไม่ต้องเกรงใจใคร เกรงใจคนเดียวคือประชาชน ถึงเวลาก็สามารถเข้าไปแก้ปัญหาที่ต้นตอได้ ทั้ง 300 นโยบายของพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนประเทศไทย โดยเห็นได้ว่าข้อเสนอการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต เป็นเรื่องยาก ๆ ทั้งนั้น เพราะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ กระจายอำนาจปลดล็อกท้องถิ่นซึ่งเป็นการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร เอานายพลคนทำรัฐประหารมาเข้าคุก ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปที่ดิน ทลายทุนผูกขาด เรื่องเหล่านี้แม้เป็นเรื่องยาก แต่ไม่ทำไม่ได้ ต้องทำวันนี้เดี๋ยวนี้

“จำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องมี ส.ส. มากเป็นอันดับหนึ่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เลือกกระทรวงสำคัญเพื่อเข้าไปบริหารเรื่องเหล่านี้ ถ้าเราไม่ได้ที่หนึ่ง เราได้ ส.ส. น้อย ไปร่วมกับคนอื่น สวัสดิการพื้นฐานอาจไม่ได้ทำ กระจายอำนาจอาจไม่ได้ทำ ดังนั้นต้องกาก้าวไกลให้ถล่มทลาย” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า เหลืออีก 10 วันก่อนหย่อนบัตร แต่ละพรรคก็มีกลยุทธ์มาแข่งขันกัน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้ยินนายวิษณุ เครืองาม รักษาการรองนายกรัฐมนตรีพูดว่า โดยทั่วไปจะไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นอาจจะมีได้ และอีกสักพักจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะค่อยๆ กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเอง

“นี่มันอะไรกัน พอใกล้หย่อนบัตรก็ส่งสัญญาณกันแล้วหรือ ตกลงว่าจะฝืนมติเสียงสวรรค์ของประชาชนไปตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอา ส.ว. มาหนุนใช่ไหม ถ้าอยากทำก็ลองดู เดี๋ยวจะรู้ว่านรกมีจริง รอบนี้ไม่มีใครยอมแล้ว 4 ปีที่แล้วก็ทำแบบนี้ รอบนี้พอกันที เราจะไม่ให้ ส.ว. 250 คนทำงานอีกต่อไป เราจะตั้งรัฐบาลก้าวไกล รัฐบาลเสียงข้างมากถล่มทลาย

นายปิยบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า พอนายวิษณุ พูดแบบนี้ บางพรรคการเมืองก็เกิดตระหนกขึ้นมา เอามารณรงค์ผ่านแคมเปญโหวตยุทธศาสตร์ แคมเปญคะแนนตกน้ำ ด้วยการบอกว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านเดิมหรือพรรคที่แสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหาร มาแข่งกันเองมากๆ ตาอยู่จะคว้าพุงปลาไปกิน เราจะแพ้กันหมด สาธยายเต็มไปหมดเพื่อนำไปสู่บทสรุปว่าต้องโหวตยุทธศาสตร์ อย่าให้คะแนนตกน้ำ โดยโหวตพรรคเขาพรรคเดียว ผมอ่านแล้วรู้สึกคุ้นๆ 4 ปีที่แล้วก็เจอแบบนี้ สงสัยว่าเลือกตั้ง 2570 จะทำแบบนี้อีกหรือไม่ สรุปว่าต่อไปนี้ ประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยได้ ต้องเลือกพรรคคุณแค่พรรคเดียวอย่างนั้นหรือ

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า เราต้องกลับมาทบทวนการโหวตเชิงยุทธศาสตร์ หรือเรื่องคะแนนตกน้ำ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้ลองดูผลสำรวจคะแนนเสียงของกลุ่มพรรคฝ่ายค้านเดิมทั้งหมด ออกมาเกิน 70% ไปแล้ว และสำหรับพรรคก้าวไกล เรามีลุ้นทุกเขต ดังนั้น อย่าไปกลัว อย่าไปเชื่อ ถ้ารักถ้าชอบก็กาให้ถล่มทลาย เลือกพรรคก้าวไกลไม่มีวันคะแนนตกน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลพุ่งขึ้นแบบนี้ ทุกคะแนนที่พี่น้องมอบให้มีคุณค่ามหาศาล เพราะเวลาที่คะแนนเบียดกันวิ่งเข้าเส้นชัย ทุกคะแนนมีความหมาย ครั้งที่แล้วพรรคอนาคตใหม่ก็แพ้ไปเพียงนิดเดียวในหลายเขต

“ถ้ารักก้าวไกล อย่าลังเล กาก้าวไกลทั้งสองใบ ตรงไปตรงมา นอกจากช่วยเพิ่มจำนวน ส.ส. เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาลก้าวไกลแล้ว ยังช่วยสร้างผลสะเทือนทางการเมือง หากคะแนนทั่วประเทศของพรรคก้าวไกลขึ้นไปถึง 30-40% นี่คือการส่งสัญญาณดัง ๆ ให้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินถึงผู้มีอำนาจ ว่าคุณรังแกเหยียบย่ำเราตั้งแต่อดีตอนาคตใหม่ จนมาถึงวันนี้ประชาชนสนับสนุนเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือกลุ่มก้อนพลังความคิดแบบใหม่ ที่ไม่เอาแบบอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว จะเดินหน้าสู่อนาคตแบบใหม่”นายปิยบุตร กล่าว

เตือนภัยชักศึกเข้าบ้านหลังเลือกตั้ง 'รัฐบาลเสียงข้างน้อย' ทางเลือกสุดท้าย

อีก 8 ทิวาราตรีกาลก็จะถึงวันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยกันแล้ว สารพัดโพลว่าด้วยการเลือกตั้งรีบแถลงกันคึกโครมคึกคัก เพราะสัปดาห์หน้าถูกห้ามเผยแพร่ตามกฎ กติกา มารยาท...

เล็ก เลียบด่วน...ก็พยายามติดตามทุกโพลด้วยความสนใจ บางโพลนั้นดูแล้วออกอาการเว่อร์ ๆ และย้อนแย้งสุด ๆ ขอไม่พูดถึง...แต่ท้ายสุดก็ต้องขอบอกว่าที่ถูกจริตและสอดคล้องกับความรู้สึกและข้อมูลที่ 'เล็ก เลียบด่วน' พอมีอยู่ในมือก็คือ...นิด้าโพล ที่มี ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ เป็นผู้อำนวยการ...

นิด้าโพล ล่าสุดระบุว่า คนที่ชาวบ้านอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เบียดแซง 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร ในสัดส่วนร้อยละ 35 ต่อ 29 เป็นการสวนทางไปกลับในอัตราส่วนที่สูงมาก...ส่วนส.ส.ระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อนั้น 3 อันดับแรกยังเป็น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรครวมไทยสร้างชาติ...แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้หนา ๆ ก็คือพรรคก้าวไกลหายใจรดต้นคอพรรคเพื่อไทยในระดับ 2-4% เท่านั้น...ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งหัวหน้าและเลขาฯพรรคก้าวไกลจะพูดถึงตัวเลขเป้าหมาย ตัวเลขในฝัน 160 ที่นั่ง...พร้อม ๆ กับการปั่นแคมเปญโค้งสุดท้าย...คาราวาน 5 สาย มุ่งสู่ทำเนียบ...

ขณะที่ เนชั่นโพล...ชี้เปรี้ยงว่าสองพรรคคือเพื่อไทยกับก้าวไกลทะลุ 300 เสียง...แต่ นิด้าโพล ที่ 'เล็ก เลียบด่วน' คุยทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์กับคนทำโพล ได้ตัวเลขว่า...เพื่อไทย 200 ก้าวไกล 70 ภูมิใจไทย 80 รวมไทยสร้างชาติ/ประชาธิปัตย์/พลังประชารัฐ เฉลี่ยพรรคละ 45...ทั้งหมดบวกลบ 5

...ตามโพลนี้รวมเสียงของฝ่ายเดิมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 280 ซึ่งเกิน 250 หรือเกินครึ่งสภาไปไม่น้อย...และตามตัวเลขนี้ขั้นตอนแรกที่จะทำคือการเลือกประธานสภา ก็ต้องบอกว่าน่าจะเรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทย ได้ 'พ่อมดดำ'! เป็นประธานสภา...แต่ในขั้นตอนต่อไป เลือกนายกรัฐมนตรีต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาหรือสองสภารวมกันคือไม่น้อยกว่า 376 เสียง...แน่นอนว่า 250 เสียงของ ส.ว.คือเสียงชี้ขาด...เกมอาจพลิก...พลิกไปหาขั้วอำนาจเดิม

แม้บอกว่าไม่ได้เป็นการชี้นำใด ๆ และไม่มีใครอยากให้เกิด...แต่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เล่าให้ฟังถึงประวัติศาสตร์รัฐบาลเสียงข้างน้อยเมื่อปี 2518 และโยงมาถึง พ.ศ.นี้ ว่ามีโอกาสเกิดขึ้น แม้ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย แต่ที่สุด 'เวลา' ก็จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้เป็นเสียงข้างมากได้...ตามสูตรนี้ก็พอจะมองกันออกว่า โอกาสของ 'บิ๊กตู่' ที่จะไปต่อรอบสามนั้นยังมี...ถ้าขั้วอำนาจเดิมไม่แพ้ขาดกระจุย...

‘เสี่ยหนู’ ลุยหาเสียงโคราช มั่นใจ!! ‘พรชัย’ รักษาแชมป์ได้ เชื่อ ปชช.เห็นความทุ่มเท ไม่เคยทิ้งพื้นที่ ผลงานเป็นที่ประจักษ์

(5 พ.ค. 66) ที่โรงเรียนหนองบุญมากประสงค์วิทยา ตำบลหนองหัวแรด อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ เดินทางลงพื้นที่ช่วย นายพรชัย อำนวยทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 11 เบอร์ 7 หาเสียงท่ามกลางประชาชน 4,000 คน

โดย นายอนุทิน ปราศรัยตอนหนึ่งว่า สำหรับนายพรชัย มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะสามารถรักษาแชมป์ได้ เนื่องจากทางพรรคภูมิใจไทยเห็นการทำงานของท่านมาโดยตลอด หลังจากท่านได้เป็นตัวแทนปวงชน นายพรชัยไม่เคยทิ้งพื้นที่ เจอหน้าตนทุกครั้งพูดแต่ว่าพื้นที่ต้องการอะไรบ้าง เป็นคนที่หายใจเข้าออกนึกถึงประชาชน นายพรชัยทำงานชนิดที่หัวหน้าพรรคยังต้องเกรงใจ เรื่องความทุ่มเทนายพรชัยไม่เป็นสองรองใคร ขอให้คำมั่นสัญญาว่าเลือกนายพรชัยไปทำงาน รับรองไม่มีคำว่าผิดหวัง

“ที่ผ่านมา มีสำนักโพลต่าง ๆ รายงานผลออกมา ส่วนตัวผมดูไว้เป็นข้อมูล แต่ที่ผมเชื่อที่สุด คือ ผมเชื่อในการทำงานของผู้สมัครพรรค นายพรชัย ทำงานดี มีความมุ่งมั่น ตอนที่โควิด-19 ระบาด หรือตอนที่มีปัญหาต่าง ๆ ท่านโทรหาผมแทบทุกวัน เพื่อให้ลงไปช่วยแก้ปัญหา ไปทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการให้ มาถึงวันนี้จากผู้คนที่มาฟังนายพรชัยปราศรัยจำนวนมากมายหลายพันคน สิ่งที่ผมเห็นมันมีความหมายมากกว่าผลโพล เพราะนี่คือคะแนนความนิยมจากชาวบ้านในพื้นที่จริง ๆ” นายอนุทิน กล่าว

จากนั้น นายอนุทิน ได้นำเสนอนโยบายของพรรคภูมิใจไทย อาทิ การพักหนี้ 3 ปี ไม่เกิน 1 ล้านบาท หยุดต้น หยุดดอกเบี้ย, เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท, กรมธรรม์ผู้สูงวัย 60 ปีขึ้นไป, การเพิ่มค่าตอบแทน อสม. 2,000 บาทต่อเดือน, การจัดหาเครื่องฉายรังรักษามะเร็งสีติดตั้งทุกจังหวัด, นโยบาย 1 ตำบล 1 ศูนย์ไตเทียม, ติดตั้งโซลาร์รูฟบนหลังคาฟรี ลดค่าใช้จ่าย 450 บาทต่อครัวเรือน และการให้สิทธิ์ซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าผ่อนเดือนละ 100 บาท 60 งวด, นโยบายเกษตรร่ำรวย รู้ราคาก่อนขาย เสียหายมีประกัน

‘รทสช.’ ปล่อยคลิปสั้น ‘คุยกับลุง’ เผยอีกแง่มุมชีวิตของ ‘ลุงตู่’ พร้อมเล่าที่มาของชื่อ ‘ประยุทธ์’ ที่แปลว่า ‘ต่อสู้’ เพราะตนสู้มาตลอดชีวิต

‘รทสช.’ ปล่อยคลิป ‘คุยกับลุง’ วิดีโอสั้นพูดคุยกับ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ อย่างเป็นกันเองในเรื่องราวเบาๆ ทั้งเรื่องชีวิตวัยเด็ก งานอดิเรก ชีวิตครอบครัวและการทำงาน ที่แตกต่างกับบุคลิกที่สังคมเคยเห็นมาก่อน ทำให้หลังเผยแพร่คลิปไม่นานก็ถูกแชร์ไปจำนวนมาก พร้อมแฟนคลับขอให้ผลิตต่อเนื่อง เพราะได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์ ในตัวตนที่แท้จริง ที่ไม่ได้ดุเหมือนที่เห็นในข่าว และพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ

(5  พ.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก พรรครวมไทยสร้างชาติเผยแพร่คลิป ‘คุยกับลุง’ คลิปวิดีโอสั้นๆ ประมาณ 7 นาที เป็นการพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ ในบรรยากาศสบายๆ โดย พล.อ.ประยุทธ์ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ลายใบไม้สีเหลือง กางเกงสแล็กสีดำ พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับทีมงาน โดยเนื้อหาการสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของตนเอง ตั้งแต่วัยเด็ก งานอดิเรก กีฬา และชีวิตครอบครัวน่ารักๆ

เนื้อหาเริ่มต้นคลิป พล.อ.ประยุทธ์ เล่าถึงที่มาของชื่อ ‘ประยุทธ์’ โดยระบุว่ามีที่มาจากระหว่างที่ตนเกิดในค่ายทหารที่ จ.นครราชสีมา มีการซ้อมรบบิดาจึงตั้งชื่อตนว่า ‘ประลองยุทธ์’ แต่เมื่อบิดาไปหาหมอพระ ได้ขอให้เปลี่ยนเป็น ‘ประยุทธ์’ เท่านั้น ตนจึงได้ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิด และจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ต้องต่อสู้มาตลอด ตามความหมายของชื่อที่แปลว่า ‘ต่อสู้’ นั่นเอง

พล.อ.ประยุทธ์ ยังเล่าด้วยว่าในสมัยเด็กตนก็เป็นเด็กซนๆ คนหนึ่ง จนถูกบิดาลงโทษ ถูกตี รู้สึกเจ็บมาก ตอนนั้นอายุสิบกว่าขวบ ตัดสินใจหนีออกจากบ้านด้วยการถีบรถจักรยานออกไปในเวลาเย็น แต่เมื่อออกไปสักพักก็คิดว่าจะไปไหนดี แต่หาคำตอบไม่ได้ว่าจะไปไหน จึงตัดสินใจกลับบ้านมาเอง โดยบิดายืนรออยู่พร้อมกับถามว่าออกไปไหนมา ตนก็แค่บอกว่าออกไปเล่นมา แต่ทราบดีว่าบิดารู้ว่าตนงอนที่ถูกทำโทษ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ในสมัยเด็ก พร้อมกับเล่าว่าบิดาเป็นคนที่เป็นหลักของครอบครัว ดุ แต่ก็ใจดีและมีเหตุผล ส่วนมารดาเป็นคนใจดี

พล.อ.ประยุทธ์ ยังตอบคำถามเกี่ยวกับการออกไปเล่นสงกรานต์กับประชาชนที่ ถ.ข้าวสาร เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาว่า ที่จริงแล้วตั้งใจจะไปเยี่ยมตำรวจเพื่อให้กำลังใจและกำชับให้ดูแลประชาชนให้ดี แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็เลยได้เล่นน้ำสงกรานต์กับประชาชนจริง เพราะส่วนตัวแล้วตนไม่ได้เล่นสงกรานต์มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เผลอตัวไป ขาไปผมเรียบหล่อ แต่กลับออกมาผมฟู จนถึงวันนี้ยังเมื่อยอยู่

ทีมงานถามว่า มีคนนำไปพูดว่านายกฯ กราดยิงประชาชนในวันสงกรานต์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าก็เป็นการยิงน้ำที่ใส่ความเป็นมงคลไปให้ ตนไม่เคยไปให้ร้ายกับใคร เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเรามักจะมีทั้งคนเกลียดและคนรัก จึงไม่ได้คิดอะไร

เมื่อถามว่าเคยดูซีรีส์บ้างไหม พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวว่า ตนก็ดูซีรีส์เหมือนกัน แต่ดูไม่เคยจบ เพราะไม่สนุก ทำให้มีซีรีส์ค้างจออยู่หลายสิบเรื่อง แต่เรื่องที่ดูจนจบคือ ซีรีส์เกาหลี ‘Desendents of the Sun’ ที่พระเอกเป็นทหาร และเรื่อง ‘Crash Landing on you’ และยังดูซีรีส์ย้อนยุคของเกาหลี หรือภาพยนตร์เก่าอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เพราะดูแล้วสนุก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการทหาร ที่มีการรบกัน แต่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น เพราะเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้าย ทารุณ แต่ก็ดูไปหมด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top