Tuesday, 30 April 2024
EducationNewsAgencyforAll

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว"   EP.3 เจาะลึก!! โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จุดกำเนิดสร้างนักวิทยาศาสตร์ 

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว"  
EP.3 เจาะลึก!! โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จุดกำเนิดสร้างนักวิทยาศาสตร์ 

????พบ (พี่อ๊อด) กิตติเชษฐ์ เกื้อมา วิทยากร

????(กันต์) ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา ผู้ดำเนินรายการ

????น้องชมพู่ ช่วง 'ลมตะวันออก' ความรู้ดีดีและข่าวสาร จาก โลกตะวันออก

⏰วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม เวลา 2 ทุ่มตรง !

ติดตามรายการที่ช่อง THE STUDY TIMES
????Facebook : facebook.com/thestudytimes/
????YouTube : youtube.com/channel/UC2Sf0rVFuuSU2aQ5ioU34Lg
????TikTok : tiktok.com/@thestudytimes

.

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว" EP.4 เทคนิค!! เลือกโรงเรียน ม.ปลาย ที่ไหนดี ที่ไหนโดนใจ

????คุยกับพี่อ๊อด "คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว"

EP.4 เทคนิค!! เลือกโรงเรียน ม.ปลาย ที่ไหนดี ที่ไหนโดนใจ

????พบ (พี่อ๊อด) กิตติเชษฐ์ เกื้อมา วิทยากร

????(กันต์) ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา ผู้ดำเนินรายการ

????น้องน้ำฟ้า ช่วง 'Easy English with น้ำฟ้า' ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว

⏰วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม เวลา 2 ทุ่มตรง !

ติดตามรายการที่ช่อง THE STUDY TIMES

????Facebook : facebook.com/thestudytimes/

????YouTube : youtube.com/channel/UC2Sf0rVFuuSU2aQ5ioU34Lg

????TikTok : tiktok.com/@thestudytimes

.

ลุยสวิตจนเก่งภาษา คว้าโอกาส เข้าทำงานบริษัทในสวิตสำเร็จ กับ คุณตาล วัณย์ทิศากร | Click on Crazy EP.3

บทสัมภาษณ์ Click on Crazy EP.3 
วัณย์ทิศากร พิณแพทย์ (คุณตาล)
สาวไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กว่า 20 ปี

Q : แนะนำตัวหน่อยค่ะ 

A : วัณย์ทิศากร พิณแพทย์ค่ะ ทำงานอยู่ที่ Private Bank Julius Baer ทำอยู่ในแผนก Documentation ทำงานประมาณ 4 วัน หยุด 3 วันเพื่อที่จะได้มีเวลาไปท่องเที่ยวค่ะ 

Q : ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ประมาณกี่ปี 

A : 20 ปีค่ะ ปีนี้เป็นปีที่ 20 

Q : จุดเริ่มต้นของการไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

A : ในอดีตตัวคุณแม่ได้ไปทำงานบ้านคนสวิต ตัวพี่เองไปรับ – ส่งแม่ตลอดเวลาเช้าเย็น แล้วก็ได้เจอกันกับแฟนชาวสวิต ในตอนนั้นพี่เรียนอยู่ที่ ปวส.อยู่เทอม 2 สอบอีกเทอมหนึ่งก็จะจบแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไปอยู่สวิตเพราะแฟนถามว่าสนใจไหม ชอบหรือเปล่า แฟนของพี่อยากให้ลองมาใช้ชีวิตที่สวิตดูก่อน เพราะว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตรงบริเวณที่พี่อยู่ไม่ใช่แถวเมืองหลวง มีแต่ธรรมชาติ หญ้า แพะ แกะ วัว แฟนของพี่ก็กลัว ตอนนั้นเราก็อายุน้อย กลัวพี่อยู่ไม่ได้ 

Q : มีปัญหากับที่บ้านบ้างไหมในตอนนั้น

A : กับคุณแม่จะคอยซัพพอร์ต สนับสนุน คุณแม่ก็ได้มีการถามว่าจะไม่เรียนต่อ จะไม่สอบต่อใช่ไหม เหตุผลที่อยากไปคืออะไร พี่ก็ตอบไปว่า ถึงแม้จะเรียนปวสจบแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้วุฒิตอนไปอยู่ที่นั้นอยู่ดี แต่กลับคุณพ่อไม่ยอม คุณพ่อบอกว่าต้องสอบก่อน ต้องเรียนให้จบก่อน เพราะคนที่เรียนไม่จบก็จะไม่มีค่าอะไร ค่านิยมคนไทยสมัยก่อน ต้องมีปริญญาบัตรติดฝาบ้าน แต่พี่ก็ไม่ยอม ก็ทะเลาะกับคุณพ่อไม่ยอมพูดด้วยเลย แล้วก็ตัดสินใจไปสวิตเซอร์แลนด์ 6 เดือน ในระหว่างนั้นก็โทรศัพท์คุยกับแม่ ไม่คุยกับคุณพ่อเลย 

Q : แล้วความรู้สึกแรกของการได้ไปใช้ชีวิตที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นอย่างไร เป็นอย่างที่เราคาดฝันไว้ไหม 

A : จริง ๆ พี่ไม่ได้คาดฝันอะไรไว้เลย นอกจากใส่กระโปรงสั้น ๆ รองเท้าบูท เดินแบบจูเลียร์ โรเบิร์ต (หัวเราะ) แต่ว่าพอถึงสนามบินผู้คนก็เยอะ พอเรานั่งรถไฟมาแล้วจริง ๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์ให้ความรู้สึกเงียบ สงบ มีทะเลทราบซูลิค (Lake Zürich) วิวทิวทัศน์สวยงามมาก บ้านเมืองสะอาดมาก มีแต่หญ้า ไม่มีพื้นทราย พี่ก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะเรายังเด็ก อากาศเย็นสบาย 

Q : มีเหตุการณ์แบบ Culture Shock บ้างไหม 

A : พี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนปรับตัวเข้ากับทุกสิ่งได้ง่าย จะไม่ได้รู้สึกแบบ Culture Shock แต่มีความรู้สึกแบบ เอ๊ะ งง ๆ ในบางเหตุการณ์ เช่น การสั่งน้ำมูกบนโต๊ะอาหาร แล้วก็รู้สึกแปลกบางอย่าง อย่างตอนที่พี่อยู่ที่ประเทศไทยพี่ย้ายจากสัตหีบมาพัทยาแล้ว เมืองพัทยาเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เปิดตลอดเวลา แต่พอมาอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ 6 โมงเย็นร้านค้าต่าง ๆ ก็ปิดหมดแล้ว ปิดเมืองเป็นเมืองร้าง วันอาทิตย์ก็ไม่มีอะไรเปิด ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดเราต้องเตรียมเสบียงเพราะทุกอย่างจะปิดหมดเลย 

Q : พอเราไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์เราต้องไปเรียนภาษาบ้างไหม 

A : พี่เรียนภาษาที่นี่ประมาณ 4 เดือน เรียนที่โรงเรียน แล้วก็หลังจากนั้นก็เริ่มทำงาน เราเรียนภาษาแบบ Learning by Doing พูดคุยกับผู้คน มันก็ค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาเอง 

Q : ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีความหลากหลายทางด้านภาษาหรือไม่ 

A : ใช่ค่ะ เพราะว่าภาษาสวิตเป็นภาษาที่ไม่มีภาษาเขียน เป็นภาษาที่ใช้พูดอย่างเดียว ภาษาเขียนก็จะใช้ตามพาร์ทของแต่ละภาษานั้น ๆ อย่างเช่นพี่อยู่ติดบริเวณประเทศเยอรมณี ก็จะใช้ภาษาเขียนของเยอรมณี เมืองที่ติดอยู่ใกล้ฝรั่งเศสก็จะใช้ภาษาเขียนของฝรั่งเศส อยู่ติดบริเวณไหนก็ใช้ภาษาเขียนนั้น ๆ

ตรงบริเวณที่พี่อยู่จะแปลกนิดนึงตรงที่เวลาเขียนใช้ภาษาเยอรมณีแต่พอพูดเราจะพูดภาษาสวิต เขาเรียกภาษาสวิต-เยอรมณี แล้วก็เราเวลาเราเรียนภาษาเยอรมณีเราก็จะเข้าใจ แต่คนเยอรมณีจะฟังภาษาสวิตไม่เข้าใจ ตรงกลางสวิตก็จะมีภาษาโรมัน แต่เป็นกลุ่มคนเล็ก ๆ ค่ะ

Q : การเรียนภาษาส่งผลให้ตัวคุณตาลได้เข้าทำงานที่ปัจจุบันหรือไม่

A : ใช่ค่ะ ทุกที่ ๆ พี่ทำงาน เวลาพี่ทำงานพี่ก็จะเขียนหนังสือส่งให้กับหัวหน้าหรือฝ่ายบุคคล เพื่อที่จะขอเรียนต่อ คือเราไม่ต้องการจะเสียเงินเรียนเอง เราก็ต้องไปทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมเราถึงอยากเรียนอันนี้ ถ้าเราเรียนแล้วเราจะสามารถพัฒนาองค์กรต่อไปได้อย่างไร พี่ก็เรียนไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักเหนื่อย คนรอบข้างก็สงสัยว่าทำไมพี่ถึงต้องเรียนอีก 

Q : การเรียนทำให้คุณตาลได้เปรียบมากกว่าคนอื่นหรือไม่ 

A : แน่นอนค่ะ ตัวพี่เป็นคนที่ไม่รู้จักเบื่อที่จะเรียน หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกท้อและเหนื่อยในการเรียน แต่พี่รู้สึกว่าการเรียนทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เอาจริง ๆ พี่มาประเทศสวิตเซอร์แลนด์โดยวุฒิม.6 ซึ่งมันไม่ได้อะไรอยู่แล้ว จุดมุ่งหมายของพี่เมื่อ 20 ปีที่แล้วคือพี่จะกลับมาทำงานออฟฟิศอีกครั้ง ตอนที่พี่อยู่เมืองไทยพี่เรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย ด้วยความที่ร่างกายพี่ไม่ค่อยแข็งแรงพี่เลยอยากที่จะทำงานที่สบาย ๆ นิดนึง

อันนี้พี่พูดตรง ๆ นี่คือแรงจูงใจอีกอย่างนึง พี่เคยทำงานร้านสะดวกซื้อที่สวิตแล้วพี่เป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เพราะเรายกของหนักมาก ๆ เราก็คิดว่าเราคงไม่ไหวแน่ ๆ เราต้องได้งานดี ๆ ทำ เพราะฉะนั้นการเรียนถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ เลยค่ะ แล้วก็พี่ประสบความสำเร็จแล้วก็ภูมิใจมาก ๆ ที่ได้ทำงานที่นี่

Q : ภาษาสวิตเซอร์แลนด์มีภาษาท้องถิ่นไหมคะ 

A : แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันไป มีสำเนียงแตกต่างกันไปค่ะ ตรงที่พี่อยู่ใช้ภาษาสวิตเป็นหลักแต่จะมีสำเนียงเฉพาะตัว 

Q : คุณตาลเคยมีเหตุการณ์โดนบูลลี่บ้างไหมคะ จากเพื่อนร่วมงานหรือชาวสวิตบ้างไหมคะ  
A : จริง ๆ แล้วคนสวิตเป็นคนปิด จะไม่ค่อยเปิดเผย ส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง แต่ก็จะมีบ้าง คนที่นี้จะคิดว่าเราเป็นคนใจดี บางครั้งบางคนก็จะคิดว่าเขาสามารถทำอะไรกับเราได้ก็มีบ้าง แต่ถึงขนาดบูลลี่พี่ยังเคยเจอ

เพราะแต่ละที่ ๆ ทำงานพี่ ทำงานให้เขาอย่างดี ไม่เคยมีปัญหาเรื่องความสามารถ แล้วก็เพื่อนพี่ส่วนใหญ่เป็นคนสวิต พี่รู้จักคนไทยที่นี่ไม่ค่อยเยอะ ส่วนใหญ่ก็จะพูดคุยกับคนสวิต คนไทยอยู่ในประเทศสวิตค่อนข้างเยอะ สังคมคนไทยก็จะรักกันเหนี่ยวแน่นมาก 

Q : ประสบการณ์การท่องเที่ยวของคุณตาลมีเหตุการณ์อะไรที่น่าประทับใจบ้าง

A : ต้องบอกก่อนว่าในแต่ละปีพี่จะตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ 3 ข้อ มีข้อหนึ่งถึงเหมือนกันในทุก ๆ ปีเลยก็คือการไปท่องเที่ยวใน 3 ประเทศต่อปี ที่ทำงานก็จะมีเวลา vacation ประมาณ 5 อาทิตย์ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องวางแพลนการท่องเที่ยวดี ๆ ถ้าถามว่าประเทศไหนที่ชื่นชอบที่สุดก็คือประเทศไอซ์แลนด์ พี่หลงรักในธรรมชาติของประเทศนี้มาก

อย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทิวทัศน์ธรรมชาติมีการจัดตกแต่ง แต่ประเทศไอซ์แลนด์เป็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง แล้วพี่เคยไปเดินบนภูเขาไฟที่เคยระเบิดเมื่อ 150 ปีที่แล้ว พี่ขึ้นยืนบนนั้นแล้วมองลงมา ทำให้พี่รู้สึกว่าสิ่งที่เราอยู่มันช่างเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับธรรมชาติ พี่เป็นคนที่ชื่นชอบธรรมชาติมากจริง ๆ เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจ ส่วนอันดับสองก็น่าจะเป็น แคลิฟอร์เนีย ค่ะ 

Q : ในเรื่องของความสัมพันธ์คุณตาลมีอุปสรรคนเรื่องนี้หรือไม่ เนื่องจากเราเป็นคนไทย การใช้ชีวิต วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน

A : ไม่ค่อยนะคะ เพราะว่าพี่เป็นผู้หญิงไทยที่มีลักษณะนิสัยฝรั่งเยอะ พี่จะพูดตรง ๆ กับคนที่บ้านเรา กับคนอื่น ๆ เราอาจจะไม่ต้องพูดทุกคำกับคนที่เราคิดก็ได้ แต่กลับคนที่บ้านเราเราก็ต้องรู้ว่าเราจะพูดอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจกัน พี่จะไม่เก็บเอาไว้ถ้ามีอะไรที่พี่รู้สึกไม่ชอบใจ และแฟนพี่เองก็มีลักษณะนิสัยแบบคนไทยสูงมาก

ทำให้รู้สึกว่ามีความเข้ากันพอดี ส่วนเรื่องภาษาพี่มองว่าอาจจะไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าไร ตอนเริ่มที่จะคุยกันพี่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร คนเราถ้าอยากจะเข้าใจกันเราจะต้องหาทุกวิธีทางเพื่อที่จะได้เข้าใจกัน แต่ถ้าคู่ไหนที่ไม่อยากจะเข้าใจกันแล้วต่อให้พูดภาษาเดียวกันมันก็จะไม่เข้าใจกันอยู่ดี 

Q : คุณตาลมีเทคนิค เคล็ดลับในการเรียนทั้งภาษาและการเรียนเพิ่มทักษะส่วนตัวบ้างไหมคะ 

A : จริง ๆ พี่ไม่ได้มีเทคนิคส่วนตัวอะไรเลย พี่คิดอย่างเดียวคือพี่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่สวิตอย่างเช่นคนสวิต ไม่ใช่คนต่างชาติ ถ้าเราตั้งธงเอาไว้แล้วให้เราเดินตามทางของเราได้เลย คือพี่ไม่อายที่จะพูดผิด ถ้าเราพูดผิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะไม่ใช่ภาษาของเรา และคนที่นี่ก็ไม่ได้มาหัวเราะที่เราพูดผิด แล้วเขาก็จะพยายามที่จะเข้าใจเรา แต่ถ้าคุณไม่พูดเลย คุณก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด 

Q : คุณตาลมีแพลนที่จะกลับมาเมืองไทยบ้างหรือไม่ 

A : ไม่เคยคิดที่จะกลับมาเมืองไทยเลย ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่แฟนก็ถามมาตั้งแต่แรกก่อนที่จะแต่งงานกันว่ามีแพลนจะกลับเมืองไทยไหม พี่ก็คิดว่าพี่ไม่ได้มีแพลนที่จะกลับมาเมืองไทยเลยนะ เพราะว่าถ้าเกิดพี่มีแพลนที่จะกลับไทย เราก็ต้องกลับมาทบทวนว่าเราควรจะอยู่ด้วยกันไหม แฟนพี่เขามีฟาร์มอย่างที่บอก เขารักและหวงมากเพราะเขาอยู่มาตั้งแต่เกิด เขาทำงานอยู่บริษัทไฟฟ้าและเขาก็ทำฟาร์มกับพี่ชายด้วย เขาทิ้งมันไปได้ เขาก็ถามตั้งแต่แรกเลยว่าอยากจะกลับไปอยู่ที่เมืองไทยไหม พี่ก็ตอบไปว่าไม่คิดเหมือนกัน ไม่คิดที่จะกลับไป

เพราะพี่ชินกับวัฒนธรรมที่นี้ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย  พี่ชินกับความตรงต่อเวลา ขนส่งสาธารณะ พี่ก็ไม่รู้ว่าถ้ากลับไป พี่ก็มีพี่ชายอยู่คนเดียวแล้วก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ พี่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปเริ่มต้นอะไร แต่ในอนาคตพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

Q : เป้าหมายต่อจากนี้ของคุณตาล หรือความฝันต่อจากนี้คืออะไร 

A : เป้าหมายจริง ๆ ตอนนี้ไม่มีแล้ว คือเป้าหมายของพี่ก็ตั้งไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้พี่บรรลุเป้าหมายแล้ว ณ ตอนนี้คือได้ทำงานที่นี้ ได้ทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ชีวิตต่อไปนี้พี่ก็คงจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ การเรียนรู้มันไม่มีวันสิ้นสุด  เมื่อเราเรียนรู้ในอีกสเต็ปหนึ่งต่อไปเราก็อาจจะมีความคาดหวัง

อย่างในตอนนี้หัวหน้าของพี่ก็จะเกษียณในปีหน้า เขาก็มาถามว่าอยากจะขึ้นเป็นหัวหน้าแทนเขาไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้พี่ก็เลยต้องพัฒนาตัวเองเผื่อเราจะได้ไปอยู่ในจุดนั้น ถ้าพี่ได้เป็นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในชีวิตพี่แล้วล่ะ ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวก็ต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะยังมีอีกหลายที่ ๆ อยากจะไป เป็นธงหลักของเราเลย 

Q : คุณตาลมีอะไรอยากที่จะเรียนเพิ่มเติม อยากพัฒนาเพิ่ม

A : ณ ตอนนี้อาจจะยัง แต่ถ้าสมมุติว่าได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าก็คงต้องเรียนเกี่ยวกับการบริหารจัดการบุคคล คนที่เป็นหัวหน้าคนเขาอาจจะไม่ได้เรียนในสิ่งนี้ อาจจะทำงานแล้วได้เลื่อนตำแหน่งแล้วอาจจะไม่ได้ต่อยอด การปกครองคนต้องใช้หลักจิตวิยาเยอะ ถ้าพี่มีโอกาสก็อยากที่จะเรียนในจุดนี้เพิ่ม

Q : อยากให้คุณตาลฝากข้อคิด แนวทางถึงคนที่อยากมาอยู่ในต่างประเทศ

A : คือจริง ๆ แล้วการมาอยู่ที่ต่างประเทศอาจจะขึ้นอยู่กับเวลา เราไม่สามารถบอกได้ว่าเราเดินทางไปถึงจุดนั้นหรือเปล่า แต่สิ่งที่สำคัญคือการเตรียมตัว คุณต้องมีธงในใจและต้องพัฒนาตัวเอง มุ่งมั่น อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เมื่อใดที่คุณหยุดพัฒนาตัวเอง คุณก็จะอยู่กับที่ มันจะก้าวไปต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งด้านภาษาหรือทักษะอะไรก็ตาม อ่านให้เยอะ

อย่างเรื่องภาษาดูหนังให้เยอะ ฟังเพลง ก็ถือว่าเป็นการเรียนทั้งหมด ส่วนตัวพี่เองชอบร้องเพลงภาษาอังกฤษ เนี่ยคือการเรียนภาษา แต่พอมาอยู่สวิตแล้วก็ต้องมาเรียนภาษาสวิต แฟนพี่พาไปเที่ยวทุกที่และพี่ไม่เบื่อที่จะไป พี่ไปนั่งฟังเขาสื่อสารกัน พี่ไม่เบื่อเพราะนั้นคือการเรียนรู้ทั้งหมด อะไรที่เป็นการเรียนรู้ให้เราลงมือทำและเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างแน่นอน พี่มีความเชื่อที่ว่าความสำเร็จไม่ใช่เรื่องที่บังเอิญ เพราะฉะนั้นต้องมุ่งมั่นและเดินทางไปยังจุดนั้นของตัวเองให้ได้

.

.

.

โลกในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่คนหาเงินง่ายกว่าหาความสุข การเรียนรู้วิธีขจัดทุกข์เพื่อสร้างความสุขที่แท้จริง จึงเป็นศิลปะชีวิตที่จำเป็นทั้งในปัจจุบันและในโลกอนาคต

ไม่มียุคไหนที่จะมีความเจริญด้านเทคโนโลยีเพื่อบำรุงความสุขให้กับมนุษย์เท่ากับยุคนี้  ในทางกลับกันไม่มียุคไหนที่จะทำให้คนมีความทุกข์มากเท่ากับยุคนี้  เป็นเพราะอะไร? ในเมื่อโลกของเรามีพร้อมทุกอย่างเพื่อบำรุงความสุข แต่ทำไมคนเรายังไม่มีความสุขอยู่ดี เป็นเพราะอะไร?

จุดเริ่มต้นของความทุกข์มาจากไหน? พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ต้นตอความทุกข์ของมนุษย์มาจาก “กิเลส” เช่น ความอยากมี อยากได้ อยากเป็น แม้นว่าคุณจะผ่านชีวิตมาเยอะก็ตาม รู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าไม่ควรไปยึดติด แต่เราถูกเกมกิเลส และโครงสร้างจิตหลอกอยู่ดี 

คุณลองนึกย้อนไป ในตอนเด็ก เมื่อเราได้ของสิ่งใดมายาก พอได้มาครอบครอง จิตเราก็จะค่อยๆ เข้าไปยึดติด ตอนคุณได้งานมาจากการแข่งขัน คุณชนะการแข่งขันได้งานทำ มีตำแหน่งที่ดี อำนาจก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เราเข้าไปยึดติดกับตัวตน อยากได้บ้านอยากได้รถ พอคุณได้มาให้สังเกตว่าจิตคุณจะค่อยๆ เข้าไปยึดติด พอไปบ้านเพื่อนที่หลังใหญ่กว่า สวยกว่า แบบทันสมัยกว่า คุณก็เริ่มอยากได้บ้านอีก เห็นไหมคะว่า “ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด” จะทำอย่างไรให้เราตามทันกิเลส และบริหารจัดการได้อย่างไร 

วิธีขจัดทุกข์เพิ่มสุข

1. ทุกข์จากความคาดหวัง เกมกิเลสสอนให้คุณคาดหวังกับทุกสิ่ง สอนให้คุณดิ้นรนหาสิ่งของต่างๆ มาเพื่อความสะดวกสบาย พอคุณได้มาครอบครอง จิตของคุณจะเข้าไปยึดว่านี้คือของฉัน จากนั้นคุณก็จะคาดหวังว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ พอไม่ได้อย่างที่คิด คุณก็รู้สึกผิดหวัง แต่ถ้าคุณไม่อยากใช้ชีวิตอย่างคนผิดหวังซ้ำๆ 

คุณลองคิดใหม่ ในขณะที่คุณตั้งเป้าหมายในชีวิต คุณมีความหวังได้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ไปคาดหวัง เพียงแต่ทำให้ดีที่สุด ทำให้งานจบให้ได้ ทำให้สุดความสามารถได้แค่ไหนก็แค่นั้น 

2. ทุกข์จากการตีความ เกมกิเลสสอนให้เราประมวลผลและตีความ และส่วนใหญ่ก็จะตีความด้วยการคิดเอาเอง คิดโยงกับประสบการณ์เดิมแล้วก็คิดไปต่างๆ นา เรามองเห็นเรื่องที่เราได้พบเรื่องที่เราได้ฟังจากเหตุผลของเรา ซึ่งไม่ใช่ความจริงตรงหน้า ถ้าคุณต้องการรักษาใจคุณ ไม่อยากให้จิตใจขุ่นมัว ไม่อยากโกรธ เกลียด พยาบาทใครอีกแล้ว  

ลองฝึกคิดใหม่ ให้เป็นผู้ฟังในฐานะเป็นผู้สังเกตการณ์ แค่รับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นบ้าง ใช้วิธีมองแบบกล้องวิดีโอเห็นอะไรบ้างในจอภาพในตอนนี้ ก็ให้ดูแค่นั้น ห้ามไปตีความว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้

3. ทุกข์เกิดจากความอยากและไม่อยาก เกมของกิเลสกระตุ้นทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้คุณรู้สึกอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่เพียงแค่นั้น เกมของกิเลสยังเล่นงานคุณอีกด้าน คือบางเรื่องคุณไม่อยากให้เกิดแต่ดันเกิด บางคนคุณไม่อยากให้เข้ามาในชีวิตแต่ดันเข้ามา หน้าที่บางอย่างคุณไม่อยากทำ แต่สถานการณ์บังคับให้คุณต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความอยากและความไม่อยาก ก็ทำคุณเกิดความทุกทั้งนั้น ถ้าคุณไม่อยากใช้ชีวิตแบบร้อนรนจิตใจรุ่มร้อนด้วยกิเลสกำลังเผาใจ 

คุณลองคิดใหม่ เลิกมองในสิ่งที่ขาด หันกลับมาอยู่กับสิ่งที่มี และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด พัฒนาต่อยอดกับสิ่งที่คุณมี อยู่กับธรรมชาติ ออกแบบชีวิตให้เรียบง่าย สงบเย็นๆ สบายๆ

โลกในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่คนหาเงินหาง่ายกว่าหาความสุข การเรียนรู้วิธีขจัดทุกข์เพื่อสร้างความสุขที่แท้จริง จึงเป็นศิลปะชีวิตที่จำเป็นทั้งในปัจจุบันและในโลกอนาคต ผู้เขียนเชื่อว่าความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน ความต้องการและรสนิยมแตกต่างกันไป แต่ความสุขที่แท้จริงจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นจากภายในจิตใจของเราก่อนเสมอ ก่อนให้ผู้อื่น จงให้ตัวเราเองก่อน ให้ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้สิ่งที่ปรนเปรอกิเลสให้เติบโตนะคะ แต่จงเลือกทำในเรื่องที่ขัดเกลาให้จิตของเราสงบเย็นลง สติจะปรากฏตัวเมื่อจิตสงบ และสิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในชีวิต  คือ “ สติ”

.
เขียนโดย: อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิง
https://th.search.yahoo.com/search?fr=mcafee&type=E211TH1468G0&p=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%99
https://mdk-shop.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B4/
https://www.youtube.com/watch?v=ODgaJnU-ZRU
 

ปริศนา กัมพูสิริ (โบว์ลิ่ง) | Click on Clever EP.16

บทสัมภาษณ์ รายการ Click on Clever EP.16
ปริศนา กัมพูสิริ (โบว์ลิ่ง) อาจารย์ นักแสดง พิธีกร นางสาวไทยประจำปี 2555
เปิดเคล็ดลับ สาวเก่งดีกรีนางสาวไทย เรียนดี กิจกรรมเด่น เป้าหมายต้องชัดเจน!!


Q: บทบาทในวงการบันเทิงหลากหลาย ทั้งพิธีกร นักแสดง วันนี้ผันตัวมาเป็นอาจารย์ อะไรคือจุดตัดสินใจให้มาเอาจริงเอาจังในฐานะ “ครู”

A: ตอนเด็กๆ เราเป็นเด็กที่พ่อแม่บอกให้เรียนอะไรแล้วเราก็จะเรียนตามที่พ่อแม่ชอบ แล้วก็ไม่เคยคิดเลยว่าอนาคตโตขึ้นไปฉันจะเป็นอะไร จนเราอยู่ ม.6 ตอนนั้นน่ะเป็นครั้งแรกที่เราได้เป็นกรรมการนักเรียนแล้วก็เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ พูดหน้าเสาธงที่โรงเรียนครั้งแรกเลย แล้วก็คือช่วงเวลาแรกในชีวิตที่เรารู้สึกว่าเราเจอสิ่งทำได้ดี คือการพูดต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วเราก็รู้สึกมีความสุขมากที่สิ่งที่เราพูดออกไปมันมีประโยชน์ มีคนฟัง มันก็เลยทำให้ตอนนั้นเราคุยกับตัวเองว่าจบไปอยากเป็นอะไร 


 

ซึ่งเราก็มองความฝันไว้ 3 อย่าง คือ 1. ฉันจะต้องเป็นพิธีกร หรือ 2. ฉันต้องเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่น เพราะตอนนั้นอินภาษาญี่ปุ่นมาก 3. ทำงานเกี่ยวกับในวงการ ที่เป็นการนำเสนออะไรบางอย่าง คือตอนนั้นเรายังไม่รู้หรอกว่ามันจะไปทางไหน แต่เรารู้ว่าเราชอบที่จะสื่อสาร เราก็เลยมองสามอาชีพนี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้นะว่าในวันนี้เราจะได้ทำครบทุกอย่างที่เราเคยคิดเอาไว้ว่าเราอยากทำ

ความเป็นอาจารย์มันหายไปจากชีวิตช่วงนึง พอเรียนจบ ม.6 สอบติด มศว เอกการแสดงและกำกับการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ ตอนนั้นเราก็จอยมากกับการเรียนการแสดง พร้อมๆ กับเริ่มงานพิธีกรในวงการบันเทิง เพราะฉะนั้นความฝันที่มองไว้เราก็ปักธงว่าต้องเป็นนักแสดงกับพิธีกร โชคดีมากที่ตอนนั้นได้เริ่มงานในวงการตั้งแต่อยู่ปี 2 ก็คือเริ่มทำพิธีกร ก็เลยเหมือนเห็นความจริงในอาชีพว่าเราสามารถทำงานตรงนี้ได้ สามารถเติบโตได้ สามารถรับผิดชอบตัวเองได้จากอาชีพพวกนี้ ก็เลยทำให้เริ่มต้นการเป็นพิธีกรมาตลอด จนได้เป็นนางสาวไทยก็เลยได้เป็นนักแสดงด้วย 

แล้วถามว่าอาชีพอาจารย์กลับมาได้เมื่อไหร่ เราเป็นคนชอบการแสดงมาก พอเราได้ทำงานในวงการบันเทิงมันถึงจุดหนึ่งที่เราอิ่มตัว เรายังคงสนุกกับการแสดงมากนะคะ แต่มันไม่เหมือนฟิลลิ่งตอนสมัยเรียน เหตุผลเพราะตอนเรียน เราเรียน Pure Art หมายความว่าคุณสามารถที่จะคิด คุณสามารถที่จะสร้างสรรค์งานอย่างเต็มที่ในความเป็นคุณ มันคือศิลปะการแสดงแท้ๆ 

แต่วันนี้พอมาอยู่ในโทรทัศน์ เราว่ามันคือ commercial art มันจะไม่ได้มีกระบวนการขยี้ ค้นหาตัวละคร workshop เยอะๆ เหมือนสมัยเรียน เราก็สนุก มันมีความสนุกของมันอยู่ แต่ถึงวันนึงเราก็รู้สึกโหยหา Pure Art เราก็เลยรู้สึกว่ามันก็สนุกดีนะแต่เราได้เล่นบทกับช่อง 8 กี่เรื่องก็ต้องเรียบร้อย เราอยากเล่นแบบอื่น แต่ตรงเนี้ยมันไม่มีพื้นที่ให้เราทำ ด้วยภาพลักษณ์นางสาวไทยของเราด้วย เราก็รู้สึกว่าชีวิตมันเหี่ยวจังเลย มันมีอะไรที่ท้าทายที่เราอยากทำมากกว่านั้น เราก็เลยคิดว่าฉันก็โตแล้ว จบป.โท แล้ว ถ้าฉันทำไม่ได้ฉันไปสอนเด็กดีไหม มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามองหาอาชีพอาจารย์ 

Q: พอได้ไปสอนจริงมันตอบคำถาม หรือเติมเต็มเราไหม?

A: ดีมาก มีความสุขมาก พอได้มาสอนมันเหมือนเรามีมิชชั่นใหม่ในชีวิต ทุกปีเราก็จะเจอเด็กที่ต่างกันออกไป แล้วก็จะมีกิจกรรมให้เขาทำ ทำโปรเจคละครเวที ตอนนี้สิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่คือผลักดันเด็กลงประกวดให้เยอะที่สุด มันสนุกมาก ทำให้เรากลับมามีชีวิตชีวาและมีแรง 

Q: เป็นเลิศทางวิชาการ และยังโดดเด่นเรื่องกิจกรรม เคล็ดลับสมัยเรียน ทั้งเรียนดี กิจกรรมเด่นคืออะไร?

A: จริงๆ แล้วเราไม่ได้มองว่าเราเป็นเลิศ แต่เรามองว่าเราเป็นบ้า เรามีความบ้าอะไรบางอย่างอยู่ ที่แบบฉันจะทำและฉันต้องทำให้ได้ อาจจะโชคดีที่เราได้เจอสิ่งที่รัก เราก็เลยรู้สึกไม่เหนื่อยเวลาที่เราทำมัน แล้วก็เลยสนุกกับมันแบบมากๆ เราก็เลยทำมันได้ค่อนข้าง…อาจจะไม่ได้ดีที่สุดหรอก แต่มันดีในระดับที่เราพอใจ

อยากตอบในสองประเด็น ประเด็นแรกคือประเด็นว่าตัวเราเวลาทำงาน เราคิดยังไง กับประเด็นที่สองคือเวลาเด็กเราทำงาน เราคิดกับเด็กยังไง มันไม่เหมือนกัน ถ้าสมมุติเวลาเราทำงาน ทำไมเราทำงานแล้วสำเร็จ อย่างที่บอกว่าเราโชคดี มันเป็นงานที่เราชอบ มันเป็นงานที่เรารัก เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่คนเก่ง แต่เราคือคนขยัน ซึ่งคนอื่นจะบอก ไม่จริงอ่ะ เก่ง แต่ความจริงเรารู้ตัวว่ากว่างานมันจะออกมา 1 ชิ้น เราใช้เวลากับมันเยอะมาก คนเห็นมันแค่ปลายทางที่สำเร็จ คนก็เลยตัดสินว่าเราเก่ง ทั้งที่ความจริงเขาไม่มาเห็นกระบวนการว่าเราทำเยอะแค่ไหน 

มันเป็นสิ่งที่คนอื่นตัดสินเรา แต่ความจริงเรารู้ตัวว่าเราแค่ทุ่มเทกับมัน อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนบ้า เวลาเราบ้าอะไรสักอย่างเราจะอินมันมาก เพราะฉะนั้นเรามองว่างานมันไม่มีคำว่าดีที่สุดหรอก มันมีแค่ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ ณ เวลานั้น เราเลยไม่ตัดสินว่าดีที่สุดคืออะไร แต่เราแค่คิดว่าดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ ณ เวลานั้น มันก็คือคอมพลีทในความรู้สึกเราแล้ว เราก็เลยไม่อยากให้ทุกคนคาดหวังกับคำว่าดีที่สุด เริ่ดที่สุด เรารู้สึกว่าถ้าคุณเต็มที่แล้วมันดีที่สุดเท่าที่ทำได้ มันคือจบ

แต่กลับกันพอพูดถึงเรื่องเด็ก มันมีประเด็นหนึ่งที่เราคุยกับเด็กบ่อยมาก แล้วเราอยากแชร์ เด็กหลายๆ คนจะบอกว่า อาจารย์โชคดี ได้ทำสิ่งที่รัก อาจารย์เจอว่าชอบอะไร แต่หนูไม่มี แล้วถ้าหนูไม่ชอบจะทำดีที่สุดได้ยังไง เราก็เลยมานั่งคิด สิ่งที่เราพูดกับเด็กเสมอคือ คนทุกคนนะอุดมคติมันจะบอกว่า เฮ้ย เราต้องเรียนสิ่งที่เราอยากจะเป็น เราต้องเรียนจบไปแล้วได้ทำในสิ่งที่ฝันเอาไว้ เราต้องประสบความสำเร็จ นั่นคืออุดมคติ แต่ในความเป็นจริงชีวิตมนุษย์ทุกคนไม่ได้เป็นแบบนั้น 

เราก็เลยรู้สึกว่าอุดมคติคือให้หาความฝันให้เจอ ถ้าคุณเจอแล้วคุณได้ทำ คุณคือคนโชคดี แต่ถ้าเกิดคุณไม่เจอล่ะ เราก็จะบอกเด็กกลุ่มนั้นว่า ไม่ผิด เพราะในชีวิตความเป็นจริงมันไม่ใช่อุดมคติแบบนั้น ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณชอบอะไร ไม่รู้ว่าจบไปแล้วจะสำเร็จไหม คุณคือคนส่วนมากค่ะ

เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากความฝันคือ เป้าหมาย ในชีวิตคนเราควรจะมีเป้าหมายบางอย่าง เพราะถ้าเกิดคุณไม่มีเป้าหมายเลยคุณจะใช้ชีวิตลอยไปเรื่อยๆ แต่กลับกันเมื่อไหร่ที่คุณเริ่มตั้งเป้าหมาย มันจะทำให้คุณรู้ว่าคุณต้องเดินไปที่ไหน แล้วจะเดินไปยังไง เราก็เลยบอกเด็กว่า ถ้าจบไปแล้วตอนนี้คุณไม่รู้ว่าคุณอยากเป็นอะไร ไม่ผิดเลยค่ะ แต่คุณต้องตั้งเป้าหมาย 

Q: ทำงานมาเยอะ และกำลังศึกษาปริญญาเอก เป็นว่าที่ ดร. คิดว่าดีกรี มีความสำคัญมากน้อยขนาดไหนในการหางาน? 

A: สาบานเลยนะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเรียน ป.เอก เป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำ แต่เรารู้ว่าถ้าอยากเป็นอาจารย์ สิ่งนี้จำเป็น เราจึงต้องทำ ถึงแม้เบื้องต้นเราจะไม่อยากทำ แต่เราก็ทำมันอย่างเต็มที่นะคะ แล้วก็ตั้งใจทำมันมากๆ ด้วย เพราะมันคือเป้าหมาย คือความจำเป็นในชีวิตของหน้าที่การงานทางสายวิชาชีพครู 

การศึกษาที่เป็นวุฒิมันไม่ได้สำคัญเท่ากับประสบการณ์ชีวิต เรามองว่าความฉลาด ความเก่งของเด็กมันมีหลายทาง เพียงแต่ประเทศไทยของเราหรือวงการการศึกษามันอาจจะยังมีกรอบของเรื่องวุฒิ แต่จริงๆ เรามองว่า คุณค่าความฉลาดของคนมันไม่ได้วัดกับการศึกษาอย่างเดียว เด็กบางคนเรียนไม่เก่ง แต่ว่าเขาอาจจะมีความพิเศษบางอย่างซึ่งเก่งมากก็ได้ การศึกษามันไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน ไม่มีประโยชน์เลยถ้าคุณเรียนเก่งมาก แต่ใช้งานมันไม่เป็น เราเป็นสายปฏิบัติ เลยไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเรียนป.เอก แต่อย่างที่บอกว่ามันคือความจำเป็นในสายวิชาชีพ เราก็เลยต้องเรียนแล้วเราก็ต้องตั้งใจทำ

Q: ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ไหนคะ?

A: ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซาค่ะ สาขาวิชาสื่อดิจิตอล เป็นสาขาเปิดใหม่ก็เลยยังรู้สึกสนุกกับการทำหลักสูตรและท้าทายมาก

Q: ทำงานทั้งในวงการบันเทิงและวงการการศึกษา ในยุค Digital Disruption และถูกเร่งด้วยโควิด-19 ทำงานยากขึ้นมากไหม?

A: เราว่าทั้ง 2 วงการถูก Disruption ทั้งคู่ เพียงแต่ช่วงเวลาของการ Disrupt อาจจะแตกต่างกัน จริงๆ มันมีบทความวิจัยเกี่ยวกับ Digital Disruption ของต่างประเทศอยู่ เขาบอกว่าอย่างแวดวงสื่อสารมวลชนมันจะอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า short fuse big bang หมายความว่า พอเกิด Digital ขึ้นเนี่ย ชนวนมันสั้นมาก ติดแปบเดียว ผลกระทบระเบิดรุนแรงมาก สื่อสารมวลชนถูก Disruption เร็วและแรงมาก ก่อนโควิดจะมาแล้วด้วยซ้ำ ถามว่า Covid มามันกระทบมากไหม มันกระทบแหละ กองถ่ายละครอะไรก็หยุดหมด มันรุนแรงแต่ว่ามันเกิดมาพักใหญ่ๆ แล้ว และมันก็มีหลายคนที่เขาเริ่มปรับตัวได้ เพราะฉะนั้นเรามองว่ามันแรงมันเร็ว แต่มันก็มีกลุ่มคนที่ปรับตัวได้ คนที่ปรับตัวช้าหน่อยอาจจะลำบาก

แต่กลับกันวงการการศึกษา จากงานวิจัยเขาบอกว่า วงการการศึกษาเป็น long fuse big bang หมายความว่า หลังเกิด Digital Disruption ขึ้นมาเนี่ยกินเวลาเป็น 10 ปี นานกว่าเราจะได้รับผลกระทบ แต่เขาบอกว่า เมื่อได้รับผลกระทบแล้ว อนาคตการศึกษาจะเป็นยังไง เด็กจะไม่ต้องมาเรียนที่มหาลัย เด็กจะเรียนออนไลน์ อยากเรียนอะไรก็เรียน ไม่ต้องจบปริญญา พอโควิดมามันเหมือนบังคับมาเขย่าวงการการศึกษาว่าทุกคนต้องโดดลงไปในแพลตฟอร์มเดี๋ยวนี้ มันกระทบทุกวงการ แต่การศึกษากระทบหนักมาก 

Q: คำแนะนำเพื่อการปรับตัวของคนทั้งในวงการบันเทิงและวงการการศึกษา 

A: มันก็กลับไปที่เรื่องเดิม อะไรที่เราต้องทำ ในฐานะที่เราเป็นนักแสดงในวงการ เรามองว่าเราอาจจะเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ไม่ใช่คนที่จะสามารถขับเคลื่อนทั้งหมดได้ แต่เราพร้อมที่จะสนับสนุนให้ความร่วมมือ หมายความว่าถ้ากองถ่ายขอความร่วมมืออะไร เรายินดีที่จะให้ความร่วมมือแล้วก็เดินไปกับเขา แต่เราไม่ใช่ตัวเฮด เพราะฉะนั้นเราอาจจะเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ ในการที่จะขับเคลื่อนมัน เราอาจจะมีบทบาทในส่วนนี้ไม่มากเท่าไหร่ 

แต่กลับกันในวงการการศึกษา ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เราเป็นเหมือนหัวเรือที่จะต้องวางแผน คิด ทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เด็กเดินตามไปกับเรา ตอนนี้เราค่อนข้างจะโฟกัสกับเรื่องกระบวนการศึกษามากกว่า 

Q: เป้าหมายในการทำงานในวงการการศึกษาคืออะไร?

A: ณ วันนี้ด้วยความที่สาขาเราใหม่ เด็กยังไม่เยอะ เครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์เราอาจจะไม่มีเท่ากับมหาลัยที่เขาเปิดมานานแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กที่จบไปของเรา เขารู้สึกว่าเขาสู้สถาบันใหญ่ๆ ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่า อาจารย์ที่สาขาเราเจ๋งนะ อย่างคนที่เป็นหัวหน้าสาขาก็เป็นผู้กำกับจริง ที่ตอนนี้ก็ยังทำงานกำกับอยู่ในแวดวงโฆษณา เพราะฉะนั้นคนที่มาสอนคุณน่ะคือคนที่มีประสบการณ์ทำงานจริง เป็นผู้กำกับจริง ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในวงการจริง ก็เลยวางเป้าหมายปีนี้เอาไว้เลยว่า จะส่งเด็กทุกคนประกวด ถ้าเราผลักดันให้เขาประกวด แล้วเขาได้รางวัลกลับไป อันนี้คือสิ่งที่อาจจะสร้างความมั่นใจให้เขามากขึ้น 

Q: อะไรที่เป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิตให้มีคุณภาพมากขึ้นในทุกๆ ย่างก้าว? 

A: จากใจเลย ไม่เคยคิดว่าฉันจะใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะต้องประสบความสำเร็จ แค่ตอนนี้เราทำอะไรอยู่ และอยากทำให้มันดีที่สุด อาจจะเพราะมีความ perfectionist นิดนึง เราจะรู้สึกมีความสุขเวลาเราทำอะไรบางอย่างสำเร็จ แล้วมันดี มีคนชมหรือเห็นคุณค่า เราจะรู้สึกว่านี่แหละ! 

ด้วยความที่ธรรมชาติเราอาจจะเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกสนุกกับสิ่งต่างๆ ที่มันเข้ามาในชีวิต แล้วทำให้รู้สึกว่าเราอยากทำ แล้วด้วยความที่เราไฮเปอร์ อะเลิทด้วย เราก็เหมือนมีแรงที่จะทำอะไรตลอดเวลา

.

.

.

.

Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน

Tessin (เทสซิน) ในภาษาเยอรมันหรือ Ticino (ทิชีโน่) ในภาษาอิตาลี เป็นรัฐเดียวในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ใช้ภาษาอิตาลี และอยู่ติดกับทางชายแดนอิตาลี มีประชากร 351.491 คนจากสถิติเมื่อปี 2019 เมืองหลักคือเมือง Bellinzona (เบลลินโซน่า) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือเมือง Lugano (ลูกาโน่) 

Tessin เป็นรัฐที่คนสวิสเองนิยมไปพักร้อนกันมากในวันหยุดพักผ่อน เพราะบรรยากาศและอากาศเป็นหลัก สำเนียงอิตาเลียน, อาหาร, สถาปัตยกรรม, ทัศนคติและไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลายกว่าทุกที่ในสวิสเซอร์แลนด์ แถมอากาศจะค่อนไปทางอบอุ่นมีแดดมากกว่ารัฐทางเหนือเช่น Zürich (ซูริค) เข้าเขต Tessin เมื่อไหร่ก็จะเห็นพวกต้นปาล์มและต้นไม้เขตร้อนอื่น ๆ เหมือนว่าเราไปต่างประเทศเลยทีเดียว 

ที่พูดถึงรัฐนี้เพราะพอดีว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนวี่มี Vacation บวกวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วยเกือบสองอาทิตย์ เลยลงไปเที่ยวทางใต้ ก็คือรัฐ Tessin เนี่ยแหละ และได้มีโอกาสไป Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ซึ่งปี 2019 ได้ไปมาครั้งหนึ่งก็รู้สึกประทับใจและคิดอยู่เสมอว่าจะต้องหาโอกาสไปอีกให้ได้ จนประจวบเหมาะว่าในกลุ่มลงมติกันว่าจะไปแต่ประสบการณ์ครั้งนี้มันน่าจดจำ และสวยงามกว่าคราวก่อนก็ตรงที่ได้ Hiking ด้วย

ไฮไลต์ของ Verzasca Valley ก็น่าจะเป็นสะพานหิน Ponte del Salti ที่ปกติคนจะแน่นมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเซีย รวมถึงคนไทยด้วย แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดเลยมีคนสวิสซะเยอะ (แต่ก็ยังน้อยถ้าเทียบกับสถานการณ์ปกติที่มีนักท่องเที่ยว) ในหน้าร้อนคนชอบมาที่สะพานเพื่อกระโดดลงไปที่ลำธาร ถึงแม้น้ำจะเย็นมากแต่ก็จะมีคนเล่นน้ำ ดำน้ำตลอด ตามโขดหินก็มีคนนอนอาบแดด นั่งเล่นเป็นภาพที่เห็นจนชินตา 

แต่วี่ไม่ได้ไปแค่ตรงนี้หรอก เมื่อปี 2019 เคยไปมาแล้วตอนหน้าร้อนเลยไม่ค่อยได้เก็บเกี่ยวอะไรมากเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เรานั่ง Postauto (โพสต์เอาโต้) หรือรถบัสสีเหลืองสาย 321 จากป้าย Lavertezzo, Monda ไปสองป้าย ไปลงที่ป้าย Brione (Verzasca) ความบังเอิญทำให้พบกับความสวยงามแท้ ๆ เพราะวี่ลงผิดป้าย ตอนแรกกะจะไปไกลกว่านี้ตรงจุดเริ่มต้นคือ Sonogno ซึ่งเป็นเส้นทาง Hiking ที่มีระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร แต่พอมาดูข้อมูลคือเขาว่ากันว่าช่วง Brione ถึง Lavertezzo คือช่วงที่วิวสวยที่สุด วี่รู้สึกโชคดีมากที่ลงผิด

จะบอกว่าเดินแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว เพราะมีเด็กน้อยไปด้วย 2 คน และเส้นทางค่อนข้างเป็นเส้นทางธรรมชาติ วี่หมายถึงทางเดินบางช่วงเป็นหินที่มีน้ำเซาะผ่านอาจลื่นนิด ๆ บางช่วงบนพื้นคือมีรากไม้เยอะมากหากเดินไม่ระวังอาจมีสะดุดล้มได้ง่าย ๆ แต่คือมันดีแบบที่สุดและคิดว่าต้องไปอีกแน่ ๆ วิวทุกช่วงทุกตอนมันว๊าว !! มีสิบให้เต็มสิบ มีร้อยก็ให้เต็มร้อยนะ พื้นที่มีโขดหิน หรือพื้นที่ตรงลำธารทำให้เราได้นั่งพักและปิ๊กนิกเป็นระยะ ๆ ระหว่างทางเราก็จะเห็นน้ำสีเขียวมรกต โขดหินหลากสี สลับกับป่าสีเขียวขจีและน้ำตกน้อย เวลาเรายืนอยู่ใกล้ ๆ น้ำตก แล้วน้ำกระเซ็นมาที่หน้ามันรู้สึกชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ

เวลาวี่ไป Hiking มักจะชอบเข้าไปยืนใกล้ ๆ ต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด และผ่อนลมออกให้เต็มที่เป็นการเปลี่ยนถ่ายพลังงานอย่างนึง และกลิ่นป่าธรรมชาติตรงนี้ก็หอมมากจริง ๆ ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

“ประเทศสิงคโปร์” เป็นประเทศที่มีการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยีไปตามทุกยุคทุกสมัยได้อย่างรวดเร็วด้วยประชากรและทรัพยากรทำให้ต้องมีความพร้อม ปรับตัวอยู่เสมอ รวมไปถึงเทคโนโลยีอย่าง “ยานยนต์อัตโนมัติ”

ช่วงนี้ท่านผู้อ่านน่าจะได้ข่าวเกี่ยวกับการทดลองและทดสอบรถยนต์อัตโนมัติในหลายประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข่าวที่มาจากประเทศในแถบตะวันตก แต่กลับมีประเทศที่มีความพร้อมในการใช้รถยนต์อัตโนมัติมากที่สุดและอยู่ในภูมิภาคอาเซียน นั่นคือประเทศ “สิงคโปร์”

บริษัท KMPG ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกได้เริ่มศึกษาดัชนีชี้วัดความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนในแต่ละประเทศ (Autonomous Vehicles Readiness Index : AVRI) ตั้งแต่ปี 2018 โดยดัชนี AVRI มีการประเมินด้วย 28 หัวข้อชี้วัด ภายใต้ 4 ด้านหลัก คือ นโยบายและกฎหมาย เทคโนโลยีและนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และการยอมรับของผู้บริโภค และการจัดอันดับล่าสุดในปี 2020 สิงคโปร์ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนขับมากที่สุด เบียดเนเธอร์แลนด์ที่เคยอยู่ที่หนึ่งมาสองปีติดกัน

หากมาพิจารณาในรายละเอียด สิงคโปร์ได้คะแนนอันดับหนึ่งในด้านนโยบายและกฎหมาย และการยอมรับของผู้บริโภค โดยสิงคโปร์ได้เริ่มต้นจากการจัดตั้ง Committee on Autonomous Road Transport for Singapore (CARTS) ในปี 2014 เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการปรับใช้รถยนต์ไร้คนขับ

ต่อมาในปี 2016 รัฐบาลได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางจัดตั้ง Centre of Excellence for Testing and Research of AVs-NTU (CETRAN) เพื่อเป็นศูนย์ทดสอบและให้การรับรองรถยนต์อัตโนมัติ ได้มีการออกแบบสนามทดสอบโดยจำลองสภาพถนนในสิงคโปร์ รวมถึงจำลองสถานการณ์สภาพฝนตกและน้ำท่วมขังเพื่อให้การทดสอบใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด

ในปี 2019 องค์การขนส่งทางบกของสิงคโปร์ (Land Transport Authority : LTA) ได้ออกมาตรฐานรถยนต์ไร้คนขับ ที่เรียกว่า Technical Reference 68 (TR68) เพื่อกำหนดเป็นแนวทางการพัฒนายานยนต์อัตโนมัติ โดยครอบคลุมถึงพฤติกรรมโดยทั่วไปของยานพาหนะ มาตรฐานความปลอดภัย ความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ และมาตรฐานรูปแบบข้อมูล จากการออกมาตรฐานนี้ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจเพราะเป็นการลดความเสี่ยงว่าเทคโนโลยีที่ตนเองลงทุนศึกษาค้นคว้าไปนั้นจะไม่ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานในการใช้งานจริง

และความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนขับนั้นต้องมีพื้นฐานมาจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นทางรัฐบาลสิงคโปร์ได้มีการกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ยกเลิกใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2040 และมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2023 รัฐบาลสนับสนุนส่วนลดสูงสุดถึงคันละ 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือราว 489,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนลดประมาณ 11% ของมูลค่ารถ นอกจากนั้นยังให้ส่วนลดภาษีการใช้ถนนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และมีนโยบายขยายจุดชาร์จไฟจาก 1,600 จุดเป็น 28,000 จุดภายในปี 2030

ส่วนการทดสอบวิ่งนั้นในขณะนี้มาถึงขั้นตอนการทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ โดยในปี 2021 ได้เริ่มใช้รถเมล์อัตโนมัติให้บริการในสองเส้นทางในฝั่งตะวันตกของประเทศ และมีเป้าหมายจะวิ่งทดสอบในเส้นทางฝั่งตะวันตกทั้งหมด สาเหตุที่เลือกทดสอบในฝั่งตะวันตกนั้นเนื่องจากเป็นเขตเมืองใหม่ซึ่งมีประชาการอาศัยอยู่หนาแน่นน้อยกว่าและสภาพการจราจรที่คล่องตัวกว่าทางฝั่งตะวันออกของประเทศ

ในส่วนการยอมรับของผู้ใช้งานเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จต่อการปรับใช้รถยนต์อัตโนมัติ ซึ่งสิงคโปร์ถูกจัดเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยมีสาหตุมาจากการทดสอบวิ่งในหลายพื้นที่ส่งผลให้ประชาชนคุ้นชินกับรถยนต์อัตโนมัติ และชาวสิงคโปร์เองมีความคุ้นเคยกับการใช้งานระบบ ICT และมีทักษะสูงทางด้านดิจิตอล นอกจากนั้นชาวสิงคโปร์ยังนิยมการใช้งานแอปพลิเคชันเรียกรถยนต์ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเข้าถึงรถยนต์อัตโนมัติสาธารณะตามความต้องการ

จากตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ สามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาที่ดีของแนวทางการปรับใช้รถยนต์อัตโนมัติ เริ่มจากมีหน่วยงานที่ชัดเจนในการวางแผนและติดตามผลการดำเนินงาน การกำหนดนโยบายการส่งเสริมที่ชัดเจนทั้งในด้านงบประมาณสำหรับการวิจัย การกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นพื้นฐานของรถยนต์อัตโนมัติ และการพัฒนาทักษะทางด้านดิจิตอลของประชาชนในประเทศซึ่งจะส่งผลต่อการยอมรับการใช้รถยนต์อัตโนมัติ

.

เขียนโดย : อาจารย์ ศรัณย์ ดั่นสถิตย์
อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา 


ขอบคุณข้อมูลที่มา
https://home.kpmg/xx/en/home/insights/2020/06/autonomous-vehicles-readiness-index.html
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/newsroom/2019/1/2/joint-media-release-by-the-land-transport-authority-lta-enterprise-singapore-standards-development-organisation-singapo.html
https://www.straitstimes.com/singapore/transport/singapore-budget-2020-push-to-promote-evs-in-move-to-phase-out-petrol-and-diesel
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/newsroom/2020/2/news-releases/Supporting_cleaner_and_greener_vehicles.html
https://techwireasia.com/2019/03/how-the-ltas-tr68-fuelled-singapores-autonomous-vehicle-agenda/
https://www.straitstimes.com/singapore/transport/pay-to-ride-on-driverless-buses-in-two-areas-until-april-30
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/industry_innovations/technologies/autonomous_vehicles.html

“ประเทศไทย” ถือว่าเป็นประเทศในใจของชาวต่างชาติหลาย ๆ คนที่อยากย้ายมาอาศัยอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต นอกจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แล้ว สภาพภูมิอากาศก็ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่หลาย ๆ คนชื่นชอบมากที่สุด

ตอนนี้เชื่อแน่ว่าหลาย ๆ ท่าน คงได้ยินข่าวดังตามสื่อช่องทางต่าง ๆ ที่กำลังเป็นกระแสฮิต นอกจากข่าวการติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในแต่ละวันแล้ว นั่นก็คือข่าวการตั้งกลุ่มชักชวนกันย้ายตัวเองไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่น ๆ  ซึ่งคิดว่าก็คงเป็นเรื่องที่น่าจะมีการพูดถึงไปอีกซักระยะหนึ่งในสภาวะปัจจุบันที่โควิด-19 กำลังระบาดในประเทศไทยขณะนี้ 

สำหรับในวันนี้ผู้เขียนจะไม่ก้าวล่วง หรือพูดถึงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว แต่จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะข้อดีสำหรับที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบันกับภูมิอากาศที่เหมาะสมในการตั้งรกรากที่อยู่อาศัย ในรูปแบบเชิงภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์กันครับ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าถ้าให้ประชากรทั่วโลก โหวตเลือกว่าอยากไปอยู่ประเทศไหนกันมากที่สุดในบั้นปลายของชีวิต ผู้เขียนเชื่อแน่ว่าประเทศไทยต้องติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน 

ในการเป็นประเทศปลายทางที่มีผู้คนอยากมาอยู่อาศัย จะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศเราในสถานการณ์ปกติ หรือแม้แต่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปที่มักจะมาแต่งงานกับภรรยาชาวไทย เพื่อให้ได้อยู่อาศัยในประเทศไทยในช่วงบั้นปลายของชีวิต โดยเฉพาะแถวภาคอีสานที่มีเป็นจำนวนมาก จนบางหมู่บ้านถูกขนานนามว่า เป็นหมู่บ้านเขยฝรั่งเลยทีเดียว 

สำหรับที่ตั้งของประเทศไทยนั้น ตั้งอยู่อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ กับ 20 องศา 27 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูดหรือที่ 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก กับ 105 องศา 37 ลิปดาตะวันออก เมื่อดูลักษณะภูมิประเทศแล้ว ด้านทิศตะวันออกจะมีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา ทิศตะวันตกติดกับประเทศพม่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศลาว และทิศเหนือติดกับประเทศลาวและประเทศพม่า ส่วนทิศใต้จะติดประเทศมาเลเซีย และถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรขนาบด้านข้างซ้ายและขวา นอกจากนั้นเมื่อดูที่ตั้งของประเทศไทย แล้วด้านตะวันออกถัดไปจากประเทศเพื่อนบ้านก็จะเป็นมหาสมุทรที่เรียกว่าทะเลจีนใต้ ส่วนทิศใต้ก็จะถูกล้อมรอบด้วยทะเลอ่าวไทยในด้านตะวันออก และทะเลอันดามันในด้านตะวันตก ส่วนทิศเหนือเมื่อไล่ขึ้นไปข้างบนต่อจากประเทศลาว เวียดนาม ก็จะเป็นประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จากลักษณะพิกัดที่ตั้งของประเทศไทยดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยมีภูมิประเทศที่ประกอบไปด้วยทั้งภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบต่ำ แม่น้ำ ตลอดทั้งมหาสมุทร ซึ่งส่งผลให้มีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เรียกว่าอยู่ในประเทศเดียวมีครบทุกอย่างไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยทีเดียว “นี้คือข้อดีข้อแรกของประเทศไทยครับ”

ทีนี้เราลองมาดูลักษณะภูมิอากาศของประเทศไทยกันบ้างครับ จากพิกัดที่ตั้งของประเทศไทยที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประเทศไทยมีฤดูกาล 3 ฤดู คือ ฤดูฝนในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดเอาความชื้นและฝนเข้ามา ฤดูหนาวในช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดเอาความหนาวเย็นลงมา และฤดูร้อนในช่วงประมาณ เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ โดยในช่วงนี้อาจมีลมพัดเข้ามาหลายทิศทาง ทำให้อากาศมีความแปรปรวน ส่งผลให้บางครั้งฤดูกาลในประเทศไทยอาจไม่แน่นนอน โดยอาจมีฝนตกในช่วงฤดูร้อน หรืออากาศหนาวในช่วงเดือนมีนาคมก็เป็นไปได้ 

ทีนี้จะมาพูดถึงลักษณะของการเกิดฤดูกาลในประเทศไทยกันบ้างนะครับ ทั้งนี้โดยทั่วไปประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่าใกล้กับเส้นศูนย์สูตร และถูกขนาบด้วยมหาสมุทร ทำให้เราถูกเรียกว่าเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น คือประเทศที่มีความร้อนสูงเนื่องจากการทำมุมองศากับดวงอาทิตย์ของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ เราอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า ในขณะเดียวกันประเทศเราก็มีความชื้นเนื่องจากไอน้ำที่ถูกพัดพามาจากมหาสมุทรที่ขนาบข้างอยู่นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นแล้วในสภาวะกาลปกติแล้วประเทศไทยจึงมีความร้อนค่อนข้างจะสูง โดยช่วงที่ร้อนจะกินเวลาค่อนข้างจะยาว คือช่วงฤดูร้อนเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม และเลยไปถึงช่วงหน้าฝนด้วยคือประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างหน้าร้อนก็ไม่ใช่ว่าประเทศไทยจะร้อนตลอดเวลา เพราะในระหว่างร้อน ๆ ก็จะมีลมหนาวที่พัดมาจากประเทศจีนแผ่ลงมาเป็นระยะ ๆ เสมอ พอมาเจอกับลักษณะอากาศร้อนชื้นทำให้มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อการปลูกพืชของเกษตรกรในหน้าแล้ง 

โดยทั่วไปแล้วการเกิดพายุฤดูร้อนจะเกิดช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งก็เป็นช่วงหน้าแล้งพอดี ส่งผลให้ประเทศไทยเราสามารถปลูกพืชในหน้าแล้งที่ไม่ต้องการน้ำมากได้ ได้แก่ อ้อย มันสำประหลัง ซึ่งนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ “เห็นไหมละครับข้อดีอีกข้อของประเทศไทย ในขณะที่เป็นฤดูแล้งก็ยังมีฝนตกลงมาให้พอปลูกพืชได้” 

มาดูกันต่อนะครับ พอในช่วงฤดูฝนหรือที่เราเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าฤดูมรสุม ประเทศไทยก็จะมีฝนตกชุก และเมื่อเกิดพายุในหน้ามรสุม ซึ่งจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงสูง และกินพื้นที่เป็นระยะกว้าง โดยทั่วไปพายุที่พบส่วนใหญ่จะก่อตัวในมหาสมุทรแถวทะเลจีนใต้ ลักษณะทั่วไปของพายุนั้นเพื่ออยู่ในมหาสมุทรจะมีความรุนแรงหรือความเร็วลมสูง แต่เมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งความรุนแรงของพายุก็จะลดลง จากพิกัดที่อยู่ของประเทศไทย เมื่อพายุเคลื่อนเข้าหาฝั่ง ก่อนที่พายุจะเคลื่อนมาถึงประเทศไทย ก็จะผ่านประเทศเพื่อนบ้านเราก่อน คือเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งจะเป็นประเทศที่เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านที่รับอิทธิพลของพายุก่อนที่จะมาถึงไทย ส่งผลให้พายุมีความเร็วลมลดลงเมื่อมาถึงไทย ทำให้ผลกระทบที่เกิดจากพายุของประเทศไทยมีน้อย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ยกเว้นมีบางปีที่พายุก่อตัวแล้วเคลื่อนที่ลงใต้ไปยังอ่าวไทย และเคลื่อนที่ผ่านภาคใต้ของประเทศไทย ก็จะมีผลกระทบกับประเทศไทยสูง เนื่องจากไม่มีประเทศเพื่อนบ้านคอยรับลมพายุ แต่จะมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ผ่านมาด้านบนของประเทศไทย 

“เห็นไหมละครับข้อดีของประเทศไทยอีกข้อ เหมือนเรามีเมืองหน้าด่านที่คอยรับศึกจากพายุแทนเรา พอข้าศึกเคลื่อนที่มาถึงประเทศไทยเราก็อ่อนล้าหมดแรงลดความรุนแรงลง เหลือแค่การพาเอาฝนมาตกในประเทศไทยเท่านั้น” 


เขียนโดย : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้การรักษาโรคภัยไข้เจ็บถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทำให้มนุษย์สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว แต่การรักษาในอดีตก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้เหมือนกันอย่างการรักษาแบบ “โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)”

การระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านในเมืองของเราเวลานี้ การรักษาโดยกระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียงและทันต่อเหตุการณ์แล้ว การรักษาด้วยกระบวนการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ด้วยวิธีการรักษาแบบผสมผสาน (Complementary Medicine) จึงเป็นทางเลือกอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และควรที่จะนำมาใช้ในการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจำแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม

การแพทย์ทางเลือกที่นำไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Complementary Medicine” ส่วนการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Alternative Medicine” โดย ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำกับดูแลการแพทย์ทางเลือก ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในชื่อว่า สำนักงานการแพทย์ทางเลือก (Office of Alternative Medicine : OAM) และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผมผสานและการแพทย์ทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine : NCCAM) 

ก่อนที่จะได้รับชื่อปัจจุบันคือ ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ (The National Center for Complementary and Integrative Health : NCCIH) เป็นหนึ่งใน 27 ศูนย์และสถาบันที่ประกอบเป็น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health : NIH) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้จำแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 

Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมือมาช่วยในการบำบัดรักษาและหัตถการต่าง ๆ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese  Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวชของอินเดีย เป็นต้น

Mind-Body Interventions คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง เป็นต้น

Biologically Based Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน Chelation Therapy Ozone Therapy หรือแม้กระทั่งอาหารสุขภาพ เป็นต้น โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดอยู่ในอยู่ในกลุ่มนี้

Manipulative and Body-Based Methods คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก Osteopathy Chiropractic เป็นต้น

Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาที่ใช้พลังงานในการบำบัดรักษาที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ในการบำบัดรักษา เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น

ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือก ต้องคำนึงถึงหลัก 4 ประการ คือ

ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยดูจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานเพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า จะส่งผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงใด อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือวิธีการนั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น

การมีประสิทธิผล (Efficacy) เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น

ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้น ๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยอาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ละคน เป็นต้น

โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2339 โดย Christian Friedrich Samuel Hahnemann แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเชื่อว่าสารที่ทำให้เกิดอาการของโรคในคนที่มีสุขภาพดีสามารถรักษาอาการคล้ายคลึงกันในคนป่วย ความเชื่อพื้นฐานตามหลักการนี้เรียกว่า similia similibus curentur หรือ "เหมือนการรักษาเหมือน" (like cures like) หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการรักษาแบบ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยในคนที่มีสุขภาพดี สามารถรักษาด้วยการใช้เชื้อของโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้ในขนาดที่เล็กมาก สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย การเตรียม Homeopathic เรียกว่าการเยียวยา และทำโดยการเจือจาง Homeopathic ในกระบวนการนี้ สารที่เลือกจะถูกเจือจางซ้ำ ๆ จนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะแยกไม่ออกจากตัวเจือจางทางเคมี มักไม่มีแม้แต่โมเลกุลเดียวของสารดั้งเดิมที่สามารถคาดหวังให้คงอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ระหว่าง Homeopaths การเจือจางแต่ละครั้งอาจกระทบและ/หรือเขย่าผลิตภัณฑ์ โดยอ้างว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเจือจางจำสารเดิมได้หลังจากกำจัด 

ทฤษฏีนี้กล่าวว่า การเตรียมการดังกล่าวเมื่อรับประทานเข้าไปสามารถรักษาหรือรักษาโรคได้ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ : หลักการโฮมีโอพาธีย์ในการผลิตยาปกติสำหรับบำบัด รักษาผู้ที่ได้รับความเจ็บป่วยในอาการเดียวกัน โดยใช้สารที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนหนึ่งส่วนมาเจือจางกับน้ำหรือแอลกอฮอล์อีก 9 หรือ 99 ส่วน พร้อมทั้งเขย่าขึ้นลงในแนวตั้ง 10 หรือ 100 ครั้งตามสัดส่วนที่เจือจางซึ่งเรียก ขนาดความแรง เป็น 1D หรือ 1C จากนั้นนำสาร 1D หรือ 1C มาเจือจางต่ออีก 1:10 หรือ 1:100 พร้อมเขย่าเช่นเดิม 10 หรือ 100 ครั้ง จะเรียก ขนาดความแรง 2D หรือ 2C ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความแรงในการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้นตามความแรงที่เพิ่มขึ้น อันที่จริง ยาเหล่านี้จำนวนมากไม่มีโมเลกุลของสารดั้งเดิมเหลืออยู่อีกต่อไป ยาโฮมีโอพาธีย์มีอยู่ในหลายรูปแบบลักษณะ เช่น ของเหลว ครีม เจล และยาเม็ด โดยระหว่างการรักษา แพทย์ Homeopathic (Homeopaths)จะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของคนไข้ เพื่อจะกำหนดวิธีการรักษาที่ตรงกับอาการของคนไข้มากที่สุด จากนั้นจะมีการปรับแต่งกระบวนการรักษาสำหรับคนไข้ตามแต่อาการเฉพาะราย

อาร์นิกา (ARNICA) เป็นสมุนไพร ดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ตัวอย่างเช่น หอมแดงทำให้ดวงตามีน้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางชีวจิต การรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยตัวยาจากไม้เลื้อยพิษ สารหนูสีขาว ผึ้งทั้งตัวบด และสมุนไพรที่เรียกว่า อาร์นิกา (ARNICA) เป็นดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เป็นที่นิยมสำหรับบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากรอยฟกช้ำหรืออักเสบ นอกจากนั้นยังมีคนไข้สมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) และช่วยลดอาการบวมอีกด้วย

การรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) สามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงโรคเรื้อรังบางอย่าง 
>> โรคภูมิแพ้
>> ไมเกรน
>> อาการซึมเศร้า
>> โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
>> ข้ออักเสบรูมาตอยด์
>> อาการลำไส้แปรปรวน
>> กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับปัญหาเล็กน้อย เช่น รอยฟกช้ำ รอยถลอก ปวดฟัน ปวดหัว คลื่นไส้ ไอ และหวัด

ร้านขายยาสไตล์ละตินอเมริกันคาริเบียน (การแพทย์สเปนและโปรตุเกสแบบดั้งเดิม) ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนร้านขายยาที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ปรากฏ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ยามีผลต่อการรักษา

การทำงาน ? การวิจัยมีความหลากหลาย การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) มีประโยชน์ด้วยการรักษาที่การรักษาแบบอื่นไม่ทำกัน นักวิจารณ์กล่าวถึงประโยชน์ของยาหลอก นั่นคือเวลาที่อาการดีขึ้นเพราะคนไข้เชื่อว่าการรักษานั้นได้ผล ไม่ใช่เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งนี้สามารถกระตุ้นสมองให้ปล่อยสารเคมีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่น ๆ ได้ชั่วครู่ แต่ทฤษฎีบางอย่างที่โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) นำมาใช้อ้างอิงนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการของเคมีและฟิสิกส์ โดยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (ยาหลอก) ไม่ควรมีผลกับร่างกาย

ความเสี่ยงคืออะไร ? สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S Food & Drug Administration (FDA) ได้กำกับดูแลการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) แต่จะไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ส่วนใหญ่รับยาและดื่มน้ำน้อยจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่มีข้อยกเว้น กรณียาที่อาจมีสารออกฤทธิ์จำนวนมาก เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ กรณีตัวอย่าง : ในปี พ.ศ. 2559 FDA ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดและเจลสำหรับการรักษาตามกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารกและเด็ก หากคนไข้กำลังพิจารณาที่จะลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกเหล่านี้  ต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ปลอดภัยและจะไม่มีผลต่อยาอื่น ๆ ที่คนไข้กำลังใช้อยู่

จากการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือกในบ้านเราพบว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก และให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จำนวน 25 ศาสตร์ ดังนี้ 

1.) สมุนไพร 2.) การนวด 3.) สมาธิ/โยคะ 4.) การนวดศีรษะ 5.) การรำมวยจีน/ไทเก็ก 6.) พลังรังสีธรรม 7.) สมาธิหมุน 8.) ชีวจิต 9.) พลังจักรวาล/โยเร 10.) การฝังเข็ม 11.) การฟังดนตรี 12.) การสวดมนต์/ภาวนา 13.) อบสมุนไพร 14.) การใช้เครื่องหอม/ยาดม 15.) การใช้วิตามิน/เกลือแร่/อาหารปลอดสารพิษ 16.) ดื่มน้ำผัก/ผลไม้ 17.) การสวนล้างพิษ 18.) การดูหมอ/รดนำมนต์ 19.) ศิลปะบำบัด 20.) การผ่อนคลายแบบ Biofeedback 21.) การใช้คาถา/เวทมนต์ 22.) การเพ่งโดยการใช้แสง สี เสียง 23.) การเข้าทรงนั่งทางใน 24.) การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟ้า 25.) การใช้วิชาธรรมจักร 

นอกจากนี้ยังมีการนำศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น มีการนำเอาการแพทย์ทางเลือกทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบำบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมกันในการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นต้น

ภาพรวมจากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า การแพทย์ทางเลือกในบ้านเรามีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทำการศึกษาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จำเป็นต้องเร่งให้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรต่าง ๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว สมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์ทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ด้วย ซึ่งต่อทำคู่ขนานกันไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีการตามกระบวนการแพทย์ทางเลือกจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดในอันที่จะพัฒนาต่อยอดการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อแนวทางการรักษาด้วยศาสตร์ของการแพทย์ทางเลือกต่อไป


เขียนโดย : ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

“อิสตันบูล (Istanbul)” เป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเปี่ยมไปด้วยความขลัง เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว ยังเป็นเมืองที่ตั้งตรงรอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป

ทั้งที่ยังไม่เคยได้ไปเยือนซานฟรานซิสโก แต่ความคิดแว้บแรกเมื่อไปถึงอิสตันบูล ผมรู้สึกว่าคล้ายเมืองริมทะเลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียนี้มาก อาจจะเพราะเคยดูหนังที่มีฉากเมืองซานฟรานซึ่งมีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน เช่นเป็นเมืองใหญ่ติดทะเล บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ถนนหนทางคดเคี้ยวและบางช่วงชัน มองเห็นวิวทะเลได้แต่ไกลจากหลายมุม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม อิสตันบูลก็คืออิสตันบูล (และซานฟรานซิสโก ก็คือซานฟรานซิสโก) ยังคงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดมากขึ้น

คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอิสตันบูลคือเมืองหลวงของตุรกี ที่จริงอังการาซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศต่างหากคือศูนย์กลางการเมืองการปกครองของประเทศนี้ แต่ด้วย “ความขลัง” กว่า ในแง่ที่มีประชากรหนาแน่นกว่าสิบห้าล้านคน นับว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ ณ รอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป โดยมีช่องแคบบอสพอรัสกั้นไว้ ทำให้วัฒนธรรมและศาสนาของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก คลุกเคล้ากันผ่านช่วงเวลายาวนาน ถ้าสาวประวัติเมืองย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่สมัยสองพันกว่าปีก่อนในยุคที่เรียกว่าไบแซนไทน์ อิสตันบูลในยุคนั้นมีชื่อว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดินี้ยืนยงคงกระพันนับพันปีและถือว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่พวกออตโตมันซึ่งเป็นมุสลิม และอิทธิพลอิสลามก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อนำภาพในอดีตมาปะติดปะต่อเข้ากับสภาพเมืองในปัจจุบันก็พบว่าประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับเมืองนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับภูมิทัศน์สวยงาม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ผสมผสานหลายยุคสมัย ยิ่งทำให้ใครก็ตามที่ได้มาเยือนอิสตันบูลตกหลุมรักเมืองนี้อย่างง่ายดายยามแรกพบเลยทีเดียว

อิสตันบูลเป็นเมืองทันสมัย สามารถเดินทางสัญจรภายในเขตต่าง ๆ โดยเลือกใช้ขนส่งมวลชนหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก รถราง รถบัส ซึ่งเมื่อซื้อบัตรโดยสารใบเดียวก็สามารถใช้ได้กับทุกระบบขนส่ง หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากกว่าก็ใช้บริการแท็กซี่กับ Grab แต่วิธีดีที่สุดที่จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของสิ่งละอันพันละน้อย ก็คือการเดินนั่นเอง ยิ่งใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปจะรื่นรมย์เดินชมเมืองมาก จะทอดน่องไปตามตรอกซอยน้อยใหญ่ เดินเล่นบนบาทวิถีริมทะเล เดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยชายนักหย่อนเบ็ดตกปลา หรือเบียดแทรกตัวเองท่ามกลางฝูงคนในย่านช้อปปิ้งล้วนให้ความเพลิดเพลินทั้งนั้น บรรดาแลนด์มาร์กและสถานที่น่าสนใจกระจายตัวในระยะเดินถึง ถ่ายรูปวิวสลับกับการสังเกตการใช้ชีวิตตามปกติของชาวเมือง หรือนั่งพักแล้วสังเกตอากัปกิริยาผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งหลายก็เพลินดี

ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักไม่พลาดการไปชมงานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นอลังการงานสร้างสองแห่งซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่าสุลต่านอาห์เม็ด ได้แก่สุเหร่าสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย แม้ศาสนสถานทั้งสองจะสร้างในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีทางศาสนาที่แตกต่างกัน แต่มองผิวเผินแต่ไกลกลับให้ความรู้สึกเหมือนอาคารฝาแฝดเพราะมีรูปทรงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน

แต่ละช่วงของวันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างกันด้วย ช่วงกลางวันที่แดดจัดจ้าจะเห็นน้ำทะเลใสสีฟ้า ฝูงนกนางนวลโฉบเฉี่ยวร่าเริง แมวจรทั้งหลายต่างย่องขึ้นไปบนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็แอบอยู่ตามมุมถนน ส่วนบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำนั้นโรแมนติกกว่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครที่เดินทางคนเดียวจะเกิดอาการเหงาจับใจเวลามองพระอาทิตย์ตกทะเลแต่อย่างใด เพราะแสงเงาบนท้องฟ้าสลับสีตระการตา คล้ายกำลังนั่งมองศิลปินผู้มีฝีมือล้ำเลิศละเลงสีเหลืองแดงชมพูม่วงส้มลงบนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่มหาศาล ก็ทำให้หัวใจคับพองและ “อิ่ม” ได้เช่นกัน

ของคาวที่หาทานง่าย มีอยู่แทบทุกมุมเมืองคือเคบับ หิวเมื่อไหร่ก็แวะซื้อแล้วเดินทานไปด้วย เมนูปลาใกล้สะพานกาลาตาก็เด็ดไม่แพ้กัน หรือถ้าต้องการทานอาหารตุรกีที่มีความหลากหลายกว่าก็สามารถเลือกนั่งในร้านอาหารชนิดกินกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ได้ ของหวานขึ้นชื่อเห็นจะเป็นไอศกรีมตุรกี จุดเด่นนอกจากจะเป็นความเหนียวหนึบแล้ว พ่อค้าไอศกรีมยังใช้มุกหลอกลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว ๆ และเด็ก ๆ (มุกเก่าแต่ใช้ได้ตลอด) 

ในขณะที่ของหวานอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือบักลาวา หาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด เปรียบเทียบแล้วน่าจะคล้ายกับใครมาเที่ยวเชียงใหม่ก็มักจะหาซื้อขนมกะละแมไปฝากเพื่อนฝูงญาติมิตรนั่นเอง ในส่วนของเครื่องดื่มยอดนิยมนั้นหนีไม่พ้นชาตุรกีซึ่งเสิร์ฟกันในแก้วทรงคอดตรงกลาง และกาแฟซึ่งต้มในภาชนะโลหะมีด้ามจับที่เรียกว่าอีบริก เสิร์ฟในถ้วยเซรามิกเล็ก เวลาจะจิบชาหรือกาแฟก็มักเติมน้ำตาลลงไปด้วยสักช้อนชาเพื่อตัดความขม และแม้จะเป็นประเทศมุสลิม แต่ก็มีความเป็นเสรีนิยมค่อนข้างสูง ดังนั้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลายอย่างเหล้าเบียร์หรือไวน์ก็ยังสามารถหาจิบได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

ที่พักหาไม่ยากและมีทุกระดับตั้งแต่ดาวเดียวถึงทะลุห้าดาว ในสมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟู นักเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทุนต่ำแบกเป้ มักพกโลนลี่แพลเน็ต เสมือนคัมภีร์นำทาง เพราะมีข้อมูลที่จำเป็นแทบทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวแทบทั้งหมดหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ที่พักก็จองผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะพักที่ไหนจะกินอะไรก็ดูรีวิวเอา ร้านไหนสถานที่อะไรคนนิยมมาก ๆ ก็ต้องไปเช็คอินเมื่อไปถึง นักท่องเที่ยววัยรุ่นขาโจ๋ผู้นิยมสังสรรค์ปาร์ตี้จนดึกดื่น มักเลือกพักโฮสเทลในย่านทักซิม ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงสมัยใหม่และผับบาร์อึกทึก มีถนนคนเดินเหมาะสำหรับคนเสพติดการช้อปปิ้งเป็นที่สุด ในขณะที่ย่านสุลต่านอาห์เม็ดนั้นเหมาะสำหรับคนชอบความสงบ พวกผู้ใหญ่ คนสูงวัย นักเดินทางผู้รักความสันโดษ หรือคู่รักฮันนีมูนน่าจะชอบย่านเมืองเก่านี้มากกว่า 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเพียง “น้ำจิ้มชิมลาง” เท่านั้น เพราะยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นฉันใด อยากรู้ว่าอิสตันบูลมีเสน่ห์มากแค่ไหนก็ต้องมาให้เห็นด้วยตัวเองนะครับ 


เขียนโดย : คุณสว่าง ทองดี จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ชอบปั่นจักรยานท่องโลกและหลงไหลกาแฟ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top