Tuesday, 30 April 2024
EducationNewsAgencyforAll

????โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ประกาศมาตรการเยียวยาผู้ปกครองนักเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564 จ่ายสูงสุด 10,000 บาท‼️

ประกาศ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
เรื่อง มาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ปกครองนักเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564

อ้างถึงประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการทั้งภาครัฐและเอกชนปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ โดยให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ขอให้โรงเรียนเอกชนในกำกับ ได้บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครอง พร้อมทั้งทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง เพิ่มเติมคนละ 2,000 บาท ตามที่ทราบแล้วนั้น

โรงเรียนเซนต์คาเบรียลได้ตระหนักถึงสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ดังนั้น อาศัยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารโรงเรียนฯ จึงกำหนดมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ปกครองโดยรวมทุกระดับชั้น ดังนี้

1. สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
2. สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นจำนวนเงิน 9,000 บาท (เก้าพันบาทถ้วน)
3. สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นจำนวนเงิน 8,000 บาท (แปดพันบาทถ้วน)

ทั้งนี้ ทางโรงเรียนขอให้ผู้ปกครองติดต่อชำระค่าธรรมเนียมการเรียน ภาคเรียนที่ 1/2564 ให้เรียบร้อยก่อนเพื่อรับสิทธิ์ดังกล่าวนี้


ที่มา: https://www.facebook.com/106590839388372/posts/4322656951115052/

นอกจากฟ้าทะลายโจรที่นับได้ว่าเป็นสมุนไพรไทยที่จะมาเป็นยาในการรักษาโควิด-19 แล้ว สมุนไพรไทยที่กำลังเป็นพูดถึงอย่างมากในการรักษาอาการโควิด-19 นั้นก็คือ “กระชาย”

ผ่านไปแล้วหลายวันครับ ในการใช้มาตรการสูงสุดของรัฐบาลโดยการล็อกดาวน์ ในจังหวัดที่มีสีแดงเข้มหลายจังหวัด และมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด โดยมีแนวโน้มที่จะขยายมาตรการที่เข้มข้นนี้ออกไป ทั้งระยะเวลาและพื้นที่ในการบังคับใช้ อีกด้วย อย่างไรก็ตามผลจากการใช้มาตรการแบบเข้มข้นของรัฐบาลในรอบนี้ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเห็นทางสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย เนื่องจากจำนวนยอดผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นว่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนยอดปัจจุบันมาแตะที่หลักสองหมื่นกว่าแล้ว 

ท่ามกลางกระแสของการแพร่ระบาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง และความกลัวในเรื่องยารักษาหลักคือ “ฟาวิพิราเวียร์” ที่ไม่เพียงพอ ก็ได้มีการผุดทางออกในเรื่องของการใช้สมุนไพรไทย ในการรักษาและยับยั้งการแพร่ไปสู่อวัยวะที่สำคัญ โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่ชื่อ “ฟ้าทะลายโจร” ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เริ่มมีการศึกษาในระดับการใช้งานในคน และมีการยอมรับแล้วว่า สามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว โดยการออกฤทธิ์คล้ายกับยาฟาวิพิราเวียร์ เลยทีเดียว 

นอกจากฟ้าทะลายโจรแล้ว ก็มีสมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งที่ได้มีการศึกษาสำหรับใช้ในการรักษาโควิด-19 และผลการศึกษามีแนวโน้มที่ดีด้วยในการออกฤทธิ์ ยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกาย นั่นก็คือพืชสมุนไทยที่คนไทยคุ้นเคยกันดีที่ชื่อว่า “กระชาย” 

สำหรับวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกระชายกันครับ “กระชาย” มีชื่อสามัญว่า Fingerroot หรือ Chainese ginger หรือ Chainese Key หรือ Galingale มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia rotunda (L.) Mansf อยู่ในวงศ์ขิง เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ที่เรียกว่า เหง้า รากของกระชายจะสะสมอาหารจนพองเป็นก้าน เรียกว่า แง่ง กระชายมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อเรียกกันว่า ขิงจีน เราจะรู้จักกระชายกันดีในเรื่องของนำมาทำเป็นส่วนประกอบสำหรับทำอาหาร โดยเมื่อนำเหง้าหรือแง่งในปริมาณ 100 กรัม ของกระชายมาวิเคราะห์ พบว่ามีสารอาหารที่สำคัญได้แก่ คาร์โบไฮเดรต 17.8 กรัม เส้นใยอาหาร 2.0 กรัม น้ำตาล 1.7 กรัม โปรตีน 1.8 กรัม โพแทสเซียม 415 มิลลิกรัม โซเดียม 13 มิลลิกรัม ไขมันอิ่มตัว 0.2 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัว 0.2 กรัม วิตามีนบี 6 8% วิตามีนซี 8% แคลเซียม 2% เหล็ก 3% แมกนีเซียม 11% กระชายที่ใช้ประโยชน์กันแพร่หลาย มี 3 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ กระชายแดง และกระชายเหลือง หรือกระชายขาว 

สำหรับสรรพคุณของกระชายนั้น สามารถแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล แก้อาการวิงเวียนหัว แน่นหน้าอก ได้ และกระชายดำก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยเพิ่มสมรรถนะทางเพศได้อีกด้วย สำหรับกระชายที่มีการศึกษาว่ามีฤทธิ์ที่สามารถยับยั้งการกระจายตัวของไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว คือ กระชายขาว โดยจากผลการวิจัยร่วมกันของคณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และและศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) พบว่า มีสารสำคัญ 2 ชนิด ที่พบในสารสกัดกระชายขาว ซึ่งสามารถช่วยในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย คือ พิโนสโตรบิน (Pinostrobin) และ แพน​ดูราทิน เอ (Panduratin A) 

โดยมีกลไกลทำงาน คือเมื่อร่างกายได้รับสารสกัดที่สำคัญของกระชายนี้ในปริมาณที่เหมาะสม สารดังกล่าวจะไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโควิด-19 และทำให้ไวรัสสลายไปในที่สุด โดยพบว่าสามารถลดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 100% เลยทีเดียว โดยผลจากการทดลองในการยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่าสามารถลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อ จาก 100% ไปถึง 0% ได้ และ เมื่อวิเคราะห์ลักษณะการยับยั้งในการผลิตตัวไวรัสออกจากเซลล์ พบว่า สารสกัดจากกระชายขาวสามารถยับยั้งได้ถึง 100% นั่นก็คือเซลล์นั้นไม่สามารถที่จะผลิตตัวไวรัสตัวใหม่ออกมาจากตัวเซลล์ได้เลย  

ทั้งนี้ในกรณีการศึกษาวิจัยในกรณีดังกล่าวนั้น เป็นการศึกษาในระยะเริ่มต้น หรือระดับห้องปฏิบัติการ คือศึกษาในหลอดทดลอง และเริ่มนำมาใช้ในสัตว์ทดลองคือหนูเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มมีการศึกษาโดยทดลองใช้กับมนุษย์จริง และคงมีการศึกษาใช้กับมนุษย์ในระยะต่อไป ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของฟ้าทะลายโจร ที่เริ่มมีการทดลองใช้กับคนมาระยะหนึ่งแล้ว และได้ผลพบว่าสามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อ เข้าสู่ร่างกายแล้วได้จริง 

แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนมองว่าเนื่องจาก กระชายเป็นทั้งพืชที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร และยังเป็นสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ถ้าเรามีไว้ติดบ้านนอกจากมีสรรพคุณสำหรับรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปากเป็นแผล หรือเพิ่มสมรรถนะทางเพศ ตามความเชื่อแล้ว ก็ยังอาจเป็นทางออกอีกทางออกหนึ่งหนึ่งที่ สามารถยับยั้งการแพร่ของไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายเรา ในยุคของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไรก็ได้ครับ 


เขียนโดย: ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

เด็กไทยเจ๋ง‼️ โชว์ศักยภาพบนเวทีแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ 2021 AIMO กวาดเหรียญรางวัลรวม 82 เหรียญ ประกอบด้วย เหรียญทอง 16 เหรียญ เหรียญเงิน 39 เหรียญ และเหรียญทองแดง 27 เหรียญ ????????????

คณะกรรมการจัดการแข่งขัน AIMO ได้ประกาศผลการแข่งขัน 2021 AIMO – Asia International Mathematical Olympaid ที่มีการจัดสอบแข่งขันขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า ตัวแทนเด็กไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่เกรด 1 – 11 ได้สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศอีกครั้ง ด้วยการกวาดเหรียญรางวัลรวม 82 เหรียญ ประกอบด้วย 16 เหรียญทอง 39 เหรียญเงิน และ 27 เหรียญทองแดง พร้อมรางวัลชมเชยอีก 5 รางวัล

2021 AIMO เป็นรายการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติประเภทบุคคล ที่จัดการแข่งขันผ่านระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก อันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งดำเนินการจัดการแข่งขันโดยประเทศสมาชิก  ประกอบด้วย Afghanistan, Australia, Azerbaijan, Brazil, Bulgaria, Combodia, China, Hong Kong, Tran, India, Indonesia, Kazakhstan, Macau, Malaysia, Myanmar, Philippines, Singapore, Thailand, Turkey, Uzbekistan, Vietnam 


ที่มา: https://www.facebook.com/1689907974423371/posts/4255955384485271/

พิพิชชญะ ศรีดำ (น้องสไปรท์) | Click on Clever EP.15

บทสัมภาษณ์ รายการ Click on Clever EP.15 
พิพิชชญะ ศรีดำ (น้องสไปรท์) นักเรียน Year 9 โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่
เด็กไทยอายุน้อยที่สุด คว้าเหรียญทอง คณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ (IMO 2021)

อัจฉริยะอายุน้อย เหรียญทองคณิตศาสตร์ระดับโลก พรสวรรค์ ที่มาพร้อม พรแสวง ร่วมค้นหาเคล็ดลับความเก่ง! 

Q: รู้สึกยังไงบ้างที่กลายเป็นเด็กไทยที่อายุน้อยที่สุด ที่คว้าเหรียญทอง คณิตศาสตร์โอลิมปิก เวทีระดับโลก

A: ก็รู้สึกภูมิใจที่ทำได้ตามที่ตั้งไว้ แต่ว่าส่วนนึงผมรู้สึกว่ามันก็เป็นโชคด้วย เพราะคะแนนผมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก จริงๆ ทุกคนก็เก่งเท่าๆ กันครับ บางทีมันก็อยู่ที่ว่าข้อสอบที่เราเกร็งมากับที่ออกตรงกันหรือเปล่า 

Q: เดินสายแข่งขันทางวิชาการตั้งแต่เด็ก เพราะความชอบ?

A: ตอนประมาณป.2 โรงเรียนได้มีโอกาสเชิญผมไปลองแข่งขันสนามหนึ่งของสสวท. ผมรู้สึกว่ามันก็สนุกดีเวลาที่ได้ทำโจทย์ ผมก็เดินสายนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น 

Q: ทำไมรู้สึกสนุกกับการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เห็นเสน่ห์อะไร?

A: ผมรู้สึกว่าโจทย์มันแต่งยังไงก็ได้ พอมันพลิกแพลงอะไรนิดนึงแล้วมันดูน่าสนใจ บางทีน่าค้นหา คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่คำตอบแทบจะมีตายตัวเลย แต่ตัววิธีการที่จะได้มาซึ่งคำตอบนั้นบางทีมันก็ต้องใช้ไอเดียที่น่าสนใจ การที่จะได้มาซึ่งไอเดียนั้นก็เป็นขั้นตอนที่สนุก บางทียิ่งยากก็ยิ่งสนุก ผมก็งงตัวเองเหมือนกัน 

Q: วิถีชีวิตของเด็กสายแข่งขันคณิตศาสตร์?

A: หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง นอนไป 8 เหลือ 16 ผมก็จะแบ่งเวลาออกมาเป็น 8 กับ 8 เอาไปพัฒนาตัวเองในรายวิชาคณิตศาสตร์ อีกส่วนจะเอาไปทำกิจกรรม ตั้งแต่เช้ามาผมก็จะเริ่มเรียนก่อน พอรู้สึกว่ามันเริ่มเครียดแล้ว ผมก็จะไปพัก อาจจะไปทานข้าวหรือเตะบอล จากนั้นก็มาพัฒนาต่อ สลับกันไปเรื่อยๆ ครับ บางทีมันก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น มียืดหยุ่นได้บ้าง 

Q: การวางตารางชีวิตแบบนี้ได้มาจากไหน?

A: หลักๆ ก็ได้มาจากคุณพ่อครับ คุณพ่อชอบแบ่งตารางเวลาและเน้นย้ำเรื่องเวลาอยู่เสมอ เขาจะย้ำว่า ในหนึ่งวันแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน เราก็ใช้เวลาให้มันคุ้มค่า หากเราแบ่งเวลาจะเป็นตัวช่วยให้เรามีวินัยและทำให้เรารู้ว่าเวลานี้ต้องทำอะไร เพื่อไม่หลุดออกจากลู่ทางไปครับ เพราะหากเราไม่มีตรงนี้ เราก็จะไม่รู้ว่าวันนี้เราได้แบ่งเวลาไปยังไงบ้าง บางทีอาจพัฒนาได้ไม่ครบ

Q: ได้ข่าวว่าชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายพัฒนาเราอย่างไรบ้าง?

A: ช่วงเย็นๆ ประมาณ 5-6 โมงก็มีเตะบอลหน้าบ้านครับ บางครั้งก็เล่นบาสกับครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนที่โรงเรียนก็ชวนกันไป แล้วก็ปั่นจักรยานครับ หลักๆ ก็มีเท่านี้ 

การออกกำลังกายทำให้เราผ่อนคลาย บางทีถ้าทำโจทย์คณิตศาสตร์เยอะๆ อาจจะมีความเครียด พอไปออกกำลังกายแล้วรู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้อาจจะช่วยให้เรามีไหวพริบมากขึ้นด้วย ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่บางทีที่เราเล่นบอลเล่นบาสมันก็ต้องใช้ไหวพริบ ซึ่งตรงนี้ก็จะมาช่วยในการฝึกแก้โจทย์ด้วย

Q: เมื่อต้องแข่งขัน รู้สึกเครียดและกดดันไหม? บริหารจัดการความกดดันอย่างไร?

A: จริงๆ ก็มีเครียดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองจากการมองโจทย์คณิตศาสตร์ว่าน่าเบื่อ เครียด มองให้มันสนุก แล้วเอนจอยไปกับมัน จะช่วยลดความเครียดได้ระดับนึงครับ ผมชอบไปหาโจทย์ที่ท้าทายเอามาทำ บางทีก็คิดไม่ออก แต่ผมก็สอนตัวผมเอง รู้สึกว่าถ้าเกิดมันยิ่งยากก็ยิ่งท้าทาย ยิ่งสนุก

ถ้าเป็นในห้องสอบแล้วทำไม่ได้ผมก็เครียดอยู่ครับ แต่ถ้ามาฝึกทำแบบนี้ เวลามันมีเหลือเฟือ บางโจทย์ผมก็ใช้เวลา 2-3 วันในการคิดก็มี แต่ถ้ามันคิดไม่ออกแล้วจริงๆ ผมแนะนำว่าให้ดูเฉลยดีกว่า มันจะได้ไอเดียใหม่ๆ ไปทำโจทย์ข้ออื่นด้วย

Q: คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนอย่างไรบ้าง?

A: คุณพ่อคุณแม่ก็จะช่วยหาสนามสอบหรือบางทีก็จะช่วยหาข้อสอบที่น่าสนใจมาให้ผมลองทำ แล้วก็ช่วยไกด์แนวทางที่จะไปถึงจุดที่ผมต้องการ ผมรู้สึกว่าการที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกอะไรประมาณนี้ก็เป็นเกียรติที่น่าชื่นชม ผมก็เลยตั้งไว้

Q: คติประจำใจ “I would like to say every moment counts for you, so make the time that you spend for your dreams a very special moment, make sure that you do something that you’ll be happy with when you go back and look at yourself” – Jennie Kim I BLACKPINK บ่งบอกถึงความคิด ตัวตนของตัวเองอย่างไร?

A: สรุปง่ายๆ ก็คือ เราทำสิ่งที่เราต้องการ และจงระลึกไว้ว่า อย่าใช้เวลาให้มันสิ้นเปลือง เราใช้เวลากับสิ่งที่จะพัฒนาตัวเราให้ไปถึงจุดนั้น เพื่อที่ว่าในอนาคตเรามองกลับมาที่ตัวเราในวันนี้ เราจะไม่เสียดายทีหลังครับ 

Q: นิยามความสุขที่เราได้เจอกับสิ่งที่รักอย่างคณิตศาสตร์

A: ความสุขมันก็เหมือนกับ เวลาผมทำโจทย์คณิตศาสตร์แล้วบางทีทำไม่ได้ มันก็ยิ่งท้าทาย เหมือนติดกับมันไปแล้ว เอาออกจากหัวไม่ได้ มันก็กลายเป็นความสุข

Q: คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงไหมเวลาทำโจทย์หนักๆ ให้บาลานซ์ชีวิตด้านอื่นอย่างไรบ้าง?

A: จริงๆ ก็มีมาบอกให้บาลานซ์เรื่องการทำโจทย์และเรื่องการไปทำกิจกรรมอย่างอื่น บางทีเขาก็จับเวลาแล้วหาเวลาพาครอบครัวไปทำกิจกรรมด้วยกัน ตรงนี้ก็ช่วยพักผ่อนสมอง ทำให้ไม่เครียดมาก

Q: การเรียนในโรงเรียนอินเตอร์กับโรงเรียนไทยแตกต่างกันอย่างไร?

A: โรงเรียนอินเตอร์จะให้สิทธิในการเลือกมากกว่า ถ้าเราถนัดอันนี้ เขาก็จะส่งเสริมด้านนี้โดยเฉพาะ หรือถ้าเกิดเราไม่ถนัดด้านนี้ คุณครูก็จะเทคแคร์เราโดยเฉพาะ อาจจะมากกว่าเพื่อนคนอื่น ส่วนโรงเรียนไทยบางทีเด็กเยอะ เขาก็จะดูเป็นภาพรวมไป เช่น ทั้งห้องดูเกรดโดยรวมแล้วอ่อนวิชานี้ ก็จะไปส่งเสริมวิชานี้


Q: มีงานอดิเรกไหม

A: ส่วนใหญ่ก็ฟังเพลงครับ เวลาว่างๆ ผมก็หาเพลงในยูทูปฟัง ผมชอบฟังเพลงเกาหลีครับ ฟังไม่ออกผมก็เลยชอบฟัง รู้สึกมันน่าสนใจ ถ้าฟังออกเดี๋ยวเราจะมีความรู้สึกร่วมไปกับมัน พอฟังไม่ออกก็ไหลไปตามเนื้อ 

Q: มีความฝันไหม ได้เหรียญทองโอลิมปิกวิชาการแล้ว หลังจากนี้จะยังคงอยู่ในเส้นทางการแข่งขันวิชาการต่อไปไหม?

A: ที่ผมคิดไว้ก็จะไปแข่งรายการนี้อีก 1 ปีครับ จากนั้นผมก็อาจจะลองใช้ชีวิตดูครับ หาประสบการณ์ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้ที่เล็งไว้อยากไปศึกษาต่อต่างประเทศ อย่างอเมริกา มหาลัยในฝันก็ Stanford MIT อยากไปเรียนด้านเทคโนโลยี รู้สึกว่ามันก้าวหน้าดี ที่ผมสนใจก็มี อีลอน มัสก์ กับ สตีฟ จอบส์ เขาพัฒนาเหมือนรับช่วงต่อจากเทคโนโลยีและพัฒนาให้มันไปได้ไกลกว่าเดิม ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ 

Q: มีบทความ เว็บไซต์ หรือหนังสืออะไรที่อยากแนะนำไหม?

A: หนังสือที่ผมชอบก็จะเป็น ซีรีย์ของเซเปียนส์ ผมว่ามันบอกกล่าวเกี่ยวกับตัวมนุษย์ได้ดีครับ บางทีเราอาจจะไปสังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาเทคโนโลยีได้พอกับความต้องการ  

Q: ฝากคำแนะนำสำหรับเพื่อนๆ น้องๆ ในการเตรียมตัวที่จะไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก

A: พูดถึงเรื่องการคิดก่อนแล้วกันนะครับ อันดับแรกคืออย่าไปกลัวโจทย์ ผมเห็นเด็กหลายคนเวลาเห็นโจทย์มาจากสนามนี้คิดว่ามันต้องยาก เราไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องนั้น เราแค่ทำมัน แล้วก็หวังว่ามันจะทำออก ให้เราตั้งเป้าไว้สูง เพราะการที่เราตั้งเป้าไว้ที่จุดนึงเนี่ย เราไม่มีทางไปเกินเพดานเป้านั้นแน่นอน อาจจะตกลงมานิดหน่อย ถ้าเกิดเราอยากได้เลเวล 3 ให้ตั้งเป้าไว้เลเวล 4 เลเวล 5 ไปเลยก็ได้ 

ใช้เวลาเตรียมตัวจริงๆ สองปีครับ ตามขั้นตอนปกติ แต่ถ้าเรามีการตกรอบ อาจจะต้องไปวนใหม่อีกปีนึง ซึ่งการที่จะป้องกันตรงนี้ได้ เราก็ต้องทำโจทย์เยอะพอสมควร เพื่อให้มีประสบการณ์ของโจทย์ที่หลากหลาย เวลาเจอโจทย์อะไรเราก็จะได้มีไอเดียที่จะนำไปประยุกต์ใช้ต่อครับ 

Q: เวลาผิดหวัง ให้กำลังใจตัวเองอย่างไร?

A: ถ้าผมผิดหวัง ผมก็จะพยายามลืมเรื่องนั้นไปครับ เพราะถ้าเราไปจมอยู่กับตรงนั้น มันก็จะยิ่งเศร้า ผมก็อาจจะไปหากิจกรรมอย่างอื่นมาทำเพื่อปลอบใจตัวเอง อย่างเช่นเล่นกีฬา แล้วค่อยกลับมาทำโจทย์ใหม่ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น 

.

.

.

.

สถาปัตย์นอกคอก กลายเป็น "ครูโยคะฟลาย" จนได้ดีบนผ้าพริ้ว กับ ครูต้น ธัญณกรณ์ | Click on Crazy EP.2

บทสัมภาษณ์รายการ Click on Crazy EP.2
ธัญณกรณ์ ธิบูรณ์บุญธรณ์ (ครูต้น) 
คุณครูสอนโยคะฟลาย ประสบการณ์กว่า 8 ปี

Q : แนะนำตัวหน่อยค่ะ

A : ครูต้น ธัญณกรณ์ ธิบูรณ์บุญธรณ์ ครับ ปัจจุบันสอนโยคะอยู่ที่สถาบัน Yoga&Me เป็นคลาสโยคะฟลาย คลาสเต้นและคลาสบาร์พิลาทิสครับ จบสถาปัตยกรรมภายใน มีความถนัดในเรื่องของการแสดง และก็พัฒนาตัวเองต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ครับ เป็นคุณครูมาประมาณ 8 – 9 ปีแล้วนะครับ 

Q : ครูต้นเรียกตัวเองว่าเป็น “สถาปัตย์นอกคอก” อะไรคือคำนิยามของสถาปัตย์นอกคอก และ ทำไมครูต้นถึงเรียกตัวเองแบบนั้น ?

A : ตั้งแต่ในสมัยเด็กมีความสามารถในการวาดรูป ก็เลยมองตัวเองว่าจะมีวิชาไหนบ้างที่เป็นศิลปะและสามารถหาเลี้ยงชีพได้เป็นอย่างดี ก็เลยเลือกที่จะเข้าไปสอบวิชาสถาปัตยกรรม แต่ช่วงแรกก็มีไปสอบวิศวะบ้าง วิทย์-คอม บ้างแต่สุดท้ายแล้วก็เลือกเรียนสถาปัตยกรรมภายใน 

ส่วนสถาปัตย์นอกคอกคือ ในช่วงระหว่างที่เรียนก็มีไปทำงานเพิ่มเติมบ้าง ก็เลยเอาความสามารถส่วนตัวอย่างเรื่องของการแสดงไปหารายได้เพิ่ม กลายเป็นเด็กสถาปัตย์ที่ตอนเช้าไปเรียน พอกลางคืนก็ต้องไปทำงานการแสดง ทำให้การใช้ชีวิตของเราแตกต่างจากเด็กสถาปัตย์คนอื่น ๆ มีวงจรของตัวเองในการทำงาน นอนวันล่ะ 3-4 ชั่วโมง ต้องรีบทำงานให้เสร็จ ส่งการบ้าน ทักษะที่ได้จากการเรียนสถาปัตยกรรมเลยมีเพียงแค่การวาดรูป 

Q : จากการเป็น “สถาปัตย์นอกคอก” สู่การเป็น ครูสอนโยคะฟลาย จุดเริ่มต้นเป็นอย่างไร ?

A : หลังจากที่เรียนสถาปัตย์มาก็ได้เข้ามาทำงานเกี่ยวกับงานอีเวนต์ จัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้เอางานของตัวเองไปขายลูกค้า โดยตัวเองนั้นทำทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่องค์ประกอบงานต่าง ๆ รูปแบบเวที สคริปต์พิธีกร เป็นงานอีเวนต์ใหญ่ ทำอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายได้กำไรมาน้อย เลยรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่เหมาะกับงานนี้ เลยออกมาทำงานการแสดงได้แสดงมาเรื่อย ๆ และได้ไปออดิชั่นละครเวที ฟ้าจรดทรายเดอะมิวสิคเคิล และได้ไปอยู่ค่ายละครเวที Dreambox

และมีผู้ใหญ่ได้เข้ามาดูเหล่านักแสดงที่มีประสิทธิภาพ performance ดีให้ทุนไปเรียนเพื่อเป็นคุณครูสอนโยคะฟลาย ต้องมีการสอบเป็นคุณครูโยคะฟลาย โดยตัวเองเป็นคุณครูช้าที่สุด เพราะตอนแสดงละครหรือตอนเรียนโยคะฟลายเราสามารถจัดตัวเองได้ แต่พอเป็นคุณครูจะต้องอธิบายนักเรียน เราไม่ยอมพูด จนผู้ใหญ่บอกให้พูดให้อธิบายกับนักเรียนหน่อย ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนเพื่อที่จะได้ฝึกฝนการเป็นคุณครู พิสูจน์ตัวเองว่าตัวเองสามารถทำได้ เมื่อเราสะสมประสบการณ์จากการ performance ความสร้างสรรค์บวกกับการเป็นคุณครูรู้วิธีการพูด ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นอิสระทางด้านความคิด ทำให้เราได้คิดค้นท่าทางต่าง ๆ มากมาย และโชคดีที่มีคนสนับสนุน นักเรียนก็ชื่นชอบ ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับตัวเองมาก ๆ อย่างหนึ่ง

Q : คำว่า “โยคะ” และ “โยคะฟลาย” แตกต่างกันอย่างไร ในความคิดของครูต้น 

A : พื้นฐานหลัก ๆ เป็นเรื่องของร่างกาย โยคะฟลายเป็นการฝึกร่างกายโดยการใช้อุปกรณ์ในเบื้องต้น เราคุมร่างกายตัวเองและใช้อุปกรณ์เป็น ในสตูดิโอจะมีระดับชั้นในการเรียน เรียนรู้การควบคุมตัวเอง ในแต่ละระดับ 

Q : คลาสหนึ่งของครูต้นมีนักเรียนเยอะไหมคะ ?

A : มีประมาณ 12 – 16 คนครับ ในแต่ละช่วง ช่วงที่เราไปทำงานเราเป็นรุ่นที่ 2 ของสถาบัน Yoga&Me ที่มาสอน เราค่อนข้างที่จะบุกเบิกในเรื่องของการสอนโยคะฟลาย ในช่วงยุคนั้นจะเป็นที่นิยมและมีการพัฒนาการสอนมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่พื้นฐานจนไปถึงโยคะฟลายประกอบเพลงด้วย 

Q : ถ้านักเรียนไม่สามารถทำท่าโยคะฟลายตามที่เราสอนได้ หรือ มีการหมดกำลังใจ ไม่มีสติในการเรียน ครูต้นมีวิธีการอย่างไร ? 

A : การเป็นคุณครูทำให้เรามีประสบการณ์ในการสอนมาก ทำให้เรารู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด บางคนต้องการความเอาใจใส่เราก็จะไปอยู่ใกล้ ๆ ให้นักเรียนรู้สึกอุ่นใจ ถ้านักเรียนยังไม่พร้อมที่จะทำ เราจะเข้าไปสอนใกล้ ๆ ไม่ให้กดดันกับคลาส ให้นักเรียนฝึกและใช้เวลา ทุกอย่างต้องไปด้วยกัน นักเรียนจะต้องสบายใจกับคุณครู ให้รู้สึกว่าที่นี้เป็นพื้นที่ของนักเรียนให้ได้ ให้นักเรียนมั่นใจ การก้าวเข้ามาเป็นสิ่งใหม่เสมอ ให้กำลังใจนักเรียนทุก ๆ คน

Q : ช่วงนี้มีสถานการณ์โควิดเข้ามาทำให้การสอนโยคะฟลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น ครูต้นมีวิธีการปรับเปลี่ยนทัศนคติอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้

A : ตอนแรกไม่ได้คิดว่าสถานการณ์เกิดขึ้นนานขนาดนี้ ในช่วงแรกที่โควิดเข้ามาเรามีการไลฟ์สอนออกกำลังกายให้นักเรียนได้เห็น และก็ได้เปิดสถาบันสอน พอมาตอนนี้ช่วงสถานการณ์ค่อนข้างยาวนาน เพราะอาชีพที่เราเป็นทั้งคุณครูสอนโยคะฟลาย นักแสดงละครเวที ศิลปะต่าง ๆ เราจะต้องพบปะผู้คนหมดเลย ทำให้เราคิดว่าเราไม่รู้จะทำอะไร เลยเริ่มมีการสอนออนไลน์แต่ความมั่นใจในการสอนกลับลดน้อยลง ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเรา ช่วงโควิดระลอกใหม่เราเก็บตัวถึง 2 เดือน ไม่ยุ่งกับ Social Media เลย สักพักหนึ่งเราเริ่มมีการมองหาอาชีพอื่น ขายของ ทำอาหารขาย และมีการปรึกษากับเพื่อน ๆ  ความมั่นใจกับศักยภาพตัวเองลดน้อยลง

เลยเริ่มมองหางานอดิเรกให้ตัวเองได้ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เลยได้มีโอกาสวาดภาพสีน้ำมัน พอวาดสำเร็จก็เกิดความคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา และมีคนชื่นชมยินดี มีคนมาขอซื้อรูปวาดด้วย และก็ได้มีงานวาดรูปต่อมาเรื่อย ๆ และมีการเปิดสอนคลาสเต้น ก็มีคนมาเข้าเรียน เราก็เลยรู้สึกว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรอยู่ พอเรามั่นใจ หลาย ๆ คนก็เปิดโอกาสให้กับเรา งานก็เริ่มมีเข้ามาเรื่อย ๆ เราจะคิดแบบเดิมไม่ได้ เราจะต้องมีความคิด New Normal มาจากสมองของเรา งานแบบไหนที่เราสามารถทำได้ ในช่วงสถานการณ์แบบนี้  เราก็เริ่มมีการจัดฟังก์ชันบ้าน ทำความสะอาดห้อง จัดของต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ทำให้ระบบความคิดของเรามีศักยภาพ แบ่งปันประสบการณ์ พูดคุยกับผู้คนใน Social Media เราต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน 

Q : แล้วถ้าคนที่กำลังท้อ หรือ หมดกำลังใจ ครูต้นอยากฝากอะไรให้กับผู้คนเหล่านั้น 

A : เราอาจจะแนะนำวิธีกับใครไม่ค่อยได้ แต่เราจะแนะนำวิธีของเรา เริ่มต้นจากการจัดฟังก์ชั่นของตัวเองง่าย ๆ เช่นการทำบ้านให้สะอาด พอเราไม่รู้ว่าตัวเองจะออกจากจุดนี้ยังไง วิธีนี้มาจากตอนเรียนสถาปัตย์คือให้เราวาด Mind Mapping แบ่งออกมา ตัวเราทำอะไรได้บ้าง แตกแขนงออกไป แล้วตัวที่เราทำอะไรได้บ้างแล้วเราจะทำอย่างไรในตอนนี้ ลิสต์มันออกมาให้เห็นเป็นภาพ

ถ้าคุณยังไม่มั่นใจที่จะไปพูดคุยกับใครให้เขียน Mind Mapping ของตัวเองดูก่อน เราพอจะทำอะไรได้บ้างจากศักยภาพของตัวเราเอง และเราจะทำอะไรเพิ่มได้บ้างจากศักยภาพใหม่ที่คุณอยากเรียนรู้ ทำอาหาร ถ่ายรูป หรือ ขายของ ให้เราจำแนกออกมา จะทำให้เราเห็นตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่าพะวงอยู่ในหัวของตัวเอง ให้มันกระจายออกมา ถ้ายังไม่ได้จริง ๆ ให้คุณเดินออกไปจากในห้อง แล้วก็มองกว้าง ๆ ออกไป สูดอากาศให้ลึก ที่กล่าวมาทั้งหมดเริ่มจากตรงไหนก็ได้ แต่ขอให้คุณออกจากตัวเองไปก่อน ถ้าคุณทำได้คุณจะเห็นช่องทางหลาย ๆ ทางและจะมีคนรอซัพพอร์ตเราอยู่ เราก็ต้องส่งความรัก และ กำลังใจกลับไปให้ด้วย 

Q : ครูต้นมีความฝันอะไรต่อจากนี้ 

A : สิ่งแรกเลยคงจะสอนออนไลน์ต่อไป มีลูกศิษย์คนหนึ่งจะไปทำงานที่ต่างประเทศแล้วบอกให้เราสอนออนไลน์ต่อไปเพื่อเป็นช่องทางในการออกกำลังกาย เราจะได้เจอกันต่อไปเรื่อย ๆ เราอยากที่จะให้ช่องทางออนไลน์เจริญต่อเรื่อย ๆ ให้มีลูกศิษย์กระจายกว้างมากขึ้น จะตั้งใจทำแบบเดิมแม้มีนักเรียน 2 คน 5 คนหรือ 10 คน เราทำออนไลน์แบบนี้ทำให้เรารู้สึกสร้างความอบอุ่นขึ้นมาได้ จะใส่ใจในทุกรายละเอียดที่เจอกัน จะเป็นครูที่ดีมากคนหนึ่ง ในส่วนของออนไลน์ จะพัฒนาต่อยอดไป

ในอนาคตก็คงสร้างคลาสออนไลน์จากความถนัด อาจจะเปิดฟรีก่อนให้นักเรียนมั่นใจในตัวผู้สอนหลังจากนั้นจะเปิดหารายได้อะไรก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องของศิลปะเราก็จะไม่ทิ้ง หลังจากที่เราทิ้งไว้มา 10 ปี ปรากฎว่าเรากลับมาทำแล้วมีคนซัพพอร์ตเราขึ้นมา เราก็จะต่อยอดไปเรื่อย ๆ อาจจะวาดด้วยมือหรือวาดลงคอมพิวเตอร์ จะลองทำต่อไปในช่วงแรกที่เราได้ เราอาจจะไม่เก่งในทางด้านธุรกิจแต่คงจะมีการถ่ายทอดต่อ ๆ ไปได้จากศักยภาพที่เรามีและจะมีประโยชน์กับคนทั่วไปได้ด้วยครับ 

สนใจเรียน โยคะฟลาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.yogaandme.net/

.

.


.

โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้สามารถแยกความรักได้เป็น 7 รูปแบบ

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่าแท้จริงแล้วความรักในชีวิตคนเรามีกี่รูปแบบ สามารถอธิบาย แบ่งแยกได้จากอะไร ผู้เขียนมีโอกาสได้ศึกษาและอ่านบทความที่น่าสนใจ อธิบายถึงนิยามความรัก 7 รูปแบบตามหลักจิตวิทยา 

หากถามว่า รักคืออะไร? แน่นอนว่านักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์พยายามตอบคำถามนี้มาเป็นเวลาหลายปี ในช่วงปี 1986 โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ หรือที่ตั้งชื่อว่า ‘สามเหลี่ยมความรัก’ (triangular theory of love) ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้เอง สเติร์นเบิร์ก ได้แยกความรักออกเป็น 7 รูปแบบ คือ

1. ความหลงใหล 

ช่วงนี้นั้นเป็นช่วงที่ผู้คนแทบไม่รู้จักกัน แต่รู้สึกถึงแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ในความสัมพันธ์นี้คนสองคนมักไม่มีความคิดที่ว่าทั้งคู่มีอะไรเหมือนหรือต่างกัน แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน

2. ความชอบ

ในความสัมพันธ์นี้ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ความรักประเภทนี้ ผู้คนมักจะอยู่ด้วยกันเพราะมีความสนใจร่วมกัน มีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและความรู้สึกเข้าใจกัน นักจิตวิทยาเชื่อว่าความใกล้ชิดที่ปราศจากความหลงใหลและการผูกมัดจะส่งผลให้เกิดมิตรภาพมากกว่าความรักที่เต็มเปี่ยม

3. รักที่ว่างเปล่า

ความรักประเภทนี้มีเพียงการผูกมัด โดยปราศจากความใกล้ชิดและความหลงใหล บางครั้งความสัมพันธ์ประเภทนี้จะเกิดขึ้นหลังจากความรักที่ยิ่งใหญ่และเร่าร้อน หรือที่เรียกว่า ‘จุดอิ่มตัว’ คนที่พบกับความรักที่ว่างเปล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือเพิ่มความหลงใหลให้กับความรู้สึกของพวกเขา

4. รักสายฟ้าแลบ

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยการผูกมัดและความหลงใหล เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคู่รักหลาย ๆ คู่ นี่คือความรักที่เกิดขึ้นเมื่อคน 2 คนดึงดูดซึ่งกันและกันจริง ๆ และพร้อมที่จะทำตามประเพณีบางอย่าง เช่น การแต่งงาน การแลกเปลี่ยนคำปฏิญาณ และการแบ่งปันหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมที่แท้จริง

5. ความรักโรแมนติก

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยความหลงใหลและความใกล้ชิด คู่รักรูปแบบนี้ดึงดูดซึ่งกันและกัน และรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ข้าง ๆ กัน แต่พวกเขายังไม่พร้อมที่จะให้คำมั่นสัญญาที่จริงจัง ความสัมพันธ์ประเภทนี้มักจะไปไม่ถึงระดับของการอยู่ร่วมกันหรือการแต่งงาน

6. ความรักแบบมิตรภาพ

ความรักแบบเพื่อนประกอบด้วยการผูกมัดและความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ดังกล่าวแน่นแฟ้นกว่ามิตรภาพทั่วไปมากและมีความผูกพันที่แท้จริง เป็นข้อตกลงที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ เพราะความรักประเภทนี้ขาดความหลงใหล นักจิตวิทยากล่าวว่าความสัมพันธ์แบบคู่หูสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากรู้จักหรือแต่งงานกันมานานหลายปี

7. ความรักที่สมบูรณ์

ความรักนี้มีองค์ประกอบครบทั้ง 3 คือ ความหลงใหล ความใกล้ชิด และการผูกมัด ในความเป็นจริงแทบจะไม่เห็นความสัมพันธ์ประเภทนี้ แต่ถ้าผู้คนสามารถสร้างความสัมพันธ์นี้ได้ แสดงว่าพวกเขารักกันอย่างแท้จริง คู่รักเหล่านี้มักจะมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยกันและมีความสุขกับชีวิตแต่งงาน

บางครั้งการจัดประเภทความรัก อาจจะช่วยให้คุณมองรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ออกออก และเรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับมัน แล้วคุณผู้อ่านเคยพบเจอกับความรักรูปแบบไหนกันมาบ้าง หรือมุ่งหวังให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคู่เป็นไปในรูปแบบใด ลองมาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนพบเจอความรักที่พอดีกับตัวเองค่ะ

เขียนโดย: เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง: https://brightside.me/inspiration-relationships/psychologists-defined-7-types-of-love-and-only-few-people-experience-the-last-one-603360/

เรื่องการเงินถือว่ามีความสำคัญในการเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษารวมไปถึงค่ากิจกรรมต่าง ๆ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรศึกษาและมีการวางแผนการเงินให้ดีเพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อลูก

สิ่งสำคัญที่สุดในการเลี้ยงลูกนอกจากความรัก ความเอาใจใส่ดูแลของคุณพ่อและคุณแม่ เรื่องค่าใช้จ่ายก็ถือว่ามีความสำคัญที่จะต้องดูแลและจัดการให้ดี เพราะในยุคปัจจุบันการเงินถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงลูก ยิ่งโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ควรที่จะมีการวางแผนให้ดี 

คุณแม่อุ้ย กัลยวีร์ โรจน์พัฒนา นักวางแผนการเงิน CFP และเจ้าของเพจที่ชื่อว่า "การเงินฉบับคุณแม่ต้องรู้" ได้เล่าถึงการจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายโดยสิ่งที่ต้องจัดการหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้ 

1.) การจัดสรรเงินเป็นก้อน ๆ แยกค่าใช้จ่ายออกมาเป็นหลาย ๆ ส่วน ที่เราจะต้องรับผิดชอบให้ชัดเจน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารต่าง ๆ เงินเก็บที่จะต้องออม และ ค่าใช้จ่ายเรื่องลูก อาจจะมีการวางแผนเขียนออกมาเป็นสัดส่วนเพื่อให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างโทรศัพท์มือถือของเราก็จะมีแอพลิเคชันรายรับ รายจ่าย รวมไปถึงแอพลิเคชันธนาคารจะทำให้เราได้เห็นรายรับรายจ่ายที่ชัดเจน 

2.) แยกบัญชีที่เป็นธุรกรรมทางการเงินสำหรับลูกโดยเฉพาะ การมีบัญชีเก็บเอาไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในเรื่องลูกจะทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่สามารถมีเงินเก็บในส่วนนี้ แยกออกไปจากค่าใช้จ่ายปกติได้ โดยบัญชีนี้อาจจะรวมพวกค่าเทอม ค่ากิจกรรมต่าง ๆ ของลูก เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้เห็นภาพโดยรวมชัดเจนว่าในแต่ละเดือนลูก ๆ ของคุณมีค่าใช้จ่ายเท่าไร และเราสามารถออมเงินเพื่อเก็บไว้ให้ลูกจากบัญชีที่เป็นธุรกรรมทางการเงินของลูกโดยเฉพาะได้ อาจจะโอนเป็นรายเดือนเก็บเอาไว้

3.) ทำตารางค่าใช้จ่ายของลูก การศึกษาเปรียบเทียบค่าเทอม หรือ ค่ากิจกรรมต่าง ๆ จะทำให้คุณพ่อและคุณแม่ได้ทราบว่าถ้าลูกจะต้องเรียนในโรงเรียนแห่งนี้จะต้องเสียค่าเทอมเท่าไร หรือ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เราจะได้คำนวณและวางแผนทางการเงินได้อย่างง่ายและดียิ่งขึ้น เช่น ถ้าเราต้องการให้ลูกเรียนโรงเรียนที่มีการเรียนแบบ English Program จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าไร การเรียนพิเศษในแต่ละที่มีค่าใช้จ่ายเท่าไร เป็นต้น 

นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะวางแผนเรื่องการเงินให้กับลูก ๆ แล้ว คุณแม่อุ้ย ยังให้แนวทางปฏิบัติกับคุณพ่อคุณแม่ให้ปลูกฝังในเรื่องของการออมเงินหรือการประหยัดให้กับลูก ๆ ได้อีกด้วยเช่นการอ่านหนังสือนิทาน หรือ การฝึกให้ลูกหยอดกระปุกออมสินเพื่อที่จะได้ซื้อของที่อยากได้ ฝึกการออมให้เป็น ทำทุกวันเป็นนิสัย หรือมีกิจกรรมสนุก ๆ เช่นการเล่นบทบาทสมมุติเป็นคนขายของเพื่อฝึกการคิดเลข ต่อยอดเป็นการรู้จักให้ลูกรู้ในเรื่องของการหาเงินแต่ละบาทมีความยากมากแค่ไหน 

การปลูกฝังลูกในเรื่องของการวางแผนการเงิน การออมเงินตั้งแต่เล็ก ๆ ก็จะทำให้ลูกมีความรู้และฝึกความคิดในเรื่องของการบริหารทางการเงิน โดยทั้งหมดจะต้องเริ่มต้นจากพฤติกรรมของคุณพ่อและคุณแม่ เริ่มปรับที่ตัวของเรา การวางแผนทางการเงินก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป 


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก
หัวข้อ : วางแผนทางการเงิน เรื่องสำคัญสำหรับพ่อแม่มือใหม่
Link : https://www.facebook.com/foryourchildz/videos/362360858805105
เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: สถาพร สุตจิตจูล 
 

“โรคไมเกรน” ถือว่าเป็นโรคที่คนไทยหลาย ๆ คนเป็น เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดในสมองมีการหดตัว ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียว ต้องทานยาสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้หลาย ๆ คนก็สามารถเป็นโรคไมเกรนเทียมได้อีกด้วย !

'โรคไมเกรน' หรือ การปวดหัวข้างเดียว เกิดจากความผิดปกติในการหดตัวของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง มักเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ แต่อาจมีตัวกระตุ้น เช่น แสง สี เสียง กลิ่น อากาศร้อน หรือการมีประจำเดือน มักมีอาการปวดหัวข้างเดียว หรือปวดสลับข้างกัน หากเป็นมากจะเห็นแสงจ้าหรือแสงระยิบระยับร่วมด้วย ซึ่งการปวดหัวไมเกรนมักดีขึ้นได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ (ยาพาราเซตามอลไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น)

อย่างไรก็ตามหากรับประทานยารักษาไมเกรนแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเกิดจาก 'ไมเกรนเทียม' แฝงอยู่ก็เป็นได้ !! 

ไมเกรนเทียมไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง แต่เกิดจากการเกร็งตัว หรือหดสั้นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า และฐานกะโหลกศีรษะ โดยกลุ่มกล้ามเนื้อที่มักก่อให้เกิดการปวดคล้ายไมเกรนพบได้หลายมัด เช่น Suboccipital, Upper trapezius, Semispinalis capitis, Splenius capitis, Sternocleidomastoid Muscle ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หลักในการพยุงกะโหลกศีรษะ การหันหน้า และการก้มเงยคอ 
เนื่องจากกล้ามเนื้อเหล่านี้มีจุดเกาะอยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนคอและฐานกะโหลก

เมื่อเกร็งคอและบ่าเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการปวดสะสมขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงอาจแยกไม่ออกว่าอาการปวดหัวข้างเดียวเกิดขึ้นเกิดจากไมเกรนเทียมหรือไม่

ทั้งนี้ ไมเกรนเทียมสามารถพบได้บ่อยไม่ต่างจากไมเกรนแท้!! แต่สามารถสังเกตได้!! 

วิธีสังเกตอาการของไมเกรนเทียม สังเกตได้จากเมื่อเกิดการปวดหัวข้างเดียว ขณะที่มีการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ รวมถึงการทรงท่าที่ผิดปกติ เช่น ไหล่ห่อ คอยื่น เป็นต้น 

นอกจากนี้ไมเกรนเทียมยังสามารถพบจุดกดเจ็บ (Trigger Point) หรือกล้ามเนื้อที่เกร็งค้างบริเวณคอ บ่า และใต้ฐานกะโหลก ซึ่งเมื่อทำการกด นวด หรือยืดกล้ามเนื้อมัดดังกล่าว อาจมีการปวดร้าวไปยังบริเวณต่าง ๆ 

ส่วนวิธีป้องกันไมเกรนเทียมที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องนั่งนาน ๆ เนื่องจากกล้ามเนื้อมีการเกร็งและนำไปสู่การบาดเจ็บได้ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้... 

>> หากต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานควรจัดระดับหน้าจอ เก้าอี้ และคีย์บอร์ดให้เหมาะสม ควรเป็นเก้าอี้ที่มีที่รองแขน เพื่อให้ไม่ต้องออกแรงยกไหล่ขึ้นตลอดเวลา ปรับระดับหน้าจอ และความสูงของเก้าอี้ 

>> ใส่แว่นสายตาและจัดแสงสว่างให้เหมาะสมกับการทำงานประเภทต่าง ๆ เพราะการต้องเพ่งมองมาก ๆ ทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า และฐานกะโหลกเกร็งตัวมากขึ้น

>> เปลี่ยนอิริยาบททุกชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย หรือดื่มน้ำ 1-2 แก้วทุกชั่วโมงทำให้ต้องเปลี่ยนอิริยาบทและเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ระหว่างวันควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่อย่างสม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้... 

ยืดกล้ามเนื้อบ่า 

เริ่มจากนำแขนข้างที่จะยืดไปไว้ด้านหลัง แล้วใช้มืออีกข้างจับไว้ โดยเอียงศีรษะไปด้านตรงข้าม ช้า ๆ เอียงจนรู้สึกตึงบ่าด้านขวา หรือให้หูซ้ายเข้าใกล้บ่าซ้ายมากที่สุด หากยังไม่รู้สึกตึงให้หมุนหน้าไปทางซ้ายหรือขวาเล็กน้อย ยืดค้าง 5-10 วินาที รอบละ 10-15 ครั้ง

บริหารกล้ามเนื้อฐานกะโหลก

ทำท่าเก็บคาง หรือพยายามเอาคางชิดอกโดยไม่ก้มคอ ห้ามกลั้นหายใจขณะทำ เกร็งค้างเบา ๆ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง

บริหารกล้ามเนื้อต้นคอ

...นอนคว่ำ ให้ช่วงอกยื่นออกจากเตียงเล็กน้อย

เก็บคาง ไม่เงยหน้า แต่ให้ออกแรงยกช่วงศีรษะขึ้นมาตรงๆ เกร็งกล้ามเนื้อด้านหลังคอค้างไว้ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการปวดหัวข้างเดียวหรือไมเกรนและรับการรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น เพราะอาจพบไมเกรนเทียมร่วมด้วยนั้น

เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจประเมินและรักษาไมเกรนเทียม โดยการรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดี เช่น การประคบร้อนหรือเย็นตามระยะของอาการ การกดจุดหรือยืดกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหา การใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการออกกำลังกายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดและการปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน จะช่วยลดปัญหาไมเกรนเทียมได้เป็นอย่างดี

.

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


ข้อมูลอ้างอิง
http://www.kulpphysicaltherapy.com/headache.html
https://kokyun.wordpress.com/2011/10/10/the-correct-sitting-posture-in-front-of-a-computer/
https://www.thonburihospital.com/Migraine.html
https://i.pinimg.com/originals/b0/80/90/b080902f6d514f13cd01408a57ff36dc.jpg
https://www.rehabmypatient.com/neck/splenius-cervicis
https://salusmt.com/saturday-stretch-the-suboccipital-group/

เมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้น ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดียิ่งขึ้นแต่เรื่องง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป ”อุบัติเหตุจากการหกล้ม” ซึ่งนอกจากจะเกิดอาการบาดเจ็บแล้วอาจส่งผลถึงระบบภายใน ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

ผู้สูงอายุหมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 10 ล้านคน ซึ่งนับเป็นร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด จึงถือว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) และคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged society) ดังเช่น ประเทศญี่ปุ่น, อิตาลี, เยอรมันและสวีเดน

ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ, ความแข็งแรงเริ่มถดถอย, การทรงตัวแย่ลง จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การล้มเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระดูกหักในผู้สูงอายุ และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องย้ายจากบ้านไปอยู่สถานพักฟื้น รวมถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ในผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการล้มมากถึงร้อยละ 28-35 และผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการล้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 32-42 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุมีอัตราการเสียชีวิตจากการล้มสูงเป็นอันดับ 2 รองจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกด้วย

ทำไมผู้สูงอายุถึงล้ม

1.) มีปัญหาเรื่องการทรงตัว
2.) มีความบกพร่องทางการมองเห็น
3.) มีปัญหากระดูกสันหลังหรือหลังค่อม ทำให้ไม่สามารถยืดลำตัวตรง
4.) เป็นโรคความดันโลหิตหรือกินยาบางชนิดที่ส่งผลต่อความดันโลหิต
5.) กล้ามเนื้อขาและสะโพกไม่แข็งแรง

วิธีป้องกันและแก้ไขเบื้องต้น

1.) พบผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและแก้ไขปัญหาการทรงตัวที่เกิดจากทางกระดูกหูชั้นใน 
2.) แก้ไขปัญหาสายตา เช่น การตัดแว่นสายตาให้เหมาะสม
3.) เปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ไม่นั่งหลังค่อมเป็นระยะเวลานาน
4.) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคความดันโลหิต
5.) ออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาและสะโพก โดยใช้เก้าอี้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย ดังนี้

ท่าที่ 1

เขย่งเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

กระดกเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

ท่าที่ 2     

ย่ำเท้า ซ้าย-ขวา สลับกัน

ยกขาขึ้น ค้าง 10 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง)

ท่าที่ 3

แกว่งขาไปด้านหน้า ค้างไว้ 10 วินาที แล้วแกว่งไปด้านหลัง ค้างไว้ 10 วินาที ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

ท่าที่ 4 กางขาออกด้านข้าง ซ้าย-ขวาสลับกัน

กางขา ค้างไว้ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง

ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

การออกกำลังกายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและสะโพก เมื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีส่วนช่วยฝึกการทรงตัวและป้องกันการล้มในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ลูกหลานต้องให้ความรัก ความห่วงใย ดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจให้ท่านมีชีวิตอยู่กับเราไปอีกนาน

.

เขียนโดย:  กภ. วิชญดา มาเสถียร
นักกายภาพบำบัด ปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต กายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล 


ข้อมูลอ้างอิง 
12 Best Elderly Balance Exercises For Seniors to Help Prevent Falls – ELDERGYM®
หกล้มในผู้สูงอายุ อันตรายกว่าวัยอื่นหลายเท่าตัว ปัญหาที่ต้องระวัง • RAMA Channel (mahidol.ac.th)

????พบกับรายการใหม่ "คุยกับพี่อ๊อด" คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว

????พบกับรายการใหม่ "คุยกับพี่อ๊อด"

"คุยง่ายๆ เรื่องการศึกษาใกล้ตัว"

✨พูดคุยกับ 'พี่อ๊อด' วิทยากรด้านการศึกษา เผยเทคนิคพิชิตโรงเรียนดัง ในช่วง “คุยกับพี่อ๊อด” 

♦️ พบน้องชมพู่ ช่วง'ลมตะวันออก' ความรู้ดีดีและข่าวสาร จาก โลกตะวันออก ทุกวันเสาร์ต้นรายการ

♦️พบน้องน้ำฟ้า ช่วง 'Easy English with น้ำฟ้า' ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว ทุกวันอาทิตย์ต้นรายการ 

✔️ เริ่มตอนแรก 
????เสาร์ที่ 21 ส.ค.64    
EP.1  เจาะลึก เข้า“โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์” สุดยอดเด็กวิทย์ของไทย

????อาทิตย์ที่ 22 ส.ค.64
EP.2  ทำไม ใครๆ ก็อยากเข้าเตรียมอุดมฯ

????ดำเนินรายการโดย (กันต์) ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา
.
⏰ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 2 ทุ่มตรง 

????ช่องทางรับชม 
Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top