Saturday, 10 May 2025
Econbiz

องค์การเภสัชกรรม ร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องวิจัยวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 เดือน มี.ค.นี้ โดยใช้โรงงานสระบุรี จากผลิตวัคซีนหวัดใหญ่เป็นวัคซีนโควิดแทน คาดผลิตได้ 25 - 30 ล้านโดส

ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้บริหารสธ. แถลงข่าวศึกษาวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเชื้อตายวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 ว่า รัฐบาลได้ทำสัญญาหรือออกใบสั่งซื้อวัคซีนโควิ-19 ทั้งหมด 63 ล้านโดสแล้ว แบ่งเป็น…

- 61 ล้านโดสจากความร่วมมือของแอสตราซิเนกาและสยามไบโอไซเอนซ์

- ส่วนอีก 2 ล้านโดสจากจีนคือ ซิโนแวค

โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการจัดส่งตามระยะเวลากำหนด ซึ่งในส่วนของซิโนแวคจำนวน 2 ล้านโดส ล็อตแรก 2 แสนโดสในเดือนก.พ นี้ และมี.ค. 8 แสนโดส จากนั้น เม.ย. 1 ล้านโดส ส่วนภายใน พ.ค. - มิ.ย. จะเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะผลิตล็อตแรก 26 ล้านโดส

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เราไม่ได้แทงม้าตัวเดียว โดยในไทยก็มีผลิตเอง จากความร่วมมือขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และสถาบันวิจัยวัคซีนของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ อีก อย่างล่าสุดองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้ผลิตวัคซีนหลายชนิด รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

องค์การฯ เริ่มดำเนินการโครงการนี้มาตั้งแต่กลางปี 2563 ขณะนี้ได้ทำการทดสอบในสัตว์ทดลองแล้ว พบว่าวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ผลดีและปลอดภัย เตรียมทำการศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าศูนย์วัคซีน เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ในเดือนมีนาคมนี้

เมื่อศึกษาวิจัยครบทั้ง 3 ระยะ และผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันซึ่งป้องกันการเกิดโรคโควิด-19 ได้ จะยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และจะทำการผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่โรงงานผลิต(วัคซีน) ชีววัตถุ ขององค์การฯ ที่ จ.สระบุรี ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีเทคโนโลยีไข่ไก่ฟักที่ใช้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว พร้อมปรับมาใช้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ทันที

“หากเป็นไปตามที่คาดหวัง ปี พ.ศ. 2565 องค์การฯ จะสามารถเริ่มการยื่นขอรับทะเบียนตำรับ (Rolling Submissions) คู่ขนานกับการศึกษาวิจัยในระยะที่ 3 และจะสามารถผลิตวัคซีนเพื่อใช้ในประเทศได้ภายหลังการได้รับทะเบียนตำรับ โดยจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ ประมาณ 25-30 ล้านโดสต่อปี” นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) กล่าวว่า การวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นี้ ถือเป็นตัวแรกของไทยที่เข้าสู่การวิจัยในมนุษย์ โดยเป็นความร่วมมือกับสถาบัน PATH ประเทศ ซึ่ง PATH ได้ส่งหัวเชื้อไวรัสตั้งต้นที่พัฒนาโดยโรงเรียนแพทย์ที่ Mount Sinai ในนิวยอร์ค และมหาวิทยาลัยเท็กซัส มาให้องค์การเภสัชกรรม เพื่อใช้ในการผลิตวัคซีน

หัวเชื้อไวรัสตั้งต้นดังกล่าวเกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสนิวคาสเซิล ให้มีโปรตีนส่วนหนาม (Spike protein) ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 อยู่ที่ผิว ซึ่งไวรัสที่ตัดแต่งพันธุกรรมนี้ไม่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 และสามารถเพิ่มจำนวนได้ในไข่ไก่ฟักเหมือนกันกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งสามารถใช้กระบวนการผลิตคล้ายกับการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ การที่องค์การฯ มีโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตในไข่ไก่ฟักพร้อมอยู่แล้ว จึงมีศักยภาพในการรับไวรัสตั้งต้นดังกล่าวมาผลิตในระดับอุตสาหกรรมต่อไปได้

ขณะที่ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า เทคโนโลยีของโรงงานวัคซีนที่สระบุรีนั้นเดิมผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กำลังจะขยายเป็น 4 สายพันธุ์เร็วๆ นี้ การที่เราจะใช้เพื่อการผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วยนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติม เพราะใช้เทคนิคเดียวกันกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่คือเป็นวัคซีนเชื้อตาย เพาะเลี้ยงในไข่ไก่

แต่วัคซีนโควิดฯ จะทำได้เร็วกว่าด้วยเพราะผลิต 1 สายพันธุ์ และการเพาะเลี้ยงในไข่ไก่ก็จะทำให้ได้ปริมาณมากกว่าด้วย ปัจจุบันโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 25-30 ล้านโดสต่อปี ขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และงบขององค์การฯ รวมประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อติดตั้งไลน์การบรรจุวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 60 ล้านโดสต่อปี และถ้าวัคซีนโควิดฯ สำเร็จ แล้ว

โรงงานดังกล่าวไม่จำเป็นต้องแบ่งสัดส่วนการผลิตวัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้ สามารถผลิตได้ตามความต้องการใช้ เพราะช่วงเวลาที่ต้องการใช้วัคซีนเหลื่อมกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จะผลิตวัคซีนโควิดฯ ต้นแบบเพื่อการวิจัยในคนระยะที่ 1 และ 2 ราวๆ 1 พันโดส แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ 1 ไมโครกรัม 3 ไมโครกรัมและ 10 ไมโครกรัม

พญ.พรรณี กล่าวว่า "สำหรับการทดลองในคนนั้นจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะ ที่ 1 โดยเปิดรับอาสาสมัครจำนวน 210 คน ที่มีสุขภาพดี อายุ 20 ปี ขึ้นไป ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน ดังนั้นจะต้องมีการตรวจหาภูมิคุ้มกันโรค IgG โดยจะเริ่มให้วัคซีนในเดือนมี.ค.นี้ แบ่งเป็นกลุ่มๆ คือ กลุ่มที่ได้วัคซีนจริงในปริมาณที่แตกต่างกัน กลุ่มที่ได้วัคซีนหลอก และกลุ่มที่ได้รับสารเสริมฤทธิ์เพิ่มเติม"

"ทั้งนี้ ใช้เวลาทดลอง 1 - 2 เดือน เพื่อดูความปลอดภัย และขนาดที่เหมาะสม ก่อนจะนำไปสู่การทดลองในคนระยะที่ 2 คาดว่าจะเริ่มในเดือน เม.ย. หรือพ.ค. นี้ ซึ่งจะใช้อาสาสมัครจำนวน 250 คน โดยเลือกสูตรที่เหมาะสม และเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับอะไรเลย จากนั้นจึงวิเคราะห์ข้อมูลและนำสู่การทดลองในระยะ 3 ต่อไป อย่างไรก็ตามระยะที่ 1 และ 2 สามารถทำในประเทศไทยได้ แต่ระยะที่ 3 ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยด้วย หากไทยมีผู้ป่วยน้อยอาจจะต้องนำไปทดสอบในต่างประเทศ"


ที่มา: https://www.hfocus.org/content/2021/02/21033

จับตา น้ำมันปาล์มขวดเริ่มขาดตลาด - ขายแพง จี้กรมการค้าภายใน เช็คสต็อกน้ำมันปาล์มขวดในโมเดิร์นเทรด พร้อมช่วยตรวจสอบ ใครกักตุนจนทำให้ของขาดตลาดหรือไม่

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง - ปลีกไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำมันปาล์มในประเทศ ว่า ขณะนี้ร้านค้าส่งได้รับผลกระทบปัญหาน้ำมันปาล์มขวดขาดตลาด โดยเมื่อสั่งสินค้าไปแต่ได้รับของมาขายลดลงไป 60 - 70% เนื่องจากโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มหลายยี่ห้อได้ลดสัดส่วนการส่งสินค้าลงโดยให้เหตุผลว่าผลผลิตปาล์มมีน้อย เพราะได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

ทั้งนี้ ในช่วงปกติร้านจะสั่งสินค้าเข้ามารอบละ 200 - 300 ลัง แต่ขณะนี้สั่งไป 300 ลัง แต่รับมาแค่รอบละ 50 - 100 ลังเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเหมือนกันในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพราะสมาชิกร้านค้าส่งในต่างจังหวัดก็เล่าให้ฟังว่า ปกติเคยสั่งซื้อยกคันรถ 1,000 ลัง ก็ได้ของเข้ามาขายแค่ 400 - 500 ลังเท่านั้น

อย่างไรก็ตามราคาขายปลีก - ขายส่งตอนนี้ขยับสูงขึ้นมาตั้งแต่ต้นทาง โดยปัจจุบันต้นทุนราคาส่งตกลังละ 580 บาท หรือตกขวดละ 48 บาทเศษ หากขายให้ร้านโชห่วยนำไปขายต่อจะบวกเป็นลัง 590-595 บาท เพื่อให้ไปทำกำไรขายต่อได้ที่ 52 บาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยากให้กรมการค้าภายใน เข้าไปช่วยเช็คสต็อกน้ำมันปาล์มขวดในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ว่า มีปัญหาขาดหรือไม่ รวมถึงดูด้วยว่าใครกักตุนจนทำให้ของขาดตลาดหรือเปล่า แต่ก็ได้แจ้งว่าในเดือนมี.ค.64 ปัญหาน่าจะคลี่คลายลงเพราะจะเริ่มมีผลปาล์มฤดูใหม่ออกสู่ตลาด ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนได้

เก็บภาษี 'อี - เซอร์วิส , เฟซบุ๊ก และกูเกิล' ดีเดย์ 1 กันยา

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ.2564 ว่าด้วยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (อี-เซอร์วิส) โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์จากต่างประเทศที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จากการให้บริการทางออนไลน์แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มยื่นแบบแสดงรายการ และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือนให้กรมสรรพากรภายใต้ระบบ “ภาษีจ่าย” (pay-only) ห้ามหักภาษีซื้อ โดยไม่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีและรายงานภาษีซื้อโดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.2564 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวนั้น จะจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการที่ให้บริการ e-Service จากต่างประเทศ ได้แก่ การให้บริการดาวน์โหลด หนัง/ภาพยนตร์ เพลง เกม สติกเกอร์ นายหน้า สื่อโฆษณา เป็นต้น 

เช่นเดียวกันกับแพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่ให้บริการในประเทศไทย เช่น Apple , Google, Facebook, Netflix, Line, Youtube Tiktok ซึ่งถือเป็นกลุ่มมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 

สำหรับข้อดีของกฎหมายฉบับนี้ จะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษี ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการอี-เซอร์วิส อีกทั้งยังช่วยยกระดับการจัดเก็บภาษีของประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาประเทศที่หลายประเทศก็มีการจัดเก็บภาษีบริการออนไลน์ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการสอดรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีดังกล่าว กรมสรรพากรจะจัดเก็บรายได้ปีละ 5,000 ล้านบาท

ทั้งนี้จากข้อมูลการใช้งานอินเตอร์เน็ตของประชากรไทย พบว่า ปัจจุบันมีการใช้งานและเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากกว่า 75% ของจำนวนประชากร ราว 69 ล้านคน ซึ่งมากกว่า 50% ใช้บริการออนไลน์ ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่มเกมและใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างสร้างความรู้ ความเข้าใจกับผู้ประกอบการ เพื่อดำเนินการจ่ายภาษีให้ง่ายที่สุด และถูกต้องด้วย โดยจะเป็นการจ่ายภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 



ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/2031664

ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร โพสต์บทกลอนผ่านเฟซบุ๊ก กลอนยกย่อง รปภ.คนกล้า กรีดฝ่ายบริหาร มธ.

ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์) โพสต์บทกลอนผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังนี้

มีคนฝากมา เขียนแทนใจคนไทยหลาย ๆ คน

“องค์กรใบ้ ไร้ผู้กล้า
ซุกหว่างขา ไม่กล้าสู้
ทั้งหนุ่มแก่ แค่นั่งดู
ความอดสู สู่องค์กร
หัวหน้านิ่ง ลูกน้องเงียบ
ยอมให้เหยียบ จนเรียบกร่อน
ความบรรลัย เข้าไชชอน
บทสะท้อน องค์กรทรุด
คงเหลือเพียง รปภ.
กล้าต้านต่อ จรยุทธ์
ยืนปักหลัก พิทักษ์สุด
มุ่งยื้อยุด หยุดพวกพาล
หลายคนฝาก อยากร้องขอ
รปภ. ผู้กล้าหาญ
อยากให้เป็น อธิการ
หรืออาจารย์ ฝ่ายปกครอง”

สายหนี้มีเฮ รัฐชวนคนไทยแก้หนี้ 14 กุมภา ถึง 14 เมษา ดันมหกรรมแก้หนี้บัตรเครดิต เงินกู้ช่วงโควิด

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย รัฐบาลเชิญชวนประชาชนที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เข้าร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อเปิดให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้

พร้อมยื่นข้อเสนอเพื่อหาทางออกร่วมกันระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงิน แก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนในช่วงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างโดยเฉพาะมหกรรมไกล่เกลี่ยครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ถูกบังคับคดี ยึดทรัพย์ ขายทอดตลาด จะสามารถไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้แทนการยึดทรัพย์ได้

ทั้งนี้ มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีข้อเสนอผ่อนปรนสำหรับลูกหนี้ 3 กลุ่ม 

กลุ่มที่ 1 กลุ่มลูกหนี้ NPL ที่มีคำพิพากษาและเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีแล้ว มีข้อเสนอให้ชำระเฉพาะเงินต้น ไม่มีดอกเบี้ย โดยมีการวางกรอบการชำระหนี้ไว้ 3 ระยะ คือภายใน 3 เดือน ภายใน 3 ปี และภายใน 5 ปี หากชำระได้ตามแผนก็จะยกดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ 

กลุ่มที่ 2 ลูกหนี้ NPLที่ยังไม่ถูกฟ้องร้อง หรือถูกฟ้องแล้ว เมื่อสมัครเข้าร่วมมหกรรมฯ จะมีการรับเรื่องเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ของศาล พร้อมกันนี้ ยังมีข้อเสนอผ่อนชำระ ระยะยาว เช่น ภายใน 10 ปี เป็นต้น

กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ขาดสภาพคล้องชั่วคราว ค้างชำระเกิน 3 เดือน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะช่วยแปรสภาพหนี้เป็นระยะยาว คิดดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลง

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า "ประชาชนที่มีปัญหาด้านการชำระหนี้ สามารถเข้าร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ฯ ด้วยการลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 14 ก.พ. ถึง 14 เม.ย. ทางเว็บไซต์ของสำนักงานศาลยุติธรรม กรมบังคับคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ซึ่งภายหลังการลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับภายใน 1 สัปดาห์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 1213"

สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 4 ปี 63 หดตัวลดลงเหลือ -4.2% สรุปทั้งปีหดตัว -6.1% พร้อมปรับลด GDP ปี 64 เหลือโต 2.5 - 3.5% จากเดิมคาด 3.5 - 4.5% หลังโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจช่วงต้นปี

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4/63 หดตัว -4.2% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการหดตัว -6.4% ในไตรมาส 3/63 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วเศรษฐกิจไตรมาส 4/63 จะขยายตัว 1.3% จากไตรมาส 3/63 เนื่องจากการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนกลับมาขยายตัว การลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าลดลงในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การใช้จ่ายและภาคลงทุนภาครัฐขยายตัว

แต่ภาพรวมทั้งปี 63 เศรษฐกิจไทยหดตัว -6.1% เทียบกับการขยายตัว 2.3% ในปี 62 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมลดลง 6.6%, 1.0% และ 4.8% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ -0.8% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 3.3% ของ GDP

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564 สภาพัฒน์ ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 64 เหลือเติบโต 2.5-3.5% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.5-4.5% เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจในปีนี้ นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงจากประสิทธิภาพการกระจายวัคซีน ความล่าช้าจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และภัยแล้ง

ส่วนปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก, แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ, การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ และการปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 63

ทั้งนี้ สภาพัฒน์คาดว่ามูลค่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัว 5.8% การอุปโภคบริโภคเอกชนและการลงทุนรวมขยายตัว 2.0% และ 5.7% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในช่วง 1-2% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.3% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP)

เครือซีพี คิกออฟ!! รีแบรนด์ยกเครื่อง ดันชื่อใหม่ ‘Lotus’s’ พร้อมโลโก้ลุคส์หวานสดใส

เปิดเผยความคืบหน้าการเปลี่ยนชื่อและปรับเปลี่ยนแบรนด์เทสโก้ โลตัส (TESCO Lotus) เป็น โลตัส (Lotus’s) ว่า หลังจากที่เครือซีพี ภายใต้บริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดย บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) สัดส่วน 40% บมจ.เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง สัดส่วน 40% และบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CPF สัดส่วน 20% ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Store (Malaysia) เข้ามาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 63

โดยทางเครือซีพีได้ปรับแบรนด์โลตัสครั้งใหญ่ตามกฎของการโอนถ่ายกิจการจากกลุ่มเทสโก้ ประเทศอังกฤษ และเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารงานของเครือซีพีที่ต้องการให้โลตัสมีความทันสมัยมากขึ้น หลังจากที่โลตัสเปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 27 ปี โดยนำร่องปรับแบรนด์ครั้งใหญ่และทยอยรีโนเวทสาขาเลียบทางด่วนรามอินทราฯ / สาขาอ่อนนุช และสาขาพระราม 4 ก่อนจะทยอยปรับสาขาอื่น ๆ ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซียต่อไป

รมว.คลัง เผยครม.ไฟเขียว ยืดเวลาจ่ายหนี้สินเชื่อฉุกเฉินอาชีพอิสระ ออกไปไม่เกิน 12 เดือน จากเดิม 6 เดือน พร้อมออกสินเชื่อช่วยธุรกิจท่องเที่ยวดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 10,000 ล้านบาท ผ่านโครงการ ‘SMEs มีที่ มีเงิน’ ผ่านธนาคารออมสิน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ นำไปสู่การออกประกาศพื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด มีการสั่งปิดสถานที่และระงับการให้บริการของสถานบริการ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนและการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain)

เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่อง มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพิ่มเติม เพื่อบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยมีด้วยกัน 2 โครงการ คือ

1.) การปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท แห่งละ 20,000 ล้านบาท ให้แก่ประชาชนที่มีอาชีพอิสระหรือเกษตรกรรายย่อย อัตราดอกเบี้ยคงที่ ไม่เกิน 0.10% ต่อเดือน

โดยขยายระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปเป็นไม่เกิน 12 เดือน จากเดิม 6 เดือน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. กำหนด พร้อมทั้งขยายระยะเวลากู้ออกไปเป็นไม่เกิน 3 ปี จากเดิม 2 ปี 6 เดือน ทั้งนี้ รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564

2.) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว โดยใช้ที่ดินว่างเปล่า หรือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินเป็นหลักประกัน

และไม่ต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 70% ของราคาประเมินที่ดินของทางราชการ สูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 3 ปี ดอกเบี้ย 0.10% ต่อปีในปีแรก 0.99% ต่อปีในปีที่ 2 และ 5.99% ต่อปีในปีที่ 3 รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการให้พนักงานสมัครเข้าโครงการร่วมใจจากองค์กร (Mutual Separation หรือ MSP) เป็นรอบที่ 2 โดยมีแพ็คเกจให้เลือก 2 รูปแบบ ในเดือน ก.พ.นี้

1.) Plan B (MSP B) ผู้ที่สมัครได้ต้องเป็นพนักงานที่อยู่ในโครงการลาระยะยาว โดยยินยอมรับเงินเดือน 20% หรือ LW20 เท่านั้น

และ 2.) Plan C (MSP C) คือ พนักงานที่สมัครใจลาออก หรือพนักงานที่ไม่ผ่านการคัดเลือกตามโครงสร้างใหม่

ทั้งนี้ได้แบ่งระยะเวลาให้สมัครเข้าร่วมโครงการลาออก เป็น 4 ช่วงคือ ช่วงที่ 1 วันที่ 19 ก.พ. - 2 มี.ค.64 ประกาศผล 5 มี.ค.64, ช่วงที่ 2 วันที่ 3 มี.ค. - 16 มี.ค. 64 ประกาศผล 19 มี.ค. 64, ช่วงที่ 3 วันที่ 17 มี.ค. - 1 เม.ย.64 ประกาศผล 5เม.ย.64 และ ช่วงที่ 4 วันที่ 2 เม.ย. - 19 เม.ย.64 ประกาศผล 23 เม.ย.64 โดยการลาออกจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.64 เป็นต้นไป

สำหรับพนักงานที่เข้าร่วมทุกรายจะได้รับเงินตอบแทนในอัตราเทียบเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน โดยแยกเป็นดังนี้

• พนักงานที่มีอายุงานน้อยกว่า 120 วัน จะไม่ได้รับเงินตอบแทน

• อายุงานครบ 120 วัน แต่น้อยกว่า 1 ปี ได้รับตอบแทน 30 วัน

• ครบ 1 ปี แต่น้อยกว่า 3 ปี ได้รับเงิน 90 วัน

• ครบ 3 ปี แต่น้อยกว่า 6 ปี ได้รับเงิน 180 วัน

• ครบ 6 ปี แต่น้อยกว่า 10 ปี ได้รับเงิน 240 วัน

• ครบ 10 ปี แต่น้อยกว่า 20 ปี ได้รับเงิน 300 วัน

• และครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับเงิน 400 วัน

ทั้งนี้จะแบ่งจ่ายเป็น 12 งวด โดย Plan B เริ่มจ่ายงวดแรกเดือน มิ.ย.2564 และ Plan C เริ่มจ่ายงวดแรก ก.ย.2564

เด็กไทยวัย 18 ปี เจ๋ง!! คิดค้นเว็บไซต์ Thaitube ทางเลือกใหม่สำหรับคนไทยในการรับชมคลิปวิดีโอ แบบไม่มีโฆษณาคั่น ตั้งใจสร้างสรรค์แบบไม่หวังผลการค้า

ผู้สื่อข่าวจังหวัดอ่างทองลงพื้นที่พบกับนายพงศ์ปณต ไพรัชเวชภัณฑ์ อายุ 18ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง ชั้นปีที่ 2 ชาวอ่างทอง มีความสามารถในการผลิตเว็บไซต์ ไทยทูบ ThaiTube.in.th ที่เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบคล้ายยูทูบ แต่เว็บไทยทูบนั้นผลิตโดยเด็กไทย เป็นเว็บ www.thaitube.in.th หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่าไทยทูบ

นายพงศ์ปณต หรือน้องเบส เล่าให้ฟังว่า ที่เกิดไอเดียในการสร้างเวบไทยทูบขึ้นมานั้นเกิดจากอยากให้เป็นทางเลือกใหม่ของคนไทย ที่สามารถลงคลิปวิดีโอและดูวิดีโอได้โดยไม่มีการแทรกโฆษณา ซึ่งคลิปที่ลงในเว็บไซต์ไทยทูบจะไม่มีการโฆษณาเลย และเนื้อหาวิดีโอที่นำลงในเว็บไซต์ไทยทูบก็จะดูได้อย่างต่อเนื่องไม่มีโฆษณาแทรก

ซึ่งเป็นการผลิตขึ้นมาโดยไม่หวังผลในการค้ากำไรแต่อย่างใด เป็นการสนับสนุนให้ใช้โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย เพียงแค่เราพิมพ์เข้าไปว่า www.thaitube.in.th และใช้งานทั้งดูวิดีโอหรืออัพวิดีโอขึ้นในแพลตฟอร์มต่อไป


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/93081


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top