Thursday, 15 May 2025
Crimes

บิ๊กโจ้ก ศพดส.ตร. ร่วมกับ ตำรวจศรีราชา บุกจับอาจารย์แบงค์ โมเดลลิ่ง หลังก่อเหตุล่วงละเมิดเด็กชาย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 เมษายน 2565 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2,  พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ กิจจาหาญ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.ศักดิ์ชาย สุวรรณนกุ ูล ผกก.สภ.ศรีราชา  ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวนายสิทธิพันธ์ หรือแบงก์ สว่างสังวาลย์อายุ 41 ปี ในข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะ ยินยอมหรือไม่ก็ตาม และพาเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร” พร้อมด้วยของกลางเป็นโทรศัพท์มือถือ

ทั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อเวลา 09.45 ร. วันที่ 23 มี.ค.65 ผู้ปกครองของเด็กชายอายุ 13 ปี ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ศรีราชา ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ นายสิทธิพันธ์ หรือแบงก์ สว่างสังวาลย์ โดยแจ้งว่า ตั้งแต่ ต.ค.64 จนถึง ม.ค.65 นายสิทธิพันธ์ฯ ได้ข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจาร เด็กชายอายุระหว่าง 13-14 ปี จำนวน 3 คน ซึ่งมีบุตรของตนเอง รวมอยู่ด้วย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุด ศพดส.ตร.(ชุด TICAC) จึงได้ร่วมกับ พ.ต.อ.ศักดิ์ชาย สุวรรณนกุ ูล ผกก.สภ.ศรีราชา และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา ลงพื้นที่รวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในวันที่ 1 เม.ย.65 เวลา 06.30 น. เจ้าหน้าที่ชุด ศพดส.ตร.(ชุด TICAC) ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา  ภ.จว.ชลบุรี นำหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ จ.169/2565 ลงวันที่ 30 มี.ค.65 จับกุมตัว นายสิทธิพันธ์ หรือแบงค์  สว่างวังวาลย์ บริเวณหน้าบ้านพักใน ต.ทวีวัฒนา อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ในข้อหาดังกล่าว

นายสิทธิพันธ์ ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่าตนเองเป็นนักกิจกรรมกีฬากระโดดเชือกรูปแบบทีมที่มีการจัดแข่งขันและ เป็นบุคคลจัดหานักแสดงประกอบให้กับกองถ่ายละคร โดยจะชักชวนเด็กชายอายุระหว่าง 13-16 ปี ที่สนใจร่วมกิจกรรม กระโดดเชือกหรือสนใจเป็นนักแสดงประกอบเพื่อหารายได้เสริม ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนตามสถานศึกษา เมื่อผู้ต้องหามีโอกาสใกล้ชิด เด็กชายเหล่านั้นจะใช้โอกาสออกอุบายชักจูงให้เด็กใช้ปากอมอวัยวะเพศของตนเอง รวมทั้งใช้ปากตนเองอมอวัยวะเพศของ เด็กชาย ยอมรับเพิ่มเติมว่าเคยใช้อวัยวะเพศของตนเองสอดใส่ทางทวารหนักของเด็กบางคนอีกด้วย

จากการขยายผลทราบว่า มีเด็กชาย อายุระหว่าง 13-16 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาในสถานศึกษาพื้นที่เขต อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อีกจำนวน 7 รายที่เคยถูก ผู้ต้องหากระทำในลักษณะดังกล่าวข้างต้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบข้อมูลทั้งหมดแล้วอยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมต่อไป

ทั้งนี้ได้ร่วมกับ บ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดชลบุรี และโครงการสปริงฯ เข้าพูดคุยให้คำแนะนำกับกลุ่มผู้เสียหาย และผู้ปกครอง ในขั้นตอนของการเยียวยารักษาสภาพจิตใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิทธิตามกฎหมายที่พึงได้ของผู้เสียหาย 
 

'ผอ.ศอ.ปส.ตร.' เผยสั่งขยายผลขบวนการลำเลียงยาบ้าจากภาคเหนือ รวบได้ขณะส่งต่อย่านตลาดไทอีก 6 ล้านเม็ด

4 เมษายน 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.และผอ.ศอ.ปส.ตร. เปิดเผยว่าตามนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามมนโยบายดังกล่าวภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.นั้น  โดย เคสนี้ตนได้สั่งให้ขยายผลสืบสวนจากภาคเหนือ จนสามารถ ติดตามนำมาสู่การจับกุมวันนี้

ซึ่งเมื่อวันที่ 03 เม.ย.2565 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 21.00 น.ที่ บริเวณตลาดไท ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานีเจ้าพนักงานตำรวจ บช.ปส. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ  สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส.1,พล.ต.ต.นพดล ศรสำราญ รอง ผบช.ปส.(2),  พล.ต.ต.สมเกียรติ  วัฒนพรมงคล รอง ผบช.ปส.3, พล.ต.ต.จิรวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.ปส. 4 , พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พร้อมด้วยชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.อ.จีรภัทร พฤฑฒิกุล  ผกก.3 บก.ปส.2,พ.ต.ท.วิฑูรย์  ญาณุกูล  รอง ผกก.3 บก.ปส.2,  พ.ต.ท.พล  หอมจันทร์ รอง ผกก.3 บก.ปส.2, พ.ต.ท.โชติธนินท์  โชติสุรีย์ชัย รอง ผกก (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.ปส.2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ นปส.อุดรธานี ,เจ้าหน้าที่ตำรวจศวข.บก.ปส.2, เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศวข.อุดรธานี บก.ขส., เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย คือ...

(1.) นายสมบูรณ์ แซ่หลอ อายุ 29 ปี (2.) นายภูมิ แซ่ย่าง อายุ 29 ปี (3.) นายโชคอนันต์ พรหมมี อายุ 27 ปี พร้อมด้วยของกลาง จำนวน 4 รายการ คือ (1.) ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน  30 กระสอบประมาณ 6,000,000 เม็ด ซึ่งรอเจ้าหน้าตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานร่วมตรวจและนับโดยละเอียดอีกครั้ง (2.) รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ส ทะเบียน 6 กท 114 กทม ราคาประเมิน 500,000 บาท (3.) รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ Isuzu รุ่น d-max ทะเบียน ผก 8955 พิษณุโลก ราคาประเมิน 800,000 บาท (4.)รถยนต์กระบะยี่ห้อ Toyota  รุ่น Revo ทะเบียน ผข 6231 เพชรบูรณ์ ราคาประเมิน 800,000 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ และประชุมเสวนาว่าด้วยความร่วมมือในการดำเนินโครงการดำเนินงานชุมชนการเคหะยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ

(4 เม.ย.65) ณ ห้องศรียานนท์ โซนซี ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงาน  ตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ โดยมีนายทวีพงษ์  วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและการเคหะแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยาน และเวลา 14.30 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , นายทวีพงษ์  วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ พร้อมคณะ , ผู้แทนอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ,  ผู้แทนปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , ผู้แทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ,  ผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , ผู้แทนผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข , ผู้แทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรีบูรณา , พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย ร่วมประชุมเสวนาว่าด้วยความร่วมมือในการดำเนินโครงการดำเนินงานชุมชนการเคหะยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด แบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ

ซึ่งโครงการดำเนินงานชุมชนการเคหะยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร  ตามยุทธศาสตร์ชาติ เป็นไปตามแผนปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด สำนักงาน  ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ตามมาตรการที่ 2 คือมาตรการการป้องกันยาเสพติด แผนงานที่ 9 กล่าวคือ 

1.ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหา การแพร่ระบาดของยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน เสริมสร้างให้หมู่บ้าน/ชุมชน เกิดความเข้มแข็ง เข้าใจและรับรู้   ถึงปัญหาและพิษภัยที่เกิดขึ้นจากยาเสพติดที่มีผลกระทบต่อตนเองและสังคม โดยให้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง ที่สามารถดูแลผู้ใช้ยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.ส่งเสริม สนับสนุนการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด ในหมู่บ้าน/ชุมชน

3. ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดกระบวนการบริหารจัดการและรูปแบบการดำเนินงานชุมชนเข้มแข็ง การบำบัดยาเสพติดโดยชุมชนมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดชุมชนยั่งยืนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด  แบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติและเป็นไปตามแผนปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ตามมาตรการที่ 4 คือมาตรการการบำบัดรักษายาเสพติด แผนงานที่ 11 กล่าวคือ

1.ชักจูง จูงใจ นำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษายาเสพติด โดยความสมัครใจเป็นหลัก
2.ดำเนินการตรวจ ทดสอบ หาสารเสพติดในบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ต้องสงสัยเพื่อสอบถาม ความสมัครใจและเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาโดยส่งต่อให้กับศูนย์คัดกรองหรือสถานพยาบาลยาเสพติด
3.นำผู้เสพที่ไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาโดยสมัครใจและอยู่ในเงื่อนไขที่จะอาศัยอำนาจตามกฎหมายเพื่อเข้าสู่กระบวนการและดำเนินการตามคำสั่งศาลโดยคำนึงถึงการสงเคราะห์ให้ผู้เสพเลิกยาเสพติด

"ผอ.ศพดส.ตร."ประชุมเน้น 3 มาตราการเข้ม คดีค้ามนุษย์

ที่ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(ปป)และ ผอ.ศพดส.ตร. เป็นประธานการประชุม ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) เป็นการประชุมสรุปการดำเนินการที่ผ่านมาและแผนการดำเนินการในไตรมาส 3/4 ผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) 

โดยมี พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา รอง ผบช.ก.(เลขานุการ) พล.ต.ต.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ผอ.,พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผบก.ตท.,พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผบก.ปคม.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยผู้แทนหน่วย บช.น., ภ.1-9, สตม., สอท., สทส., กมค., รน.เข้าร่วมประชุม

"รอง ผบ.ตร.(ปป.)"วางมาตราการเข้ม เตรียมความพร้อมเพื่อป้องอาชญากรรม ช่วงเทศกาลวันหยุดยาว

เมื่อวันอังคารที่ 5 เม.ย.2565 เวลา 13.30 น.ที่ห้องประชุม พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร สทส. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(ปป)และผอ.ศปป.ตร. เป็นประธานประชุมติดตามขับเคลื่อนงานป้องกันปราบปราม และมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในห้วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ โดยมี พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 2) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 3)พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 5) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  รอง จตช.(ช่วยเหลืองาน ปป) ผู้แทนหน่วย สยศ.ตร., ส., สทส., รร.นรต., สพฐ.ตร., พตร.(สบ8) ซึ่งเป็นการประชุมผ่านแอปพลิเคชั่น Clubhouse โดยมีหน่วยงาน ผู้บังคัญบัญชาเข้าร่วม ดังนี้ รอง ผบช. น., ภ.1-9, ก., ปส., ทท., สตม., สอท., ตชด., รอง ผบก., หน.สน.,สภ. ที่รับผิดชอบงาน ปป  รอง ผกก.ป., สวป., หน.ชุดปฏิบัติการ RTP Cyber Village , ตำรวจชุดชุมชนสัมพันธ์ของ สภ., ตำรวจชุดปฏิบัติ RTP Cyber Village 

โดย พล.ต.อ.รอย ได้เปิดเผยว่าวันนี้ได้แจ้งกำชับในที่ประชุมให้ หน่วยปฎิบัติด้านป้องกันปราบปราม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)ทุกหน่วยปฎิบัติดังนี้

1. ผบ.ตร.ได้สั่งการให้จัดฝึกอบรมให้แก่ผู้ปฏิบัติสายงานป้องกันปราบปราม ระดับ รอง ผกก. - สว. จำนวน 5 รุ่น เสร็จสิ้นแล้ว กำชับหน่วย น. ภ.1-9 นำผลที่ได้จากการฝึกอบรมไปถ่ายทอดให้กับกำลังพลของหน่วยให้เสร็จสิ้นภายใน 15 มิ.ย.65 โดยจะมีการตรวจสอบประเมินผลการฝึกภายในเดือน ก.ค.65 และ ผบ.ตร. ได้ให้ ศปป.ตร. จัดทำคู่มือการปฏิบัติ (SOP) อยู่ในแอพพลิเคชั่นงานป้องกันปราบปราม KMPP ซึ่งสามารถดาวน์โหลด และศึกษาได้ด้วยตนเองอยู่ใน app แทนใจ ของ ตร.

2. จากการตรวจสอบเหตุเกี่ยวกับทรัพย์ ในระบบ ของ ตร.กำชับให้ลงรายละเอียดให้ครบถ้วน โดยเฉพาะ รายละเอียดว่าเหตุเกิดที่ใด เช่นธนาคาร ร้านทอง ร้านสะดวกซื้อ สถานที่เกิดเหตุ และพฤติการณ์รายละเอียด เพื่อตรวจสอบได้และเพื่อการวางแผนการป้องกัน

3. กำชับให้เข้มงวดกวดขันจับกุมสถานบริการที่กระทำผิดอย่างเคร่งครัด หากตรวจพบมีการปล่อยปละละเลย จะพิจารณาข้อบกพร่องเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตามคำสั่ง ตร. ที่ 234 /2558 ลงวันที่ 27 เม.ย. 2558

4. ในการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจ จุดสกัด ให้ปฏิบัติตาม หนังสือ ตร. ด่วนที่สุด ที่ 0007.22/1572 ลงวันที่ 31 พ.ค.64 เรื่องกำหนดแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจ และจุดสกัด   ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ซึ่งมีรายละเอียดในการปฏิบัติของจุดตรวจ เช่นต้องขออนุญาตผ่านระบบ TPCC ทุกครั้ง  อุปกรณ์ที่ต้องใช้ เช่น กล้อง CCTV, Body Camera, แผงไฟ, ป้ายแจ้งเตือน ฯ ต้องมีครบถ้วน และให้นำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติสายงานป้องกันปราบปรามปีงบประมาณ 2564 และ 2565 มาใช้ในการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม

อย่าหลงเชื่อ!! แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอบอ้าง ส่งภาพ 'ผบ.ตร.' ข่มขู่หลอกโอนเงิน ด้านตำรวจเชียงใหม่ เร่งติดตามดำเนินคดีกรณีหลอกลวงแม่ค้า

จากกรณีแม่ค้าขายขนม ที่ศูนย์การค้ากลางเมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้โอนเงินโดยนำภาพ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาใช้ในการข่มขู่ จนเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินไปให้ 

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 พ.ต.อ.ไพศาล นันตา โฆษกตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.แม่ปิง จว.เชียงใหม่ และให้การว่า คนร้ายใช้วิธีการเดิมในการแอบอ้าง 

“วิธีการของคนร้ายโทรศัพท์ติดต่อเข้ามา อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย มีพัสดุเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ส่งไปยังประเทศจีน ซึ่งถูกอายัดไว้ และโอนสายให้คุยกับชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจระดับสารวัตร พร้อมทั้งยังส่งรูปภาพของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาทำการข่มขู่ ทำให้แม่ค้าขายขนมรายนี้ เกิดความหวาดกลัวว่า จะถูกจับกุมดำเนินคดี จึงยอมโอนเงินจำนวน 2,000 บาท ที่เตรียมจะนำไปซื้อสมุด และหนังสือให้ลูกชาย ไปให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์”

โฆษกตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน สภ.แม่ปิง ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และผู้ร่วมกระทำการมาดำเนินการตามกฎหมาย 

“ในเบื้องต้นไปประสานธนาคารผู้รับโอน เพื่อขออายัดบัญชีแล้ว  และจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาต่อไป ซึ่งดำเนินการดังกล่าวร่วมกับการประชาสัมพันธ์ข่าวสาร พฤติการณ์ใหม่ ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลามาแจ้งยังพี่น้องประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขอให้ประชาชนได้ติดตามข่าวสารของทางราชการและบอกต่อญาติและครอบครัวเพื่อป้องกันมิให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้ได้โดยง่าย”

ค้นบริษัทหัวหมอ ปลอมใบรับรองการทำงานมากกว่า 60 บริษัท เพื่อนำไปขอวีซ่าสถานทูต...พบลูกค้าใช้บริการเพียบ!!!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.1 บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับ (ขอปิดนาม) แจ้งว่า มีบริษัทรับทำเอกสารปลอมเพื่อขอวีซ่า ซึ่งเปิดรับทำวีซ่าเพื่อใช้ในการเดินทางไปประเทศ มีการปลอมเอกสารใบรับรองการทำงานของบริษัทต่าง ๆ จำนวนมาก เพื่อใช้นำไปยื่นขอวีซ่าที่สถานทูตต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายค้นบริษัทดังกล่าว

ต่อมาศาลแขวงดอนเมือง อนุมัติหมายค้น ให้เข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าว ในวันที่ 1 เมษายน 2565 เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. จึงทำการเข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าวตามหมายค้น พบว่ามีคนไทยทำงานอยู่ในบริษัท 7 คน จากการตรวจค้น พบตราประทับของบริษัทต่าง ๆ จำนวน 42 อัน, คอมพิวเตอร์ จำนวน 5 เครื่อง, เอกสารสำหรับการยื่นขอวีซ่าไปยังสถานทูตต่าง ๆ มากกว่า 100 คน        

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า บริษัทดังกล่าว ได้ประกาศหาลูกค้าที่ต้องการยื่นขอวีซ่าผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยคิดค่าธรรมเนียมในราคาที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ จากนั้นเมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการ ก็จะช่วยลูกค้าจัดเตรียมเอกสารบางรายการที่ลูกค้าไม่มี สำหรับขอวีซ่า

ซึ่งพบว่าเอกสารบางส่วนที่บริษัทฯ จัดเตรียมให้ลูกค้าเป็นเอกสารใบรับรองการทำงานปลอมของบริษัทต่างๆ มากกว่า 60 บริษัท โดยใช้ คอมพิวเตอร์และตราประทับ ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ตรวจพบสำหรับทำเอกสารปลอมขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้านำไปยื่นขอวีซ่ากับสถานทูตต่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. จึงได้ทำการตรวจยึดสิ่งของไว้เป็นของกลาง และประสานงานไปยังบริษัทต่าง ๆ เพื่อทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับบริษัทฯ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

จับกุมเครือข่ายขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภคยศ ทนงศักดิ์ผกก.สส.บก.ตม.6 และ พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้
 คดีจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง, สนธิกำลังร่วมกับ กก.สส.ภ.8,  กก.5 บก.ปคม., ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3 และ เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25

ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายข่าวว่ามีขบวนการขนแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจากพื้นที่ อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร โดยใช้เส้นทางหลบเลี่ยงสายซอยหินช้าง ม.3 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง แล้วนำพาเดินเท้าข้ามภูเขาเพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจศิลาสลักของเจ้าหน้าที่ทหารบนเส้นทางหลัก เพื่อไปส่งต่อยังพื้นที่ จว.ชุมพร จึงวางแผนให้กำลังพลซุ่มตามเส้นทางที่ได้รับแจ้งข่าว เวลาประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะ ทะเบียนจังหวัดระนอง ขับขี่ผ่านจุดที่เจ้าหน้าที่วางกำลังซุ่มดูไว้ พบนายเสนอ หรือนุ้ย เป็นผู้ขับขี่ จอดรถลงเดินสะพายปืนลูกซองยาว และใช้ไฟฉายสำรวจเส้นทางสำหรับใช้ขนแรงงานต่างด้าว ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาซักถามให้การวกวน มีพิรุธน่าสงสัย 

ต่อมามีรถจักรยานยนต์ ทะเบียนจังหวัดระนอง ขับขี่นำทางรถยนต์กระบะสี่ประตู ทะเบียนจังหวัดชุมพร ขับขี่เข้ามา ลักษณะตรงตามที่สายรายงานเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ แต่ได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป (ทราบชื่อในภายหลังชื่อนายอนุรักษ์ หรือตาล) และจากการตรวจสอบในรถยนต์กระบะพบว่าผู้ขับขี่ชื่อ นายมนตรี หรือชาญ อายุ 40 ปี ที่อยู่ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จว.ระนอง ภายในรถยนต์พบ นายจอจอทวย อายุ 18 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 12 คน (เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย) ซักถามนายมนตรียอมรับว่าได้รับการว่าจ้างจากนายจอโปนาย สัญชาติเมียนมา และเป็นผู้จัดหารถยนต์มาจอดไว้ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาสะพานปลา

โดยให้นำรถยนต์ไปรับแรงงานต่างด้าวที่บริเวณ ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง เมื่อไปถึงให้ติดต่อประสานงานกับนาย พัลลภ หรือ หนอน และนาย สิทธิพงษ์ หรือ กัปตัน ทั้งสองคนจะทำหน้าที่ดูต้นทางและรับต่างด้าวขึ้นจากเรือ และทำหน้าที่นำพาแรงงานต่างด้าวมาขึ้นรถยนต์ จากนั้นก็ขับขี่มุ่งหน้ามาที่ซอยหินช้าง ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนองโดยมีนาย อนุรักษณ์ ทำหน้าที่ขับรถ จยย. นำทาง เพื่อไปส่งให้คนมารับ พาเดินเท้าอ้อมจุดตรวจด่าน จปร. ไปยังพื้นที่ จว.ชุมพร

ต่อมาเวลาประมาณ 23.05 น. มีรถยนต์กระบะสีขาวทะเบียนกรุงเทพมหานคร ขับตามเข้ามา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายจรัญ หรือไข่ อายุ 42 ปี ที่อยู่ ต.บางนอน อ.เมือง จว.ระนอง เป็นผู้ขับขี่ ภายในรถยนต์บรรทุก นายเมาเอเว อายุ 27 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 17 คน (เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย) ซักถามยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างจากนางนุสรา หรือเนย ให้มารับแรงงานต่างด้าวที่ริมแม่น้ำกระบุรีในพื้นที่ ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ซอยหินช้าง ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง ได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 4,000 บาท/ครั้ง

และขณะที่เกิดเหตุ มีชาย 2 คนขับขี่รถจักรยานยนต์ทะเบียนจังหวัดระนองขับเข้ามา เจ้าหน้าที่แสดงตัวขอตรวจสอบ โดยทั้งสองคนได้ทิ้งรถจักรยานยนต์วิ่งหลบหนีไป จึงไล่ติดตามควบคุมตัวมาได้ 1 คน ชื่อ นายสิทธิพงษ์ หรือกัปตัน ให้การว่าชายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยและวิ่งหลบหนีไปชื่อ นายพัลลภ หรือหนอน

ซึ่งนายสิทธิพงษ์ กับนายพัลลภ เดินทางมาจากจุดที่แรงงานต่างด้าวหลบหนีขึ้นฝั่งบริเวณป่าจาก ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง โดยมีภาพถ่ายแรงงานต่างด้าวขณะขึ้นฝั่งในโทรศัพท์มือถือของ นายสิทธิพงษ์ มายืนยันกับเจ้าหน้าที่ และเมื่อจัดการให้แรงงานต่างด้าวขึ้นรถยนต์กระบะแล้ว นายพัลลภ ได้ใช้ให้ นายสิทธิพงษ์ ขับรถจักรยานยนต์มาส่งที่ นายเสนอ เพื่อจะร่วมกับ นายเสนอ ในการนำพาแรงงานต่างด้าวเดินเท้าหลบเลี่ยงจุดตรวจเจ้าหน้าที่ไปส่งยังพื้นที่ 
จว.ชุมพร ต่อไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบบริเวณจุดที่แรงงานต่างด้าวขึ้นฝั่ง พบนายยีซออาว อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 13 คน แอบหลบซ่อนอยู่ จึงได้ควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

“หนุ่มเขมรขนเอง! จับกุมชายชาวกัมพูชาลักลอบขนคนหลบหนีเข้าไทย”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด                     

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีดังนี้

กล่าวคือก่อนทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ได้ทำการสืบสวนทราบว่า ในเวลากลางคืนวันที่ 17 เม.ย. 65 ซึ่งเป็นห้วงเวลาหลังจากหยุดยาวสงกรานต์ และมีกลุ่มขบวนการลักลอบนำคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาเดิมทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต  โดยอาจจะใช้เส้นทางเลี่ยงการตรวจของด่านความมั่นคงในพื้นที่ จว.สระแก้ว จึงได้วางแผนและวิเคราะห์เส้นทางที่อาจใช้ในการกระทำความผิดเพื่อสกัดจับ จนต่อมาในเดียวกัน เวลา 22.30 น. ได้ตรวจพบรถยนต์กระบะต้องสงสัยขับออกจากซอยไม่ทราบชื่อ ถ.สุวรรณนุสรณ์ ด้วยความเร็วสูง จึงได้เข้าแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่ามีนายธาน อายุ 37 ปี สัญชาติ กัมพูชา เป็นผู้ขับรถ และมีบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาอีก 5 คน โดยสารในรถมาด้วย ตรวจสอบแล้วไม่มีการเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกต้อง จึงจับกุมตัวทั้งหมดและนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย 

การแจ้งข้อกล่าวหา นายธาน (คนขับ) แจ้งว่า   
1. ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอดพ้นจากการจับกุม
2. เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
3. ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสระแก้ว ที่ 1187/2565 ลง 1 เม.ย.2565 (ฉบับที่ 59)(ข้อ 9)
4. ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฝ่าฝืนสถานการณ์ฉุกเฉิน ชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ซึ่งไม่ถูกลักษณะและอาจจะเป็นเหตุให้โรคระบาดแพร่ออกไป

คนต่างด้าว 5 คน (ผู้โดยสาร) แจ้งว่า 

1. เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
2. ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฝ่าฝืนสถานการณ์ฉุกเฉิน ชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ซึ่งไม่ถูกลักษณะและอาจจะเป็นเหตุให้โรคระบาดแพร่ออกไปสถานที่ วันเวลาเกิดเหตุ บริเวณปากซอยไม่ทราบซื่อ ถ.สุวรรณนุสรณ์(ขาเข้า) หมู่ 5 ต.หัวยโจด อ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว เมื่อ 17 เม.ย. 65 เวลาประมาณ 22.30 น. 

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียนชี้แจงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอถึงประเด็น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือในการหลบหนีแก่ผู้ต้องหากรณีคดีทุจริตเงินสมาชิกสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนชี้แจงถึงประเด็นที่สื่อสังคมออนไลน์มีการนำเสนอพาดพึงว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือในการหลบหนีแก่ผู้ต้องหากรณีคดีทุจริตเงินสมาชิกสหกรณ์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ มูลค่าเกือบ 700 ล้านบาท

ในเรื่องนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด   ที่เกี่ยวข้องทำความจริงให้ปรากฏและเร่งรัดสืบสวนจับกุมต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมถึงทำการตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปมีส่วนเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาเพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่ หากตรวจสอบพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาด อีกทั้งหากตรวจสอบพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้วก็จะดำเนินการตามกรอบของกฎหมายต่อไปด้วยเช่นกัน 

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่าในทางคดีขณะนี้ สน.นางเลิ้ง ได้รับคำร้องทุกข์และยื่นคำร้องต่อศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย โดยเป็นผู้จัดการสหกรณ์ฯ และหัวหน้าฝ่ายการเงิน ในข้อหา ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งมีอายความ 10 ปี  และพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สอบปากคำพยานไปแล้วหลายปาก รวมถึงได้แจ้งเรื่องไปยังสำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการฟอกเงินตามขั้นตอนต่อไป  อีกทั้ง กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนทำการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่อยู่ระหว่างหลบหนีเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

รวมถึงได้ดำเนินการนำข้อมูลหมายจับลงระบบเพื่อประกาศสืบจับ และแจ้งข้อมูลบุคคลที่มีหมายจับให้กับ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการขึ้นบัญชีบุคคลเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top