Thursday, 15 May 2025
Crimes

ตร.เตือน 3 ภัย!! ‘หลอกรักออนไลน์’ ช่วงวาเลนไทน์ รักมาก เปย์มาก สุดท้ายใจสลาย!!

วันที่ 14 ก.พ. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ด้วยในวันที่ 14 ก.พ. ของทุกปี เป็นวันเทศกาลวาเลนไทน์ หรือที่เรียกกันว่าเทศกาลแห่งความรัก ที่คู่รักทั่วโลก รวมถึงคู่รักในประเทศไทยจะใช้โอกาสนี้ในการแสดงออกถึงความรัก ด้วยการส่งดอกไม้ ของขวัญ เงิน ให้คนรักเนื่องในโอกาสพิเศษนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่อาศัยโอกาสจากเทศกาลแห่งความรัก มาหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากพี่น้องประชาชน โดยอาชญากรรมออนไลน์ที่คนร้ายเป็นชาวต่างชาติใช้ความรักในการหลอกลวงเหยื่อหลัก ๆ มี 3 ประเภท ดังนี้

1. Romance Scam หลอกรักให้เปย์ แล้วเททิ้ง

คนร้ายเป็นแก๊งชาวผิวสี เริ่มต้นด้วยการสร้างบัญชีทางสื่อสังคมออนไลน์ปลอมโดยใช้รูปผู้อื่นส่วนใหญ่จะปลอมเป็นชาวยุโรป อเมริกัน หรือชาวตะวันออกกลาง ที่หน้าตาดี หล่อ รวย หน้าที่การงานดี มีการใช้ชีวิตที่หรูหราเข้ามาทักทายเหยื่อ(เป้าหมายคือหญิงไทยอายุ40ปีขึ้นไป)ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันโดยอ้างว่าภรรยาเสียชีวิตหรือหย่าร้าง อยากใช้ชีวิตที่เหลือกับหญิงไทย โดยถูกใจเหยื่อมากใช้วิธีการแชทเรียกเหยื่อหวานหยดย้อย เช่น Darling, Sweetheart,My love พอเหยื่อหลงเชื่อและหลงรัก ก็จะเริ่มหลอกลวงเพื่อหวังเงินจากเหยื่อ

โดยจะใช้วิธีการต่าง ๆ ได้แก่ อ้างว่าจะส่งทรัพย์สินมีค่ามาให้ จากนั้นจะมีผู้ร่วมขบวนการซึ่งเป็นคนไทยจะติดต่อเหยื่อโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรหรือบริษัทส่งของระหว่างประเทศ มีการเรียกเก็บภาษีหรือค่าปรับจากเหยื่อ , อ้างว่าป่วยแต่ประกันสุขภาพมีปัญหา ขอให้เหยื่อโอนค่ารักษาพยาบาลมาให้ , อ้างว่าได้รับมรดกจำนวนมากแต่ต้องมีการจ่ายภาษีมรดกก่อน ขอให้เหยื่อช่วยโอนเงินมาให้ และ อ้างว่าได้รับสัมปทานหรือทำสัญญากับภาครัฐ จะได้ผลกำไรจำนวนมาก ขอให้เหยื่อโอนเงินมาจ่ายให้กับภาครัฐก่อนทำสัญญา เป็นต้น เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะสูญเงินทั้งหมดไป

2. Hybrid Scam หลอกรักชวนลงทุน

คนร้ายเป็นแก๊งชาวจีน เริ่มต้นด้วยการสร้างบัญชีทางสื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้รูปหญิงสาวสวยชาวเอเซีย น่าเชื่อถือ ลักษณะเหมือนนักธุรกิจ เข้ามาเข้ามาทักทายเหยื่อ(เป็นผู้ชายอายุ30ปีขึ้นไปที่เข้าใจระบบการลงทุนออนไลน์)ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน พอเหยื่อหลงเชื่อหรือหลงรัก คนร้ายก็จะบอกกับเหยื่อว่ามีธุรกิจใหม่น่าลงทุน ผลตอบแทนสูง เช่น การเทรดค่าเงินต่างประเทศ อ้างว่าได้กำไรแน่นอน จากนั้นจะส่งลิงก์แอพพลิเคชัน มาให้เหยื่อติดตั้งในโทรศัพท์ และเริ่มมีการนำเงินมาลงทุน แรก ๆ จะได้กำไรจริง จากนั้นจะชักชวนเหยื่อให้เพิ่มวงเงินการลงทุน เมื่อเทรดแล้วได้กำไร การจะนำเงินออกจากระบบต้องจ่ายภาษี 30-40% เช่น ถ้าลงทุนได้กำไร 1,000,000 บาท ต้องโอนเงินประมาณ 400,000 บาท เจ้าระบบก่อน เมื่อเหยื่อโอนเงินเข้าระบบแล้ว ก็จะไม่สามารถถอนเงินออกได้ทำให้เหยื่อหลงเชื่อสูญเงินเป็นจำนวนมาก

3. Sextortion หลอกให้ถ่ายคลิปช่วยตัวเองแล้วเอามาแบล็คเมล์ (Blackmail) 

คนร้ายเป็นแก๊งชาวฟิลิปปินส์ เริ่มต้นด้วยการสร้างบัญชีทางสื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้รูปหญิงสาวสวย เซ็กซี่ เข้ามาเข้ามาทักทายเหยื่อ(เป็นผู้ชาย ที่มีหน้าที่การงานมั่นคง มีฐานะดี เป็นที่นับถือในสังคม เป็นคนรักครอบครัว)ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน พอเหยื่อหลงเชื่อจะขอ วิดีโอคอล ชักชวนให้เหยื่อถ่ายคลิปวิดีโอ ช่วยตัวเองหรือภาพลามกของเหยื่อส่งมาให้กับคนร้าย จากนั้นจะบันทึกภาพหรือคลิปของเหยื่อไว้ นำมาข่มขู่เอาเงิน หากไม่ยินยอมจะขู่ว่าปล่อยคลิปดังกล่าวสู่สาธารณะ หรือส่งให้ภรรยา ผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนของเหยื่อ จนเหยื่อต้องจำใจโอนเงินไปให้คนร้ายเพราะไม่อยากเสื่อมเสียชื่อเสียง

สมุทรปราการ - บิ๊กโจ๊ก!! สนองนโยบายรัฐบาล ลงพื้นที่ตรวจเรือประมง กว่า 10,000 ลำ ก่อนออกใบอนุญาต ลั่น! พร้อมปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย

ที่ท่าเทียบเรือสะพานปลาสมุทรปราการ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เดินทางมาเป็นประธาน เปิดปฏิบัติการ joint Mission by IUU Hunter ณ บริเวณท่าเทียบเรือสะพานปลาสมุทรปราการ โดยมี นายอานันต์ อัลมาตร์ ผอ.กองตรวจสอบเรือประมง สินค้าสัตว์น้ำ และปัจจัยการผลิตกรมประมง พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จาก กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และองค์กรภาคประชาสังคมตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการร่วมให้การต้อนรับและร่วมในพิธีเปิดปฏิบัติการการตรวจเครื่องมือประมงพาณิชย์แบบบูรณาการ

ด้าน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เปิดเผยว่า โดยในวันนี้ได้มีการกำหนดให้มีการตรวจสอบเรือประมง โดยการสอบตรวจเรือประมงนั้น จะอยู่ในระยะเวลาคราวละ 2 ปี ต่อครั้ง ซึ่งในวันนี้ก็ครบรอบในการตรวจสอบเรือประมงเพื่อที่จะออกใบอนุญาตในปี 65 - ปี 67 โดยยอมรับว่าในรัฐบาลปัจจุบันโดยท่าน พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดแม่แบบโดยให้ประเทศไทยเป็นผู้นำอาเซียนในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย

และสิ่งสำคัญในวันนี้คือ การทำประมงอย่างยั่งยืนเพื่อให้สัตว์น้ำอยู่ต่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยได้กำหนดมาตรการ 4 ส่วน คือ การตรวจการออกใบอนุญาตเรือประมงพาณิชย์ การกำหนดมาตรฐานของเรือประมง การกำหนดการตรวจสภาพการจ้างงานเพื่อคุ้มครองดูแลความปลอดภัยของลูกจ้างเรือประมง และการกำหนดเครื่องมือการจับสัตว์น้ำการทำประมง เพื่อช่วยควบคุมดูแลรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปในอนาคต

ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขงแผลงฤทธิ์!! ตรวจยึดบ้าล๊อตใหญ่ จากขบวนการค้ายาข้ามชาติทะลักเข้าประเทศ ขนครั้งละ 4 กระสอบ จำนวน 1,638,000 เม็ด

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 15.00 น. นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม/ผู้อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม เป็นประธาน แถลงข่าวผลการดำเนินงาน ตามแผนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม "ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง" ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม

โดยมีนายชวนินทร์ วงค์สถิตจินกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ,นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม  พล.ร.ต. สมบัติ จูถนอม ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ,พล.ต.ต. ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ,พ.อ.จักริน จิตคติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน, พันเอก สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์  ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1 ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 (ผบ.ร.3) กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, พ.อ. ปราโมทย์ เนียมสำเภา รองผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ โดยจังหวัดนครพนมได้จัดทำแผนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดขึ้น เพื่อบูรณาการหน่วยงานความมั่นคง ในพื้นที่ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานด้านยาเสพติดของจังหวัดนครพนมภายใต้ “ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง” ประจำปี 2565 

ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 กกล.สุรศักดิ์มนตรี โดย ฉก.ทพ.21 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต ณรงค์ สวนแก้ว  ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี และ พ.อ. อุทัย  นิลเนตร ผบ.ฉก.ทพ.21 จากการบูรณาการด้านการข่าวในพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่าจะมีการลักลอบขนยาเสพติดจากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามายังประเทศไทยตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง จึงได้สั่งการให้กองร้อยทหารพรานที่ 2109 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 นำทีมโดย ร.อ.ธนากร นาเหล็ก ผบ.ร้อย.ทพ.2109 ฉก.ทพ.21 จึงจัดกำลังพล ร่วมกับ ชฝด.3 นฝด.2 และ มว.QRF ที่ 2 ร้อย.QRF กกล.สุรศักดิ์มนตรี, ร้อย.ตชด.237, นรข.เขตนครพนม สน.เรือบ้านแพง, ฝ่ายปกครองอำเภอท่าอุเทน และ สภ.ท่าอุเทน ทำการ ลว.เฝ้าตรวจ จุดเสี่ยง/จุดล่อแหลม เพื่อป้องกันสกัดกั้นการลักลอบขนย้ายยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย และการกระทำผิดเงื่อนไขตามแนวชายแดน

ครั้นเมื่อเวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ลาดตระเวนมาถึง บริเวณ ริมแม่น้ำโขง พื้นที่ บ.เหล่าสวนกล้วย ม.4 ต.หนองเทา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ตรวจพบบุคคลชายต้องสงสัยลักษณะท่าทางมีพิรุธ จำนวน 5 คน วิ่งลงไปในแม่น้ำโขง แล้วนั่งเรือกีบติดเครื่องยนต์แล่นออกจากบริเวณดังกล่าวและตัดข้ามไปยังฝั่ง สปป.ลาว อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจสอบบริเวณโดยรอบ พบยาบ้า จำนวน 3 จุด จุดที่ 1 พบเป็นยาบ้า จำนวน 1 กระสอบ และอีก 1 ถุงเล็ก จุดที่ 2 พบยาบ้า จำนวน 1 กระสอบ จุดที่ 3 พบยาบ้า จำนวน 2 กระสอบ เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว ของกลางทั้งหมด นำมายัง บก.ร้อย.ทพ.2109 เพื่อตรวจสอบและตรวจนับรายละเอียด จึงได้แจ้งประสานหน่วยงานในพื้นที่ร่วมตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

และต่อมาในวันเดียวกัน กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี(กกล.ฯ) โดย กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108(ทพ.2108) หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 (ฉก.21) กองบังคับการควบคุมที่ 2 (กรมทหารราบที่ 13) ฐานปฏิบัติการบ้านปากห้วยม่วง ต.นาเข อ.บ้านแพง จ.นครพนม สนธิกำลังร่วมกับ หมวด QRF.ที่ 2 กองร้อย QRF. และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ทำการลาดตระเวนด้วยรถจักรยาน ยนต์ในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อสกัดกั้นและป้องกันการลักลอบกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดน กระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนถึงบริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้าน บ้านดอนสะฝาง หมู่ 5 ต.โพนทอง อ.บ้านแพง จ.นครพนม

พบบุคคลต้องสงสัย ขับขี่รถจักรยาน ยนต์ ยี่ห้อ HONDA SONIC สีดำ – แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับวนไป – มาหลายรอบ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเข้าตรวจสอบ แต่บุคคลต้องสงสัยดังกล่าว ได้ขับขี่รถจักร ยานยนต์หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบพื้นที่บริเวณโดยรอบ ตรวจพบวัตถุพันด้วยเทปกาวสีดำ จำนวน 1 ก้อน เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจยึดมาเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด จากการตรวจสอบ พบเป็น ยาบ้าจำนวน 15 ถุง ตรวจนับได้ 3,011 เม็ด (เม็ดสีแดง 2,980 เม็ด, เม็ดสีเขียว 31 เม็ด) จากนั้น ได้นำของกลางทั้งหมด ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน สภ.บ้านแพง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ จับมือ ‘กสทช.’ ดึงผู้ประกอบการเครือข่ายโทรศัพท์ ร่วมมือแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และหลอกลวงทางออนไลน์!!

วันนี้(15 ก.พ.65) เวลา 15.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ(ศปอส.ตร.) หรือ ศูนย์ PCT และนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช., พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม./หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ เช่น AIS DTAC TRUE บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ 3BB

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการมายัง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ในเรื่องการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยในที่ประชุมมีการหารือความร่วมมือ ดังต่อไปนี้

1. การขอความร่วมมือให้สำนักงาน กสทช.และผู้ให้บริการ แจ้งประชาสัมพันธ์/ส่งข้อความเตือนภัย ให้ความรู้แก่ประชาชน ถึงรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวน 14 รูปแบบ ได้แก่

(1)หลอกขายของออนไลน์ (2) คอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ข่มขู่ให้เกิดความกลัว (3) เงินกู้ออนไลน์ ดอกเบี้ยโหด (4)เงินกู้ออนไลน์ ที่ไม่มีจริง (เงินกู้ทิพย์) (5)หลอกให้ลงทุนต่างๆ (6)หลอกให้เล่นพนันออนไลน์ (7) ใช้ภาพปลอมหลอกให้หลงรักแล้วโอนเงิน (Romance scam) หรือ หลอกให้ลงทุน (Hybrid scam) (8)ส่งลิงก์ปลอมเพื่อหลอกแฮ็กเอาข้อมูลส่วนตัว (9) อ้างเป็นบุคคลอื่นเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว (10) ปลอม Line , Facebook หรือ Account หลอกยืมเงิน (11) ข่าวปลอม (Fake news) - ชัวร์ก่อนแชร์ (12) หลอกลวงเอาภาพโป้เปลือยเพื่อใช้แบล็คเมล์ (13) โฆษณาชวนไปทำงานต่างประเทศแล้วบังคับให้ทำงานผิดกฎหมาย (14) ยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

2. การขอความร่วมมือผู้ให้บริการ ผู้รับใบอนุญาต ในการแก้ปัญหาการหลอกลวงประชาชนโดยใช้การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ จากการใช้เทคโนโลยี VoIP (Voice over Internet Protocol) นั้น ผู้ให้บริการต่อสาย VoIP ไปยังปลายทาง (Call Termination) ต้องตรวจสอบการโทรที่มาจากต่างประเทศ หากเบอร์ที่โทรมานั้นมีรูปแบบเป็นเบอร์โทรศัพท์บ้าน เบอร์พิเศษ 3 หลัก หรือเบอร์พิเศษ 4 หลักของประเทศไทย ให้ผู้ให้บริการดังกล่าวตัดสายเพื่อไม่ให้ส่งต่อการโทรนั้นไปยังปลายทางในประเทศไทย และกำชับผู้ให้บริการต่อสาย VoIP ไปยังปลายทาง (Call Termination)ดังกล่าว ต้องแสดงเบอร์โครงข่ายของตนเองหรือโครงข่ายที่ตนเองเช่าใช้ ที่โทรศัพท์ที่รับสายปลายทางด้วย หากพบว่ามีการโทรเข้าโดยส่งเบอร์แปลกปลอมที่ไม่ใช่เบอร์ของตนเองเข้ามาให้ตัดสายนั้นทันที ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการปลอมแปลงเบอร์โทรเข้ามา รวมทั้งให้แสดงแหล่งที่มาของข้อมูลที่มาจากต่างประเทศ ให้ชัดเจน แตกต่างจากข้อมูลภายในประเทศ เช่น มีเครื่องหมาย + หรือสัญลักษณ์เฉพาะ ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของประชาชน เพื่อจะได้ทราบในทันทีจะได้ไม่หลงเชื่อว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐ

3. การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล/ช่องทางการส่งข้อมูล(Traffic) ที่คนร้ายใช้ในการติดต่อ เพื่อสืบสวนหาต้นตอในการจับกุม สืบสวน และปิดกั้นช่องทางการส่งข้อมูล(Traffic) ดังกล่าวต่อไป

ด้านนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล กล่าวว่า ทางสำนักงาน กสทช. ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้มีความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อร่วมกันดำเนินการด้านเทคนิคเพื่อการป้องกันการใช้เทคโนโลยีของมิจฉาชีพไปสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงภัยอันตรายดังกล่าว และการให้ข้อมูลสนับสนุนการสืบสวน สอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งในเรื่องประเด็นการส่งข้อความสั้นหรือ SMS และการหลอกลวงของแก๊งคอลเซนเตอร์

รู้ทันภัยออนไลน์ “ตัดสาย - บล็อกเบอร์” ลดโอกาสเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ด้วยความห่วงใยจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

(15 ก.พ.65)​ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ในห้วงปัจจุบันมิจฉาชีพได้มีการเปลี่ยนแปลงกลโกงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงการปลอมตัวเป็นคอลเซ็นเตอร์ของธนาคาร หรือบริษัทต่าง ๆ บ้างก็ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือปลอมเป็นพนักงานบริษัทรับส่งพัสดุ อ้างว่าพี่น้องประชาชนที่รับสายนั้นมีการส่งของผิดกฎหมาย จนนำไปสู่การโน้มน้าวหลอกลวงให้โอนเงินจนสูญเสียทรัพย์สิน นั้น

ขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชน ว่าหากมีเบอร์โทรศัพท์ที่ท่านไม่รู้จัก ติดต่อเข้ามาหาท่าน แล้วอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือพนักงานจากบริษัทต่าง ๆ แล้วโน้มน้าวให้ท่านโอนเงินให้ ด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ และขอให้ท่านตัดสายเลิกสนทนาทันที หลังจากนั้นขอแนะนำให้บล็อกเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้โทรเข้ามาหาท่าน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียทรัพย์สินได้ เพราะการคุยกับมิจฉาชีพต่อไป อาจทำให้เกิดความเสียหาย เนื่องจาก 

มิจฉาชีพจะใช้กลยุทธ์ "ร้อยเรียงเรื่องราว" พูดคุยจนเหยื่อหลงเชื่อ เคลิบเคลิ้มไปตามคำพูด จนยอมบอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลด้านการเงิน อันเป็นความลับ จนกระทั่งถูกหลอกให้โอนเงินไปในที่สุด

ตำรวจไซเบอร์ ทลายรัง แก๊งค์ Call Center & Admin page ชาวไทยกว่า 70 คน หลอกชักชวนลงทุนออนไลน์และพนันออนไลน์ ก่อนเชิดเงินและบล็อคการติดต่อเหยื่อ มีมูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุขผบ.ตร. ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการลักลอบเล่นการพนันออนไลน์ ซึ่งเป็น นโยบายสำคัญที่ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัดกับผู้ระทำความผิดไม่มีละเว้น

จากกรณี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ได้มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  ว่าได้ถูกคนร้ายหลอกให้หลงเชื่อเพื่อให้นำเงินไปลงทุนกับคนร้าย โดยคนร้ายอ้างว่าสามารถนำเงินของผู้เสียหายไปลงทุนจนได้กำไรสูง ซึ่งต่อมาคนร้ายได้แจ้งให้ผู้เสียหายว่าได้รับกำไรจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เสียหายต้องโอนเงินเป็นค่าถอน ค่าธรรมเนียม ค่าภาษี และค่ารหัสผ่านในการถอนเงิน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินให้แก่กลุ่มคนร้ายหลายครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 12,139,000.25 บาท ต่อมาภายหลัง เมื่อผู้เสียหายทราบว่าตนถูกหลอกลวง จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อให้ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ สั่งการให้ พล.ต.ต.กานตพงศ์ ชัยรุ่งเรือง ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 เป็นผู้ควบคุมการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ โดยกองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 ได้ออกสืบสวนคดีนี้ พบว่ากลุ่มคนร้ายได้เปิดเพจหลอกลงทุนและนำเงินจากการลงทุนมาเล่นพนันออนไลน์

ซึ่งจากการสืบสวนสอบสวน หาตัวคนร้ายกับกลุ่มที่ร่วมขบวนการ ทราบว่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่ หอพักคิตตี้ เลขที่ 601 หมู่ 10 ชั้น 2 ตำบลท่าตูม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี จึงได้วางแผนเข้าตรวจค้นจับกุม ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ขออนุญาตศาลจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเข้าค้นบ้านหลังดังกล่าว

ผลการตรวจค้นพบ สถานที่ทำงาน ใช้ตึกอพาร์ทเม้นท์ 2 ชั้น ดังกล่าว โดยแบ่งเป็นชั้นๆละ 18 ห้อง รวม 36 ห้อง ชั้นบนเป็นที่พักพนักงาน ชั้นล่างเป็นที่ทำงาน ไม่รับบุคคลนอกและไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไป แต่ใช้เป็นที่ทำงาน Call Center & Admin page ในการชักจูงและหลอกให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมลงทุนการพนันผ่านทางช่องทางเฟสบุ๊ค และทางไลน์ ซึ่งการทำงานของกลุ่มคนร้าย มีการแบ่งการทำงานแต่ละห้อง พบคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือในการกระทำความผิดและพักอาศัยอยู่ตึกดังกล่าวทั้งหมด

จากการตรวจค้นพบผู้กระทำความผิด 66 คน, เงินสด 1,300,000 บาท, ทองคำ 20 บาท, รถยนต์ 3 คัน, คอมพิวเตอร์ 87 เครื่อง,​โทรศัพท์มือถือ 23 เครื่อง, อาวุธปืน ขนาด .45 ยี่ห้อ CZ จำนวน 1 กระบอก, เครื่องกระสุนปืน .45 จำนวน 25 นัด, บัญชีธนาคาร 50 เล่ม ซึ่งพบเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาท

จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ได้รับการว่าจ้างจากนายทุน ให้เงินเดือนเดือนละหมื่นต้นๆ โดยอาศัยที่ดังกล่าว รวมถึงมีอาหารไว้ให้พนักงานที่ร่วมกระบวนการโดย การชักจูงให้โอนมาลงทุน เมื่อได้รับเงินก็จะหลอกหลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินมาเพิ่มเรื่อยๆ​ และเมื่อผู้เสียหายเริ่มรู้ก็ทำการบล็อคหนี

ซึ่งในเบื้องต้น จะควบคุมผู้ต้องหา ทั้ง 66 ราย ส่ง พงส.สภ.ศรีมหาโพธิจว.ปราจีนบุรี ในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น อุบายประกาศ โฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พรบ.การพนัน” และ ดำเนินคดีกับ ผู้ที่มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อม ดำเนินการขยายผลในความผิดฐานฟอกเงิน และ การกระทำความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชนต่อไป

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ ยืนยัน! การปราบปราม 'การค้ามนุษย์' ดำเนินการตามหลักกฎหมาย และมุ่งมั่นในการดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ ยืนยัน! การปราบปรามการค้ามนุษย์ ดำเนินการตามหลักกฎหมาย และมุ่งมั่นในการดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง

พลตำรวจตรี ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณี ส.ส.ฝ่ายค้าน อภิปรายประเด็นการปราบปรามจับกุมคดีค้ามนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เกี่ยวข้องกับชาว "โรฮีนจา" เมื่อปี พ.ศ. 2558 ในทำนองว่าไม่ให้ความสำคัญ ไร้ประสิทธิภาพ และดำเนินการในลักษณะไม่มีมาตรฐานในการปฏิบัติที่เป็นธรรมนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอชี้แจง ดังนี้

1.คดีค้ามนุษย์ "โรฮีนจา" พื้นที่ สภ.ปาดังเบซาร์ จว.สงขลา เมื่อวันที่ 1 พ.ค.58 คดีนี้เป็นคดีที่เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 ซึ่งอัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ต่อมาอัยการสูงสุดได้แต่งตั้งพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจและฝ่ายอัยการ เป็นคณะพนักงานสอบสวน ร่วมทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน  พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาค้ามนุษย์, อาชญากรรมข้ามชาติ และข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้ขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ จำนวน 155 ราย จับกุมตัวได้แล้ว จำนวน 120 ราย เสียชีวิต จำนวน 2 ราย  และหลบหนี อยู่ระหว่างติดตามจับกุมเพิ่มเติม จำนวน 33 คน ซึ่งในส่วนของผู้ต้องหาที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีแล้ว ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไปแล้วหลายราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา อย่างไรก็ตาม หากท่านใดมีข้อมูลหรือเบาะแสเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ ที่สามารถนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดเพิ่ม ก็ขอได้โปรดแจ้งมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยืนยันว่าจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทุกรายโดยไม่มีละเว้น

2. สำหรับนโยบายการปราบปรามจับกุมการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้ การกำกับดูแลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และภายใต้การนำ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีความมุ่งมั่นปราบปรามจับกุม ตามนโยบายรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีการเร่งรัดปราบปรามจับกุมมาโดยตลอด มีผลการจับกุมและดำเนินคดีในปี 2564 จำนวน 182 คดี และ ปี 2565 จำนวน 11 คดี

ผบ.ตร. สั่งชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานและบูรพา 491 ปูพรมบุกจับ!! ‘มือปืนถล่มยิงรถนายก’ อบต.บางสมบูรณ์ มีผู้เสียชีวิต 2 คน

บริเวณถนนสายปากท่อ-เตยน้อย ตำบลศรีจุฬา อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ต่ำกว่า 2 คน ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มรถของ นายก อบต.บางสมบูรณ์ จว.นครนายก เป็นเหตุให้ คนขับรถ และรองนายก อบต.บางสมบูรณ์ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 คน ส่วน นายก อบต.บางสมบูรณ์ และผู้ติดตาม ได้รับบาดเจ็บ รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ หลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวน สภ.ดงละคร, บก.สส.ภ.2, กก.สส.ภ.จว.นครนายก ร่วมกับเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จว.นครนายก เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบหัวกระสุนและปลอกกระสุนขนาด 7.62 มม. จำนวนมากตกอยู่บริเวณ จุดเกิดเหตุ และได้พบพยานหลักฐานสำคัญ คือกล้องหน้ารถที่ได้ บันทึกภาพขณะเกิดเหตุไว้ได้ โดยภาพจากกล้องขณะเกิดเหตุ ปรากฏภาพ กลุ่มผู้ก่อเหตุได้ใช้รถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีบรอนเงิน-เทา ไม่ทราบทะเบียน ขับประกบรถของนายก อบต.ฯ และใช้อาวุธสงครามยิงถล่ม 2 ละลอก ก่อนที่รถของนายก อบต.ฯ จะเสียหลักพุ่งลงข้างทาง จากการสืบสวนเบื้องต้น สถานที่เกิดเหตุไม่มีกล้องวงจรปิด และเป็นเส้นทางกลับบ้านของนายก อบต.บางสมบูรณ์ แผนประทุษกรรมการก่อเหตุดังกล่าวแสดงถึง การวางแผนมาอย่างดี โดยคดีนี้ คนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจ ท้าทายกฎหมาย

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2, พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2, พล.ต.ต.ดร.จักษ์ จิตตธรรม ผบก.ภ.จว.นครนายก, พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.กิจจา แสงชวลิต รอง ผบก.ภ.จว.นครนายก, พ.ต.อ.สหัส ใจเย็น รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป., พ.ต.อ.บัญชา คล้ายน้อย ผกก.กก.2 บก.สส.ภ.2 , พ.ต.อ.ธนเสฎฐ์ ประชาชัยศรี ผกก.กก.3 บก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.อิทธิกร จิรัตนานนท์ ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.2 และ พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต ผกก.สส.ภ.จว.สระแก้ว นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ หนุมาน, บูรพา491 และ บก.สส.ภ.2  ลงพื้นที่ปูพรมสืบสวนหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ 

หลังลงพื้นที่สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทราบผู้ก่อเหตุ จำนวน 3 คน ชุดสืบสวนพิเศษ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลจังหวัดนครนายก ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน คือ

1.นายรัฐพล ตันสุวรรณรัตน์ หรือ "บิ๊ก" หรือ “กุมารขาว” อายุ 35 ปี ที่อยู่ 44 ม.11 ต.บางสมบูรณ์  อ.องครักษ์ จว.นครนายก ตามหมายจับศาลจังหวัดนครนายก ที่ 23/2565 ลงวันที่ 21 ก.พ.65 ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น  โดยไตรตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันมีอาวุธปืนสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้,ยิงปืนในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันพกอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุอันควร” (หลบหนี)

2.นายภูริวัฒ นิ่มเรือง หรือ "อ็อด" หรือ "กุมารดำ" อายุ 52 ปี ที่อยู่ 38/2 ม.11 ต.บางสมบูรณ์ อ.องครักษ์ จว.นครนายก ตามหมายจับศาลจังหวัดนครนายก ที่ 22/2565 ลงวันที่ 21 ก.พ.65 ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยไตรตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันมีอาวุธปืนสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้, ยิงปืนในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันพกอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุอันควร” (หลบหนี)

3.นายธวัชชัย ศรีชาญ หรือ "วัช" อายุ 48 ปี ที่อยู่ 4 ม.4 ต.ศรีจุฬา อ.เมืองนครนายก จว.นครนายก ตามหมายจับศาลจังหวัดนครนายก ที่ 24/2565 ลงวันที่ 21 ก.พ. 65 ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตรตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” (จับกุมตัวได้)

ต่อมาในวันที่ 22 ก.พ. 65 เวลาประมาณ 06.30 น. ชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน” และ “บูรพา 491” เปิดปฏิบัติการปูพรมลงพื้นที่ ตรวจค้นแหล่งกบดาลและซุกซ่อนอาวุธ 3 แห่ง

1. บ้านเลขที่ 44 ม.11 ต.บางสมบูรณ์ อ.องครักษ์ จว.นครนายก ตามหมายค้นศาลจังหวัดนครนายก ที่ ค.7/2565 ลงวันที่ 21 ก.พ.65 ไม่พบตัว นายรัฐพล ตันสุวรรณรัตน์ หรือ "บิ๊ก" หรือ “กุมารขาว” พบเพียงภรรยาซึ่งให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า นายรัฐพลฯ ออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ.65 ตรวจค้นพบโทรศัพท์ของนายรัฐพลฯ ที่ใช้งานทิ้งเอาไว้ที่บ้าน และตรวจค้นพบกล่องใส่ปืนพกยี่ห้อซีแซด แต่ภายในกล่องไม่พบอาวุธปืน ซึ่งได้รับแจ้งว่านำติดตัวไปด้วย และได้ตรวจยึดรถยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น HRV หมายเลขทะเบียน 3กพ 5180 กรุงเทพ ซึ่งเป็นรถที่ผู้ต้องหาขับไปเปลี่ยนรถก่อนไปก่อเหตุ

2. บ้านไม่ติดเลขที่ ต.บางสมบูรณ์ อ.องครักษ์ จว.นครนายก ตามหมายค้นศาลจังหวัดนครนายก ที่ ค.8/2565 ลงวันที่ 21 ก.พ.65 ไม่พบตัว นายภูริวัฒ นิ่มเรือง หรือ "อ็อด" หรือ "กุมารดำ" สอบถามบุคคลในละแวกแล้วพบว่าได้หลบหนีออกจากบ้านไปแล้ว

3. บ้านเลขที่ 41 ม.4 ต.ศรีจุฬา อ.เมืองนครนายก จว.นครนายก ตามหมายค้นศาลจังหวัดนครนายก ที่ ค.9/2565 ลงวันที่ 21 ก.พ. 65 พบ นายธวัชชัย ศรีชาญ หรือ "วัช" ผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในบ้าน จึงได้จับกุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับให้ทราบ ก่อนนำตรวจค้นภายในบ้าน พบ

1) อาวุธปืนยาว ชนิดเดี่ยวลูกซอง ยี่ห้อ commando ขนาด 12 จำนวน 1 กระบอก

2) อาวุธปืนสั้น ชนิดกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ Colt ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก

3) กระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน 4 นัด

4) กระสุนปืนพกขนาด .38 จำนวน 20 นัด

5) GPS ใช้สะกดรอยติดตามรถยนต์ จำนวน 1 เครื่อง

6) แผ่นป้ายทะเบียนปลอม จำนวน 1 แผ่น อ้างว่าเก็บได้

นรข. เข้ม!! ตามแนวชายแดนนครพนม ยึดยาบ้ากว่า 6 แสนเม็ด ไอช์ 45 กรัม และกัญชา 690 แท่ง

บริเวณหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พลเรือตรี สมบัติ จูถนอม ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง พันตำรวจเอก สมศักดิ์ ตระการไพโรจน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม พันตำรวจเอกหญิง จิรนันท์ ธนะสิงห์ ผู้กำกับพิสูจน์หลักฐานจังหวัดนครพนมและเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ร่วมกันแถลงข่าวผลการดำเนินงานที่ได้มีการบูรณาการความร่วมมือเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ ภายใต้แผนยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง ประจำปี 2565 จนนำไปสู่การตรวจยึดยาบ้า จำนวน 638,000 เม็ด ยาไอช์ 45 กรัม และกัญชาอัดแท่ง 3 แท่ง/กิโลกรัม ที่อำเภอท่าอุเทน และกัญชาอัดแท่ง จำนวน 690 แท่ง/กิโลกรัม ที่อำเภอธาตุพนม

โดยเหตุการณ์ตรวจยึดยาบ้า เป็นการดำเนินงานที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่บริเวณบ้านหาดทรายเพ ตำบลหนองเทา อำเภอท่าอุเทน จึงได้มีการตรวจสอบข่าวพร้อมจัดชุดลาดตระเวนทางบกเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ กระทั่งเวลา 18.30 น. พบเห็นชาย 1 คนอยู่บริเวณถนนริมเขื่อนท่าทางมีพิรุธ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ในระยะไกลก็ได้วิ่งหลบหนีลงไปที่เรือกีบแล้วติดเครื่องยนต์แล่นข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบบริเวณดังกล่าวพบกระสอบวางอยู่ริมเขื่อนจำนวน 2 กระสอบ ภายในเป็นยาบ้าจำนวน  638,000 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 45 กรัม และกัญชาอัดแท่ง 3 แท่ง/กิโลกรัม จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐานพร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอุเทนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ขณะที่เหตุการณ์ตรวจยึดกัญชาที่อำเภอธาตุพนมเป็นการดำเนินงานของหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขงที่ได้บูรณาการประสานข้อมูลด้านการข่าวกับหน่วยงานความมั่นคง และได้จัดกำลังพลติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ กระทั่งเวลา  20.55 น. ได้มีการตรวจพบเรือกีบต้องสงสัย จำนวน 1 ลำ ดับเครื่องลอยไหลมาตามกระแสน้ำทางทิศเหนือและเข้าเทียบฝั่งไทย ที่บริเวณหาดแห่ บ้านน้ำก่ำ ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม ซึ่งห่างจากจุดซุ่มประมาณ 800 เมตร เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหน้าที่ได้พยายามเข้ากระชับพื้นที่ แต่เมื่อใกล้ถึงกับพบว่ากลุ่มบุคคลที่มากับเรือกีบ 3-4 คน ได้วิ่งออกจากป่าแล้วรีบขึ้นเรือกีบขับหายไปในความมืดด้วยความชำนาญทันที เมื่อไม่อาจติดตามได้ทัน เจ้าหน้าที่จึงได้วางกำลังซุ่มตามจุดต่าง ๆ บริเวณโดยรอบพื้นที่ที่คาดว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทิ้งวัตถุต้องสงสัยเอาไว้

ทหารพรานที่ 2107 รวบผู้ต้องหา พร้อมของกลางไม้พะยูงแปรรูป 60 ท่อน เตรียมขนข้ามชายแดน!!

พันเอก อุทัย นิลเนตร ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่าจะมีการลักลอบขนไม้พะยูงผ่านเส้นทางพื้นที่ ต.โคกกว้าง อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ เพื่อนำส่งขาย สปป.ลาว  จึงสั่งการให้ ร.ท.วิทยากร  ศักดิ์ดาเดช ผบ.ร้อย.ทพ.2107 จัด ชป.คทร (หน่วยงานหลัก) ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด เส้นทางเข้าหมู่ บ.หาดแห่ ม.3 ต.โคกกว้าง อ.บุ่งคล้าฯ ตามภาพข่าวที่ได้รับแจ้ง ครั้นเวลา 12.20 น.

ขณะชุด จนท.ปฏิบัติงาน พบรถยนต์กระบะตอนเดียวลักษณะตู้ปิดทึบ ยี่ห้อมิตซูบิซิ สีขาว หมายเลขทะเบียน ผอ 5095 ขอนแก่น วิ่งมาจาก ต.ชัยพรฯ (หมายเลข 212) แล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าเข้ามายังจุดตรวจ/จุดสกัด มีลักษณะท่าทางพิรุธ ชุด จนท. จึงได้แสดงตัว และขอทำการตรวจสอบ นายวินิจ  หรือนิจ บุตรจันทร์ พลขับรถ (ทราบชื่อ-สกุลจริงภายหลัง)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top