Saturday, 19 April 2025
Columnist

วิเคราะห์ 6 กลยุทธ์การออกจากตลาด ที่เจ้าของกิจการมักใช้ในกิจการและตลาดหุ้น

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘Exit Strategy’ แต่นัยจริง ๆ ของมันคืออะไร?

‘Exit Strategy’ หรือ กลยุทธ์การออกจากตลาด คือ แผนการรับมือของนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจที่วางไว้ล่วงหน้า เพื่อขายหุ้นออกจากพอร์ตการลงทุนหรือเปลี่ยนแปลงสัดส่วนความเป็นเจ้าของธุรกิจในสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ รวมทั้งในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่คิด และยังเป็นหนึ่งในวิธีบริหารความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นและเจ้าของด้วยค่ะ 

โดยการลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของนี้ ก็จะส่งต่อความเป็นเจ้าของนั้นให้กับผู้ถือหุ้นรายอื่นหรือกิจการอื่น ๆ ค่ะ ซึ่งการ Exit นี้มีได้ทั้งแบบสมัครใจและไม่สมัครใจค่ะ 

อย่างเช่น ถ้าเจ้าของมองว่า มีคนที่มีความสามารถบริหารงานได้ดีกว่าตัวเองก็อาจจะถูกทำให้ Exit เพื่อให้คนนั้นเข้ามาบริหารแทนค่ะ 

การ Exit นี้เกิดได้ทั้งกับธุรกิจขนาดใหญ่ กลาง เล็ก รวมไปถึง Startup และการร่วมทุนในหลายรูปแบบค่ะ

โดยวิธีการ Exit มีด้วยกันทั้งหมด 6 วิธีค่ะ 

วิธีแรก คือ IPO หรือ วิธีการเสนอขายหุ้นให้กับบุคคลทั่วไปเป็นครั้งแรกค่ะ จริงอยู่ที่ IPO เป็นการระดมทุนให้กับบริษัท แต่ในมุมตรงกันข้าม มันก็คือการลดสัดส่วนเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นเดิมลงด้วยเช่นกัน ยิ่งบางธุรกิจที่มีนักลงทุนรายใหญ่ถือหุ้นเดิมอยู่ เมื่อทำ IPO เข้ามาแล้ว นักลงทุนรายใหญ่หรือ Angle Investors ก็อาจจะนำเงินที่ได้จากการ IPO ไปลงทุนในธุรกิจอื่นแทนค่ะ 

วิธีที่สอง คือการขายกิจการ ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับกิจการที่มีผลประกอบการไม่ค่อยดีค่ะ การขายกิจการตัวเองออกไปอาจจะช่วยลดความเสียหายและลดความเครียดที่เกิดกับเจ้าของกิจการนั้นได้ค่ะ หรือในทางตรงกันข้ามกับบริษัทที่ธุรกิจดี การขายกิจการหรือขายหุ้นออกไปก็จะเป็นการรักษาผลกำไรที่ตัวเองต้องการได้ค่ะ วิธีนี้จะขายแบ่งเฉพาะตัวธุรกิจเอง หรือขายธุรกิจรวมกับผู้บริหารและพนักงานเดิมก็ได้ค่ะ 

วิธีที่สามคือ M&A หรือ Mergers and Acquisitions หรือเราเรียกวิธีนี้ว่าการควบรวมกิจการ โดย Mergers ซึ่งเป็นวิธีที่กิจการตั้งแต่ 2 บริษัทขึ้นไปมาควบรวมกันค่ะ อย่างเช่น ตอนที่ธนาคารทหารไทยควบรวมกับธนาคารธนชาต และเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารทหารไทยธนชาต ส่วน Acquisitions คือการขายกิจการของตัวเองให้กับบริษัทอื่น โดยจะขายผ่านทรัพย์สินหรือหุ้นก็ได้ค่ะ อย่างเช่นตอนที่ Facebook เข้าไปซื้อกิจการของ Instagram ค่ะ 

วิธีที่สี่ คือ วิธีการเสนอขายหุ้นให้กับคนในวงจำกัด หรือ Private Placements (PP) วิธีนี้ไม่ยุ่งยากเท่า IPO เพราะไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจาก กลต. แถมขั้นตอนการดำเนินการก็ยุ่งยากน้อยกว่าด้วยค่ะ โดยวิธีนี้เจ้าของเดิมที่ถือหุ้นอยู่จะลดสัดส่วนตัวเองลงไปให้กับผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นค่ะ 

วิธีที่ห้า คือ การสืบทอดกิจการครอบครัวค่ะ วิธีนี้จะเป็นการถ่ายโอนธุรกิจหรือสัดส่วนความเป็นเจ้าของให้กับทายาท และ...

วิธีสุดท้ายคือ ล้มละลาย ซึ่งวิธีนี้เจ้าของกิจการจะถูกฟ้องเพื่อยึดทรัพย์สินและถูกบังคับให้ออกจากธุรกิจนั้นไปโดยปริยายค่ะ

'ฤกษ์อารี นานา' นักเรียนไทย ผู้ที่ทำให้พวกฝรั่งเหยียดเอเชียทึ่ง!!

ถือเป็นอีกมุมมองที่พอจะทำให้เห็นถึงความเจริญของ ‘ประเทศไทย’ ในสายตาต่างชาติได้มากขึ้น ภายหลังจาก ‘แมน’ ฤกษ์อารี นานา ทายาทของ ‘นายไกรฤกษ์ นานา’ นักประวัติศาสตร์ชื่อดังของประเทศไทย ได้บอกกล่าวภาพรวมของประเทศในยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศส ที่ครั้งหนึ่งเจ้าตัวได้เห็นความเจริญของประเทศแห่งนี้จากการไปเรียนต่ออยู่หลายปี ผ่านช่องยูทูบ ‘UTN Today’ ในช่วงหนึ่งของเนื้อหาคลิปที่ชื่อว่า ‘เรียนต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย 'ซ้ำชั้น 2 รอบ' แต่ใจสู้ | UTN World กับ แมน นานา EP.1’ โดยเจ้าตัวเผยคำสั้น ๆ เมืองไทย ‘ศิวิไลซ์’ แล้วจริง ๆ 

คุณแมน เล่าให้ฟังว่า ตนอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่อายุ 15 ถึง 25 โดยช่วงอายุประมาณ 13 ปี คุณแม่ของคุณแมนได้ส่งไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส โดยมีญาติอยู่ที่นั่น แต่ด้วยความที่ไปคนเดียว ก็จะมีความรู้สึกที่เหงาอยู่บ้าง และการไปอยู่ที่นั่น เรื่องภาษาก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะเขาจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย ตนจึงต้องเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสแบบจริงจัง 

“ตอนนั้นผมไปแบบนักเรียนไทยธรรมดา ๆ ไปอยู่หออยู่ ซึ่งหอก็เป็นหอชายล้วน และโดยสภาพแวดล้อมก็บังคับให้เราต้องตั้งใจเรียนอย่างหนัก โดยเฉพาะภาษาฝรั่งเศส เพราะถ้าไม่ได้ภาษาที่นั่นก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากคนที่นั่นเขาไม่ใช้ภาษาอังกฤษ มันเป็นการปรับตัวที่ยากพอสมควร...

“อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะเป็นคนไทยคนเดียวในโรงเรียนที่ได้ไปอยู่ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่เป็นคาทอลิก แต่ผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างเปิดรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ สังคมใหม่ ๆ ชอบทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ จะเรียกว่าเป็นคน Extrovert ก็ได้ เพราะพื้นฐานเดิมของผมเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรม จึงเข้ากับสังคมได้ง่าย แต่แน่นอนว่าถ้าหากใครที่เป็นคนเก็บตัวประมาณหนึ่ง (Introvert) หรือไม่กล้าแสดงออก ก็อาจจะอยู่ในกรอบเซฟโซน” 

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นคนเรียนรู้เร็ว ทั้งเรื่องภาษา (พื้นฐานภาษาอังกฤษดีตั้งแต่อยู่เมืองไทย) และด้านวิชาการต่าง ๆ ทำให้คุณแมน ค่อนข้างจะได้รับการยอมรับจากครูและเพื่อนร่วมชั้นอย่างมาก สวนทางกับมุมมองของคนที่นั่นที่มักจะมองว่าคนเอเชียไม่เก่ง เพราะมาจากประเทศที่ล้าหลัง

“เอาจริง ๆ แล้วสมัยที่ผมไปเรียนช่วงนั้น ผมมองว่าระบบการศึกษาที่ฝรั่งเศส ก็มีความคล้ายคลึงกับในไทย คือ เน้นท่องจำ เน้นทฤษฎีซะส่วนใหญ่ ซึ่งผมก็โอเคกับมันเพราะว่าผมก็ค่อนข้างชอบทฤษฎีอยู่แล้ว แต่จะต่างกันตรงเด็กส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายในการคะแนนที่แข่งกับตัวเองอย่างมาก เช่น ต้องทำคะแนนให้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ต้องทำคะแนนให้ได้ดีกว่าเพื่อน ต้องทำคะแนนให้ได้ดีในระดับโรงเรียน และถึงขั้นต้องทำคะแนนให้ได้ดีกว่าเด็กโรงเรียนอื่นด้วย โดยที่ฝรั่งเศสเขาจะวัดคะแนนเป็นเต็ม 20 คะแนน แต่ถ้าเมืองไทยจะเป็นเกรด 1-2-3-4 ซึ่งถ้าอยู่ที่ฝรั่งเศสคะแนนเต็ม 20 หากทำได้สัก 15 ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว แล้วมันมีช่วงหนึ่งที่ผมไปสอบวิชาเศรษฐศาสตร์ (เทียบระดับพอ ๆ กับ ม.6 ของไทย) ผมทำคะแนนได้ 19 คุณครูกับเพื่อน ๆ ก็ตกใจอย่างมาก”

ทั้งนี้ คุณแมน มองว่า การที่คนที่นั่นรู้สึกตกใจในสิ่งที่คนเอเชีย ซึ่งเป็นคนไทย คนที่พวกเขาคิดว่ามาจากประเทศด้อยพัฒนาทำได้จากคะแนนที่สูงเช่นนั้น ส่วนสำคัญเพราะ หากการพัฒนาของประเทศไทย จะเป็นการพัฒนาทุก ๆ เรื่องไปตามการพัฒนาของประเทศ ซึ่งนั่นก็หมายรวมถึงความสามารถด้านการศึกษา แต่กลับกันกับฝรั่งเศสหรืออาจจะหมายรวมถึงยุโรปด้วยนั้น จะยังคงความเป็นอนุรักษ์นิยมค่อนข้างสูง

ตรงนี้หมายถึงอะไร? ก็หมายถึงพวกเขายังชื่นชมในประวัติศาสตร์ของประเทศตน ทวีปตน ที่เคยยิ่งใหญ่ล้ำหน้าใครในโลก เรียนรู้เร็ว เจริญเร็ว แต่วันนี้พวกเขาเริ่มหยุดเจริญแล้ว และความเจริญที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ล้วนมาจากบุญเก่า สังเกตได้ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ยังอยู่ได้เพราะชื่อเสียงด้านการศึกษา ทำให้มีนักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียนมากมายในลอนดอน ซึ่งหากถ้าไม่มีนักเรียนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนเอเชียด้วยแล้ว ก็นึกภาพอนาคตของประเทศนี้ไม่ออกเช่นกัน เพราะนักเรียนที่ไปเรียนต่อ ล้วนแล้วแต่ไปสร้างรายได้ให้กับประเทศของเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าเรียนต่อ ค่าเช่าบ้าน ค่าร้านอาหาร ค่า Shopping และอื่น ๆ … ความขลังของบุญเก่ายังมีผลอยู่

เฉกเช่นเดียวกันกับความขลังในเรื่องของแบรนด์เนม เช่น ฝรั่งเศส กับ Hermès หรือ Louis Vuitton ที่ผู้คนยังพร้อมที่จ่ายให้ประวัติศาสตร์ที่มีความขลังนี้ และทุกวันนี้ประเทศที่ว่ามา ก็ยังใช้บุญเก่านี้ทำมาหากินได้อยู่ไปเรื่อย ๆ 

คุณแมน เผยต่อว่า จากมูลเหตุเหล่านี้ จึงทำให้ประเทศในยุโรป (ฝรั่งเศส) ยังกระหยิ่มยิ้มย่อง และทำให้เขามองว่าเอเชียอย่างเรา ยังไงก็ยังล้าหลัง

“เวลาเขามองประเทศไทยวันนี้ เขายังรู้สึกว่าเหมือนมองเมืองไทยในยุคเลย 20 ปีที่แล้วไปอีกไกล คนไทยขี่ช้างอยู่ คนไทยขี่เกวียนอยู่ จนกระทั่งวันที่เพื่อนของผมที่เป็นคนฝรั่งเศสได้มาไทย ก็ตกใจกันอย่างมาก เพราะเมืองไทยมีการใช้จ่ายผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ด ใช้จ่ายกันตั้งแต่ร้านค้าใหญ่ ๆ ไปจนถึงร้านค้าเล็ก ๆ เมืองไทยมีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ที่ไม่มีความสกปรก ไม่มีขอทาน รถไฟฟ้าไม่มีกลิ่นฉี่ ดูดีมาก แต่ในปารีสกลับมีหนู มีคนปัสสาวะเรี่ยราด มีขอทาน แล้วก็มีคนเล่นยาด้วยในรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งคนฝรั่งเศสคนไหนที่ได้มาเปิดหูเปิดตาในไทยตอนนี้ พูดได้แค่คำเดียวว่า ‘ศิวิไลซ์’ มาก ๆ...

“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมองอีกว่า บ้านเราอารยะ มีมารยาทสูง เอาแค่ในรถไฟฟ้าของไทย ผู้คนจะมีมารยาทในการใช้งาน ไม่โวยวาย ไม่คุยเสียงดัง เข้า-ออก ตามคิวอย่างเป็นระเบียบ และยังเอื้อเฟื้อต่อเด็ก, สตรีมีครรภ์ และ คนชรา ได้นั่งก่อน กลับกันในรถไฟฟ้าที่ยุโรป เช่น ในฝรั่งเศส ใครจะโทรศัพท์หาใคร จะตะโกนยังไงก็ได้ เพราะเขามองว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขา หนักข้อคือจะกินข้าวเลอะเทอะยังไงก็ได้ ซึ่งตรงนี้ในมุมมองคนฝรั่งเศสที่ได้มาไทย เขายอมรับเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญแล้ว” 

“และนั่น จึงไม่ใช่แปลกเลย ที่วันนี้เราจะเห็นฝรั่งเขาพร้อมใจกันทำคลิปเรื่องดี ๆ ของไทยในแง่มุมต่าง ๆ ไปนำเสนอให้คนประเทศเขาได้เห็นถึงความเจริญในเมืองไทยมากขึ้น” คุณแมน ทิ้งท้าย 

อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามบทสัมภาษณ์เวอร์ชันเต็มได้ที่ >> https://youtu.be/Jy0PmsZ1xK0?si=SIhOj4b39yOhh8Pn 
 

รู้จัก Forced Sell การถูกบังคับขายโดยบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงหุ้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด

ช่วงนี้เป็นหนึ่งในช่วงที่ลงทุนยากมากในตลาดหุ้นไทยค่ะ แถมหุ้นหลายตัวยังลงไปทำราคาต่ำสุดในวันทั้งหุ้นไซส์ใหญ่ กลางเล็ก ก็โดนกันหมดค่ะ 

พอเราไปตามอ่านข่าวเราก็มักจะเห็นคำว่าหุ้นถูก Forced Sell อยู่หลายครั้ง ทั้งจากการที่เจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นำหุ้นตัวเองไปใช้เพื่อวางหลักประกันใน 'บัญชี Margin' รวมไปถึงมีการถูกบังคับขายในบัญชีนักลงทุนทั่วไป 

วันนี้เลยจะพาไปรู้จักค่ะว่า ‘Forced Sell’ คืออะไร? และส่งผลต่อราคาหุ้นตัวนั้น ๆ อย่างไรบ้างค่ะ

‘Forced Sell’ พูดง่าย ๆ ก็คือการถูก ‘บังคับขาย’ โดยบริษัทหลักทรัพย์จะทำการขายหลักทรัพย์ของลูกค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ที่ลูกค้าค้างชำระ หรือเพื่อรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้

ในสถานการณ์ปกติเจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สามารถเอาหุ้นของตัวเองมาวางเป็นหลักประกัน เพื่อกู้เงินบางส่วนกับทางบริษัทหลักทรัพย์ได้ โดยเงินที่กู้ได้บริษัทสามารถเอาไปใช้เพื่อซื้อหลักทรัพย์อื่น, เอาไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทตัวเอง, จองซื้อหุ้น IPO หรือกู้เพื่อเอาเงินไปใช้ในการทำธุรกิจได้ค่ะ เพราะในบางครั้งการกู้วิธีนี้ง่ายและสะดวกกว่าการกู้ธนาคาร ส่วนนักลงทุนทั่วไปก็มักจะเอาหลักทรัพย์ในบัญชีมาวางเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินไปซื้อหลักทรัพย์อื่น ๆ ค่ะ

ซึ่งเราจะเรียกบัญชีประเภทนี้ว่า บัญชี Margin โดยการกู้ผ่านบัญชี Margin นี้ นักลงทุนต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับบริษัทหลักทรัพย์เป็นค่าตอบแทนค่ะ และบริษัทหลักทรัพย์ก็จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของลูกค้ารายนั้นค่ะ

แต่ถ้าหากมูลค่าหลักประกันลดลง จนไม่เพียงพอต่อการค้ำประกันเงินกู้ บริษัทหลักทรัพย์จะส่ง Margin Call เพื่อให้เจ้าของบัญชีการดำเนินการบางอย่าง โดยอาจจะทำการเติมเงินเข้ามา หรือขายหลักทรัพย์บางส่วนออกเพื่อลดวงเงินกู้ และทำให้มูลค่าหลักประกันกลับไปอยู่ในระดับที่กำหนด และความเสี่ยงก็กลับไปอยู่ในเกณฑ์ค่ะ 

แต่ถ้าเจ้าของบัญชีไม่ดำเนินอะไรภายในระยะเวลาที่กำหนด บริษัทหลักทรัพย์ก็มีสิทธิ์ที่จะบังคับขายหลักทรัพย์ในพอทของเจ้าของบัญชีออกมาเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เจ้าของบัญชีขาดทุนอย่างหนักค่ะ เพราะการขายจะเป็นการขายที่ ณ ราคาในขณะนั้นเลย ซึ่งอาจจะต่ำกว่าราคาที่เจ้าของบัญชีอยากขาย และถ้าเป็นการขายเพื่อปิดสถานะด้วยหุ้นจำนวนมากก็จะยิ่งส่งผลให้ราคาหุ้นตัวนี้ตกลงอย่างรวดเร็ว แถมยังทำให้เจ้าของบัญชีถูกปรับลดความน่าเชื่อถือลงด้วยค่ะ

หลักเกณฑ์นี้ ก็ถูกนำมาใช้กับฝั่งที่คนขาย Short หุ้น (การทำกำไรในหุ้นขาลง) ด้วยเช่นกันค่ะ ถ้าลูกค้าทำการขาย Short หุ้นไว้ แล้วหุ้นตัวนั้นกลับวิ่งขึ้นสวนทางไปจากที่นักลงทุนคาดไว้ จนมูลค่าพอลดลงไปจนถึงระดับนึง ทางบริษัทหลักทรัพย์ก็สามารถทำการ Margin Call ในหุ้นตัวนั้น ๆ เพื่อให้ลูกค้าทำการเติมเงินหรือปิดสถานะบางส่วน และถ้าลูกค้าไม่ทำอะไรเลย ก็อาจจะโดน Forced Sell ได้เช่นเดียวกันค่ะ 

นอกจากนี้ถ้าการซื้อขายเป็นการซื้อขายที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือ การกระทำที่ผิดกฎหมายก็อาจจะส่งผลให้ถูก Forced Sell ได้เช่นกันค่ะ

๑๐ พระแก้วแห่งสยามประเทศ บารมีคู่บ้าน สิริมงคลคู่เมือง

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ หรือ ๗๒ พรรษา ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ นี้ ผมเลยจะขอเรียบเรียงเรื่องราวดี ๆ ในแต่ละบทความให้ครบ ๑๐ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติในหลวงของเรา โดยในครั้งนี้จะเริ่มต้นด้วยพระแก้วคู่บ้านคู่เมืองแห่งสยามประเทศ ๑๐ องค์ 

จากพระแก้วเมืองอุบลราชธานี มาถึงกรุงเทพมหานครที่เราทราบกันดีว่าพระพุทธรูปองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ‘พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร’ หรือ ‘พระแก้วมรกต’ ซึ่งถ้าเราเจาะลึกลงไปเพิ่มเติม โดยเฉพาะชื่อเต็มของกรุงเทพฯ คือ ‘กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์’ 

คำว่า ‘อมรรัตนโกสินทร์’ หมายถึง เมืองที่ประดิษฐาน ‘พระแก้วมรกต’ และอีก ๑ คำคือ คำว่า ‘ภพนพรัตน์’ อันหมายถึง พื้นดินที่ฝังอัญมณี ทั้งเก้าเอาไว้ ‘นพรัตน์’ หรือ อัญมณีทั้งเก้า ประกอบไปด้วย เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย และไพฑูรย์ 

แต่ครั้งนี้ผมคงเล่าได้ไม่ครบแก้วทั้ง ๙ ประการนะครับ แต่จะขอยกเอาพระแก้วสำคัญมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักเพิ่มเติมมากกว่า ๙ คือจะเล่าถึง ๑๐ องค์ โดยหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะมีโอกาสได้ไปสักการะองค์พระท่าน เพื่อเป็นสิริมงคลของแต่ละท่านนะครับ โดยผมขอเริ่มจากองค์พระที่มีพระวรกายเป็นสีเขียวก่อนนะครับ 

พระแก้วดอนเต้า

องค์ที่ ๑ ‘พระแก้วดอนเต้า’ หรือ ‘พระเจ้าแก้วมรกต’ ประดิษฐาน ณ กุฏิพระแก้ว วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิราบ สลักจากหินหยกสีเขียวซึ่งเชื่อว่าเป็นหินหยกชนิดเดียวกับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตามศิลปะแบบเชียงแสนตอนปลาย ไม่มีพระเกตุมาลาเหมือนพระพุทธรูปทั่วไป โดยที่บริเวณฐานพระเจ้าแก้วมรกตดอนเต้าจะทำด้วยทองคำหนัก ๑๙ บาท ๑ สลึง ๑ เฟื้อง มีชฎาทองคำเป็นเครื่องสวมเศียร และมีเครื่องทรง ทำเป็นสร้อยสังวาล ซึ่งเป็นเนื้อทองคำรวมน้ำหนักถึง ๗ บาท ซึ่งตามตำนานเล่าว่าพระแก้วดอนเต้านี้สร้างขึ้นจากแก้วของพญานาคแห่งแม่น้ำวังกะนะทีซึ่งนางสุชาดามาถวายพระมหาเถระแห่งวัดดอนเต้า สลักด้วยฝีมือพระอินทร์จำแลง 

พระนาคสวาดิเรือนแก้ว

องค์ที่ ๒ ‘พระนาคสวาดิเรือนแก้ว’ ประดิษฐาน ณ หอพระสุราลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สลักจากหยกสีเขียว ศิลปะราวสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ โดยพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ได้นำพระพุทธรูปศิลาเขียวองค์นี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งคำว่า ‘นาคสวาดิ หรือ นาคสวาท’ มาจากสีเขียวขององค์พระ ด้วยความเชื่อที่ว่าสีเขียวนั้นเกิดจากเลือดของนาคเมื่อครั้งถูกครุฑจับฉีกเนื้อ นาคกระอักเลือดออกมาเป็นหินสีเขียว เรียกว่า ‘นาคสวาท’ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ 

รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชดำริว่าการที่ทรงได้ พระแก้วนาคสวาดิองค์นี้ในปีที่ ๓ ที่ทรงครองราชย์ นับเป็นบารมีเหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระบรมชนกนาถรัชกาลที่ ๒ ทรงได้พระแก้วผลึกในปีที่ ๓ ของรัชกาลเช่นกัน ภายหลังพระองค์ทรงสร้างเรือนแก้วทองคำลงยาราชาวดีถวายพระพุทธรูปศิลาเขียว และทรงถวายพระนามว่า ‘พระนาคสวาดิเรือนแก้ว’ เป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร

องค์ที่ ๓ ‘พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร’ หรือเรียกกันอย่างสามัญว่า ‘พระแก้วมรกตน้อย’ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานบนฐานไม้จำหลัก ปิดทอง บัลลังก์ประดับพระปรมาภิไธย ‘วปร’ ใต้ฐานพระจารึกคำว่า ‘FABERGE 1914’ โดยพระแก้วองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๕๔ รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระดำรัสสั่งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ขณะทรงเสด็จฯ เยือนรัสเซีย ให้ทรงหาซื้อแก้วมรกตก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่จะพึงหาได้ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้หาช่างฝีมือทำหุ่นพระพุทธรูปขึ้นตามแบบที่พระองค์ได้ทรงมอบให้  

ซึ่งผู้ที่รับแกะสลักพระพุทธรูปสำคัญนี้คือช่างจาก ‘ห้างฟาแบร์เช่’ ซึ่งเป็นห้างเครื่องทองและอัญมณีประจำราชสำนักรัสเซีย ดำเนินกิจการโดย นายปีเตอร์ คาร์ล ฟาแบร์เช่  (FABERGE) ซึ่งเป็นชื่อที่สลักอยู่ใต้ฐานองค์พระนั่นเอง 

พระแก้วมรกตน้อยมาถึงสยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้มีการฉลองและทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ปีเดียวกัน เมื่อเสร็จพิธีแล้วพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนสักการบูชาเป็นเวลา ๓ วัน แล้วจึงอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง พระแก้วมรกตน้อยเป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต 

พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล

องค์ที่ ๔ ‘พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล’ หรือชื่อสามัญคือ ‘พระหยกเชียงราย’ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะแบบเชียงแสน แกะสลักจากหินหยก มีเครื่องทรงแบบเชียงแสนทำจากอัญมณีและทองคำ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย พระแก้วองค์นี้สร้างขึ้นในวโรกาสที่ ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๙๐ พรรษา นำโดยสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรฯ อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ได้ร่วมกับพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย จัดสร้างพระแก้วองค์นี้ขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล 

โดยหินหยกที่นำมาแกะสลักนั้น เป็นหินหยกจากประเทศแคนาดา แกะสลักโดยโรงงานหยกวาลินนานกู จงจูลู นครปักกิ่ง ประเทศจีน อัญเชิญมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เป็นองค์ประธาน 

ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้พระราชทานนามพระพุทธรูปองคนี้ว่า ‘พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล’ มีความหมายว่า ‘พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอากรแห่งรัตน เป็นอนุสรณ์ 90 พรรษา’ และโปรดเกล้าฯ ให้ขนานพระนามว่า ‘พระหยกเชียงราย’ ต่อมาคณะสงฆ์และประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย ได้อัญเชิญองค์พระไปประดิษฐาน ณ วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ในปีเดียวกัน

จะเห็นว่าเมืองไทยของเรามีพระแก้วที่พระวรกายเป็นสีเขียวหลายองค์ ในลำดับต่อไปก็มาถึงพระแก้วที่มีพระวรกายเป็นเฉดขาวทั้งที่ใสดุจแก้ว องค์พระแก้วที่มีไหมทองเป็นลายในองค์พระและองค์ที่ขาวเย็นเพราะสลักจากศิลาขาว ดังนี้ครับ 

พระเสตังคมณี

องค์ที่ ๕ ‘พระเสตังคมณี’ หรือ ‘พระแก้วขาว’ ประดิษฐานภายในพระวิหาร วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ สลักจากแก้วสีขาวใส ปางมารวิชัย ศิลปะสกุลช่างละโว้ ‘เสตังคมณี’ มาจากคำว่า ‘เสต’ แปลว่า ขาว กับคำว่า ‘มณี’ แปลว่า แก้ว คือ ‘พระแก้วขาว’ อย่างตรงตัว องค์พระใสสะอาด พระเศียรหุ้มด้วยทองคำ ประทับนั่งบนแท่นไม้จันทน์หุ้มแผ่นทองคำ ใต้ฐานจารึกว่า “เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ พระเจ้าอินทวิไชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระราชบิดาของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พร้อมด้วยเจ้าแม่ทิพยเกสรและราชบุตร ราชธิดาสร้างถวายแด่พระเสตังคมณี” 

ตามตำนานเล่าว่า องค์พระแก้วขาวนั้นเมื่อแรกสร้างนั้น พระอรหันตเจ้าไปขอ ‘แก้วบุษยรัตน์’ มาจาก ‘จันเทวบุตร’ หาช่างสร้างพระไม่ได้ จนพระอินทร์ต้องมีโองการสั่งพระวิษณุกรรมมาเนรมิตสร้างจนเป็นองค์พระอันงดงามและประดิษฐานที่ละโว้เป็นแห่งแรก 

ต่อมาพระนางจามเทวีซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้จะมาครองหริภุญไชย จึงได้ทูลฯ ขอพระแก้วขาวมาประดิษฐานที่เมืองหริภุญไชยเพื่อเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์และสถิตอยู่ ณ หริภุญไชยเป็นเวลาหลายร้อยปี ก่อนที่พญามังราย ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์มังรายผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา ยกทัพมาเอาชนะหริภุญไชย โดยมีพระราชศรัทธาพระแก้วขาวเป็นอย่างมาก จึงได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานไว้ ณ ที่ประทับส่วนพระองค์ 

ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงได้สร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเป็นราชธานีในปี พ.ศ.๑๘๓๙ จึงได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานในพระราชฐานของพระองค์กระทั่งพระองค์สวรรคตพระแก้วขาวก็ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ ณ วัดเชียงมั่นในเมืองเชียงใหม่ตลอดมากว่า ๗๐๐ ปี 

พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย

องค์ที่ ๖ ‘พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย’ หรือ ‘พระแก้วผลึก’ ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนา ปางสมาธิ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง มีเพียงเรื่องเล่าว่า มีผู้นำไปซ่อนไว้ในถ้ำเขาวัดส้มป่อย นครจำปาศักดิ์ ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง 

ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลายมีพราน ๒ คน ไปพบ แล้วเชื่อว่าเป็นเทวรูปที่ให้คุณ จึงได้อัญเชิญองค์พระมาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน แต่ระหว่างที่อัญเชิญองค์พระมานั้นพระกรรณเบื้องขวาไปกระทบคันหน้าไม้บิ่นไปเล็กน้อย ในสมัย ‘เจ้าไชยกุมาร’ ครองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองประเทศราชของไทย ได้ทราบข่าวเรื่อง ๒ พรานมีพระพุทธรูปแก้วผลึกใส พุทธลักษณะงดงาม จึงได้นำมารักษาไว้ที่นครจำปาศักดิ์ จนมาถึงสมัย ‘เจ้าพระวิไชยราชขัตติยวงศา’ เจ้านครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ ได้ย้ายนครจำปาศักดิ์มาตั้งทางอีกฝั่งของแม่น้ำโขง 

จนในปี ๒๓๕๔ พระองค์ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ จึงโปรดฯ ให้ข้าหลวงไปปลงพระศพ ข้าหลวงได้ไปเห็นองค์พระแก้วผลึก ว่าเป็นพระพุทธรูปแก้วผลึกสีขาวงดงาม ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน จึงได้มีใบบอกนำความกราบบังคมทูลฯ ถวายพระแก้วผลึก แล้วจึงอัญเชิญมายังกรุงเทพฯ โดยมีงานสมโภชมาตลอดทาง เมื่อถึงกรุงเทพฯ รัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้ประชุมช่างจัดหาเนื้อแก้วผลึกเหมือนองค์พระ เจียระไนแก้วติดปลายพระกรรณขวาที่แตกชำรุดให้สมบูรณ์ และขัดชำระองค์พระให้เป็นเงางามเสมอกัน รับสั่งให้ทำเครื่องทรงอย่างงดงาม แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระสุราลัยพิมาน ทรงสักการะบูชาวันละสองเวลา เช้า-ค่ำ ไม่มีขาด

ว่ากันว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ หลังจากเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเบญจาตั้งบุษบกสูงเพื่อประดิษฐานแก้วมรกตเป็นการถาวรแล้วเสร็จ ครั้นเมื่อมีงานพระราชพิธีใหญ่ต่าง ๆ ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วผลึกตั้งเป็นประธานในพิธีแทนมาจนตลอดรัชสมัยของพระองค์ 

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ช่างทำเครื่องประดับองค์พระและฐานพระพุทธรูปใหม่ พร้อมทั้งฉัตรกลางและซ้าย ขวา แล้วตั้งการฉลองสมโภชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถวายพระนามพระแก้วผลึกนี้ว่า ‘พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย’

พระแก้วน้ำค้าง

องค์ที่ ๗ ‘พระแก้วน้ำค้าง’ ประดิษฐานอยู่ ณ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น สลักจากแก้วหินเขี้ยวหนุมาน หรือ ‘แก้วขาวน้ำบุษย์’ ลักษณะ ‘ใส’ ไม่มีมลทิน บางตำราเรียกองค์ท่านว่า ‘พระแก้วขาวบุษย์น้ำค้าง’ คำว่า ‘แก้ว’ ในที่นี้หมายถึง ‘หินกึ่งมีค่า’ หรือ ‘อัญมณี’ ไม่ใช่แก้วที่เกิดจากการหลอมทรายอย่างที่เรียกว่า ‘แก้วประสาน’ ส่วนบนขององค์พระช่วงพระเกศาทำจากทองคำครอบพระเศียรไว้ ฐานทองคำลงยาราชาวดี เชื่อกันว่าแก้วน้ำค้างจะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้ครอบครองและมีคุณวิเศษด้านปกป้องเภทภัยต่าง ๆ

พระพุทธบุษยรัตน์น้อย

องค์ที่ ๘ ‘พระพุทธบุษยรัตน์น้อย’ ประดิษฐานอยู่ที่ หอพระสุราลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง เป็นพระพุทธรูปแบบแก้วผลึกใส ศิลปะแบบล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ ‘นายเพิ่ม’ ไพร่หลวงรักษาพระองค์ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ โดยนำองค์พระมาจากพระนครศรีอยุธยา ซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชดำรัสว่า "...เนื้อแก้วบริสุทธิ์ดี ลักษณะและส่วนสัดส่วนงามกว่า พระแก้วขนาดเดียวกันบรรดามี..."

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ กับพระรจนารังสรรค์ แก้พระพักตร์ให้งามขึ้นกว่าเดิมพร้อมทำฉัตรกับฐาน ก่อนจะทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานบนพระแท่นมณฑล ในพระราชพิธีตรุษในเดือนมีนาคม โดยทรงพระราชนิพนธ์ว่า  "...ในการพระราชพิธีใหญ่ ๆ จึงโปรดให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนออกมา ตั้งเป็นประธานในพระราชพิธีแทนพระแก้วมรกต ส่วนพระสำหรับแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้พระนาคสวาดิเรือนแก้ว ซึ่งได้มาแต่เมืองเวียงจันทน์ ครั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ใช้พระแก้วเชียงแสนเป็นพระของเดิม พระในแผ่นดินปัจจุบันนี้ใช้พระพุทธบุษยรัตนน้อย..." 

โดย ‘พระพุทธบุษยรัตน์น้อย’ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงถือว่าเป็นพระแก้วประจำรัชกาลพระองค์

พระพุทธสุวรรณโกศัยมัยมณี

องค์ที่ ๙ ‘พระพุทธสุวรรณโกสัยมัยมณี’ หรือ ‘พระแก้วไหมทอง’ ประดิษฐาน ณ วัดทุ่งสนุ่นรัตนาราม จ.กำแพงเพชร เป็นพระปางสมาธิที่แกะสลักจากหินไหมทองจากพม่า โดยพบหินไหมทองนี้ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นพระที่แกะสลักจากหินไหมทององค์เดียวของไทย มีเส้นทองเดินทั่วองค์ ทรงเครื่องประดับตามแบบ ‘พระเสตังคมณี’ วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ เป็นศิลปะล้านนาผสมรัตนโกสินทร์ เมื่อแสงไฟกระทบองค์พระ จะเห็นเส้นไหมทองละเอียดเต็มองค์ ตามปกติทางวัดจะไม่ได้เปิดให้เข้าสักการะหรือเข้าชม จะอัญเชิญออกมาเฉพาะเทศกาลสำคัญ เช่น วันสงกรานต์

พระพุทธเทววิลาส

องค์ที่ ๑๐ ‘พระพุทธเทววิลาส’ หรือ ‘หลวงพ่อขาว’ ประดิษฐาน ณ วัดเทพธิดาราม กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเทพธิดารามขึ้นใน พ.ศ.๒๓๗๙ คำว่า ‘เทพธิดา’ หมายถึง ‘กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ’ หรือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิลาส พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ ๓ 

‘พระพุทธเทววิลาส’ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะเชียงแสนสุโขทัย จำหลักจากศิลายวงสีขาวบริสุทธิ์ประดิษฐานอยู่บนเวชยันต์บุษบกไม้จำหลักลาย ปิดทองประดับกระจกเกรียบ อัญเชิญองค์พระมาจากพระบรมมหาราชวัง 

ทั้งนี้ไม่ปรากฏประวัติการสร้างหรือที่มา เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปรุ่นเดียวกับพระแก้วมรกต เดิมเรียกกันแต่เพียงว่า ‘หลวงพ่อขาว’ จนในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ถวายพระกฐิน จึงได้ทรงเฉลิมพระนามว่า ‘พระพุทธเทววิลาส’ ตามพระนามของ ‘สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ’ ในหนังสือราชเลขาธิการที่ รล.๐๐๐๒/๒๕๒๒ 

บทความในครั้งนี้อาจจะยาวสักหน่อย แต่ถ้าท่านผู้อ่านสนใจในเรื่องของพระแก้วอันมงคลของไทย คงจะไม่พลาดไปสักการะองค์พระแก้วที่ผมได้เรียบเรียงมาเพื่อร่วมเทิดพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ หรือ ๗๒ พรรษา ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ นี้ กันนะครับ

วังวน!! Trade War สงครามการค้าที่ไม่มีใครชนะ ศึกวัดพลังที่ลุกลามไปทั่วโลกจาก 2 บิ๊กมหาอำนาจ

'สงครามการค้า' เป็นความขัดแย้งหรือการต่อสู้กันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจากการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งต้องการที่จะคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศของตัวเอง ตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า รวมไปถึงความต้องการที่จะกีดกันทางการค้า โดยการกีดกันนี้มักจะใช้มาตรการทางภาษี (Tariff), การจำกัดปริมาณการนำเข้า (Quota) เป็นเครื่องมือ ซึ่งถ้าในกรณีที่รุนแรงก็อาจจะนำไปสู่สงครามการลดการค้าระหว่างประเทศได้ค่ะ

ตัวอย่างของสงครามทางการค้าที่โด่งดังมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ทั้งสองประเทศนับเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกทั้ง 2 ประเทศ โดยสงครามการค้าเกิดขึ้นมาในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2018 ค่ะ 

ตอนนั้นสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าถึง 6 แสนล้านเหรียญ โดยขาดดุลหลักๆ ให้กับประเทศจีนค่ะ ทรัมป์เลยต้องการที่จะลดการขาดดุลทางการค้ารวมถึงต้องการจำกัดการถ่ายโอนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปที่บริษัทจีน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่เขาเคยได้หาเสียงไว้ นั่นคือ 'Make America Great Again' แถมในตอนนั้นเองสหรัฐฯ ยังกังวลถึงนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่อยากให้ประเทศจีนกลายเป็นฐานการผลิตโลกภายใต้นโยบาย 'Made in China 2025' และนโยบาย 'อี่ไต้อี่ลู่' หรือ 'One Belt, One Road' ที่เป็นนโยบายการฟื้นฟูเส้นทางสายไหมที่จะเชื่อมโยงทวีปเอเชีย, ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกันค่ะ 

โดยสหรัฐฯ เริ่มต้นเก็บภาษีการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน และจีนก็โต้กลับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่าถึง 3 พันล้านดอลลาร์ และสหรัฐฯ ก็ตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนกว่า 800 รายการเป็นมูลค่าสูงถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และจีนเองก็ต่างตอบโต้กันอย่างดุเดือดค่ะ

การตอบโต้ของทั้งสองประเทศดำเนินไปอย่างเข้มข้นและรุนแรง จนมาผ่อนคลายชั่วคราวในช่วงปี 2020 และพอเข้าปีที่ 2022 รูปแบบ Trade War ก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมคือ กลายเป็นสงครามการค้าที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวกลางหรือที่เราเรียกว่า Tech War แทน สงครามการค้า 

Tech War ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป Nvidia ไปยังจีน เพื่อให้จีนเข้าไม่ถึงชิปที่ทันสมัย และยังไม่รวมถึงการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ที่จะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยในรอบนี้จะมีการขึ้นภาษีทั้งในรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ด้วยค่ะ 

แต่นอนว่า สงครามการค้าที่รุนแรงและยื้อเยื้อนี้ ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก รวมทั้งลามไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างเช่นประเทศแถบยุโรปที่เริ่มหันมาเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ EV จากจีน หลังจากที่พวกเขาเองก็ประสบปัญหาการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ทำให้จีนเองต้องตอบโต้ด้วยการเริ่มตรวจสอบการทุ่มตลาดเนื้อหมูจาก EU กลับ

ส่วนในไทยเองแม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกอาจจะอ่อนแอลงไป แต่ไทยก็อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องสงครามการค้าจากการย้ายฐานการผลิตมายังไทย และการส่งออกสินค้าไปทั้งสหรัฐฯ และจีนได้มากขึ้นในบางสินค้าอย่าง เช่น การส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน และการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ ค่ะ 

ยลโฉมกระบวนพยุหยาตราและเรือพระที่นั่งประจำรัชกาล ลำใดสร้างขึ้นเมื่อไร ลำที่เท่าใด ลำใดปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว

ในช่วงนี้เราคงได้ชมภาพการอัญเชิญเรือพระที่นั่งลงน้ำเพื่อเตรียมการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ที่กำหนดการจัดให้มีขึ้นในวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ นี้ ซึ่งทุก ๆ ท่านคงจะได้รู้จักเรือพระที่นั่งสำคัญ อย่าง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ กันอยู่แล้ว แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าเรือพระที่นั่งลำใดสร้างขึ้นในรัชกาลใดและเป็นลำที่เท่าไหร่ และเรือพระที่นั่งลำใดที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว 

ส่วนตัวผมได้เคยเป็นผู้จัดการแข่งขัน ‘เรือยาวขุด’ ประเพณีชิงถ้วยพระราชทานเมื่อหลายปีก่อน ซึ่ง ‘เรือขุด’ คือเรือยาวที่นำเอาต้นไม้ทั้งต้นมาขุด และผ่านกรรมวิธีเฉพาะแบบโบราณจนได้เรือยาวที่พร้อมลงน้ำในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นเรือชนิดใด ถ้าเป็นเรือที่ใช้เพื่อการสำคัญก็ล้วนแล้วแต่ใช้วิธีการสร้างแบบนี้ ซึ่ง ‘เรือขุด’ ที่ถือได้ว่างดงามและสำคัญที่สุดก็คือ ‘เรือพระที่นั่ง’ ในกระบวนเรือพระราชพิธี ซึ่งในครั้งนั้นผมได้รวมรวมเนื้อหาเพื่อนำเสนอในนิทรรศการ ‘มหกรรมเรือยาวขุดประเพณี’ ซึ่ง ‘เรือพระที่นั่ง’ ลำต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเรือขุดโบราณที่ถือได้ว่าเป็นมรดกสำคัญของชาติ ในครั้งนี้ผมจึงขอนำเอาเรื่องของเรือพระที่นั่งและกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคของแต่ละรัชกาล ที่เรียบเรียงในครั้งนั้นมานำเสนอให้ทุกท่านได้ติดตามกัน ดังนี้...

รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระนครหลวงจากกรุงธนบุรี มาฝั่งกรุงเทพมหานคร บริเวณทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตามที่บันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์เป็นกระบวนหลวงซึ่งเป็นกระบวนพยุหยาตราอย่างโบราณในการอัญเชิญพระแก้วมรกตแห่ข้ามฟากมาประดิษฐานเหนือบุษบกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๗ ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่งที่โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นใหม่ คือ เรือพระที่นั่งบัลลังก์แก้วจักรพรรดิ เรือพระที่นั่งสวัสดิชิงชัย เรือพระที่นั่งบัลลังก์บุษบกพิศาล เรือพระที่นั่งพิมานเมืองอินทร์ เรือพระที่นั่งบัลลังก์ทินกรส่องศรี เรือพระที่นั่งสำเภาทองท้ายรถ เรือพระที่นั่งมณีจักรพรรดิ เรือพระที่นั่งศรีสมรรถไชย เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ ทั้งยังซ่อมแซมเรือพระที่นั่งลำอื่น ๆ พร้อมด้วยเรือประกอบกระบวนอื่น ๆ เพื่อให้กระบวนเป็นไปอย่างพร้อมสมบูรณ์ 

รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แต่งเรือในกระบวนเรือพยุหยาตราชลมารค อย่างยิ่งใหญ่ในการเสด็จฯ ไปถวายผ้าพระกฐิน ปรากฏหลักฐานว่าทรงสร้างเรือพระที่นั่งเพียงลำเดียว แล้วพระราชทานนามว่า ‘เรือพระที่นั่งประจำทวีป’ โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่สำคัญก็คือการอัญเชิญ ‘พระแก้วขาว’ หรือ ‘พระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมลมณีมัย’ พระแก้วประจำรัชกาลที่ ๒ จากวัดเขียน นนทบุรี เข้ามาประดิษฐานบนพระแท่นทอง ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงใช้ ‘เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย’ เป็นเรือพระที่นั่งประจำพระองค์ เรือลำนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เพื่อทดแทนเรือพระราชพิธีลำเดิมที่ถูกทำลายไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จัดเป็นเรือประเภทเรือพระที่นั่งเอกชัย หรือเรือชัย ‘เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย’ เป็นชื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชทาน เป็นเฉพาะของพระองค์ โดยแรกเริ่มนั้นใช้เป็นเรือพระที่นั่งนำเสด็จฯ ก่อนเรือพระที่นั่งทรง ซึ่งน่าจะเป็น ‘เรือพระที่นั่งชัยสุวรรณหงส์’ ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ใน ‘ลิลิตกระบวนพยุหยาตราเพชรพวง’ ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก่อนที่จะเปลี่ยนเรือพระที่นั่งตามที่ ‘ลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทางสถลมารคและทางชลมารค’ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้บันทึกไว้ว่า เรือพระที่นั่งทรงของพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีพระราชทานผ้าพระกฐินทางชลมารค ได้ทรงเปลี่ยนเป็น ‘เรือพระที่นั่งชลพิมานชัย’ โดยเรือลำนี้เป็นเรือที่มิได้มีการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมให้กลับมาใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคแต่อย่างใด ปัจจุบันยังเรือพระที่นั่งลำนี้ยังเก็บรักษาทั้งลำสภาพชำรุดไว้ที่โรงเก็บเรือแผนกเรือราชพิธี กองเรือเล็กกรมการขนส่งทางเรือ กองทัพเรือ 

รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันศุกร์ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการเสด็จฯ เลียบพระนครทางชลมารค ในวันพุธที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ ซึ่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเต็มตามตำรา โดยพระองค์เป็นพระองค์ที่ ๒ ที่เสด็จฯ ตามกระบวนนี้ โดยเรือพระที่นั่งสำคัญในรัชสมัยของพรองค์ก็คือ ‘เรือพระที่นั่งศรีประภัสสรชัย’ ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเช่นเดียวกับเรือพระที่นั่งชลพิมานชัย ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) กล่าวว่า ‘เรือพระที่นั่งศรีประภัสสรชัย’ เป็นเรือพระที่นั่งทรงของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จเลียบพระนครทางชลมารคหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ต่อภายหลังพระองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนมาใช้ ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ เป็นเรือพระที่นั่งทรงแทน ‘เรือพระที่นั่งศรีประภัสสรชัย’ ซึ่งเป็นเรือพระที่นั่ง ๑ ใน ๒ ลำที่มิได้มีการสร้างขึ้นใหม่หรือซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้เป็นเรือพระที่นั่งแต่อย่างใด ปัจจุบันสามารถไปชมโขนของเรือพระที่นั่งลำนี้ได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี

รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการจัดกระบวนพยุหยาตราเลียบพระนครทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๖ ดังปรากฏหลักฐานใน ‘จดหมายเหตุบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๕ ครั้งหลังพุทธศักราช ๒๔๑๖’ แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดกระบวนเรือมากนัก พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่งลำนี้ จัดเป็นเรือพระที่นั่งศรี ในลำดับชั้นรอง เดิมนั้นสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการลำลอง แต่ต่อมาได้นำเข้าสู่กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคโดยเรียกว่า ‘เรือพระที่นั่งรอง’ ซึ่ง ‘เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ เป็นเรือพระที่นั่งลำเดียวที่สร้างเสร็จสิ้นในรัชกาลที่ ๕ เพราะนอกจาก ‘ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ ในช่วงปลายรัชกาลยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ ทดแทน ‘เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์’ ลำเดิมที่สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แต่มิทันเสร็จก็ทรงสวรรคตเสียก่อน 

รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จฯ โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคจากท่าราชวรดิฐไปยังวัดอรุณราชวรารามโดยเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๕๔ โดยปรากฏอยู่ใน ‘จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ซึ่ง ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ นั้นแล้วเสร็จในรัชสมัยของพระองค์คือปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ พอดี ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ แทนเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชลำแรกที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แต่มาเริ่มใช้ในกระบวนพยุหยาตราชลมารคในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ชำรุดทรุดโทรม ซึ่งกระบวนเรือได้ใช้ ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ รัชกาลที่ ๖ มาจนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๔เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ 

รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จประปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงวางหลักเกณฑ์การจัดระเบียบกระบวนเรือสำหรับเสด็จฯ ทางชลมารคขึ้นใหม่ดังนี้...

กระบวนพยุหยาตราใหญ่ เดิมใช้ว่า ‘กระบวนพยุหยาตราอย่างใหญ่’ ใช้ในโอกาสพระราชทานพระกฐิน หรือในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางชลมารค จัดเป็น ๔ สาย มีเรือนำกระบวนเป็นเรือพิฆาต เรือดั้ง เรือรูป สัตว์ เรือเอกไชย ๒๑ คู่ เรือพระที่นั่ง ๓ องค์ และเรือตามกระบวน ๔ คู่ รวม ๔๙ ลำ

กระบวนพยุหยาตราน้อย เดิมใช้ว่า ‘กระบวนพยุหยาตราอย่างน้อย’ โดยปรกติจัดในการพระราชทานพระกฐินทางชลมารค จัดเป็น ๒ สาย มีเรือนำกระบวน ๑๖ คู่ เรือพระที่นั่ง ๒ องค์ และเรือตามกระบวน ๔ คู่ รวม ๔๓ ลำ 

กระบวนราบใหญ่ทางชลมารค ๔) กระบวนราบน้อยทางชลมารค และ ๕) กระบวนราบย่อทางชลมารค

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นชอบ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถือเป็นระเบียบปฏิบัติได้ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นต้นมา โดยพระองค์เสด็จฯ เลียบพระนครทางด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (เป็นกระบวนพยุหยาตราใหญ่) ครั้งแรก เนื่องใน ‘พระราชพิธีบรมราชาภิเษก’ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ โดยเสด็จฯ จากท่าราชวรดิฐด้วย ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ ไปยังวัดอรุณราชวราราม เมื่อเรือพระที่นั่งเทียบท่าวัดอรุณฯ มีเรืออเนกชาติภุชงค์ทอดบัลลังก์กัญญาเป็นเรือพลับพลา จากนั้นเสด็จฯ ไปทรงนมัสการพระประธานในพระอุโบสถ ถวายผ้าทรงสะพัก ทรงสักการะพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ก่อนจะเสด็จฯ คืนพระบรมมหาราชวัง โดยเสด็จฯ ลงประทับในเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ด้วยกระบวนหยุหยาตราทางชลมารคเช่นเดิม อันเป็นการเสร็จสิ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยสมบูรณ์ ส่วนครั้งที่ ๒ นั้น เสด็จฯ ด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) ในพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปี เมื่อ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ 

รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มิได้มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค มิได้มีการสร้างเรือพระที่นั่งลำใหม่ขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งอู่เรือพระที่นั่งปากคลองบางกอกน้อยเดิมถูกลูกระเบิดถล่มจนเรือเสียหายไปหลายลำ ในช่วงนี้จึงเน้นหนักในการซ่อมแซมเรือและป้องกันมิให้เรือพระที่นั่งถูกทำลายเสียหาย หลังจากนั้นได้มีการโอนเรือพระราชพิธี ๓๖ ลำ ให้กรมศิลปากรดูแล และนำไปเก็บรักษาไว้ที่อู่เรือพระราชพิธีปากคลองบางกอกน้อยซึ่งห่างออกมาจากที่เดิม และส่วนที่เหลืออีกราว ๓๒ ลำ เป็นพวกเรือตำรวจ เรือดั้ง เรือแซง กองทัพเรือเก็บรักษาไว้ดังเดิม 

รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังจากพระราชพิธีในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปี ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคอีกเลยจนมาถึงรัชกาลที่ ๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นปีที่ทางราชการได้จัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษขึ้น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูประเพณีเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้นอีกครั้ง หลังจากว่างเว้นมานานถึง ๕๐ ปี 

ซึ่งครั้งเรียกว่า ‘กระบวนพุทธพยุหยาตรา’ ซึ่งจัดรูปกระบวนเรือคล้ายรูปกระบวนพยุหยาตราน้อย แต่ไม่ครบเนื่องจากเรือพระราชพิธีชำรุดเสียหายไปบางส่วน หลังจากนั้นก็ได้มีพระราชพิธีเสด็จฯ ด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคมาอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งที่สำคัญและเป็นที่น่าจดจำ ก็คือการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เพื่อเฉลิมฉลองในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ซึ่งทรงครองราชย์นานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในอดีต เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม ในครั้งนี้ได้มีเรือพระพระที่นั่งลำใหม่ คือ ‘เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙’ 

ซึ่งกองทัพเรือและกรมศิลปากรร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย โดยได้นำโขนหรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ มาเป็นแม่แบบ ในรัชกาลที่ ๙ นี้ มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ครั้ง และจัดกระบวนเรือพระราชพิธี จำนวน ๒ ครั้ง สำหรับกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในรัชกาลที่ ๙ ส่วนใหญ่จะเป็นการเสด็จฯ ไปทอดผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ส่วนการจัดกระบวนเรือพระราชพิธี ๒ ครั้ง ได้แก่ การจัดกระบวนเรือพระราชพิธี เนื่องในการประชุมเอเปก ๒๐๐๓ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ และอีกครั้งคือการจัดกระบวนเรือในโอกาสที่ สมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินี และ ผู้แทนพระประมุขต่างประเทศ ร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยการจัดกระบวนเรือพระราชพิธี ๒ ครั้งนี้เป็นเพียงการสาธิตการแห่กระบวนเรือซึ่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มิได้เสด็จฯ ในกระบวนเรือด้วย

รัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นพิธีเบื้องปลาย ขึ้นในวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ (เลื่อนจาก ๒๔ ตุลาคม ปีเดียวกันเนื่องจากกระแสนำของแม่น้ำเจ้าพระยา) เป็นการจัดรูปกระบวนพยุหยาตราชลมารค (ใหญ่) จากท่าวาสุกรี พระราชวังดุสิต ไปยังท่าราชวรดิฐ พระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วยเรือพระราชพิธีจํานวน ๕๒ ลํา กําลังพลฝีพาย จํานวน ๒,๒๐๐ นาย แบ่งออกเป็น ๕ ริ้ว ๓ สาย ดังนี้...

ริ้วสายกลาง ซึ่งเป็นเรือสายสำคัญประกอบด้วยเรือพระที่นั่ง ๔ ลำมีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ พร้อมด้วยประกอบอื่น ๆ 

ริ้วสายใน ขนาบข้างสายเรือพระที่นั่ง มีเรือทองขวานฟ้า เรือทองบ้าบิ่น เรือเสือทยานชล เรือเสือคำรณสินธุ์ เป็นเรือพิฆาตเรือรูปสัตว์ ๘ ลำ มีเรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทอง เป็นเรือคู่ชัก 

ริ้วสายนอก ประกอบด้วยเรือดั้ง และเรือแซง สายละ ๑๔ ลำ 

เรือพระราชพิธีทุกลําขุดขึ้นจากไม้ มีอายุยาวนาน โดยเฉพาะเรือพระที่นั่ง ทั้ง ๓ ลํา คือ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ สร้างในรัชกาลที่ ๕ มีอายุกว่า ๑๐๒ ปี เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ สร้างในรัชกาลที่ ๕ แล้วเสร็จสิ้นในรัชกาลที่ ๖ มีอายุ ๑๐๘ ปี เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช สร้างในรัชกาลที่ ๖ มีอายุ ๙๕ ปี ส่วนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ มีอายุ ๒๓ ปี ส่วนเรืออื่น ๆ ในขบวน โดยเฉพาะเรือรูปสัตว์แต่ละลํา มีอายุการสร้างนับร้อยปี เรือทุกลำที่ประกอบกันในริ้วกระบวนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาติไทยที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่สำคัญคือ ‘เรือขุด’ จากภูมิปัญญาแห่งอุษาคเนย์ที่มีค่าประเมินมิได้ 

เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้นอีกครั้ง วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ นี้ โดยมีเรือในกระบวนเรือพระราชพิธีจำนวน ๕๒ ลำ จัดเป็น ๕ ริ้ว ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่มีขบวนพยุหยาตราทางชลมารคลำดับที่สองในรัชสมัย

การควบรวมของ 'สองบริษัท-มากกว่า' เพื่อสร้างบริษัทใหม่ 'ทรัพย์สิน-หนี้สิน-สิทธิทั้งหมด' จะถูกควบรวมเข้าด้วยกัน

ถ้าใครได้ตามข่าวในแวดวงการลงทุนล่าสุด ก็คงจะเห็นข่าวใหญ่ของปีอย่างกรณีการควบรวมกิจการยักษ์ใหญ่อย่าง GULF ที่ควบรวมเข้ากับ INTUCH และก่อตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) ขึ้นมาค่ะ และขณะเดียวกันก็คงจะเริ่มผ่านตากับคำว่า Amalgamation อยู่หลายครั้งด้วย

สำหรับ Amalgamation คือ การควบรวมหรือการผนวกสองบริษัท หรือ มากกว่าเข้าด้วยกัน เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาค่ะ โดยบริษัทที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวนี้จะมีทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิทั้งหมดเเละความรับผิดชอบของบริษัทที่ถูกควบรวมเข้าด้วยกัน 

ส่วนบริษัทที่ถูกควบรวมนั้น จะหมดสภาพการเป็นนิติบุคคลค่ะ อย่างเช่น บริษัท ก. รวมกับบริษัท ข. และมาตั้งเป็นบริษัท ค. (ก.+ข.= ค.) ค่ะ โดย Amalgamation มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ...

1. Amalgamation แบบ Merger: การควบรวมบริษัทแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อสองบริษัทหรือมากกว่า รวมตัวกัน โดยทั้งสองบริษัทที่ถูกผนวกจะหยุดการดำเนินการ และเกิดบริษัทใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งมีการโอนสินทรัพย์ และหนี้สินทั้งหมดไปยังบริษัทใหม่ และ

2. Amalgamation แบบ Purchase: การควบรวมแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อบริษัทหนึ่ง (บริษัทผู้ซื้อ) ซื้อสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทอื่น (บริษัทผู้ขาย) โดยบริษัทผู้ขายจะหยุดการดำเนินการ และบริษัทผู้ซื้อจะยังคงดำเนินการต่อไป

โดยประโยชน์ของการทำ Amalgamation จะแบ่งได้เป็น...

1) Economies of Scale โดยการควบควมกิจการจะช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตได้เนื่องจากขนาดการผลิตที่ใหญ่ขึ้น 

2) Increased Market Shares โดยบริษัทใหม่นี้จะมีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น อีกทั้งถ้าแต่ละบริษัทมีความชำนาญที่แตกต่างกันออกไปก็อาจจะเกิดการประสานงานหรือที่เราเรียกว่า Synergy ทำให้การทำธุรกิจโตแบบก้าวกระโดดได้ 

และ 3) เกิด Diversification เพราะการควบรวมนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการขยายสินค้าหรือบริการไปยังตลาดใหม่ ๆ ได้ค่ะ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะคะ เพราะการควบรวมกิจการ ก็ย่อมหมายถึงบางตำแหน่งงานที่มีความทับซ้อนกันต้องหายไป ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานในตำแหน่งนั้น ๆ และการกำกับดูแลของภาครัฐที่เข้ามามีส่วน ก็อาจจะมากขึ้นตามขนาดของบริษัทที่ใหญ่ขึ้นด้วยค่ะ เช่น อาจจะมีการนำเอากฎหมายการทางค้ามาใช้เพื่อป้องกันการผูกขาด และอาจจะไปกระทบการทำธุรกิจของบริษัทได้ค่ะ 

นอกจากกรณีของ GULF กับ INTUCH แล้ว ในอดีตที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทที่ทำ Amalgamation ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2006 ที่ Walt Disney ควบรวมเข้ากับ Pixar Animation Studios ซึ่งการควบรวมนี้ทำให้ Disney สามารถเพิ่มศักยภาพในการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันได้มากขึ้น 

หรือจะเป็นการทำ Amalgamation ครั้งที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่บริษัทโทรคมนาคมจากสหราชอาณาจักรอย่าง Vodafone ที่ควบรวมกับบริษัทโทรคมนาคมในเยอรมนีอย่าง Mannesmann ในปี 2000 ซึ่งการควบรวมนี้มีมูลค่าสูงถึง 183 พันล้านดอลลาร์เเละทำให้ Vodafone กลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ 

หรือจะเป็นตอนที่สองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Exxon เเละบริษัท Mobil ควบรวมเข้าด้วยกันในปี 1999 ซึ่งทำให้บริษัท Exxonmobil กลายเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น

ส่วนก่อนหน้านี้ ในไทยเองก็จะเป็นกรณีที่บริษัทโทรคมนาคมอย่าง TRUE ควบรวมกิจการเข้ากับ DTAC ค่ะ

เอกลักษณ์แห่งรัชสมัย ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ความหมายนัยแห่งองค์พระประมุข

‘ตราพระราชลัญจกร’ คือตราประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมื่อเริ่มต้นรัชกาลในแต่ละรัชกาล เพื่อทรงใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานราชการแผ่นดิน 

พระราชลัญจกรประจำรัชกาลปรากฏหลักฐานว่ามีใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระราชลัญจกรนี้ประกอบด้วยพระเอกลักษณ์อันเป็นนัยของแต่ละพระองค์ เป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงความเป็นพระประมุขของชาติ พระอิสริยยศ พระบรมเดชานุภาพ โดยผมได้เรียบเรียงมานำเสนอ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ ก.ค. ๒๕๖๗ ไล่เรียงจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้…

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นรูปปทุมอุณาโลมมีลักษณะเป็นม้วนกลม คล้ายลักษณะความหมายของพระปรมาภิไธยว่า ‘ด้วง’ จึงได้ใช้อักขระ ‘อุ’ เป็นมงคลแก่พระปรมาภิไธยอยู่กลางล้อมรอบด้วยกลีบบัว อันเป็นพฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใช้ประทับในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ ปรากฏมีใช้ประทับในเงินพดด้วงสําหรับซื้อขาย ชําระหนี้ ผลิตออกใช้คราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. ๒๓๒๘ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๒

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นรูปครุฑยุตนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘ฉิม’ ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือพญาครุฑในเทพนิยาย เทวะกำเนิดเป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่งแต่ยอมเป็นเทพพาหนะสำหรับพระนารายณ์ ปกติสถิตอยู่ ณ วิมานฉิมพลี ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาให้ใช้รูปครุฑยุตนาคเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์แทนพระปรมาภิไธย พระราชลัญจกรนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้ประทับในต้นเอกสารสำคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ นอกจากนั้นยังปรากฏมีใช้ประทับในเงินพดด้วงสำหรับซื้อขาย ชำระหนี้ เช่นเดียวกับในครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๓

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘ทับ’ หมายความว่า ที่อยู่หรือเรือน ดังนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระปรมาภิไธย ทรงใช้ประทับในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ และมีปรากฏใช้ประทับในเงินพดด้วงสําหรับซื้อขาย ชําระหนี้ เช่นเดียวกัน 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๔

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี ลายกลางพระราชลัญจกรเป็นรูป ‘พระมหาพิชัยมงกุฎ’ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘มงกุฎ’ ซึ่งเป็นศิราภรณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้างที่ขอบทั้งสองข้าง มีพานทองสองชั้นวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรมาจากฉายา ที่ทรงผนวชว่า ‘วชิรญาณ’ ส่วนสมุดตำรามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญทั้งทางราชการและส่วนพระองค์ ปรากฏในเงินพดด้วงและเงินเหรียญกษาปณ์ นอกจากนี้ยังอัญเชิญพระราชลัญจกรไปสลักหรือปั้นนูนเพื่อประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถพระอารามหลวงที่พระองค์ทรงสร้างหรือทรงปฏิสังขรณ์ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๕ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี กลางพระราชลัญจกรมีพระราชสัญลักษณ์สำคัญคือ ‘พระเกี้ยว’ คือพระจุลมงกุฎเปล่งรัศมี ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธย ‘จุฬาลงกรณ์’ ซึ่งแปลความหมายว่า ‘ศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ’ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้าง ที่ริมขอบทั้งสองข้างมีพานแว่นฟ้าวางพระแว่นสุริยกานต์ ข้างหนึ่งวางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์และสมุดตำรานั้นเป็นการเจริญรอยจำลองพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นสมเด็จพระชนกนาถ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ ซึ่ง ‘ไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน’ เช่น ใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในประกาศนียบัตรเหรียญรัตนาภรณ์ของพระองค์ ใช้ประทับในเงินพดด้วงและเหรียญกษาปณ์ ใช้เป็นตราหน้าหมวกทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถพระอารามหลวงที่ได้ทรงสร้างและทรงปฏิสังขรณ์

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๖

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรี ประกอบด้วย ‘วชิราวุธ’ มีรัศมีเป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘วชิราวุธ’ ซึ่งหมายความถึง ‘ศัตราวุธของพระอินทร์’ เรียกว่าพระราชกัญจกรพระวชิระประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ตั้งอยู่เหนือตั่ง มีฉัตรกลีบบัวบริวาร ๒ ข้าง ในหลวงรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเครื่องหมายราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ ทั้งยังใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในประกาศนียบัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ ตราวชิรมาลา เหรียญรัตนาภรณ์ของพระองค์ ทรงให้ใช้ปักบนธงเครื่องหมายประจํากองเสือป่า ปักผ้าทิพย์หน้ามุขเด็จพลับพลาที่ประทับในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ทั้งยังเชิญไปประดิษฐานที่หน้าบันโรงเรียนวชิราวุธ อีกด้วย

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๗

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นรูปกลมรีเรียกว่า ‘พระราชลัญจกรพระแสงศร’ รูปพาดพระแสงศร ๓ องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรอัคนีวาต พระแสงศรประลัยวาต พระแสงศร ๓ องค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ‘ประชาธิปกศักดิเดชน์’ ซึ่งมาจากความหมายของศัพท์วรรคสุดท้ายที่ว่า ‘เดชน์’ แปลว่า ‘ลูกศร’ ส่วนเบื้องบนมีรูปพระแสงจักรและพระแสงตรีศูลอยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ มีบังแทรกตั้งอยู่ ๒ ข้าง กับมีลายกนกแทรกอยู่ระหว่างพื้น พระราชลัญจกรนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น สําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๘ 

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีลักษณะเป็นรูปกลมโดยมีรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ดอกบัว ห้อยพระบาทขวาเหนือบัวบาน หมายถึง ‘แผ่นดิน’ พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูมและมีเรือนแก้วด้านหลังแทนรัศมี มีแท่นรองรับตั้งฉัตรบริวาร ๒ ข้างเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า ‘อานันทมหิดล’ ซึ่งแปลความหมายว่า ‘เป็นที่ยินดีของแผ่นดิน’ พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย โดยความยินดีของประชาชนชาวไทย เปรียบประหนึ่งพระองค์เป็น ‘พระโพธิสัตว์’ เสด็จฯ มาประทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทวยราษฎร์ทั้งมวล พระราชลัญจกรนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๙

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีลักษณะเป็นรูปกลมรีแนวตั้ง ประกอบด้วยรูป ‘พระที่นั่งอัฐทิศ’ ประกอบด้วยวงจักร ตรงกลางจักรมีอักขระเป็น ‘อุ’ หรือ ‘เลข ๙’ รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ฉัตรตั้งอยู่บนพระที่นั่ง อัฐทิศ แปลความหมายว่า ทรงมีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน โดยมีวันพระบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ได้เสด็จประทับเหนือพระที่นั่ง อัฐทิศ สมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษกจากทิศทั้งแปด นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ทรงรับน้ำอภิเษกจากสมาชิกรัฐสภาแทนที่จะทรงรับจากราชบัณฑิต ซึ่งแตกต่างจากรัชกาลก่อน ๆ 
.
พระราชลัญจกรนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสําหรับใช้ประทับกํากับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสําคัญส่วนพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดิน นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตรานี้แก่สถาบันอุดมศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ พร้อมพระราชทานนาม ‘ราชภัฏ’ แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งหมายถึง ‘คนของพระราชา’ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ใช้เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในเครือ ทั้งยังมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นภาพประธานในตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ ในรัชกาลของพระองค์ ได้แก่ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ อีกด้วย

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑๐

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ รัชกาลที่ ๑๐ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันแห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ มีลักษณะเป็นรูปกลมรี โดยประกอบด้วย ‘พระวชิระ’ คือ เทพศาสตราของพระอินทร์ นอกจากนี้ยังแปลว่า ‘สายฟ้าและเพชร’ นอกจากนั้นยังมีแบบตามพระราชนิยมในรัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ โดยด้านบนของพระวชิระมี ‘พระเกี้ยว’ ซึ่งเป็นแบบตามพระราชนิยมในรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวงแทนคำว่า ‘อลงกรณ์’ ซึ่งแปลว่า ‘เครื่องประดับ’ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย ‘มหาวชิราลงกรณ’ เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า พร้อมด้วยฉัตรบริวารอยู่ทั้ง ๒ ข้าง 

พระราชลัญจกรนอกจากเนื้อหาตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้นยังเป็นเครื่องมงคลที่แสดงถึงพระราชอิสริยยศอีกด้วย ดังที่ปรากฏอยู่ในหมวดพระราชสิริซึ่งประกอบด้วย พระสุพรรณบัตร ดวงพระราชสมภพและ พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ซึ่งจะต้องเชิญขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พร้อมกับเครื่องมงคลอื่น ๆ ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของพระราชลัญจกรประจำรัชกาลต่าง ๆ ในมหาจักรีบรมราชวงศ์

ชวนรู้จัก ‘ตั๋วแลกเงิน หรือ Bill of Exchange’ อีกทางเลือกในยามที่กู้เงินจากแบงก์ไม่ได้

ข่าวใหญ่ที่เราเห็นกันเต็มหน้าสื่อในสัปดาห์นี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นข่าวของบริษัทในตลาดหุ้นที่ขอเลื่อนเวลาชำระตั๋ว BE ซึ่งในช่วงหลัง ๆ มานี้น้อยครั้งที่เราจะเห็นข่าวที่เกี่ยวกับตั๋วนี้ เพราะข่าวของบริษัทที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นในรูปของการผิดชำระหุ้นกู้เสียมากกว่า 

วันนี้เลยจะพาไปเจาะลึกตั๋ว BE แบบ 101 กันว่าตั๋วนี้คืออะไร? และทำงานอย่างไร?

ตั๋วแลกเงิน BE หรือ Bill of Exchange เป็นตราสารหนี้รูปแบบหนึ่งที่ถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความสำคัญในการทำธุรกิจ และถือว่าเป็นหนึ่งในการระดมทุนของบริษัทเช่นเดียวกันกับหุ้นกู้

แต่อดีตตั๋วแลกเงินเป็นผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารใช้เพื่อปล่อยกู้ให้กับบริษัทเอกชน และธนาคารนำไปขายต่อให้กับนักลงทุนอีกทอดหนึ่ง โดยธนาคารจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นการค้ำประกันตั๋วแลกเงินหรือที่เรียกว่า ‘การอาวัลตั๋ว’ โดยธนาคารจะร่วมรับผิดชอบหากผู้กู้เงินไม่สามารถชำระเงินคืนได้ แต่หลัง ๆ มาก็มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นบริษัทเอกชนออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้กับนักลงทุนโดยตรง โดยไม่ผ่านตัวกลางอย่างธนาคารค่ะ

การระดมทุนรูปแบบนี้เป็นไปเพราะบริษัทเอกชนต้องการเงินทุนในการดำเนินงานและต้นทุนในการกู้เงินที่ต่ำกว่าการกู้ธนาคาร หรือไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ โดยผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้ก็จะได้รับผลตอบแทนการจากให้กู้ค่ะ แต่ความต่างระหว่างหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินจะอยู่ที่ระยะเวลาอายุของตราสารหนี้นั้น ๆ กล่าวคือ ถ้าตราสารหนี้นั้นมีอายุมากกว่า 1 ปี เราจะเรียกว่าตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งมาในรูปแบบของหุ้นกู้ แต่ถ้าตราสารหนี้ไหนที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น ตั๋วแลกเงิน (BE), หุ้นกู้ระยะสั้น (Short-Term Debenture) หรือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Permission Note: P/N)

ซึ่งตั๋ว BE เองก็ถูกจัดอันดับความน่าเชื่อถือเช่นเดียวกับหุ้นกู้ หรือที่เรียกว่า Credit-Rating และไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะนำเอาหุ้นกู้ของตนเองไปทำ Credit-Rating ค่ะ เพราะมันถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องให้บริษัทจัดอันดับเข้ามาประเมินสถานะบริษัท หรือถ้าบริษัทไหนที่มีสถานะทางการเงินที่มีความเสี่ยงก็จะต้องชดเชยการถูกจัดอันดับนั้นด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อจูงใจนักลงทุนค่ะ ซึ่งการจัดอันดับจะมีทั้งระดับที่ลงทุนได้และระดับที่เสี่ยง หรือแบบ Non-rated BE ซึ่งแบบหลังนี้ก็จะมีกฎตามมาด้วยว่าจะขายให้ได้เฉพาะสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้นค่ะ

และเพราะตั๋ว BE มีอายุสั้น ผลตอบแทนที่ได้รับจากอยู่ในรูปของส่วนลด (Discount) แทนที่จะเป็นดอกเบี้ยอย่างหุ้นกู้ระยะยาว อย่างเช่น ตั๋วแลกเงินมูลค่า 1,000,000 บาท ส่วนลด 10% ระยะเวลา 1 ปี เพราะฉะนั้นผู้ซื้อตั๋วแลกเงินหรือผู้ให้กู้ก็จะให้เงินเพียงแค่ 900,000 บาท โดยมีส่วนลด 100,000 บาท และตอนคืนเงินผู้กู้ก็จะต้องคืนเงินจำนวน 1,000,000 บาทค่ะ

ข้อดีของตั๋วแลกเงินอีกอย่างที่นอกเหนือจากระยะเวลาถือครองสั้นแล้วที่ทำให้ตั๋วแลกเงินเป็นที่นิยม คือการเปลี่ยนมือได้ ผู้ให้กู้อาจขายตั๋วที่ได้รับ ไปให้ผู้อื่น และผู้ที่ซื้อตั๋วหรือผู้ถือตั๋วเงินมีสิทธิรับเงินโดยตรงจากผู้ออกตั๋วหรือผู้จ่ายเงินได้ แต่ถ้าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ คนที่ซื้อตั๋วต่อไปจะไม่สามารถไปตามเอากับคนที่มีชื่ออยู่บนหลังตั๋วหรือคนที่ขายให้ได้

ข้ามมาดูในด้านความเสี่ยงกันบ้าง การลงทุนในตั๋วแลกเงินจะมีความเสี่ยงในด้านการผิดนัดชำระหนี้หรือว่าเกิด Default ก็คือการที่ผู้ออกตั๋วไม่สามารถชำระเงินได้เนื่องจากปัญหาจากตัวธุรกิจเองหรือปัญหาอื่น ๆ หรือความเสี่ยงด้านราคา

ในกรณีที่ผู้ให้กู้อยากขายก่อนครบกำหนด อาจจะทำให้ต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น รวมไปถึงความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่อง เพราะเนื่องจากตลาดรองในการขายตั๋วแลกมีสภาพคล่องไม่มากทำให้ผู้ให้กู้อาจจะไม่สามารถขายได้ในทันทีค่ะ 

นอกจากกรณีของ EA แล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีหลายบริษัทจดทะเบียนที่เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินตามที่เราเห็นได้จากข่าวค่ะ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นอย่างละเอียด และดูไปถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเราด้วยค่ะ

รู้จัก FOMC การประชุมของ FED ที่ผู้กุมนโยบายการเงินทั่วโลกต่างจับตา เพราะทุกทีท่า ล้วนกระทบเสถียรภาพทาง ศก. 'ระดับชาติ-ระดับโลก'

ถ้าใครติดตามข่าวการลงทุนอยู่เรื่อย ๆ ก็คงสังเกตได้ว่า ช่วงไหนที่มีข่าวการประชุม FOMC หรือการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee - FOMC) ตลาดสินทรัพย์ทุกประเภทก็มักจะมีความผันผวน โดยนักลงทุนบางส่วนก็มีการขายสินทรัพย์ออกมาเพื่อลดความเสี่ยงลง เพื่อรอดูผลของการประชุมเสมอ

การประชุมนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของระบบธนาคารกลางของสหรัฐฯ ซึ่งคณะกรรมการนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 12 คน ได้แก่ สมาชิก 7 คนจากคณะกรรมการผู้ว่าการของธนาคารกลางสหรัฐฯ, 1 คนเป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง New York และอีก 4 คนจะหมุนเวียนกันมาจากผู้ว่าการธนาคารกลางอีก 11 เขตที่เหลือในแต่ละปีค่ะ

โดยวัตถุประสงค์หลักของ FOMC คือ การดูแลและกำหนดนโยบายการเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค, ทบทวนสภาพเศรษฐกิจและการเงิน, ประเมินความเสี่ยงต่อเป้าหมายระยะยาว และหารือเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินที่เหมาะสม เช่น ราคาที่มีเสถียรภาพ, ระดับอัตราการจ้างงานสูงสุด และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคณะกรรมการนี้จะประชุมกัน 8 ครั้งต่อปี เพื่อหารือและตัดสินใจในมาตรการและนโยบายต่าง ๆ ร่วมกัน

โดยหัวข้อสำคัญ ๆ ที่มักจะถูกพูดถึง คือ...

1. อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม: ในการประชุมจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารกลาง ซึ่งมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และการจ้างงาน

2. ตัวชี้วัดเศรษฐกิจต่าง ๆ: จะมีการนำเอาตัวเลขที่ใช้การชี้วัดเช่น การเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และการใช้จ่ายของผู้บริโภคมาพิจารณา 

ส่วนหัวข้อสำคัญรองลงมาจะเป็น...

3. สภาพตลาดการเงิน: การประเมินสภาพในตลาดการเงินและผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วไป

4. พัฒนาการเศรษฐกิจทั่วโลก: การพิจารณาสภาพเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

เมื่อพิจารณาหัวข้อดังกล่าวแล้ว ก็จะนำมาซึ่งการกำหนดนโยบายการเงิน โดยการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในการประชุม FOMC นั้น จะมีผลโดยตรงต่อทิศทางของนโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารกลาง ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอัตราดอกเบี้ยนี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการจ้างงานต่อไป

ไม่เพียงเท่านี้ ผลกระทบต่อการตัดสินใจดังกล่าว จะส่งผลต่อตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดการเงินทั้งในสหรัฐฯ เองและทั่วโลก รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายของแหล่งเงินทุนทั่วโลกอีกด้วย

ดังนั้น ผลการประชุมนี้ จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยตลาดและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก ภายใต้บทบาทสำคัญของ FOMC ที่จะส่งผลต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งในระดับชาติและระดับโลก 

อ้อ!! แล้วนอกจากการประชุมของธนาคารสหรัฐฯ แล้ว ในโลกก็ยังมีการประชุมธนาคารประเทศอื่น ๆ ที่สำคัญระดับโลกอีกด้วย อย่างเช่น การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE), การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ขณะที่ไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ก็จะมีการประชุมเพื่อกำหนดกรอบนโยบายและสร้างเสถียรภาพทางการเงินเช่นเดียวกัน

สำหรับการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมามีขึ้นในวันที่ 30-31 กรกฎาคม แม้จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% แต่ผู้ว่าการธนาคารกลางอย่างนายเจอโรม พาวเวล ก็ได้แสดงท่าทีที่อ่อนโยนลง และระบุว่า ถ้าเงินเฟ้อกำลังมีทิศทางที่ชะลอตัวลง, ตลาดแรงงานลดความร้อนแรงลง 'เฟด' (FED) เอง ก็พร้อมที่จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top